มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 5
ขอคุยก่อน....
555 หลังจากหายไปเกือบเดือน มนต์สีมุก กลับมาพร้อมกับตอนที่ 5 ครับ นอกจากจะต้องโบ้ยให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีที่ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง เที่ยว กิน บลา ๆ ๆ แล้ว ก็ต้องโทษตัวเองด้วยที่ทำงานได้ช้ามาก เพราะเอาจริง ๆ งานแฟนตาซีแบบนี้ค่อนข้างไม่ถนัดเท่าไหร่นัก แต่อยากเขียนมาก
พร้อมกันนี้ คนที่อ่านตอนที่ 4 แต่แรกอาจจะงงกับชื่อตัวละครใหม่ ซึ่งผู้เขียนเห็นควรกับผู้อ่านส่วนหนึ่งว่า ชื่อ คิตตี้ ก็น่ารักน่าเอ็นดู เลยขออนุญาตเอาชื่อที่คนอ่านช่วยคิดมาใช้กับตัวละครภูตินำทางสุดแสบนะครับ
หมดเรื่องคุยไปอ่านกันต่อเลยครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 5
ช่วงเช้าของวันโถงชั้นหนึ่งของอาคารสำนักงานกลางกรุงคึกคักไปด้วยพนักงานของบริษัทที่ตั้งอยู่ภายในอาคารแห่งนี้ หญิงสาวที่เพิ่งจะพ้นวัย 23 ปีมาไม่กี่วันเดินผ่านประตูทางเข้าหน้าอาคารแล้วสอดสายสายตามองไปรอบตัวจนกระทั่งพบ ‘เขา’
คุลิกาสืบเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟแฟรนไชส์ ขณะที่เขากำลังปาดนิ้วไปบนแทบเล็ต คิ้วเข้มขมวดอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด กิริยาอาการที่เคยเห็นจนชินตาจากผู้คนทั่วไป กลับดูแปลกไปในสายตาของหญิงสาวเมื่อเป็นเขา...เสน่ห์ดึงดูดประหลาด ที่ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้
หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์คืนก่อนขณะที่ได้พูดคุยกับภูตินำทางของตน เด็กหญิงคิตตี้เอ่ยถึงความสำคัญของปพนธีร์แล้วจึงแบมือซ้ายขึ้นในระดับอก แสงสว่างวูบขึ้นบนฝ่ามือเล็กนั้นก่อนที่วัตถุอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น มันคือแผ่นดิสก์ที่ไม่มีการสกรีนข้อความหรือเขียนอะไรบนหน้าแผ่นสีขาว
‘อะไรน่ะ ดินแดนเวทมนต์มีดีวีดีด้วยเหรอ?’
‘ก็บอกแล้วว่าที่นั่นมีวิวัฒนาการหลายอย่างคล้ายกับโลกมนุษย์นี่แหละ แต่การบันทึกเราไม่ต้องใช้เครื่อง’
‘ผสมผสานเวทมนต์กับเทคโนโลยีสินะ...แต่นี่มันแผ่นเปล่านี่...อย่าบอกนะว่าต้องเพ่งสมาธิอะไรอีก เหนื่อยจะแย่แล้ว’
คิตตี้ถอนใจราวกับระอาเต็มที่ กระโดดลงจากเตียงแล้วตรงไปที่ชั้นวางโทรทัศน์ปลายเตียง กดเปิดเครื่องเล่นดีวีดีก่อนจะยัดแผ่นดิสก์ลงไปในเครื่อง
‘ปกติเราจะไม่สามารถรู้เห็นสิ่งที่เกิดบนโลกมนุษย์ แต่ตอนนั้นเหล่าชาวเวทที่มีพลังแก่กล้าต้องมารวมตัวกันเพื่อใช้พลังบันทึกภาพคืนดารุทัยเอาไว้ แต่ถึงจะบันทึกได้ภาพที่ได้ก็ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่นักเพราะมันเป็นการบันทึกเหตุการณ์ข้ามดินแดน’ คิตตี้ทำท่าจะพูดต่อ แต่แล้วกลับอ้าปากค้างเหมือนนึกอะไรได้ รีบอธิบายทันที ‘ต้องไม่รู้จักวันดารุทัยสินะ...คืนดารุทัยก็คือคืนที่ดวงดาวลงมาจากฟ้าถือกำเนิด ไม่ว่าจะบนโลกมนุษย์หรือว่าดินแดนของชาวเวท จะเป็นชาวเวทหรือมนุษย์โลกก็ได้ ที่โน่น...เราเรียกทั้งคืนที่ดวงดาวลงมาเกิดกับคนที่เกิดจากดาวว่าดารุทัยเหมือนกัน’
‘ผู้ชายคนนั้นคือดวงดาวที่ลงมาเกิดบนโลก?’
คิตตี้พยักหน้าตอบพลางกดเปิดโทรทัศน์ บนหน้าจอปรากฏภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดาว แสงหนึ่งที่ระยิบบนท้องฟ้านั้นพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้ามืดมิด มุมของแสงนั้นตรงดิ่งไปที่ตึกสูงกลางกรุง เหนือตึกมีสัญลักษณ์กากบาทสีแดงและชื่อของโรงพยาบาลเอกชนหรูแห่งหนึ่งที่หญิงสาวรู้จักดี เมื่อเคลื่อนที่ใกล้ยอดตึกแสงนั้นก็วูบหายไปทันที
‘เหล่าชาวเวทใช้พลังกันอย่างเต็มที่จนมองเห็นภาพภายในโรงพยาบาลว่าคืนนั้นเวลานั้นเป็นเวลาที่ผู้ชายที่ชื่อปพนธีร์นั่นเกิดที่โรงพยาบาลนั้นพอดิบพอดี ตามความเชื่อของชาวเวท คนที่เกิดในคืนวันดารุทัยจะมีพลังพิเศษอยู่ในตัว ที่จะถ่ายทอดไปถึงทายาทคนแรก พลังที่จะเปิดผนึกของดินแดนเวทมนต์ ทำให้ชาวเวทสามารถออกมาสู่โลกมนุษย์ได้อย่างเป็นอิสระอีกครั้ง หรือไม่ก็สามารถปิดผนึก กั้นสองดินแดนให้ตัดขาดออกจากกันตลอดไปขึ้นกับความต้องการของผู้ให้กำเนิด’
คุลิกานึกถึงเรื่องราวของการข้ามดินแดนที่ได้อ่านจากหนังสือนั้นแล้วอดสงสัยไม่ได้ ‘ก็ไหนชาวเวทสามารถมาในโลกมนุษย์ได้อย่างเป็นอิสระอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นถึงต้องมีการปิดผนึก’
‘ทุกที่ก็มีคนดีคนไม่ดี ดินแดนของเวทมนต์ก็เหมือนกัน เวทมนต์ที่ชาวเวทมีไม่ใช่ว่าจะใช้ได้พร่ำเพรื่อ ชาวเวทจะใช้มนต์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ยุคะนึงพวกชาวเวทกลุ่มหนึ่งต้องการขึ้นเกิดต้องการจะมีอำนาจ มีพลังที่ไม่จำกัดเลยทำร้ายพวกเดียวกันเพื่อที่จะเอาพลังไปสะสมไว้ในตัวเอง ชาวเวทที่เหลือเลยต้องร่วมมือกันพยายามที่จะกำจัดพวกที่ชั่วร้าย ใช้พลังอำนาจในทางที่ผิดพวกนั้น เราเรียกกันว่าชาวเวทมืด เป็นผู้ชายก็เรียกเวทบุรุษมืด เป็นผู้หญิงก็เรียกเวทนรีมืด’
‘แสดงว่านอกจากชาวเวทที่มาหลงรักมนุษย์แล้ว ยังมีพวกชาวเวทมืดที่ว่าหลบหนีมาอยู่โลกมนุษย์ด้วย’
เด็กหญิงพยักหน้า ‘จะว่าไปแล้วชาวเวทรุ่นแรกที่มาอยู่กินกับมนุษย์โลกก็มีคนที่ถูกความผิดหวังในรัก จนใช้เวทมนต์ทำร้ายคนอื่นอยู่เหมือนกัน ชาวเวทที่มาอยู่บนโลกปกติก็จะมีชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่พวกที่มีความชั่วร้ายครอบงำจะไม่สามารถสืบทายาทมีลูกหลานได้ เลยต้องพยายามที่จะรวมตัวกันให้มากเพื่อสร้างกลุ่มอำนาจ พวกนั้นคิดว่าการถือครองโลกมนุษย์จะทำได้ง่ายกว่าเพราะมนุษย์ไม่มีเวทมนต์ที่จะนำมาสู้ได้’
‘ถ้าอย่างนั้นพอถึงเวลา พวกนั้นก็น่าจะตายไปเองตามวัยไม่ใช่เหรอ’
‘มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ชาวเวทส่วนใหญ่ยอมรับชะตากรรมเมื่อถึงวาระของตัวเอง แต่ชาวเวทมืดจะหาทางมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองถึงจะเป็นการฝืนธรรมชาติก็ตาม ชาวเวทกลุ่มนึงข้ามดินแดนมาเพื่อตามล่าพวกนี้ แต่เราไม่แน่ใจว่ายังมีพวกชาวเวทมืดหลงหลืออยู่รึเปล่า เพราะพวกชาวเวทมืดได้เรียนรู้เวทมนต์จากพวกที่อยู่บนโลกมนุษย์ ทำให้สามารถย้ายตัวเองไปสู่ร่างใหม่ได้เมื่อร่างตัวเองหมดอายุขัย เมื่อเห็นว่าไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์ได้ ชาวเวทที่มีพลังแกร่งกล้าเลยต้องร่วมกันปิดผนึกจุดที่เชื่อมระหว่างสองดินแดนเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกชั่วร้ายที่ยังเหลืออยู่ออกมายังโลกมนุษย์ได้อีก’
‘เรื่องการเจ็บตายคุ้น ๆ แฮะ เหมือนพวกความเชื่อเรื่องแม่มดดำแม่มดขาว แต่พวกแม่มดดำเป็นพวกที่เรียนเวทมนต์ไม่ได้มีเวทมนต์ตามธรรมชาติ ไม่แก่ไม่ตาย ในหนังบางเรื่องเห็นมีพวกใช้มนต์ดำในการย้ายร่างตัวเองจากร่างนึงไปร่างนึงด้วย พอแก่ตัวก็หาร่างสาวสวยอาศัยอยู่ต่อไปได้’ คุลิกาชักสนุกกับการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ฟังจากคิตตี้กับสิ่งที่ตนเคยเห็นจากในหนังหรือหนังสือที่เกี่ยวกับพ่อมด แม่มด ‘เอ๊ะ...แต่ถ้าทางเชื่อมของสองโลกถูกปิดผนึกแล้ว เธอมาได้ยังไงล่ะยายคิตตี้’
‘ภูตินำทางเป็นข้อยกเว้น เราเดินทางข้ามดินแดนได้ก็เพราะมีการกำเนิดของผู้ที่มีเวทมนต์ขึ้นบนโลกมนุษย์ สามารถไปมาระหว่างสองดินแดนได้เพราะความผูกพันกับเจ้าของและภารกิจที่ต้องทำกับดินแดนเวทมนต์ แต่พวกภูตินำทางอย่างเราไม่ได้มีเวทมนต์มากพอที่จะทำอะไรได้’
คุลิกาพยักหน้าทบทวนสิ่งที่ได้ฟังจากเด็กหญิง ดารุทัย ทายาทที่จะเปิดหรือปิดผนึกที่กั้นระหว่างสองดินแดน...เดี๋ยวสิ ถ้าอย่างนั้น
‘อย่าบอกนะว่าภารกิจที่ฉันต้องทำก็คือ...’
‘ทุกวันนี้ชาวเวทในโลกเวทมนต์ต้องรับมือกับพวกเวทมืดในดินแดนเวทมนต์ก็แย่แล้ว ถ้าต้องมาตามล้างตามเก็บพวกที่หลุดมาบนโลกมนุษย์อีก คงแย่แน่ ถ้าเกิดมีเวทนรีมืดหลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์จริง จะปล่อยให้สามารถสืบทอดทายาทกับดารุทัยไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการถือกำเนิดของทายาทคนแรกของดารุทัยจะนำไปสู่การเปิดผนึก สองโลกวุ่นวายไม่รู้อีกเท่าไหร่แน่ ๆ’
คิตตี้เอ่ยอย่างหนักแน่นก่อนจะหายตัวไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คุลิกาที่ขยับจะแย้งได้แต่บ่นลมแล้งตามเคย...ทิ้งทุ่นแล้วก็หนีเลยนะยายเด็กบ้า สืบทายาทนี่มันเรื่องง่ายซะที่ไหน
ชายหนุ่มยังคงนั่งจิบกาแฟร้อนและอ่านบางสิ่งบนหน้าจอแทบเล็ตเหมือนไม่รู้ตัวเองว่าเป็นดารุทัย ไม่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญอย่างไรกับความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนต์ หากชั่ววินาทีหนึ่งเขายกมือขึ้นบีบสันจมูกหลับตาลงเพื่อพักอาการเมื่อยล้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองตรงมาทางคุลิกาพอดี
เอาแล้วไง ยืนจ้องอยู่นานสองนานแบบนี้ ทำไงต่อดีล่ะฉัน
หญิงสาวขยับจะอ้าปากแต่แล้วก็งับริมฝีปากลงสนิทเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร ยิ่งเมื่อชายคนที่นั่งอยู่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้คุลิกายิ่งพูดอะไรไม่ออก
“คุณแคท เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ฉัน...”
แม้ปากจะนึกคำพูดไม่ออกแต่ขากลับเหมือนถูกดึงให้เดินตรงไปนั่งตามคำเชิญของปพนธีร์ ต้องโทษแมวน้อยคิตตี้ที่มาพูดเรื่องการสืบทายาทอะไรนั่น ทำเอาเธอไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่นั่งตรงหน้า
จะให้พูดกันตรง ๆ ไปเลยหรือไงว่า เราแต่งงาน มีทายาทกันเถอะค่ะ แล้วโลกจะสงบสุข มีหวังเขาคงจับเธอส่งตัวเข้าโรงพยาบาลบ้าเสียก็เท่านั้น
“บริษัทคุณแคทเข้างานกี่โมงครับ ถ้ายังพอมีเวลาดื่มกาแฟเป็นเพื่อนผมก่อนนะครับ”
“กาแฟร้านนี้...” คุลิกามองซ้ายมองขวาก่อนชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเพื่อให้สิ่งที่พูดได้ยินกันเพียงแค่สองคน “มันแพงเกินสำหรับคนเงินเดือนอย่างฉันค่ะ”
“ผม...”
คุลิกาเหมือนจะรู้ว่าชายหนุ่มจะเสนออะไรรีบพูดต่อทันที
“จะให้คุณออกเงินให้ฉันก็คิดว่าไม่เหมาะเพราะเราเพิ่งรู้จักกัน แต่ถ้าจะให้นั่งคุยเป็นเพื่อนฉันก็ยินดี”
คนบอกจะนั่งเป็นเพื่อนคุยขยับตัวนั่งหลังตรงอย่างเป็นการเป็นงานขึ้น นั่งนิ่งนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับเขาเพราะจะว่าไปเธอสาธยายเรื่องตัวเองให้ชายหนุ่มฟังแทบจะหมดเปลือกไปตั้งแต่เมื่อวันก่อน
“ผมชอบเวลาแบบนี้”
“คะ”
“ผมบอกว่าผมชอบเวลาแบบนี้ครับ เวลาที่ผมได้อยู่กับใครสักคนที่ไม่ใช่พนักงานในบริษัท” ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของคุลิกา “เมื่อวานผมบอกว่าถ้ามีโอกาสคุณจะได้รู้จักผมมากขึ้นไงครับ”
“อ๋อ...ค่ะ”
แต่งงานกันนะคะ เราต้องมีทายาท...บ้า ๆ ๆ เพราะยัยคิตตี้ทีเดียว มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ภารกิจสืบทายาทเนี่ยนะ
“การเป็นลูกชายของประธานบริษัททำให้ผมไม่มีใครมานั่งคุยกับผมได้แบบนี้”
“คุณไม่มีเพื่อนบ้างเหรอคะ”
“มันไม่เหมือนกันหรอกครับคุณแคท เพื่อนก็นัดสังสรรค์เจอกันตอนเย็นบ้าง แต่บรรยากาศในที่ทำงานวันละเก้าชั่วโมง สิบชั่วโมง ได้ผ่อนคลายบ้างดีที่สุด แล้วคุณก็เป็นคนคุยสนุกดี”
“จะว่าฉันพูดมากฉันก็ไม่โกรธนะคะ”
คราวนี้ปพนธีร์หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำเอาคนนั่งมองอยู่รู้สึกเหมือนใครเอาด้ายมาผูกกับหัวใจแล้วกระตุก เสน่ห์ของคนที่เป็นดารุทัยนี่ร้ายเกินต้านทานเสียจริง
เขาเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็ก การศึกษา และการทำงานให้คุลิกาฟังคร่าว ๆ หญิงสาวฟังแล้ววิเคราะห์คนที่นั่งตรงหน้าไปด้วย สำหรับชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดถือว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง ไม่ใช่เพราะเป็นทายาทของประธานบริษัท ปพนธีร์สร้างธุรกิจไลน์ใหม่แตกขยายจากที่ครอบครัวสร้างเอาไว้ กุมบังเหียนบริหารธุรกิจย่อยที่หญิงสาวคุ้นหูว่ากำลังผงาดแทบจะเรียกว่าแซงหน้าธุรกิจเดิมของบริษัทเสียอีก
ถ้าฟังคนอื่นเล่าเรื่องตัวเองแบบที่ชายหนุ่มตรงหน้าเล่า เธอคงคิดว่ากำลังนั่งฟังผู้ชายหลงตัวเองกำลังโอ้อวดความสำเร็จเพื่อให้หญิงสาวประทับใจ แต่ปพนธีร์สามารถถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จในชีวิตของตัวเองได้อย่างพอดิบพอดี ฟังเพลิดเพลิน เพลินจนคุลิกาเกือบลืมอะไรบางอย่าง
“ว้าย! จะเก้าโมงแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ผมก็ต้องกลับขึ้นไปทำงานเหมือนกันครับ”
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นยืนตามคุลิกา ก้าวตามหญิงสาวตรงไปบริเวณโถงลิฟท์ ตลอดเวลาที่อยู่ในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมหญิงสาวต้องพยายามกลั้นลมหายใจ ควบคุมสติ ของตัวเองอย่างหนักเมื่อคนในลิฟท์ค่อนข้างแน่นจนทั้งสองคนต้องยืนชิดแทบจะเบียดกัน สายตาของเขาที่มองตอบมาขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ไออุ่นจากร่างสูง กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวนชวนหลงใหล
คนที่เป็นดารุทัยนี่นอกจากจะมีเสน่ห์ในตัวแล้ว ยังเลือกน้ำหอมเก่งด้วยแฮะ หอมจัง
คุลิกาทำงานอย่างไม่มีสมาธิเท่าใดนัก เพราะเรื่องที่ได้รับรู้จากคิตตี้คืนก่อนคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา จริงอยู่ที่เธอพร้อมรับเรื่องราวแปลกประหลาด หลังจากได้เห็นแมวหายตัวไปมา เห็นร่างเด็กหญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นภูตินำทาง แต่เรื่องดารุทัย การสืบทายาท ดูจะหนักหนาเกินกว่าที่หญิงสาวจะยอมรับได้ แต่ภูตินำทางตัวดีก็ไม่ยอมบอกอะไรให้ครบถ้วนกระบวนความตามเคย
เรื่องแต่งงานมีครอบครัวไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นี่จะต้องทำเพราะหน้าที่อีก
เมื่อคิดว่านั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็คิดงานอะไรไม่ออก คุลิกาจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากห้องทำงาน เดินตรงไปยังห้องพักผ่อนที่จัดไว้เป็นสวัสดิการให้พนักงานเข้ามาชงชา กาแฟดื่ม หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นสัตว์สี่เท้าสีขาวนั่งบนเคาน์เตอร์ภายในห้องพักผ่อนนั้น
“ยายคิตตี้ มาทำอะไรที่นี่เดี๋ยวคนก็เห็นเข้าหรอก”
“นอกจากพี่แล้วไม่มีใครเห็นฉันหรอกน่า ทำตัวให้ปกติสิ”
คุลิกาขยับจะเถียงแต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาทางด้านหลัง พนักงานหนุ่มจากฝ่ายศิลปกรรมซึ่งไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหญิงสาวนักยิ้มให้เธอเล็กน้อยตามมารยาทก่อนจะเอ่ยขอตัวเดินแซงไปที่เคาน์เตอร์ จัดการชงแก้วโตจากกาแฟผงที่ทางบริษัทจัดไว้ให้แล้วเดินออกจากห้องพักผ่อนไปโดยขณะที่ก้าวผ่านหญิงสาวนั้น เขาขมวดคิ้วราวกับสงสัยอะไรบางอย่าง
แน่ล่ะ...หญิงสาวยังคิดว่าตนเองต้องมีสีหน้าไม่ปกติแน่ ๆ เพราะตอนนี้แมวสีขาวกลายร่างเป็นเด็กหญิงชุดคลุมสีขาวนั่งห้อยขาอยู่บนเคาน์เตอร์ ทั้งยังเตะเท้าไปมาอย่างสบายอารมณ์
“ถ้าไม่อยากให้ใครคิดว่าผิดปกติ เวลาจะสื่อสารกันพี่แค่คิดก็ได้” คิตตี้ยิ้มแป้นหลังจากสื่อสารกับคุลิกาโดยที่ไม่ขยับปากเลยแม้แต่นิดเดียว “แล้วก็เลิกยืนมองตาค้างได้แล้ว เดี๋ยวใครก็เข้ามาเห็นก็คิดว่าพี่เพี้ยนอีกหรอก”
พูดมากนักนะ ถ้าจับได้ตอนเป็นแมวล่ะก็ จะเอาไปลวกน้ำร้อนถอนขนเลยคอยดูสิ
“ใจร้ายจัง แล้วถ้าพี่จับหนูลวกน้ำถอนขนแล้ว ใครจะมาคอยเป็นภูตินำทาง ตอบข้อสงสัยให้ล่ะ”
แม้จะมีความรู้สึกตื่นเต้นที่สิ่งที่เธอคิดเมื่อครู่สื่อไปถึงภูตินำทางของเธอได้ทุกถ้อยความ แต่ความขุ่นใจต่อความช่างต่อปากต่อคำของคิตตี้มีมากกว่า
ช่างต่อปากต่อคำเหมือนใครก็ไม่รู้
“นอกจากรูปลักษณ์ที่เหมือนเจ้าของแล้ว ส่วนใหญ่นิสัยของภูตินำทางก็จะคล้ายเจ้าของด้วยนะ”
คุลิการะบายลมหายใจยาว เดินไปเปิดตู้ติดผนังหยิบถ้วยกาแฟประจำตัวที่ซุกเอาไว้ในตู้ หมุนฝากาแฟผงที่ปกติหญิงสาวไม่นิยมดื่มเท่าใดนักเพราะรู้สึกว่าไม่ได้ช่วยให้คลายความง่วงลงได้แต่อย่างใด ขณะที่ลงมือชงกาแฟเสียงของเด็กหญิงก็ยังคงดังอยู่ในหัว
“พี่ไม่อยากมีทายาทกับดารุทัยคนนี้หรือไงล่ะ”
จะบ้าเหรอ มีทายาทไม่ได้กินข้าวด้วยกันนะ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มันต้องอาศัยความรักด้วยหรือฉันจะสามารถใช้มนต์ให้เขารักแล้วก็แต่งงานกับฉันได้ล่ะ
“ไม่ได้ เงื่อนไขสำคัญของการสืบทายาทคือต้องเกิดจากความรักเท่านั้น จะใช้เวทมนต์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เป็นผล”
เดี๋ยวนะ...เธอบอกว่าไม่แน่ว่าพวกชาวเวทมืดจะยังมีหลงเหลือในโลกรึเปล่า แล้วถ้าเกิดมีเวทนรีมืดอะไรนั่นอยู่ ก็ต้องอยากจะสืบทายาทกับคุณป๊อบด้วยน่ะสิ
“พวกที่มีพลังแรงกล้าถึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นดารุทัยของคุณพี่ชายสุดหล่อคนนั้น ถ้าเกิดมีเวทนรีมืดหลงเหลืออยู่แล้วก็อยู่ในร่างของสาวเซ็กซี่ทรงเสน่ห์ล่ะก็นะ...”
หญิงสาวชะงักมือจากการใช้ช้อนคนกาแฟ เงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงที่นั่งมองตอบสายตาอย่างไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
จะพูดอะไรก็พูดมาให้จบนะยายคิตตี้
“มีหวังว่าผนึกระหว่างสองโลกจะถูกเปิดซะก็เท่านั้นน่ะสิ”
ภูตินำทางตัวแสบตอบข้ามขั้นไปแต่สายตาที่มองเหมือนสำรวจทรวดทรงองค์เอวของคุลิกาที่ดูจะห่างไกลคำว่าเซ็กซี่ทรงเสน่ห์อยู่ไม่น้อย ทำให้หญิงสาวคว้าถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จทำท่าเหมือนจะสาดใส่เด็กช่างต่อปากต่อคำเป็นการขู่
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ”
หญิงสาวหันขวับกลับไปมองยังบริเวณทางเดิน ชายหนุ่มจากฝ่ายศิลปกรรมคนเดิมถือกาแฟถ้วยเก่ายืนมองเธอด้วยสายตาที่บ่งบอกชัดว่ามีความหวั่นเกรงซ่อนอยู่ เขาขยับตัวยืดตรงเดินผ่านเธอไปด้วยท่าทางไม่มั่นใจเอื้อมมือไปข้างกระติกน้ำร้อนหยิบเอาพวงกุญแจพวงหนึ่งขึ้นมา
“พะ...พะ..พอดีผมเผลอวางกุญแจเอาไว้ตอนชงกาแฟ...ชะ ชะ เชิญ ตามสบายนะครับ”
คุลิกาอ้าปากค้างไม่รู้จะอธิบายให้พนักงานหนุ่มต่างแผนกฟังอย่างไรดี หันไปจะเอาเรื่องตัวต้นเหตุก็ไม่ทันเสียแล้ว...คิตตี้หายตัวแว่บไปทิ้งไว้เพียงเคาน์เตอร์หินอ่อนที่มีโหลใส่เครื่องดื่มผงและกระติกน้ำร้อนวางอยู่
วิเศษ...ไม่ว่าสิ่งที่เธอมีจะเรียกว่าเวทมนต์หรืออะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้มีคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่น่าจะมองเธอเป็นคนสติไม่ค่อยสมประกอบมากกว่าอย่างอื่น และหญิงสาวก็ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มที่เธอไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรคนนี้จะไม่ใช่คนช่างเล่า
หญิงสาวถอนใจอย่างปลง ๆ เพราะจากประสบการณ์ทำให้พอจะสรุปด้วยตนเองได้ว่า ผู้ชายยุคนี้หลายคนมีคุณสมบัติช่างเจรจาซึ่งน่าจะเป็นของผู้หญิงอยู่เต็มตัว
แต่เรื่องที่ตัวเองอาจกลายเป็นหัวข้อในการนินทาของคนในบริษัท รวมถึงเรื่องการต้องพิชิตใจจนถึงขั้นได้สร้างครอบครัวกับปพนธีร์กลายเป็นเรื่องเล็ก เมื่อคุลิกาเพิ่งจะตระหนักถึงเรื่องอื่นที่น่ากังวลมากกว่า ก็ถ้าเป้าหมายของเธออาจไปขวางทางกับเวทนรีมืดที่คงจะต้องการที่จะครอบครองหัวใจของชายหนุ่มที่เป็นดารุทัยเหมือนกัน เท่ากับว่าเธอจะกลายเป็นศัตรูโดยตรงของเวทนรีมืดที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์
ลำพังแค่เวทนรีมือใหม่ที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษแค่ไม่กี่วันอย่างคุลิกา จะเอาอะไรไปต่อกร
งานเปิดตัวคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำจัดขึ้นในห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง พงศ์พลินยืนแถวหลังสุดในกลุ่มของผู้บริหารบริษัท เขาไม่ชอบงานแบบนี้เท่าใดนักทั้งยังมีเรื่องที่รบกวนจิตใจมาหลายวัน เขาพยายามหาเส้นสายคนที่จะสามารถบอกได้ว่างานเลี้ยงฉลองสมรสที่โรงแรมในวันก่อนนั้นมีงานของใครบ้าง กว่าจะหาเพื่อนที่รู้จักคนวงใน กว่าจะได้ข้อมูลของบ่าวสาวแต่ละคู่ ชายหนุ่มแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าในวันนั้นมีงานเลี้ยงฉลองรสมรสจัดที่โรงแรมแห่งนั้นถึงสามงานด้วยกัน
ชายหนุ่มแอบหลบจากบริษัทในช่วงพักเที่ยง และออกงานเร็วในตอนเย็นเพื่อไปตามหาหญิงสาวปริศนาคนนั้นมาสองวันแล้ว และวันนี้ก็เหลือบริษัทอีกเพียงสองแห่งที่เขายังไม่ได้ไป พงศ์พลินไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าต้องกลับไปที่บริษัทเดิมอีกหรือไม่หากวันนี้ไปดักรอแล้วไม่พบผู้หญิงที่น่าจะมีพลังพิเศษเหมือนกับเทียดของเขา
แม้จะมีเครื่องมือช่วยตามหาอย่างเข็มทิศพิเศษที่จะส่องแสงเมื่อพบผู้มีพลังพิเศษช่วยให้แน่ใจได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจเป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจลาป่วย หรือไปติดต่องานนอกสถานที่ในวันที่เขาไปตามหา แต่พงศ์พลินตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้
ความผูกพันกับปู่ตั้งแต่เด็กจนโตทำให้ชายหนุ่มมุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ความหวังของปู่เป็นจริง ความหวังที่จะได้ตามหาและช่วยเหลือไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกับที่เคยเกิดกับเทียดของเขามาก่อน
ภาพของผู้หญิงคนนั้นแว่บเข้ามาในห้วงความคิดของพงศ์พลิน...ป่านนี้จะรู้ตัวรึยังนะ ว่าตัวเองมีพลังพิเศษ แล้วก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย ยังเด็กอยู่เลย จะเอาตัวรอดได้รึเปล่าก็ไม่รู้
พงศ์พลินสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น ผู้เป็นพ่อเหมือนจะมีเรดาร์จับความผิดปกติของลูกชายจึงหันมามอง ส่งสายตาดุมาจากแถวหน้า ชายหนุ่มต้องกลั้นใจเบาลมออกจากปากแผ่วเบาเมื่อพัฒน์ดูเหมือนจะใส่ใจกับหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่าการกำราบลูกชาย
มือใหญ่ล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบหลบออกไปที่มุมหนึ่งก่อนกดรับ
“ครับปู่...ผมกำลังว่าสักพักจะหาทางหลบออกไปอยู่เหมือนกันครับ...รับรองครับว่าผมจะพยายามตามตัวผู้หญิงคนนั้นให้เจอตามที่สัญญาไว้กับปู่”
ชายหนุ่มวางสายแล้วหันกลับไปมองที่บริเวณจัดงาน งานพิธีเสร็จสิ้นไปแล้ว ช่วงต่อไปพิธีกรจะเชิญพ่อของเขาไปนั่งให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับที่มาที่ไปของโครงการคอนโดมิเนียมริมน้ำแห่งนี้ เมื่อเห็นว่าจังหวะเหมาะเจาะพงศ์พลินก็หลบเลี่ยงออกจากบริเวณงานทันที
ใต้อาคารสูงเริ่มมีพนักงานบริษัทหลากหลายแห่งเดินออกจากลิฟท์มุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านหน้าตัวตึกเพื่อหาร้านรับประทานอาหารกลางวัน พงศ์พลินซึ่งยืนดักรออยู่บริเวณโถงลิฟท์เป่าลมออกจากปากยาวเพราะเพิ่งจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดใต้ถุนได้ก่อนเวลาเที่ยง เขากำเข็มทิศเอาไว้ในมือแน่นแอบเปิดมือออกดูเป็นระยะ
ต้องใกล้แค่ไหนวะ...เข็มทิศนี่ถึงจะเรืองแสง แล้วมันต้องเกี่ยวด้วยไหมว่าผู้หญิงคนนั้นใช้เวทมนต์หรือไม่ใช้ ไอ้กระสุนนั่นโดดเวทมนต์ใส่เข้าเต็ม ๆ เข็มทิศเลยจับได้ แต่ถ้าเกิดอยู่ในช่วงเวลาปกติ
“เฮ้ย!”
พงศ์พลินเผลอร้องออกมาเมื่อเห็นแสงสีฟ้าเรืองขึ้นมา แม้จะไม่ชัดเจนเท่ากับในคืนที่เขาพกกระสุนปืน รวมถึงพาร่างที่ต้องเวทมนต์เข้าโดยตรงกลับบ้าน แต่การที่หน้าปัดของเข็มทิศอยู่ ๆ ก็ส่องแสงเรืองขึ้นมาอย่างนี้ต้องมีเหตุผล
‘เหตุผล’ ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มอีกครั้งเมื่อลิฟท์ตัวหนึ่งเปิดขึ้นและคนในลิฟท์พากันเดินออกมา เธอเดินออกมาจากลิฟท์เกือบจะเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
เธอที่เป็นต้นเหตุของกระสุนปืนบู้บี้และการยืนแข็งเป็นหุ่นของเขานั้นพงศ์พลินจำได้ดีส่วนคนที่เดินออกมาพร้อมกันนั้นชายหนุ่มแค่คุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มานึกออกก็ตอนรายหลังยกมือขึ้นทาบอก ร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าพงศ์พลินมายืนรอ
“นี่มันตาโรคจิตที่โรงแรมวันนั้นนี่แคท ฉันจำได้”
‘ตาโรคจิต’ อ้าปากค้าง ไม่กล้าขยับตัวเพราะผู้คนที่อยู่บริเวณโถงลิฟท์และได้ยินคำเรียกนั้นต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว กว่าจะนึกได้ว่าควรจะแก้ตัวอะไรสักอย่างก็กินเวลาพักหนึ่ง
“เอ่อ...ผมไม่ใช่...คือผมมีเรื่องจะคุยกับคุณคนนี้น่ะครับ”
เขาจบก็ยืนนิ่งรอคำตอบทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะโดนอะไรเข้าให้อีก บางทีอาจต้องยืนขาแข็งเจอคนมองเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดอีกก็เป็นได้แต่อย่างไรเสียเขาก็อยากจะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ต้องกลับไปบอกปู่ได้ว่าพบผู้หญิงที่ปู่ตามหาแล้ว
คุลิกามองชายหนุ่มอยู่พักหนึ่งตั้งแต่เดินออกจากลิฟท์แล้ว จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนพวกโรคจิต ชอบตามตื้อผู้หญิง ยิ่งมองสายตาของเขาที่ส่งมาทางเธอตอนนี้หญิงสาวยิ่งรู้สึกว่ามีแววของความห่วงใยมากกว่าอย่างอื่น
“ผมขอเวลาไม่นานครับ”
เพื่อนร่วมงานหันมามองคุลิกาอย่างจะถามเอาคำตอบ หญิงสาวพยักหน้าให้แผ่วเบาก่อนจะเอ่ยกับ ‘ตาโรคจิต’
“เชิญด้านข้างตึกไหมคะ มีสวนเล็ก ๆ มีเก้าอี้ให้นั่งคุยกันได้”
“ดีครับ”
หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มออกไปทางสวนข้างตึกหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ชายหนุ่มที่เดินตามมาก็แบมือให้เห็นสิ่งที่เขากำเอาไว้
เข็มทิศที่ตอนนี้หน้าปัดส่องแสงสีฟ้าเรือง ตัวเข็มหมุนติ้วไม่หยุด
คุลิกาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาถอนใจยาวก่อนเอ่ยตอบ
“สิ่งนี้นำผมมาหาคุณ”
หญิงสาวยังไม่วายสงสัยและดูเหมือนคนที่กำเข็มทิศประหลาดอยู่ในมือจะอ่านสีหน้าของเธอออก จึงถอนใจยาวและหนักหน่วงกว่าเดิม
“สงสัยเราคงต้องคุยกันยาวกว่าที่คิด”
ปพนธีร์ยกหูโทรศัพท์ในห้องทำงานส่วนตัวแจ้งเลขานุการว่าต้องการติดต่อไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อสอบถามอาการหญิงชราที่เขาเป็นเจ้าของไข้
หลังจากอุบัติเหตุคืนก่อนเขาใช้เวลาพักใหญ่ในการนำหญิงชราส่งโรงพยาบาล ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ และจัดการธุระเป็นเจ้าของไข้ ไม่มีใครสามารถติดต่อหาญาติของหญิงชราได้เพราะไม่พบหลักฐานใดติดตัวมาเลยแม้แต่อย่างเดียว
เลขานุการสาวใช้เวลาต่อสายโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งก่อนจะโอนสายมาให้เจ้านาย ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นเสียงอ่อนหวานของเจ้าหน้าที่ก็ดังขึ้น
“คุณปพนธีร์ใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมต้องการทราบอาการของคุณยายคนที่ผมรับเป็นเจ้าของไข้เมื่อคืนครับ”
“ตอนนี้เราพาคนไข้เข้าพักในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ส่วนพยาบาลพิเศษที่คุณให้จัดหาให้ทางเราก็จัดการเรียบร้อยค่ะ”
เขาเอ่ยขอบคุณสำหรับข้อมูลหากไม่ทันวางสายก็ได้ยินเสียงของหญิงชราดังมาจากปลายสาย
“มา...มาหาข้า มาหาข้าเถอะ ข้ารอเจ้ามานานแสนนาน”
ปพนธีร์ชะงักถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้กระทั่งได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่หญิงคนเดิมดังขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณปพนธีร์ต้องการให้ช่วยอะไรอีกไหมคะ”
“อ้อ...ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
ชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์ คิดว่าเสียงที่ได้ยินอาจเป็นเสียงจากโทรทัศน์ที่เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลเปิดทิ้งเอาไว้ โดยไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ในห้องพักผู้ป่วยพิเศษห้องหนึ่งในโรงพยาบาลนั้น หญิงชราเจ้าของเสียงเรียกลืมตาโพลงขึ้น พึมพำซ้ำประโยคที่เขาได้ยินทางโทรศัพท์
“มา...มาหาข้า”
555 หลังจากหายไปเกือบเดือน มนต์สีมุก กลับมาพร้อมกับตอนที่ 5 ครับ นอกจากจะต้องโบ้ยให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีที่ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง เที่ยว กิน บลา ๆ ๆ แล้ว ก็ต้องโทษตัวเองด้วยที่ทำงานได้ช้ามาก เพราะเอาจริง ๆ งานแฟนตาซีแบบนี้ค่อนข้างไม่ถนัดเท่าไหร่นัก แต่อยากเขียนมาก
พร้อมกันนี้ คนที่อ่านตอนที่ 4 แต่แรกอาจจะงงกับชื่อตัวละครใหม่ ซึ่งผู้เขียนเห็นควรกับผู้อ่านส่วนหนึ่งว่า ชื่อ คิตตี้ ก็น่ารักน่าเอ็นดู เลยขออนุญาตเอาชื่อที่คนอ่านช่วยคิดมาใช้กับตัวละครภูตินำทางสุดแสบนะครับ
หมดเรื่องคุยไปอ่านกันต่อเลยครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 5
ช่วงเช้าของวันโถงชั้นหนึ่งของอาคารสำนักงานกลางกรุงคึกคักไปด้วยพนักงานของบริษัทที่ตั้งอยู่ภายในอาคารแห่งนี้ หญิงสาวที่เพิ่งจะพ้นวัย 23 ปีมาไม่กี่วันเดินผ่านประตูทางเข้าหน้าอาคารแล้วสอดสายสายตามองไปรอบตัวจนกระทั่งพบ ‘เขา’
คุลิกาสืบเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟแฟรนไชส์ ขณะที่เขากำลังปาดนิ้วไปบนแทบเล็ต คิ้วเข้มขมวดอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด กิริยาอาการที่เคยเห็นจนชินตาจากผู้คนทั่วไป กลับดูแปลกไปในสายตาของหญิงสาวเมื่อเป็นเขา...เสน่ห์ดึงดูดประหลาด ที่ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้
หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์คืนก่อนขณะที่ได้พูดคุยกับภูตินำทางของตน เด็กหญิงคิตตี้เอ่ยถึงความสำคัญของปพนธีร์แล้วจึงแบมือซ้ายขึ้นในระดับอก แสงสว่างวูบขึ้นบนฝ่ามือเล็กนั้นก่อนที่วัตถุอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น มันคือแผ่นดิสก์ที่ไม่มีการสกรีนข้อความหรือเขียนอะไรบนหน้าแผ่นสีขาว
‘อะไรน่ะ ดินแดนเวทมนต์มีดีวีดีด้วยเหรอ?’
‘ก็บอกแล้วว่าที่นั่นมีวิวัฒนาการหลายอย่างคล้ายกับโลกมนุษย์นี่แหละ แต่การบันทึกเราไม่ต้องใช้เครื่อง’
‘ผสมผสานเวทมนต์กับเทคโนโลยีสินะ...แต่นี่มันแผ่นเปล่านี่...อย่าบอกนะว่าต้องเพ่งสมาธิอะไรอีก เหนื่อยจะแย่แล้ว’
คิตตี้ถอนใจราวกับระอาเต็มที่ กระโดดลงจากเตียงแล้วตรงไปที่ชั้นวางโทรทัศน์ปลายเตียง กดเปิดเครื่องเล่นดีวีดีก่อนจะยัดแผ่นดิสก์ลงไปในเครื่อง
‘ปกติเราจะไม่สามารถรู้เห็นสิ่งที่เกิดบนโลกมนุษย์ แต่ตอนนั้นเหล่าชาวเวทที่มีพลังแก่กล้าต้องมารวมตัวกันเพื่อใช้พลังบันทึกภาพคืนดารุทัยเอาไว้ แต่ถึงจะบันทึกได้ภาพที่ได้ก็ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่นักเพราะมันเป็นการบันทึกเหตุการณ์ข้ามดินแดน’ คิตตี้ทำท่าจะพูดต่อ แต่แล้วกลับอ้าปากค้างเหมือนนึกอะไรได้ รีบอธิบายทันที ‘ต้องไม่รู้จักวันดารุทัยสินะ...คืนดารุทัยก็คือคืนที่ดวงดาวลงมาจากฟ้าถือกำเนิด ไม่ว่าจะบนโลกมนุษย์หรือว่าดินแดนของชาวเวท จะเป็นชาวเวทหรือมนุษย์โลกก็ได้ ที่โน่น...เราเรียกทั้งคืนที่ดวงดาวลงมาเกิดกับคนที่เกิดจากดาวว่าดารุทัยเหมือนกัน’
‘ผู้ชายคนนั้นคือดวงดาวที่ลงมาเกิดบนโลก?’
คิตตี้พยักหน้าตอบพลางกดเปิดโทรทัศน์ บนหน้าจอปรากฏภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดาว แสงหนึ่งที่ระยิบบนท้องฟ้านั้นพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้ามืดมิด มุมของแสงนั้นตรงดิ่งไปที่ตึกสูงกลางกรุง เหนือตึกมีสัญลักษณ์กากบาทสีแดงและชื่อของโรงพยาบาลเอกชนหรูแห่งหนึ่งที่หญิงสาวรู้จักดี เมื่อเคลื่อนที่ใกล้ยอดตึกแสงนั้นก็วูบหายไปทันที
‘เหล่าชาวเวทใช้พลังกันอย่างเต็มที่จนมองเห็นภาพภายในโรงพยาบาลว่าคืนนั้นเวลานั้นเป็นเวลาที่ผู้ชายที่ชื่อปพนธีร์นั่นเกิดที่โรงพยาบาลนั้นพอดิบพอดี ตามความเชื่อของชาวเวท คนที่เกิดในคืนวันดารุทัยจะมีพลังพิเศษอยู่ในตัว ที่จะถ่ายทอดไปถึงทายาทคนแรก พลังที่จะเปิดผนึกของดินแดนเวทมนต์ ทำให้ชาวเวทสามารถออกมาสู่โลกมนุษย์ได้อย่างเป็นอิสระอีกครั้ง หรือไม่ก็สามารถปิดผนึก กั้นสองดินแดนให้ตัดขาดออกจากกันตลอดไปขึ้นกับความต้องการของผู้ให้กำเนิด’
คุลิกานึกถึงเรื่องราวของการข้ามดินแดนที่ได้อ่านจากหนังสือนั้นแล้วอดสงสัยไม่ได้ ‘ก็ไหนชาวเวทสามารถมาในโลกมนุษย์ได้อย่างเป็นอิสระอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นถึงต้องมีการปิดผนึก’
‘ทุกที่ก็มีคนดีคนไม่ดี ดินแดนของเวทมนต์ก็เหมือนกัน เวทมนต์ที่ชาวเวทมีไม่ใช่ว่าจะใช้ได้พร่ำเพรื่อ ชาวเวทจะใช้มนต์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ยุคะนึงพวกชาวเวทกลุ่มหนึ่งต้องการขึ้นเกิดต้องการจะมีอำนาจ มีพลังที่ไม่จำกัดเลยทำร้ายพวกเดียวกันเพื่อที่จะเอาพลังไปสะสมไว้ในตัวเอง ชาวเวทที่เหลือเลยต้องร่วมมือกันพยายามที่จะกำจัดพวกที่ชั่วร้าย ใช้พลังอำนาจในทางที่ผิดพวกนั้น เราเรียกกันว่าชาวเวทมืด เป็นผู้ชายก็เรียกเวทบุรุษมืด เป็นผู้หญิงก็เรียกเวทนรีมืด’
‘แสดงว่านอกจากชาวเวทที่มาหลงรักมนุษย์แล้ว ยังมีพวกชาวเวทมืดที่ว่าหลบหนีมาอยู่โลกมนุษย์ด้วย’
เด็กหญิงพยักหน้า ‘จะว่าไปแล้วชาวเวทรุ่นแรกที่มาอยู่กินกับมนุษย์โลกก็มีคนที่ถูกความผิดหวังในรัก จนใช้เวทมนต์ทำร้ายคนอื่นอยู่เหมือนกัน ชาวเวทที่มาอยู่บนโลกปกติก็จะมีชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่พวกที่มีความชั่วร้ายครอบงำจะไม่สามารถสืบทายาทมีลูกหลานได้ เลยต้องพยายามที่จะรวมตัวกันให้มากเพื่อสร้างกลุ่มอำนาจ พวกนั้นคิดว่าการถือครองโลกมนุษย์จะทำได้ง่ายกว่าเพราะมนุษย์ไม่มีเวทมนต์ที่จะนำมาสู้ได้’
‘ถ้าอย่างนั้นพอถึงเวลา พวกนั้นก็น่าจะตายไปเองตามวัยไม่ใช่เหรอ’
‘มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ชาวเวทส่วนใหญ่ยอมรับชะตากรรมเมื่อถึงวาระของตัวเอง แต่ชาวเวทมืดจะหาทางมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองถึงจะเป็นการฝืนธรรมชาติก็ตาม ชาวเวทกลุ่มนึงข้ามดินแดนมาเพื่อตามล่าพวกนี้ แต่เราไม่แน่ใจว่ายังมีพวกชาวเวทมืดหลงหลืออยู่รึเปล่า เพราะพวกชาวเวทมืดได้เรียนรู้เวทมนต์จากพวกที่อยู่บนโลกมนุษย์ ทำให้สามารถย้ายตัวเองไปสู่ร่างใหม่ได้เมื่อร่างตัวเองหมดอายุขัย เมื่อเห็นว่าไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์ได้ ชาวเวทที่มีพลังแกร่งกล้าเลยต้องร่วมกันปิดผนึกจุดที่เชื่อมระหว่างสองดินแดนเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกชั่วร้ายที่ยังเหลืออยู่ออกมายังโลกมนุษย์ได้อีก’
‘เรื่องการเจ็บตายคุ้น ๆ แฮะ เหมือนพวกความเชื่อเรื่องแม่มดดำแม่มดขาว แต่พวกแม่มดดำเป็นพวกที่เรียนเวทมนต์ไม่ได้มีเวทมนต์ตามธรรมชาติ ไม่แก่ไม่ตาย ในหนังบางเรื่องเห็นมีพวกใช้มนต์ดำในการย้ายร่างตัวเองจากร่างนึงไปร่างนึงด้วย พอแก่ตัวก็หาร่างสาวสวยอาศัยอยู่ต่อไปได้’ คุลิกาชักสนุกกับการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ฟังจากคิตตี้กับสิ่งที่ตนเคยเห็นจากในหนังหรือหนังสือที่เกี่ยวกับพ่อมด แม่มด ‘เอ๊ะ...แต่ถ้าทางเชื่อมของสองโลกถูกปิดผนึกแล้ว เธอมาได้ยังไงล่ะยายคิตตี้’
‘ภูตินำทางเป็นข้อยกเว้น เราเดินทางข้ามดินแดนได้ก็เพราะมีการกำเนิดของผู้ที่มีเวทมนต์ขึ้นบนโลกมนุษย์ สามารถไปมาระหว่างสองดินแดนได้เพราะความผูกพันกับเจ้าของและภารกิจที่ต้องทำกับดินแดนเวทมนต์ แต่พวกภูตินำทางอย่างเราไม่ได้มีเวทมนต์มากพอที่จะทำอะไรได้’
คุลิกาพยักหน้าทบทวนสิ่งที่ได้ฟังจากเด็กหญิง ดารุทัย ทายาทที่จะเปิดหรือปิดผนึกที่กั้นระหว่างสองดินแดน...เดี๋ยวสิ ถ้าอย่างนั้น
‘อย่าบอกนะว่าภารกิจที่ฉันต้องทำก็คือ...’
‘ทุกวันนี้ชาวเวทในโลกเวทมนต์ต้องรับมือกับพวกเวทมืดในดินแดนเวทมนต์ก็แย่แล้ว ถ้าต้องมาตามล้างตามเก็บพวกที่หลุดมาบนโลกมนุษย์อีก คงแย่แน่ ถ้าเกิดมีเวทนรีมืดหลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์จริง จะปล่อยให้สามารถสืบทอดทายาทกับดารุทัยไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการถือกำเนิดของทายาทคนแรกของดารุทัยจะนำไปสู่การเปิดผนึก สองโลกวุ่นวายไม่รู้อีกเท่าไหร่แน่ ๆ’
คิตตี้เอ่ยอย่างหนักแน่นก่อนจะหายตัวไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คุลิกาที่ขยับจะแย้งได้แต่บ่นลมแล้งตามเคย...ทิ้งทุ่นแล้วก็หนีเลยนะยายเด็กบ้า สืบทายาทนี่มันเรื่องง่ายซะที่ไหน
ชายหนุ่มยังคงนั่งจิบกาแฟร้อนและอ่านบางสิ่งบนหน้าจอแทบเล็ตเหมือนไม่รู้ตัวเองว่าเป็นดารุทัย ไม่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญอย่างไรกับความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนต์ หากชั่ววินาทีหนึ่งเขายกมือขึ้นบีบสันจมูกหลับตาลงเพื่อพักอาการเมื่อยล้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองตรงมาทางคุลิกาพอดี
เอาแล้วไง ยืนจ้องอยู่นานสองนานแบบนี้ ทำไงต่อดีล่ะฉัน
หญิงสาวขยับจะอ้าปากแต่แล้วก็งับริมฝีปากลงสนิทเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร ยิ่งเมื่อชายคนที่นั่งอยู่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้คุลิกายิ่งพูดอะไรไม่ออก
“คุณแคท เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ฉัน...”
แม้ปากจะนึกคำพูดไม่ออกแต่ขากลับเหมือนถูกดึงให้เดินตรงไปนั่งตามคำเชิญของปพนธีร์ ต้องโทษแมวน้อยคิตตี้ที่มาพูดเรื่องการสืบทายาทอะไรนั่น ทำเอาเธอไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่นั่งตรงหน้า
จะให้พูดกันตรง ๆ ไปเลยหรือไงว่า เราแต่งงาน มีทายาทกันเถอะค่ะ แล้วโลกจะสงบสุข มีหวังเขาคงจับเธอส่งตัวเข้าโรงพยาบาลบ้าเสียก็เท่านั้น
“บริษัทคุณแคทเข้างานกี่โมงครับ ถ้ายังพอมีเวลาดื่มกาแฟเป็นเพื่อนผมก่อนนะครับ”
“กาแฟร้านนี้...” คุลิกามองซ้ายมองขวาก่อนชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเพื่อให้สิ่งที่พูดได้ยินกันเพียงแค่สองคน “มันแพงเกินสำหรับคนเงินเดือนอย่างฉันค่ะ”
“ผม...”
คุลิกาเหมือนจะรู้ว่าชายหนุ่มจะเสนออะไรรีบพูดต่อทันที
“จะให้คุณออกเงินให้ฉันก็คิดว่าไม่เหมาะเพราะเราเพิ่งรู้จักกัน แต่ถ้าจะให้นั่งคุยเป็นเพื่อนฉันก็ยินดี”
คนบอกจะนั่งเป็นเพื่อนคุยขยับตัวนั่งหลังตรงอย่างเป็นการเป็นงานขึ้น นั่งนิ่งนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับเขาเพราะจะว่าไปเธอสาธยายเรื่องตัวเองให้ชายหนุ่มฟังแทบจะหมดเปลือกไปตั้งแต่เมื่อวันก่อน
“ผมชอบเวลาแบบนี้”
“คะ”
“ผมบอกว่าผมชอบเวลาแบบนี้ครับ เวลาที่ผมได้อยู่กับใครสักคนที่ไม่ใช่พนักงานในบริษัท” ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของคุลิกา “เมื่อวานผมบอกว่าถ้ามีโอกาสคุณจะได้รู้จักผมมากขึ้นไงครับ”
“อ๋อ...ค่ะ”
แต่งงานกันนะคะ เราต้องมีทายาท...บ้า ๆ ๆ เพราะยัยคิตตี้ทีเดียว มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ภารกิจสืบทายาทเนี่ยนะ
“การเป็นลูกชายของประธานบริษัททำให้ผมไม่มีใครมานั่งคุยกับผมได้แบบนี้”
“คุณไม่มีเพื่อนบ้างเหรอคะ”
“มันไม่เหมือนกันหรอกครับคุณแคท เพื่อนก็นัดสังสรรค์เจอกันตอนเย็นบ้าง แต่บรรยากาศในที่ทำงานวันละเก้าชั่วโมง สิบชั่วโมง ได้ผ่อนคลายบ้างดีที่สุด แล้วคุณก็เป็นคนคุยสนุกดี”
“จะว่าฉันพูดมากฉันก็ไม่โกรธนะคะ”
คราวนี้ปพนธีร์หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำเอาคนนั่งมองอยู่รู้สึกเหมือนใครเอาด้ายมาผูกกับหัวใจแล้วกระตุก เสน่ห์ของคนที่เป็นดารุทัยนี่ร้ายเกินต้านทานเสียจริง
เขาเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็ก การศึกษา และการทำงานให้คุลิกาฟังคร่าว ๆ หญิงสาวฟังแล้ววิเคราะห์คนที่นั่งตรงหน้าไปด้วย สำหรับชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดถือว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง ไม่ใช่เพราะเป็นทายาทของประธานบริษัท ปพนธีร์สร้างธุรกิจไลน์ใหม่แตกขยายจากที่ครอบครัวสร้างเอาไว้ กุมบังเหียนบริหารธุรกิจย่อยที่หญิงสาวคุ้นหูว่ากำลังผงาดแทบจะเรียกว่าแซงหน้าธุรกิจเดิมของบริษัทเสียอีก
ถ้าฟังคนอื่นเล่าเรื่องตัวเองแบบที่ชายหนุ่มตรงหน้าเล่า เธอคงคิดว่ากำลังนั่งฟังผู้ชายหลงตัวเองกำลังโอ้อวดความสำเร็จเพื่อให้หญิงสาวประทับใจ แต่ปพนธีร์สามารถถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จในชีวิตของตัวเองได้อย่างพอดิบพอดี ฟังเพลิดเพลิน เพลินจนคุลิกาเกือบลืมอะไรบางอย่าง
“ว้าย! จะเก้าโมงแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ผมก็ต้องกลับขึ้นไปทำงานเหมือนกันครับ”
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นยืนตามคุลิกา ก้าวตามหญิงสาวตรงไปบริเวณโถงลิฟท์ ตลอดเวลาที่อยู่ในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมหญิงสาวต้องพยายามกลั้นลมหายใจ ควบคุมสติ ของตัวเองอย่างหนักเมื่อคนในลิฟท์ค่อนข้างแน่นจนทั้งสองคนต้องยืนชิดแทบจะเบียดกัน สายตาของเขาที่มองตอบมาขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ไออุ่นจากร่างสูง กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวนชวนหลงใหล
คนที่เป็นดารุทัยนี่นอกจากจะมีเสน่ห์ในตัวแล้ว ยังเลือกน้ำหอมเก่งด้วยแฮะ หอมจัง
คุลิกาทำงานอย่างไม่มีสมาธิเท่าใดนัก เพราะเรื่องที่ได้รับรู้จากคิตตี้คืนก่อนคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา จริงอยู่ที่เธอพร้อมรับเรื่องราวแปลกประหลาด หลังจากได้เห็นแมวหายตัวไปมา เห็นร่างเด็กหญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นภูตินำทาง แต่เรื่องดารุทัย การสืบทายาท ดูจะหนักหนาเกินกว่าที่หญิงสาวจะยอมรับได้ แต่ภูตินำทางตัวดีก็ไม่ยอมบอกอะไรให้ครบถ้วนกระบวนความตามเคย
เรื่องแต่งงานมีครอบครัวไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นี่จะต้องทำเพราะหน้าที่อีก
เมื่อคิดว่านั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็คิดงานอะไรไม่ออก คุลิกาจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากห้องทำงาน เดินตรงไปยังห้องพักผ่อนที่จัดไว้เป็นสวัสดิการให้พนักงานเข้ามาชงชา กาแฟดื่ม หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นสัตว์สี่เท้าสีขาวนั่งบนเคาน์เตอร์ภายในห้องพักผ่อนนั้น
“ยายคิตตี้ มาทำอะไรที่นี่เดี๋ยวคนก็เห็นเข้าหรอก”
“นอกจากพี่แล้วไม่มีใครเห็นฉันหรอกน่า ทำตัวให้ปกติสิ”
คุลิกาขยับจะเถียงแต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาทางด้านหลัง พนักงานหนุ่มจากฝ่ายศิลปกรรมซึ่งไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหญิงสาวนักยิ้มให้เธอเล็กน้อยตามมารยาทก่อนจะเอ่ยขอตัวเดินแซงไปที่เคาน์เตอร์ จัดการชงแก้วโตจากกาแฟผงที่ทางบริษัทจัดไว้ให้แล้วเดินออกจากห้องพักผ่อนไปโดยขณะที่ก้าวผ่านหญิงสาวนั้น เขาขมวดคิ้วราวกับสงสัยอะไรบางอย่าง
แน่ล่ะ...หญิงสาวยังคิดว่าตนเองต้องมีสีหน้าไม่ปกติแน่ ๆ เพราะตอนนี้แมวสีขาวกลายร่างเป็นเด็กหญิงชุดคลุมสีขาวนั่งห้อยขาอยู่บนเคาน์เตอร์ ทั้งยังเตะเท้าไปมาอย่างสบายอารมณ์
“ถ้าไม่อยากให้ใครคิดว่าผิดปกติ เวลาจะสื่อสารกันพี่แค่คิดก็ได้” คิตตี้ยิ้มแป้นหลังจากสื่อสารกับคุลิกาโดยที่ไม่ขยับปากเลยแม้แต่นิดเดียว “แล้วก็เลิกยืนมองตาค้างได้แล้ว เดี๋ยวใครก็เข้ามาเห็นก็คิดว่าพี่เพี้ยนอีกหรอก”
พูดมากนักนะ ถ้าจับได้ตอนเป็นแมวล่ะก็ จะเอาไปลวกน้ำร้อนถอนขนเลยคอยดูสิ
“ใจร้ายจัง แล้วถ้าพี่จับหนูลวกน้ำถอนขนแล้ว ใครจะมาคอยเป็นภูตินำทาง ตอบข้อสงสัยให้ล่ะ”
แม้จะมีความรู้สึกตื่นเต้นที่สิ่งที่เธอคิดเมื่อครู่สื่อไปถึงภูตินำทางของเธอได้ทุกถ้อยความ แต่ความขุ่นใจต่อความช่างต่อปากต่อคำของคิตตี้มีมากกว่า
ช่างต่อปากต่อคำเหมือนใครก็ไม่รู้
“นอกจากรูปลักษณ์ที่เหมือนเจ้าของแล้ว ส่วนใหญ่นิสัยของภูตินำทางก็จะคล้ายเจ้าของด้วยนะ”
คุลิการะบายลมหายใจยาว เดินไปเปิดตู้ติดผนังหยิบถ้วยกาแฟประจำตัวที่ซุกเอาไว้ในตู้ หมุนฝากาแฟผงที่ปกติหญิงสาวไม่นิยมดื่มเท่าใดนักเพราะรู้สึกว่าไม่ได้ช่วยให้คลายความง่วงลงได้แต่อย่างใด ขณะที่ลงมือชงกาแฟเสียงของเด็กหญิงก็ยังคงดังอยู่ในหัว
“พี่ไม่อยากมีทายาทกับดารุทัยคนนี้หรือไงล่ะ”
จะบ้าเหรอ มีทายาทไม่ได้กินข้าวด้วยกันนะ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มันต้องอาศัยความรักด้วยหรือฉันจะสามารถใช้มนต์ให้เขารักแล้วก็แต่งงานกับฉันได้ล่ะ
“ไม่ได้ เงื่อนไขสำคัญของการสืบทายาทคือต้องเกิดจากความรักเท่านั้น จะใช้เวทมนต์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เป็นผล”
เดี๋ยวนะ...เธอบอกว่าไม่แน่ว่าพวกชาวเวทมืดจะยังมีหลงเหลือในโลกรึเปล่า แล้วถ้าเกิดมีเวทนรีมืดอะไรนั่นอยู่ ก็ต้องอยากจะสืบทายาทกับคุณป๊อบด้วยน่ะสิ
“พวกที่มีพลังแรงกล้าถึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นดารุทัยของคุณพี่ชายสุดหล่อคนนั้น ถ้าเกิดมีเวทนรีมืดหลงเหลืออยู่แล้วก็อยู่ในร่างของสาวเซ็กซี่ทรงเสน่ห์ล่ะก็นะ...”
หญิงสาวชะงักมือจากการใช้ช้อนคนกาแฟ เงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงที่นั่งมองตอบสายตาอย่างไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
จะพูดอะไรก็พูดมาให้จบนะยายคิตตี้
“มีหวังว่าผนึกระหว่างสองโลกจะถูกเปิดซะก็เท่านั้นน่ะสิ”
ภูตินำทางตัวแสบตอบข้ามขั้นไปแต่สายตาที่มองเหมือนสำรวจทรวดทรงองค์เอวของคุลิกาที่ดูจะห่างไกลคำว่าเซ็กซี่ทรงเสน่ห์อยู่ไม่น้อย ทำให้หญิงสาวคว้าถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จทำท่าเหมือนจะสาดใส่เด็กช่างต่อปากต่อคำเป็นการขู่
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ”
หญิงสาวหันขวับกลับไปมองยังบริเวณทางเดิน ชายหนุ่มจากฝ่ายศิลปกรรมคนเดิมถือกาแฟถ้วยเก่ายืนมองเธอด้วยสายตาที่บ่งบอกชัดว่ามีความหวั่นเกรงซ่อนอยู่ เขาขยับตัวยืดตรงเดินผ่านเธอไปด้วยท่าทางไม่มั่นใจเอื้อมมือไปข้างกระติกน้ำร้อนหยิบเอาพวงกุญแจพวงหนึ่งขึ้นมา
“พะ...พะ..พอดีผมเผลอวางกุญแจเอาไว้ตอนชงกาแฟ...ชะ ชะ เชิญ ตามสบายนะครับ”
คุลิกาอ้าปากค้างไม่รู้จะอธิบายให้พนักงานหนุ่มต่างแผนกฟังอย่างไรดี หันไปจะเอาเรื่องตัวต้นเหตุก็ไม่ทันเสียแล้ว...คิตตี้หายตัวแว่บไปทิ้งไว้เพียงเคาน์เตอร์หินอ่อนที่มีโหลใส่เครื่องดื่มผงและกระติกน้ำร้อนวางอยู่
วิเศษ...ไม่ว่าสิ่งที่เธอมีจะเรียกว่าเวทมนต์หรืออะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้มีคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่น่าจะมองเธอเป็นคนสติไม่ค่อยสมประกอบมากกว่าอย่างอื่น และหญิงสาวก็ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มที่เธอไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรคนนี้จะไม่ใช่คนช่างเล่า
หญิงสาวถอนใจอย่างปลง ๆ เพราะจากประสบการณ์ทำให้พอจะสรุปด้วยตนเองได้ว่า ผู้ชายยุคนี้หลายคนมีคุณสมบัติช่างเจรจาซึ่งน่าจะเป็นของผู้หญิงอยู่เต็มตัว
แต่เรื่องที่ตัวเองอาจกลายเป็นหัวข้อในการนินทาของคนในบริษัท รวมถึงเรื่องการต้องพิชิตใจจนถึงขั้นได้สร้างครอบครัวกับปพนธีร์กลายเป็นเรื่องเล็ก เมื่อคุลิกาเพิ่งจะตระหนักถึงเรื่องอื่นที่น่ากังวลมากกว่า ก็ถ้าเป้าหมายของเธออาจไปขวางทางกับเวทนรีมืดที่คงจะต้องการที่จะครอบครองหัวใจของชายหนุ่มที่เป็นดารุทัยเหมือนกัน เท่ากับว่าเธอจะกลายเป็นศัตรูโดยตรงของเวทนรีมืดที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์
ลำพังแค่เวทนรีมือใหม่ที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษแค่ไม่กี่วันอย่างคุลิกา จะเอาอะไรไปต่อกร
งานเปิดตัวคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำจัดขึ้นในห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง พงศ์พลินยืนแถวหลังสุดในกลุ่มของผู้บริหารบริษัท เขาไม่ชอบงานแบบนี้เท่าใดนักทั้งยังมีเรื่องที่รบกวนจิตใจมาหลายวัน เขาพยายามหาเส้นสายคนที่จะสามารถบอกได้ว่างานเลี้ยงฉลองสมรสที่โรงแรมในวันก่อนนั้นมีงานของใครบ้าง กว่าจะหาเพื่อนที่รู้จักคนวงใน กว่าจะได้ข้อมูลของบ่าวสาวแต่ละคู่ ชายหนุ่มแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าในวันนั้นมีงานเลี้ยงฉลองรสมรสจัดที่โรงแรมแห่งนั้นถึงสามงานด้วยกัน
ชายหนุ่มแอบหลบจากบริษัทในช่วงพักเที่ยง และออกงานเร็วในตอนเย็นเพื่อไปตามหาหญิงสาวปริศนาคนนั้นมาสองวันแล้ว และวันนี้ก็เหลือบริษัทอีกเพียงสองแห่งที่เขายังไม่ได้ไป พงศ์พลินไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าต้องกลับไปที่บริษัทเดิมอีกหรือไม่หากวันนี้ไปดักรอแล้วไม่พบผู้หญิงที่น่าจะมีพลังพิเศษเหมือนกับเทียดของเขา
แม้จะมีเครื่องมือช่วยตามหาอย่างเข็มทิศพิเศษที่จะส่องแสงเมื่อพบผู้มีพลังพิเศษช่วยให้แน่ใจได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจเป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจลาป่วย หรือไปติดต่องานนอกสถานที่ในวันที่เขาไปตามหา แต่พงศ์พลินตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้
ความผูกพันกับปู่ตั้งแต่เด็กจนโตทำให้ชายหนุ่มมุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ความหวังของปู่เป็นจริง ความหวังที่จะได้ตามหาและช่วยเหลือไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกับที่เคยเกิดกับเทียดของเขามาก่อน
ภาพของผู้หญิงคนนั้นแว่บเข้ามาในห้วงความคิดของพงศ์พลิน...ป่านนี้จะรู้ตัวรึยังนะ ว่าตัวเองมีพลังพิเศษ แล้วก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย ยังเด็กอยู่เลย จะเอาตัวรอดได้รึเปล่าก็ไม่รู้
พงศ์พลินสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น ผู้เป็นพ่อเหมือนจะมีเรดาร์จับความผิดปกติของลูกชายจึงหันมามอง ส่งสายตาดุมาจากแถวหน้า ชายหนุ่มต้องกลั้นใจเบาลมออกจากปากแผ่วเบาเมื่อพัฒน์ดูเหมือนจะใส่ใจกับหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่าการกำราบลูกชาย
มือใหญ่ล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบหลบออกไปที่มุมหนึ่งก่อนกดรับ
“ครับปู่...ผมกำลังว่าสักพักจะหาทางหลบออกไปอยู่เหมือนกันครับ...รับรองครับว่าผมจะพยายามตามตัวผู้หญิงคนนั้นให้เจอตามที่สัญญาไว้กับปู่”
ชายหนุ่มวางสายแล้วหันกลับไปมองที่บริเวณจัดงาน งานพิธีเสร็จสิ้นไปแล้ว ช่วงต่อไปพิธีกรจะเชิญพ่อของเขาไปนั่งให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับที่มาที่ไปของโครงการคอนโดมิเนียมริมน้ำแห่งนี้ เมื่อเห็นว่าจังหวะเหมาะเจาะพงศ์พลินก็หลบเลี่ยงออกจากบริเวณงานทันที
ใต้อาคารสูงเริ่มมีพนักงานบริษัทหลากหลายแห่งเดินออกจากลิฟท์มุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านหน้าตัวตึกเพื่อหาร้านรับประทานอาหารกลางวัน พงศ์พลินซึ่งยืนดักรออยู่บริเวณโถงลิฟท์เป่าลมออกจากปากยาวเพราะเพิ่งจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดใต้ถุนได้ก่อนเวลาเที่ยง เขากำเข็มทิศเอาไว้ในมือแน่นแอบเปิดมือออกดูเป็นระยะ
ต้องใกล้แค่ไหนวะ...เข็มทิศนี่ถึงจะเรืองแสง แล้วมันต้องเกี่ยวด้วยไหมว่าผู้หญิงคนนั้นใช้เวทมนต์หรือไม่ใช้ ไอ้กระสุนนั่นโดดเวทมนต์ใส่เข้าเต็ม ๆ เข็มทิศเลยจับได้ แต่ถ้าเกิดอยู่ในช่วงเวลาปกติ
“เฮ้ย!”
พงศ์พลินเผลอร้องออกมาเมื่อเห็นแสงสีฟ้าเรืองขึ้นมา แม้จะไม่ชัดเจนเท่ากับในคืนที่เขาพกกระสุนปืน รวมถึงพาร่างที่ต้องเวทมนต์เข้าโดยตรงกลับบ้าน แต่การที่หน้าปัดของเข็มทิศอยู่ ๆ ก็ส่องแสงเรืองขึ้นมาอย่างนี้ต้องมีเหตุผล
‘เหตุผล’ ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มอีกครั้งเมื่อลิฟท์ตัวหนึ่งเปิดขึ้นและคนในลิฟท์พากันเดินออกมา เธอเดินออกมาจากลิฟท์เกือบจะเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
เธอที่เป็นต้นเหตุของกระสุนปืนบู้บี้และการยืนแข็งเป็นหุ่นของเขานั้นพงศ์พลินจำได้ดีส่วนคนที่เดินออกมาพร้อมกันนั้นชายหนุ่มแค่คุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มานึกออกก็ตอนรายหลังยกมือขึ้นทาบอก ร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าพงศ์พลินมายืนรอ
“นี่มันตาโรคจิตที่โรงแรมวันนั้นนี่แคท ฉันจำได้”
‘ตาโรคจิต’ อ้าปากค้าง ไม่กล้าขยับตัวเพราะผู้คนที่อยู่บริเวณโถงลิฟท์และได้ยินคำเรียกนั้นต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว กว่าจะนึกได้ว่าควรจะแก้ตัวอะไรสักอย่างก็กินเวลาพักหนึ่ง
“เอ่อ...ผมไม่ใช่...คือผมมีเรื่องจะคุยกับคุณคนนี้น่ะครับ”
เขาจบก็ยืนนิ่งรอคำตอบทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะโดนอะไรเข้าให้อีก บางทีอาจต้องยืนขาแข็งเจอคนมองเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดอีกก็เป็นได้แต่อย่างไรเสียเขาก็อยากจะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ต้องกลับไปบอกปู่ได้ว่าพบผู้หญิงที่ปู่ตามหาแล้ว
คุลิกามองชายหนุ่มอยู่พักหนึ่งตั้งแต่เดินออกจากลิฟท์แล้ว จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนพวกโรคจิต ชอบตามตื้อผู้หญิง ยิ่งมองสายตาของเขาที่ส่งมาทางเธอตอนนี้หญิงสาวยิ่งรู้สึกว่ามีแววของความห่วงใยมากกว่าอย่างอื่น
“ผมขอเวลาไม่นานครับ”
เพื่อนร่วมงานหันมามองคุลิกาอย่างจะถามเอาคำตอบ หญิงสาวพยักหน้าให้แผ่วเบาก่อนจะเอ่ยกับ ‘ตาโรคจิต’
“เชิญด้านข้างตึกไหมคะ มีสวนเล็ก ๆ มีเก้าอี้ให้นั่งคุยกันได้”
“ดีครับ”
หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มออกไปทางสวนข้างตึกหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ชายหนุ่มที่เดินตามมาก็แบมือให้เห็นสิ่งที่เขากำเอาไว้
เข็มทิศที่ตอนนี้หน้าปัดส่องแสงสีฟ้าเรือง ตัวเข็มหมุนติ้วไม่หยุด
คุลิกาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาถอนใจยาวก่อนเอ่ยตอบ
“สิ่งนี้นำผมมาหาคุณ”
หญิงสาวยังไม่วายสงสัยและดูเหมือนคนที่กำเข็มทิศประหลาดอยู่ในมือจะอ่านสีหน้าของเธอออก จึงถอนใจยาวและหนักหน่วงกว่าเดิม
“สงสัยเราคงต้องคุยกันยาวกว่าที่คิด”
ปพนธีร์ยกหูโทรศัพท์ในห้องทำงานส่วนตัวแจ้งเลขานุการว่าต้องการติดต่อไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อสอบถามอาการหญิงชราที่เขาเป็นเจ้าของไข้
หลังจากอุบัติเหตุคืนก่อนเขาใช้เวลาพักใหญ่ในการนำหญิงชราส่งโรงพยาบาล ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ และจัดการธุระเป็นเจ้าของไข้ ไม่มีใครสามารถติดต่อหาญาติของหญิงชราได้เพราะไม่พบหลักฐานใดติดตัวมาเลยแม้แต่อย่างเดียว
เลขานุการสาวใช้เวลาต่อสายโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งก่อนจะโอนสายมาให้เจ้านาย ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นเสียงอ่อนหวานของเจ้าหน้าที่ก็ดังขึ้น
“คุณปพนธีร์ใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมต้องการทราบอาการของคุณยายคนที่ผมรับเป็นเจ้าของไข้เมื่อคืนครับ”
“ตอนนี้เราพาคนไข้เข้าพักในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ส่วนพยาบาลพิเศษที่คุณให้จัดหาให้ทางเราก็จัดการเรียบร้อยค่ะ”
เขาเอ่ยขอบคุณสำหรับข้อมูลหากไม่ทันวางสายก็ได้ยินเสียงของหญิงชราดังมาจากปลายสาย
“มา...มาหาข้า มาหาข้าเถอะ ข้ารอเจ้ามานานแสนนาน”
ปพนธีร์ชะงักถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้กระทั่งได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่หญิงคนเดิมดังขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณปพนธีร์ต้องการให้ช่วยอะไรอีกไหมคะ”
“อ้อ...ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
ชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์ คิดว่าเสียงที่ได้ยินอาจเป็นเสียงจากโทรทัศน์ที่เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลเปิดทิ้งเอาไว้ โดยไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ในห้องพักผู้ป่วยพิเศษห้องหนึ่งในโรงพยาบาลนั้น หญิงชราเจ้าของเสียงเรียกลืมตาโพลงขึ้น พึมพำซ้ำประโยคที่เขาได้ยินทางโทรศัพท์
“มา...มาหาข้า”
กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2557, 21:30:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2557, 21:30:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1688
<< ตอนที่ 4 | ตอนที่ 6 >> |
กมลภัทร 20 เม.ย. 2557, 21:34:26 น.
ตอบเมนท์นะครับ
นักอ่านเหนียบหนึบ >>>> ถ้ามาต่อด้วยชื่อ คิตตี้ แบบนี้ คนอ่านจะออกอาการยังไงครับเนี่ย
yimyum >>>> ชมผมแบบนี้ ผมก็เขินแย่สิครับ
lovemuay >>>> จริง ๆ พงศ์พลินก็มีสืบสายมาจากชาวเวทนะครับ เทียดเค้ามีพลังนา แต่เจ้าตัว...จะมีมั้ย 555
Sukhumvit66 >>>> ตอนนี้ขอแรงเชียร์ให้คนเขียนก่อนนะครับ อืดมากกก กว่าจะเข็นออกมาได้
Zephyr >>>> ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อเป็นคิตตี้ ตามความเห็นคนอ่านนะครับ
ของขวัญ >>>> ^_^
ตอบเมนท์นะครับ
นักอ่านเหนียบหนึบ >>>> ถ้ามาต่อด้วยชื่อ คิตตี้ แบบนี้ คนอ่านจะออกอาการยังไงครับเนี่ย
yimyum >>>> ชมผมแบบนี้ ผมก็เขินแย่สิครับ
lovemuay >>>> จริง ๆ พงศ์พลินก็มีสืบสายมาจากชาวเวทนะครับ เทียดเค้ามีพลังนา แต่เจ้าตัว...จะมีมั้ย 555
Sukhumvit66 >>>> ตอนนี้ขอแรงเชียร์ให้คนเขียนก่อนนะครับ อืดมากกก กว่าจะเข็นออกมาได้
Zephyr >>>> ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อเป็นคิตตี้ ตามความเห็นคนอ่านนะครับ
ของขวัญ >>>> ^_^
lovemuay 21 เม.ย. 2557, 07:39:25 น.
ลึกลับซ่อนเงื่อนจริงๆค่ะ แอบสงสัยว่าใครกันแน่นะพระเอก
ลึกลับซ่อนเงื่อนจริงๆค่ะ แอบสงสัยว่าใครกันแน่นะพระเอก
Sukhumvit66 21 เม.ย. 2557, 11:54:03 น.
สู้ ~______________~ สู้
สู้ ~______________~ สู้
yimyum 21 เม.ย. 2557, 19:48:09 น.
เฮ้ยพี่!!!!คิดไรผิดป่าววะ หนูชมแมวไม่ได้ชมพี่
บ้าเข้าขั้นเห้ย......ให้ไปมีทายาทโดยที่พึ่งรู้จักกัน งานนี้....เสร็จศรีแน่
เฮ้ยพี่!!!!คิดไรผิดป่าววะ หนูชมแมวไม่ได้ชมพี่
บ้าเข้าขั้นเห้ย......ให้ไปมีทายาทโดยที่พึ่งรู้จักกัน งานนี้....เสร็จศรีแน่
Zephyr 21 เม.ย. 2557, 21:43:11 น.
อ้าว ยายคนนี้จะมืดรึสว่างนะ
นายปพนธีร์กับพงศ์พลิน อืม แรกๆคอนข้างมั่นใจใครพระเอก
ตอนนี้ชักลังเล ฮ่าๆๆๆๆ
อ้าว ยายคนนี้จะมืดรึสว่างนะ
นายปพนธีร์กับพงศ์พลิน อืม แรกๆคอนข้างมั่นใจใครพระเอก
ตอนนี้ชักลังเล ฮ่าๆๆๆๆ
ของขวัญ 26 เม.ย. 2557, 20:24:10 น.
คุณยายน่าสงสัย ว่าแต่ งานนี้สาวแคทมีหนุ่มๆ มาสนใจตั้งสองคน จะเลือกใครดีเนี่ย
คุณยายน่าสงสัย ว่าแต่ งานนี้สาวแคทมีหนุ่มๆ มาสนใจตั้งสองคน จะเลือกใครดีเนี่ย