ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 20 - 21 : ประกาศศักดา (จบ)

บทที่ 20

นับพันพรส่ายศีรษะให้กับความดื้อของพรนับพัน คนอะไรโกรธง่าย แผลถึงได้ฉีกเป็นรอบที่สองของวัน รอบแรกก็มาจากเป็นไท คนนั้นเธอก็พอเข้าใจว่ากวนประสาท และพี่สาวของเธอก็ชอบออกกำลังปล่อยหมัดใส่ลูกชายเจ้าของหมู่บ้านเสมอ แต่รอบที่สองคือทิวากร รายนี้ไม่มีทางยั่วโมโหพรนับพันให้ลุกขึ้นมาอาละวาดหรอก สภาพคนยอมรับทุกทางแบบนั้น

คุณหมอลงมือเย็บแผลให้พี่สาวเองจัดการปิดแผลให้เรียบร้อย เก็บอุปกรณ์ไปในกล่องปฐมพยาบาลที่ขอทางพยาบาลมา เธอจำเป็นต้องคุยเรื่องสำคัญกับพรนับพัน ตั้งแต่ออกมาจากห้องผ่าตัดเธอยังไม่มีเวลาได้คุยกับพรนับพันแบบส่วนตัวเลย

“พี่พราวด์ พี่จะโกรธคุณทิวแฟร์ไม่ว่าหรอกนะ แต่โกรธขนาดแผลฉีกนี่ก็เกินไปนะคะ แล้วเมื่อไหร่จะหายกัน นึกถึงต้มเครื่องในของโปรดพี่เข้าไว้ แล้วก็ลดความโกรธลงมา พี่จะได้หายไวๆ เข้าใจไหม”

“ใครใช้ให้เขามายั่วโมโหพี่ก่อนล่ะ”

“แล้วคุ้มไหม ใครเจ็บ” นับพันพรไม่สนว่าจะถูกถลึงตามองใส่ “แฟร์บอกคุณทิวว่าพี่พราวด์อาจจะขาพิการไปตลอดชีวิต”

คนถูกบอกว่ามีสิทธิ์พิการไปตลอดชีวิตตาเบิกกว้าง อยากให้ตัวเองเกิดอาการน้ำลายฟูมปากตายไปเลย

“ขาที่เข้าเฝือกของพี่จะใช้งานไม่ได้เหรอ” คนขาเจ็บข้างหนึ่งถามเสียงสั่น เธอยกขาอีกข้างขึ้น มองความแตกต่าง ดวงตานึกสังเวชตัวเอง “ทำไมฉันยังรู้สึกว่าพวกมันยังปกติดี”

“ก็ปกติดีน่ะสิคะ ข้างนี้ก็แค่กระดูกร้าวนิดหน่อย ใส่เฝือกสักเดือนก็หาย”

“หืม”

นับพันพรพยักหน้ายืนยัน “แฟร์กับพ่อแม่ยอมผิดจรรยาบรรณแพทย์ก็เพื่อพี่พราวด์โดยเฉพาะ เราไม่อยากเห็นพี่พราวด์เสียใจ เกิดว่าพี่พราวด์กลายเป็นคนพิกลพิการขึ้นมาจริง พี่พราวด์จะได้รู้ว่าเขาจริงใจกับพี่พราวด์แค่ไหน”

“แล้วเห็นหรือยังล่ะ ว่าเขาจริงใจไหม” พรนับพันแค่นเสียง วาจาประชดแดกดัน ทิวากรถึงได้ตามเธอทุกย่างก้าว ไม่ห่างจากข้างเตียงเลย เรื่องขาของเธอก็ไม่ถามด้วย กระทั่งเธอมารู้แผนการนี้จากน้องสาวเอง

คุณหมอไหวไหล่ จรรยาบรรณแพทย์ครั้งนี้ยอมเสียเพื่อแลกกับความรัก ความเชื่อมั่นของพี่สาว “แฟร์อยากให้พี่พราวด์ใช้หัวใจมอง อย่าใช้อารมณ์ ปัญหาทุกอย่างมันจบแล้ว ไม่มีตัวแปรที่สามสี่ห้ามาสั่นคลอนพวกพี่อีก ดูสิขนาดพ่อแม่คุณทิวยังส่งของเยี่ยมทุกวัน นี่ยังคอยถามแฟร์เลยว่าจะตุ๋นซุปไก่มาให้พี่พราวด์ทานได้เมื่อไหร่ จบปัญหาพ่อแม่ไม่ปลื้ม ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องของพี่สองคนว่าจะจัดการกันยังไง”

พรนับพันกอดอก เบะปาก ถึงตอนนี้จะไม่เหลือตัวแปรอื่น แต่ผลจากการที่ทิวากรทำให้เธอหมดความเชื่อใจก็ใช่ว่าจะคืนมาได้ง่ายๆ

“ความเชื่อใจถูกทำลายลงครั้งหนึ่งสำหรับบางคนอาจต้องเริ่มสร้างใหม่ แต่สำหรับพี่การถูกโกหกมาหลายๆ ครั้ง ถึงจะอ้างว่าความหวังดี แต่พี่ก็เห็นว่าเขาไม่พร้อมที่จะมีพี่เป็นคู่คิดของชีวิต พี่ถูกทำลายความเชื่อใจซ้ำๆ จนไม่รู้ว่ามันจะสร้างใหม่ได้เมื่อไหร่”

“พี่พราวด์เป็นคนฉลาด แฟร์รู้ว่าพี่พราวด์จะมีวิธีทดสอบคุณทิว ขอแค่พี่อย่าตัดโอกาสคุณทิวอีก จะทดสอบบทโหดหินยังไงก็เรื่องของพี่เถอะ จะปล่อยให้เขาถอดใจไปเองก็ได้ แต่อย่าไปไล่เขา พี่พราวด์ไม่สงสารคุณทิว แต่แฟร์สงสารนะเออ ตอนพี่พราวด์เข้าห้องผ่าตัด คุณทิวก็ระเบิดลง จัดการคุณจิวจนหมดท่าเลย”

พรนับพันค้อนคนพูดหน้าคว่ำ แค่นเสียงถาม “รู้มาจากใคร ได้ข่าวเธอก็อยู่ในห้องผ่าตัดนะแฟร์”

“แฟนแฟร์บอก แฟร์จะไม่รู้ได้ยังไงคะ”

คนตอบยิ้มหน้าระรื่น แต่คนฟังหางตากระตุก อารมณ์พาลมาเต็ม “ไปไหนก็ไปเลย เดี๋ยวของขึ้น อารมณ์หมั่นไส้ทำพี่แผลฉีกอีก”

“อิจฉาล่ะสิ” นับพันพรยักคิ้วถาม แต่ต้องเก็บปากเงียบ ได้แต่กลั้นขำจนหน้าแดงเมื่อทิวากรเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา

“คุณพราวด์ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ” ทิวากรถามแก้เก้อ รู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรของพรนับพันพุ่งตรงมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นการเบือนหนี ปล่อยให้นับพันพรเสวนาต่อไป

“พี่พราวด์อึดถึกจะตายไปค่ะ จ่าฝูงโขลงช้างยังเรียกพี่ แต่เรื่องขานั่น...” นับพันพรจงใจเว้นในส่วนที่น่าสะเทือนใจที่สุด นึกถึงจรรยาบรรณแพทย์ข้อที่ทำผิดก็ได้แต่ทำเป็นหลับตาไม่เห็น

“ไม่ต้องพูดหรอกครับ ผมรู้ ตอนนี้ให้คุณพราวด์ปลอดภัยผมก็สบายใจแล้ว”

คุณหมอสาวยิ้มให้กำลังใจ อยากจะพูดอะไรอีกหลายอย่าง แต่ปล่อยให้พรนับพันจัดการเองดีกว่า นับพันพรเชื่อว่าพี่สาวของเธอไม่ใช่คนโง่ ถึงจะใจร้าย ปากร้าย แต่คงไม่โง่ปล่อยให้หัวใจหลุดออกไปจากร่างอีก แต่กว่าจะยอมรับบางทีทิวากรอาจต้องผ่านด่านพิชิตใจพรนับพันอีกมาก

“สู้ๆ นะคะ”

“ขอบคุณครับ” ทิวากรยิ้มส่งคุณหมอ เมื่อหันกลับมายังคนบนเตียง เขาก็พบว่าพรนับพันหลับไปแล้ว

ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งยังที่ประจำ มองช่วงเวลาทองที่ตนจะได้ทำอะไรตามหัวใจ ใบหน้าหล่อก้มลงไปใกล้ชิดหน้าผากเนียน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีอาการลืมตาประท้วง เขาจึงจรดปลายจมูกลงไปแผ่วเบา ครั้งนี้เขาเห็นขนตางอนยาวสั่นไหว เปลือกตาก็เผลอบีบเข้าหากันแน่น นึกอยากจะแกล้งอีกหลายๆ ครั้ง แต่ก็ตัดใจดึงหลังกลับมานั่งตรง ลูบศีรษะเล็กเบาๆ กล่อมให้เธอฝันดี

ถ้าแกล้งมากกว่านี้จะเดือดร้อนคุณหมอนับพันพรให้กลับมาเย็บแผลให้พี่สาวเป็นรอบที่สามของวัน

ถ้ามีพรใดขอมาได้สักหนึ่งข้อ เขาอยากจะขอให้เขาเจ็บแทนพรนับพัน...

ตอนนี้เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เขาจึงอยากใช้เวลาทั้งชีวิตนับจากนี้เพื่อพรนับพัน เธออยากทำอะไร อยากกิน อยากดื่มอะไรเขาจะไม่ทักท้วงอีก

ต่อให้เธอปกติ และหายดีเขาก็ยังอยากทำแบบนั้น อยากเห็นพรนับพันยิ้ม และมีความสุข ไม่อยากรับรู้ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นอีก

ทั้งที่เขาเคยปลอบเธอในวันที่ตาของพรนับพันจากไปว่าชีวิตคนเราเปรียบดังพระอาทิตย์มีขึ้นแล้วก็มีตก แต่สำหรับเขาหากในวันนั้นไม่มีพรนับพันอยู่ เขารู้แล้วว่าโลกของเขาอาจเข้าสู่ห้วงเวลามืดมิดตลอดกาล โลกที่พระอาทิตย์ตกแล้วจะไม่มีวันกลับขึ้นมาส่องแสงได้อีก

พรนับพันคือรอยยิ้ม คือความสดใสในชีวิตของเขา คือความเข้มแข็งที่เขาได้รับจากเธอ เขาจะไม่ยอมสูญเสียไปให้ใครอีก

ทิวากรยิ้มยามได้เห็นใบหน้าของพรนับพันคลายคิ้วที่ขมวด หน้าตาผ่อนคลาย และลมหายใจขึ้นลงสม่ำเสมอ

จากนี้เขายินดีให้เธอลงโทษจนกว่าเธอจะพอใจ แต่ตอนนี้คงต้องปล่อยให้หัวใจของเขาได้พักผ่อนเอาแรง

และเขาจะได้ถือโอกาสอ่านภาพความฝันของพรนับพันกับคุณตาของเธอ...หนังสือที่ยังอ่านไม่จบถูกหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แม้ตัวเรื่องจะแฟนตาซี และต้องใช้จินตนาการสูงในการนึกภาพตาม แต่ทุกตัวอักษรในเรื่องที่เกิดจากการคิดของพรนับพันก็ทำให้เขายิ้มตามได้ ทุกครั้งที่อ่านจบหนึ่งบททิวากรจะนึกขอบคุณตาของพรนับพันเสมอ

ขอบคุณที่วันนั้นตาของพรนับพันส่งหญิงสาวขึ้นภูกระดึงไปพบกับเขา...ขอบคุณจริงๆ


“ไม่ต้อง”

พรนับพันส่งเสียงท้วงอย่างเหนื่อยใจ เธอทั้งอายทั้งฉุน เพราะว่าเหตุผลขาอาจพิการใช้งานไม่ได้ ทำให้เธอต้องทนรับสภาพถูกทิวากรอุ้มเอา อุ้มเอา เดี๋ยวเธอจะเข้าห้องน้ำก็อุ้ม อยากไปสูดอากาศข้างนอกก็อุ้ม ทำไมรถเข็นในโรงพยาบาลนี้พังล้อหลุดไปหมดแล้วใช่ไหม

ถึงได้อยากให้เธอถูกเขาอุ้มท่าเจ้าหญิง หน้าร้อนได้อยู่เรื่อย พรนับพันหน้าง้ำเมื่อถูกวางบนชักโครกที่เปิดฝาไว้ ไม่รู้จะขอบคุณดีไหมที่เขาไม่กรุณาถอดกางเกงเธอให้เป็นบริการเสริมอีกอย่าง

“เดี๋ยวเรียกผมนะ” ทิวากรพูดจบก็รีบผละไป ปล่อยให้คนถูกอุ้มยกมือปิดหน้า ดับอุณหภูมิร้อนที่พุ่งสูง เธอนึกอายจริงๆ ตลอดอาทิตย์ที่นอนโรงพยาบาลจนถึงวันนี้ที่เธอจะได้กลับบ้าน ทิวากรอยู่ห่างจากเธอแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น สำคัญเลยคือเวลาเธอถูกอุ้มไปเข้าห้องน้ำบ้าง ไปเดินเล่นตรงระเบียงห้องบ้าง ทิวากรได้ทำหน้าที่ ‘ขา’ ให้ไม่มีขาดตกบกพร่อง พอเธอว่า ด่าใส่ เขาก็ทำมึน ยิ้มรับ

มันน่านักเชียว ไหนจะคำล้อเลียน วี้ดว้ายลับหลังทิวากรกลับไปจากหนึ่งดารา พยานปากเอกที่รู้เห็นทุกอย่าง

“ผมจะเข้าไปแล้วนะ”

“อย่าเพิ่ง” พรนับพันร้องค้านเสียงหลง เธอยังไม่ทันทำธุระส่วนตัวเลย หญิงสาวรีบจัดการทำธุระส่วนตัวในเวลาอันสั้น เขยกขาข้างเดียวไปล้างมือให้สะอาด ก่อนจะมองเห็นเงาสูงที่เคลื่อนมาตรงประตูอย่างตกใจ กลับไปนั่งชักโครกตอนนี้ก็คงไม่ทัน

ร่างสมส่วนรีบลงไปนอนตะแคงกับพื้น ร้องเสียงโอยทันเวลาที่ทิวากรเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาพอดี หญิงสาวร้องโอยเบาๆ ไม่ขอใช้การแสดงอันไม่แนบเนียนของตัวเองให้มากนัก


ทิวากรวิ่งเข้ามาอย่างแตกตื่น ดึงร่างของเธอไปพิงกับอกเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นตึกตักมั่นคงชิดริมหู น้ำเสียงทุ้มยามพูดทำให้อกเขากระเพื่อมเป็นจังหวะ

“ทำไมไม่เรียกผม ลุกขึ้นมาแล้วเป็นยังไง ขาคุณยังใช้งานไม่ได้นะ”

“ใช่สิ ฉันมันเดินไม่ได้นี่” พรนับพันแหวขึ้นอย่างเหลือดอด อึดอัดกับสภาพโกหกนี้เต็มทน เธอไม่เห็นทิวากรจะเบื่อหน่าย หรือทำหน้าหนียามเห็นสภาพหลอกๆ นี้ของเธอเลย ยิ่งประคบประหงมติดตามเธอไม่ห่างอีก

“เชื่อสิว่าคุณต้องหายดี ผมจะพาคุณไปกายภาพบำบัดเอง กำลังใจคุณต้องไม่หมดนะ”

คนโกหกเม้มปากแน่น ปล่อยให้ทิวากรช้อนร่างเธออุ้มขึ้นโดยไม่โต้เถียงใดๆ ไม่สนด้วยว่าหนึ่งดาราจะมองล้อทางสายตาแค่ไหน

พรนับพันถูกวางลงบนเตียง หญิงสาวเม้มปากแน่น สายตาจ้องคนที่คอยทำตัวเป็นขาไม่วางตา “ฉันเบื่อหน้าคุณ ทำไมคุณไม่เบื่อคนพิการอย่างฉันล่ะ เบื่อสิ ทิ้งสิ ทำไมตอนฉันดีๆ คุณทิ้งฉันบ่อยกว่าตอนฉันเจ็บอีก ทำไมล่ะ ทิ้งเลย ฉันไม่มีวันตามคุณให้กลับมาแน่”

คนท้าให้ทิ้งพูดจริงไม่มีแววล้อเล่น ในใจเธอนึกไปถึงว่าเขาอาจจะแค่ทำไปเพียงแค่รับผิดชอบเท่านั้น

“ผมจะให้คุณเปลี่ยนชุด เดี๋ยวผมเข้ามาพาคุณกลับบ้าน”

การเปลี่ยนประเด็น และหันหลังไม่ตอบคำถามใดให้กระจ่างแจ้งยิ่งทำให้คนฟังนึกโกรธ พรนับพันรอจนทิวากรออกไป น้ำเสียงสาวเจ้าอารมณ์ก็เค้นออกมาอย่างขุ่นเคือง

“ฉันจะไม่ทน ไม่ทนแล้วเข้าใจไหมยัยหนึ่ง”

หนึ่งดารากะพริบตาปริบ หลายครั้งหลายหนที่ต้องอยู่ท่ามกลางสมรภูมิเดือดจากฝั่งพรนับพัน กับฝั่งรับที่เอาแต่ยิ้มๆ ไม่ก็ตัดบทสนทนาไปเฉยๆ อย่างทิวากร เธอไม่รู้เลยว่าจะช่วยทิวากรยังไง นึกสงสารก็สงสาร แต่ระเบิดเวลาต่ำอย่างพรนับพันก็ทำให้เธอทิ้งไม่ลง ได้แต่เออออห่อหมกไปเพราะกลัวคนเจ็บจะไม่ระวังตัวจนเจ็บเพิ่ม แผลเพิ่งจะดีขึ้น และเพิ่งตัดไหมไปเมื่อเช้านี้เอง


ทิวากรยืนรอหน้าห้องคนไข้ที่เขามาบ่อย และจะอยู่เฝ้าตลอดวันยกเว้นกลางคืน หมอพยาบาลต่างรู้ และเข้าใจดีจึงไม่ได้กำหนดเวลาเยี่ยมไข้กับเขา เขาอยากมาเช้าขนาดไหน หรือกลับดึกขนาดไหนก็ได้

ประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเปิดออกอีกครั้ง หนึ่งดาราเดินนำออกมา ทีแรกทิวากรจะตั้งใจเดินสวนกลับไปเพื่ออุ้มคนเจ็บ แต่กลายเป็นว่าพรนับพันกลับยืนหน้าเชิดอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว แขนข้างหนึ่งใช้ไม้ค้ำยันร่าง ขาอีกข้างก็รับน้ำหนักตัวได้ปกติดี...ร่างกายเธอเดินได้

“ฉันไม่ได้พิการ เป็นไงล่ะ เกลียดฉันไหม” พรนับพันยกยิ้มมุมปาก ดวงตาท้าทายคนที่มองกลับมา เธอเห็นแววตาดีใจฉายชัดจากเขา แทนที่จะโกรธ

“ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องเกลียด”

“แต่ฉันเกลียดคุณชะมัด” พรนับพันหน้ามุ่ย ถลึงตาใส่คนที่ทำท่าจะมาโอบอุ้มเธอทั้งที่เธอบอกชัดว่าขาปกติ มีแค่ร้าวข้างหนึ่งจึงต้องใส่เฝือก “หนึ่งเธอเดินเร็วๆ นี่ขนาดฉันขาเจ็บยังเดินไวกว่าเลย” คนเดินปร๋อหันมาสั่งเพื่อนที่เดินล้าหลัง มีปรายตามองทิวากรก่อนทำเมิน “รถแท็กซี่นะ”

“เปลืองทำไมแก รถคุณทิวก็ได้”

“ไม่ อยากส่องหน้าโชเฟอร์มีปัญหาไหม” คนพาลลอยหน้าลอยตาตอบ

“กระเป๋าเงินฉันหายอ่ะแก สงสัยลืมไว้ที่บ้าน”

พรนับพันถลึงตามองคนตอแหลเอาโล่ เธอไม่โง่เชื่อเพื่อนหรอก รู้สึกว่าจะจงใจออกไปซื้ออาหารในช่วงเวลาที่ทิวากรมาเยี่ยมเธอออกจะบ่อยไป

“งั้นฉันเรียกแท็กซี่ พอถึงบ้านฉันก็เขยกขาไปเอาเงินในบ้าน แล้วก็เดินเขยกกลับมาจ่ายเองก็ได้” เพราะสัมภาระทั้งหมดของเธอ นับพันพรเอากลับไปไว้ที่บ้านหมดแล้วแท้ๆ

คนจัดการทำให้ทิวากรโกรธไม่สำเร็จอยากอาละวาด แต่ก็ทำได้เพียงเดินต่อไป พอใกล้จะถึงทางออก ไม้ค้ำยันของเธอก็ถูกหนึ่งดาราฉวยไปถือไว้

“หนึ่งเอาคืนมาเลย”

“ไม่ ฉันจะนอนกอดมันอย่างดีเลย แกเดินเขยกเก่งนี่ เขยกสิ เดี๋ยวฉันกลับก่อนแล้วกัน เจอกันที่บ้านนะ” คนเอารถมาโบกมือลาเพื่อนเหย็งๆ ไม่สนว่ามันจะเป็นการหักหลังเพื่อนอย่างเลือดเย็น แต่เลือดเย็นแบบนี้ก็หวังดีเพื่อให้เพื่อนมีความสุข เลิกตั้งป้อมเป็นแม่ทัพหน้ายักษ์บนกำแพงสักที

“ไอ้เพื่อนทรยศ” พรนับพันเข่นเขี้ยว ยังจะดื้อเดินไปเพื่อเตรียมโบกเรียกรถโดยไม่สนที่พึ่งตัวโต ยิ่งไม่สนใจทิวากรมากเท่าไหร่ เป็นชายหนุ่มเองที่เริ่มทนไม่ไหว

“คุณพราวด์” น้ำเสียงเข้มเอ่ยเตือนเบาๆ

“ทำไมรถแท็กซี่ว่างๆ ไม่มีเลยเนี่ย” เมื่อตั้งใจว่าจะไม่สนใจ พรนับพันก็จะยึดมั่นกับตัวเองไม่เปลี่ยน

ว้าย...หญิงสาวทำได้เพียงอุทานลั่นในใจเมื่อเอวถูกดึงเข้าใกล้ร่างสูง ก่อนจะถูกเขาช้อนขึ้นสู่อ้อมแขนราวกับตัวเธอเบาเป็นปุยนุ่น ทิวากรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยามที่อุ้มเธอไปที่รถของเขา

เธอยอมสงบนิ่ง ตั้งใจให้เขาวางเธอลงในเบาะรถ แล้วเธอจะรีบชิ่งหนี

“จุ๊ๆๆ เป็นผม ผมจะไม่ทำแบบนั้น”

“ทำไม ฉันจะหนี ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ รำคาญลูกตา”

ทิวากรกระตุกยิ้มมุมปาก เยี่ยมหน้าเข้ามาในรถ รัดเข็มขัดให้ จงใจให้ลมหายใจเป่าผ่านใบหน้าเนียน พูดประโยคหนึ่งออกมาง่ายๆ จนเธอนั่งแข็งทื่อ หน้าแดงก่ำ กระทั่งเขาเคลื่อนรถออกจากโรงพยาบาลเธอก็ยังทำได้แค่นั่งหลังตรงกัดฟันกรอด

เขา...เขามัน...

‘ผมจะปล้ำคุณ ถ้าขืนคุณยังดื้อ’

มีสิทธิ์อะไรมาข่มขู่กันแบบนี้ พรนับพันอยากจะเถียงใส่ แต่ทำได้แค่เม้มปากแน่น เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ยิ่งมีเสียงห้าวหัวเราะในลำคอ เธอยิ่งอยากลุกมาบีบคอเขารอมร่อ

แต่เธอไม่กล้า...ไม่รู้ความกล้า บ้าของเธอหายไปไหนหมด

พรนับพันรู้สึกว่าคราวนี้ขืนเธอไปท้าทายเขาเข้า...คำขู่มันจะกลายเป็นความจริง


บ้านสวนสถานที่ที่เธอมาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ความร่มรื่น เย็นตายังคงมีไม่ต่างจากวันวาน รถกึ่งแวนจอดอยู่ในโรงจอดรถอยู่ก่อนแล้ว พรนับพันจำได้ดีว่านั่นเป็นรถของคุณนายจรัสศรี ก็รถคันนี้เคยพาเธอมาหย่อนทิ้งไว้ที่นี่ในตอนนั้น

“มาทำธุระเหรอคุณ” พรนับพันกอดอกถามเสียงเย็นชา

“ที่พักฟื้นของคุณ”

คนที่รู้ตัวมาตลอดอดไม่ได้จะหันไปมองค้อนคนตอบคำถาม เธอไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่อยากจะฟังวาจานุ่มแต่ไม่ลื่นหูของเขานักหรอก พอรถจอดสนิท มือสองข้างเธอจึงคว้าเบาะนั่งไว้แน่น เมินแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามเอื้อมมาถอดสายรัดเข็มขัดให้

“ไม่ลง อย่ามาสั่งฉันด้วย คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตฉัน”

“คุณต้องการอะไรบอกผมสิ ขอแค่คุณอยู่ที่นี่ อากาศสดชื่น ไม่วุ่นวาย มีคนดูแลพร้อม ดีกว่าให้คุณกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่ต้องทำอะไรคนเดียวนะ พ่อแม่น้องคุณก็ทำงานทำการ” ทิวากรพยายามอธิบายอย่างใจเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยอาทรไม่ปิดบัง

ยกเว้นว่าคนฟังจะปิดหูปิดใจไม่รับรู้ใดๆ

“ฉันมีขา มีมือ ดูแลตัวเองได้ โตแล้ว ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล ถ้าว่างนักคุณก็เอาเวลาไปดูแลพ่อแม่คุณเถอะ ไปช่วยงานการท่านซะ อย่ามายุ่งกับฉัน”

“พวกท่านก็จะมาพักที่นี่ คุณไม่ต้องกลัวว่าผมจะทำหน้าที่ลูกบกพร่องหรอกครับ”

พรนับพันส่งเสียงกรีดร้องทั้งที่ปากเม้มแน่น รู้สึกขัดเคืองที่ถูกทิวากรสวนกลับมาอย่างที่เธอหาข้อโต้แย้งไม่ได้

“ไม่ต้องอุ้มฉัน ห้ามโดนตัวด้วย ถอยออกไปให้ห่างฉันสามก้าว” คนเจ็บตัวขู่ฟ่อ หน้าขาวซีดอย่างคนที่ร่างกายไม่หายดีนั้นจ้องตาขวางใส่ทิวากร ชายหนุ่มที่รู้เวลาดีถอยห่างออกไปอย่างที่พรนับพันต้องการ มองเธอถอดเข็มขัดนิรภัย ใช้มือจับขอบประตูไว้ เลื่อนขาออกมาวางบนพื้นดินนอกรถ หายใจเฮือกยาวเมื่อขาข้างที่เจ็บกระเทือน แต่ต้องเม้มปากแน่นกลั้นเสียงร้อง แผลที่ท้องแม้จะดีขึ้นก็ยังพอให้เธอเจ็บได้เป็นระยะเช่นกัน หากเขยื้อนตัวมากไป

ร่างสมส่วนเกาะหลังคารถเพื่อพยุงกายไว้ หลับตาลงทิ้งน้ำหนักไปยังขาข้างที่ไม่เจ็บเพื่อทรงตัว “คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป”

“ผมไม่อยากไปไหนไกลจากคุณอีก ผมกลัว” น้ำเสียงอันว้าเหว่ และขลาดกลัวจุดประกายอ่อนไหวในดวงตาคนมองได้ชั่ววูบหนึ่ง หัวใจคนฟังรับรู้ความจริงไม่ต่างกัน

ในช่วงนาทีระหว่างความเป็นความตาย เขาจะรู้ไหมว่าเธอกลัวจะไม่ได้พบเขาอีก

“มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ฉันไม่ได้มีชีวิตเพื่อคุณ” พรนับพันคัดสรรคำพูดอันร้ายกาจออกมาได้เสมอ เธออยากรู้ว่าทิวากรจะอดทนไปได้ถึงเมื่อไหร่

พรนับพันเดินช้าๆ ย่างก้าวอย่างระวัง เธอรู้ว่าทิวากรคอยมองระวัง และไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตา หญิงสาวอยากจะหลอกตัวเองว่าที่นี่ไม่มีเขายืนอยู่ แต่มันก็ยากเหลือเกิน ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น กัดฟันแน่น

เธอมันอวดเก่งทั้งที่เจ็บไปทั้งตัว ไม่สบายเท่ายามที่มีทิวากรมาอุ้มสักนิด เขาทำให้เธอคิดถึงที่นอนนุ่มสบายได้ทั้งที่เขาเดินอยู่

“พี่พราวด์”

รุ่งรวิกานต์โผล่ออกมาจากในบ้าน รีบกุลีกุจอมาพยุงคนเจ็บ ส่งสายตาเป็นคำถามไปยังทิวากรที่ไม่ยอมเข้ามาประคอง แต่เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้ามา มุมปากคล้ายเยาะตัวเองในทีทำให้เธอรู้ว่าสองคนนี้อยู่ในช่วงมีปัญหาแน่ๆ

“เข้าบ้านก่อนนะคะ พวกเรากำลังดูแบบการ์ดแต่งงานกันอยู่เลย รอให้พี่พราวด์พี่ทิวมาเลือก”

งานแต่งงานหยุดเท้าของพรนับพันที่กำลังเขยกเดินช้าๆ ให้นิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะหันขวับไปยังบุคคลซึ่งเดินตามมาทางด้านหลังห่างไปสามก้าว

“หมายความว่าไง” พรนับพันกระชากเสียงถามทิวากร ดวงตาวาววับไม่ปิดบังความไม่พอใจไว้

“ทุกคนไม่รู้ว่าคุณจะยกเลิกงาน ได้แค่เลื่อนมันออกไปตามที่วางไว้แต่แรก”

“แต่แรกคืออะไร” น้ำเสียงระแวง จ้องตาคนมองแทบถลนจากเบ้า

ทิวากรยิ้มละมุน ยกเว้นดวงตาที่แฝงความจริงจัง ไม่มีความล้อเล่น “อีกสองอาทิตย์ จะถึงงานแต่งงานของเรา”

คนถูกมัดมือชกหน้าหงาย ความโกรธครอบงำความคิดอีกหน เธอลืมว่าขาเจ็บ เดินอาดไปหยุดตรงหน้าทิวากร เค้นเสียงดัง น้ำตาคลอหน่วย ทุกคำที่ย้ำชัด

“ไม่มีทาง ฉันแต่งกับใครในโลกนี้ก็ได้ ยกเว้นกับคุณ ฉันไม่แต่ง”

“ถึงวันงานถ้าไม่แต่ง ผมก็จะไม่ว่า ไม่บังคับอะไรคุณทั้งนั้น”

“ยกเลิกมันตั้งแต่ตอนนี้สิ”

ทิวากรส่ายศีรษะช้าๆ ดวงตาเว้าวอน และต้องการการให้อภัย “ผมจะไม่มีวันยกเลิกงานเด็ดขาด แต่คุณช่วยให้โอกาสผมแก้ตัวได้ไหม แค่สองสัปดาห์ถ้าหัวใจคุณยังให้อภัยผมไม่ได้ ในวันงานคุณจะหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก ผมก็จะปล่อยคุณไป ไม่ข้องเกี่ยวกันอีก”

“นะคะพี่พราวด์” รุ่งรวิกานต์ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์คู่รักคู่นี้นักเป็นกำลังเสริมให้ทิวากรอีกคน

พรนับพันยกมือสางผม หน้าตามีแต่ความอัดอั้น “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าคุณปิดบังความลับเรื่องสำคัญกับฉันอีกแค่ครั้งเดียว ฉันได้หนีหายก่อนจะถึงวันงานแน่”

รอยยิ้มอันโล่งอกของทิวากรทำให้คนมองต้องเบือนหน้าหนี พรนับพันโกรธตัวเองที่ความเด็ดขาดของเธอไม่เคยตึงเปรี๊ยะใส่ทิวากรได้เลยสักครั้ง มันคอยจะหย่อน และหาโอกาสโอนอ่อนให้เขาเสมอ

เขาถึงได้หลอกซ้ำซากแบบนี้...ไม่เคยให้เธอได้รู้เรื่องสำคัญของเขาเป็นคนแรก ไม่เคยเลย

การใช้ชีวิตคู่ มันไม่ใช่แค่ความรักหรอกนะถึงจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป มันต้องมีอีกหลายสิ่ง และสำหรับเธอกับทิวากร แค่รัก...มันไม่พอหรอก


บทที่ 21


ทิวากรเป็นคนดูแลอาหารสำหรับพรนับพัน เขาได้ถามมาจากนับพันพรล่วงหน้าแล้วว่าอาหารอะไรบ้างที่พรนับพันจะทานได้ จึงยังต้องเป็นอาหารอ่อน รสไม่จัด และย่อยไม่ยาก และการเสียเวลาคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้พรนับพันทานก็จะหายเหนื่อยเมื่ออาหารที่เขาทำหมดเกลี้ยงเสมอ

เขาจะนั่งทานอาหารแยกกับครอบครัว ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็นหน้าพรนับพัน แต่เพราะว่าเขาไม่อยากให้พรนับพันทานอะไรไม่ลงถ้าต้องเห็นหน้ากัน จึงได้เลี่ยงมาทานเงียบๆ ในห้องทำงาน เวลานี้เขาเริ่มวางมือจากวงการบันเทิง หันมาศึกษาธุรกิจของเจ้าสัวอย่างเต็มตัว

ถึงเขาจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ขึ้นชื่อว่าลูก เป็นคนที่พ่อแม่ส่งเสียเงินเลี้ยงดู ให้ความรัก ถึงแม้ว่าของเหล่านี้ที่เขากำลังดูแลอยู่เขาจะคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่ตนมาดูแล แต่ถ้ามันตอบแทน และทำให้พ่อแม่ได้หยุดพัก ไม่ต้องทำงานหนักอีก ลูกอย่างเขาก็ควรทำ

ประตูห้องถูกเคาะและเปิดโดยไม่ส่งเสียงขอเข้ามา พรนับพันเดินเขยกเข้ามานั่งยังเก้าอี้บุนวมนุ่มที่ตั้งชิดกำแพง กอดอกหน้ามุ่ย ไม่พูดจาใดๆ

ทิวากรเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้ว กลั้นยิ้มที่พบว่านับวันหญิงสาวเจ้าอารมณ์จะถูกครอบครัวของเขาปั่นอารมณ์ให้มัวได้ทุกวัน

ไม่ใช่ตั้งป้อม แขวะ เหน็บแนมอย่างแต่ก่อน แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ดูจะไม่ถูกใจเจ้าหล่อนนัก

“คุณหนีอะไรมาอีก”

“สารคดีการเกิดของทารก” คนตอบน้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างแรง

ทิวากรเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนที่เสียงห้าวจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่รักษามาด ปล่อยให้คนหนีสารคดีการเกิดของทารกนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ

“หุบปากคุณไป ฉันจะขอมานั่งเงียบๆ ที่นี่ อะไรก็ไม่รู้ พ่อคุณบอก ต้องดูไว้ เวลาคลอดลูกมันจะเจ็บมาก จะคลอดธรรมชาติ หรือผ่าก็เถอะ ส่วนแม่คุณก็เอาแต่บอก สเปิร์มล้านตัวเวลาไปเจาะไข่กลายเป็นคนนี่ต้องแข็งแรงมากแน่ๆ แล้วก็หันมาถามฉันว่าเคยกับคุณไหม จะบ้าตาย” น้ำเสียงเหลืออดถูกพล่ามมายาว พรนับพันรู้สึกประสาท และหลอนทุกครั้งที่พบกับเจ้าสัวกวีและคุณนายจรัสศรี ทั้งสองจะกรอกหูเรื่องอยากอุ้มหลานใส่หูเธอทุกครั้งที่มีโอกาส

แค่คิดก็ปวดหัวตุ้บ...พวกเขาไม่ได้เอ็นดูเธอหรอก คิดถึงหลานที่ยังไม่มาเกิดมากกว่าเธอที่นั่งหน้าหงิกเสียอีก

แทนที่คนถูกบ่นใส่จะสำนึก ทิวากรกลับหัวเราะลั่นไม่เป็นอันทำงาน “ผมขอโทษแทนพ่อแม่ผมด้วยแล้วกัน”

“พอเถอะ ยังไงฉันก็เลิกใส่ใจแล้ว เด็กน่ารำคาญจะตาย หนวกหูด้วย ฉันไม่คิดจะมีอยู่แล้ว ชีวิตนี้จะแต่งกับใครก็ไม่ขอมีทั้งนั้น”

ได้ผล...เสียงหัวเราะของทิวากรหยุดทันควัน หน้าตายิ้มแย้มหายไปจากการมอง เหลือเพียงดวงตาคมกริบ และน้ำเสียงเป็นทางการ

“ถ้าอย่างนั้นคุณพราวด์คงต้องผิดหวัง” ทิวากรหนีบยิ้มไว้ตรงมุมปาก ดวงตามีรอยมาดมั่นเต็มเปี่ยม “เพราะผมจะทำให้คุณพราวด์รักเด็กเอง”


บ้านนี้ไม่น่าอยู่ใกล้กันทั้งบ้าน...

พรนับพันลงความเห็นให้กับตัวเอง พ่อแม่ทิวากรพอเปลี่ยนมาดีกับเธอก็ดูจะบำรุงเธอทุกทาง หาครีมมาทาแผล ไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น ไม่ก็ทำซุปมาบำรุงเธออยู่ทุกวันเกือบครบสามมื้อ หรือการนั่งพูดกันดีๆ แม้แต่คุณไมเคิลก็กระโดดมานอนทำตัวเชื่องบนตักเธอได้หลังจากครั้งนั้นโดนเธอจัดหนักไป

อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้จักเกรงใจเธอ คนเลิกเกลียดสุนัขนั่งลูบขนนุ่มของสุนัขสีน้ำตาลไปมา

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป พรนับพันก็เหนื่อยที่จะไล่ทิวากร เธอพูดไปปากเปียกปากแฉะฝ่ายนั้นก็ไม่เคยคิดถอย เขายังคอยยิ้ม คอยปลอบเธอ ทั้งที่ไม่เคยคิดขอ

ชีวิตของเธอกับทิวากรก็เหมือนกลับสู่ความสงบ ไม่ต้องถูกใครปองร้ายอีก

“เมื่อไหร่จะหายโกรธลูกชายฉัน โกรธก็แต่พองามเถอะ” คุณนายจรัสศรีเดินนำเด็กรับใช้ถือจานขนมเข้ามานั่งในศาลาริมคลอง กรีดกรายนั่งลง “ลูกชายฉันเคยทำอะไรผิด เธอก็น่าจะแก้แค้นจนสาแก่ใจแล้ว”

“ฉันไม่ได้แก้แค้นอะไรลูกชายคุณนายเลยนะคะ คนโกรธกันคงไม่มานั่งมานอนอยู่ในบ้านหลังเดียวกันหรอกค่ะ”

“นั่นแหละ ฉันรู้ว่าเธอจำใจ อีกอาทิตย์เดียวก็จะแต่งงานกันอยู่รอมร่อ ทำไมยังไม่ทำความเข้าใจกันอีก ลูกชายฉันทำอะไรไม่ดีเธอก็ควรพูด ไม่ใช่ประชดประชัน ทำหน้าง้ำหน้างอ ลูกฉันยิ้มเก้อมากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ งานแต่งงานไม่ใช่ว่าจะบึ้งตึงใส่เจ้าบ่าวหรอกนะ”

คุณนายจรัสศรีสอนว่าที่ลูกสะใภ้ครั้งใหญ่ “อีกเรื่องด้วย ทำไมพอพูดเรื่องหลานฉัน เธอต้องเดินหนี ทำหน้าเบื่อ ใครๆ ก็อยากมีลูกกันทั้งนั้น เด็กเล็กๆ น่ารักจะตาย มีแต่เธอล่ะมั้งที่ไม่อยากมีลูก พอมีเดี๋ยวฉันกับเจ้าสัวจะเลี้ยงให้เองก็ได้ถ้าเธอขี้เกียจเลี้ยง”

“ไม่ได้หรอกค่ะ พ่อแม่สิคะต้องเลี้ยง” พรนับพันโพล่งขึ้นมาอย่างตกใจ “ปู่ย่าก็ทำได้แค่ช่วยเลี้ยงค่ะ ถึงฉันจะไม่ได้ชอบอะไรเด็ก แต่ถ้าเขาคือเลือดเนื้อของฉัน ฉันก็ต้องรักเขาอยู่แล้ว”

“งั้นแต่งปุ๊บมีเลยก็ได้ จะมีก่อนก็ได้นะ ยังไงรีบๆ มีสิ ฉันอยากอุ้มหลาน คนแก่ๆ ก็อยากมีเด็กเล็กๆ มาวิ่งเล่น ฉันเองก็เคยรู้มาว่าเธอสนิทกับตามากไม่ใช่เหรอ ฉันเองก็อยากจะเลี้ยงหลานให้หลานรักเหมือนที่เธอรักตาของเธอนะ”

ตา ทำให้พรนับพันยิ้มจางๆ หญิงสาวหวนระลึกถึงบุคคลสำคัญในชีวิตพลันเริ่มเข้าใจความคิดคุณนายจรัสศรี ตั้งแต่เธอจำความได้ รอยยิ้มของตาก็มีแต่ความภาคภูมิใจยามที่ได้มองเธอ

“ถ้าฉันเสกให้คุณนายได้ ฉันคงเสกให้ไปแล้ว”

“จะไปเสกทำไม คืนนี้เธอก็ทำได้”

พรนับพันหน้าแดงก่ำ เข้าใจความหมายที่คุณนายสื่อมาทุกคำ จึงรีบเบือนหน้าหนีไปยังคลองซึ่งมีเรือยนต์โดยสารผ่านไป คลื่นน้ำที่ซัดเข้าฝั่งทำเรือที่ผู้กับเสาไว้ตรงท่าน้ำของบ้านริมสวนโยกไปมา แต่ไม่นานมันก็นิ่งดังเดิม

เปรียบดังชีวิตก็คงเป็นเหมือนคลื่นน้ำที่โถมใส่ หากมีสิ่งใดเป็นตัวเริ่ม แต่เมื่อปัญหาพ้นผ่านทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ปกติ ยามนี้เมื่อปัญหาผ่านไปหมดแล้ว

ใครกันที่ยังเป็นปัญหา...เธอหรือเปล่า

ไม่ใช่ว่าทิวากรไม่รัก ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเขาไม่รับ ไม่ใช่ว่ามีใครมาทำร้ายอีก

ทุกอย่างมันจบลงหมดแล้ว...เหลือเพียงเธอ เธอที่ยังกลัว กลัวทิวากรจะทิ้งเธอไป กลัวทิวากรจะไม่รัก หรือกลัวกระทั่งเขาจะมีความลับกับเธอ

ในวันนี้ทุกๆ วันทิวากรจะพูดเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของเขาให้เธอฟัง ว่าเขาทำอะไรมาบ้าง รู้อะไรบ้าง บางครั้งก็มากเสียจนเธอฟังจนหลับ

เหลืออะไรที่เธอข้องใจอีก ความทนทาน และการไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ของเขาถูกเธอพิสูจน์จนเธอยอมเลิกไล่เขาไปเอง

พรนับพันปล่อยให้ความสุขระบายมาทางสีหน้า รอยยิ้มยินดีคล้ายว่าเธอค้นพบทางสว่างเสียที หัวใจของเธออยากจะทำอย่างนี้มานาน นานเหลือเกิน หัวใจที่อยากจะรักทิวากรได้อย่างอิสระโดยไม่มีเหตุผลใดๆ มาฉุดรั้งอีก

“คุณนาย...ไม่สิ คุณแม่คะ” พรนับพันเปลี่ยนสรรพนามเรียกอย่างประจบ ยิ้มหวานหยดพานให้คนมองประหลาดใจ

“มีอะไร”

“ขอบคุณนะคะ”

คุณนายจรัสศรีเห็นประกายความสุขในดวงตาของคนรักลูกชาย แม้แต่เดิมนั้นกิริยามารยาท และลักษณะนิสัยของพรนับพันจะไม่ได้ถูกใจเธอนัก แต่ผู้หญิงที่ลูกชายรัก และซ้ำร้ายยังต้องผจญเรื่องราวร้ายมามากมายเพราะว่ามาข้องเกี่ยวกับทิวากร แต่ไม่ได้หนีหายไปไหน จะมีสะใภ้ที่ไหนที่ถึก และอดทนอย่างพรนับพันอีก

เวลานี้ขอให้เป็นคนที่ลูกชายรัก ไม่ว่าใครเธอก็ยอมแล้ว


พรนับพันมองผู้ชายที่อยู่ห่างเธอไปสามก้าวในระยะเกินเอื้อมด้วยความขุ่นเคือง ทิวากรรักษาข้อตกลงที่เธอบังคับให้ทำตั้งแต่อาทิตย์ก่อนได้เหนียวแน่น มาถึงวันนี้ขาเธอเหลือเจ็บแปลบปลาบ แต่ไม่มากเท่าวันก่อนๆ แล้ว เดินเกือบจะคล่อง แต่เธอเกิดอยากให้ขายังเจ็บ

วันนี้เธออยากให้เขาอุ้ม...อยากสูดดมกลิ่นกายสะอาดของทิวากร หลับตาอยู่ในอ้อมกอดเขา คนรู้ใจตัวเองได้แต่เม้มปากแน่น หลับตาครุ่นคิดขณะที่ขาหยุดเดินหน้าห้อง มีทิวากรเดินมาส่งห่างๆ บอกเธอให้ฝันดีเพียงแค่กรอบประตูอย่างทุกวัน

ไม่เอา วันนี้ไม่พอ...

หญิงสาวกลับหลังหัน จังหวะนั้นขาเกิดอาการเจ็บจี๊ด จนเสียจังหวะการเคลื่อนไหวเพราะไม่ทันระวัง แต่ก็ยังพอทรงตัวได้ แต่คนอยากได้รับการดูแลถือโอกาสปล่อยร่างให้ร่วงไปนั่งแปะกับพื้น ส่งเสียงโอดโอยอย่างน่าสงสาร

ทิวากรมาถึงตัวเธออย่างไม่สนใจกฎบ้าๆ ที่เธอตั้งไว้อีก

“คุณพราวด์เจ็บขาเหรอครับ ลุกไหวไหม”

พรนับพันยกปากบึ้งน้อยๆ ส่ายหน้าไปมา พูดไม่ออกเพราะเธอต้องคอยเม้มปากแน่นไม่ให้รอยยิ้มได้โผล่มาทำลายบรรยากาศอบอุ่นตอนนี้ เธอไม่น่าเสียเวลาโกรธเขาเลย โกรธไปทิวากรก็ไม่เคยเบื่อที่จะดูแลคนขี้โมโหอย่างเธอ

ยังไงเธอก็รักเขาอยู่แล้ว เหตุผลของชีวิตคู่นอกจากความรัก...ก็คือการให้อภัย ทิวากรแก้ตัวจนเธอยอมแพ้ ยอมมาตั้งนานแต่ก็ยังตั้งป้อมใส่เพียงเพื่ออยากเอาคืนเป็นเด็กเล็กๆ

ทำไปก็ไม่เห็นตัวเองจะมีความสุขขึ้นมา ไม่เหมือนตอนนี้สักนิด ยามที่ทิวากรทรุดตัวชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ใช้มือจับขาที่เข้าเฝือกอ่อนของเธออย่างระวังราวกับขาของเธอเป็นแก้วบางชนิดแตกง่าย ใจคนมองก็อ่อนยวบ

“ดีขึ้นไหมครับ” ทิวากรให้พรนับพันพักนิ่งๆ มั่นใจว่าเขาบังคับให้พรนับพันทานยาครบไม่ได้ขาด อาการภายนอกก็ดีขึ้นมาก ไม่คิดว่าวันนี้ขาของพรนับพันจะยังมีปัญหาอีก

“สงสัยจะเดินไม่ไหว”

“เดินไม่ไหว ไปหาหมอไหมครับ” ชายหนุ่มถามออกมาเสียงตื่น หน้าตาเป็นกังวล

พรนับพันทนสบดวงตาอันห่วงเธอไม่ได้นาน ต้องแสร้งเบือนหน้าหนีไประบายยิ้มเงียบๆ หัวใจเธออุ่นซ่านมาถึงหน้าเชียว

“ไม่ต้องหรอก แค่ได้นอนพักบนเตียงเดี๋ยวก็หาย”

“ลุกไหวเหรอครับ” ทิวากรไม่มั่นใจว่าพรนับพันจะไม่เอาเล็บมาข่วนหน้าหากเขาช้อนร่างเธออุ้ม

“ไม่ไหว เดี๋ยวฉันค่อยๆ คลานไปก็ได้” พรนับพันอยากจะถลึงตาใส่คนยึดมั่นกฎสามก้าวของเธอนัก แต่ฟอร์มจัดก็ไม่อยากให้เขาดีใจเร็วเกินไป

ทิวากรหลุดขำ ใบหน้าแต้มยิ้มยามที่หยัดกายขึ้นยืน “ตามใจนะครับ คลานก็คลาน ผมไม่มองให้คุณเขินก็ได้ คุณจะได้คลานสะดวก” พยักหน้าเชื้อเชิญให้เธอทำตามปากว่าเต็มที่

หญิงสาวหน้าง้ำ เขารู้แล้วว่าเธอแกล้ง ก็ยังไม่ยื่นมือช่วย

พรนับพันค่อยๆ ไถตัวเชื่องช้า แกมประชดทิวากรดันตัวไปกับพื้น แต่ดันไปได้ไม่ถึงเมตรร่างของเธอก็ลอยเข้าสู่อ้อมกอดที่เธอต้องการ ทิวากรหัวเราะหึในลำคอ สายตาคมมีประกายรู้ทัน

ร่างบางถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาห่มให้จนถึงอก ทิวากรไม่พูดอะไรอีก นอกจากยิ้ม และจะหันหลังกลับออกไป

“ปิดประตูด้วยนะ” พรนับพันสั่งเสียงเบา กัดริมฝีปากขณะพูดต่อ หน้าแดงก่ำ “ฉันคิดถึงคุณ อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนได้ไหม”

ชายหนุ่มหันกลับมามองพลางเลิกคิ้ว แต่เห็นภาพใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มเพียงแค่ดวงตา สะกดกลั้นความอายไว้ ทิวากรปิดประตูตามคำบัญชาเจ้าหัวใจของตน ล็อกให้ด้วยอีกชั้น ก่อนจะเดินตรงมายังที่นอน นั่งชิดริมขอบข้างร่างที่นอนมองเขาตาแป๋ว

“มีอะไรจะบอกกับผมไหม”

พรนับพันทำหน้านิ่งคิด ก่อนจะเขยิบตัวไปอีกนิด ให้ทิวากรมีที่นั่งได้สะดวก

“ไม่มี ตอนนี้ฉันไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง”

“แล้วเรียกผมมาทำไม” ทิวากรทำหน้ามึนใส่

“คิดถึง เรียกไม่ได้เหรอ จะให้คิดถึงคนอื่นก็ได้นะ”

“เจอกันทุกวัน ยังคิดถึงอีกเหรอครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น ดวงตาทอประกายความรักไม่ปิดบัง เล่นเอาสาวที่นอนมองต้องผลุบหายไปในผ้าห่มไม่กล้าสู้ประกายตา หน้าร้อนผ่าว

“คนรักกัน คิดถึงกันมันผิดเหรอ”

เสียงหวานอู้อี้ตอบมาเบาๆ แต่ในห้องเงียบนี้ทิวากรได้ยินชัดเจนทุกคำ ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริ ก้มหน้าลงมาชิดกับบริเวณที่คาดว่าเป็นริมฝีปากของผู้หญิงที่มุดหน้าไปในผ้าห่ม แตะเบาๆ กระซิบคำให้เธอได้ยิน

“ผมก็คิดถึงเหมือนกัน อยู่ใกล้กัน แต่ห่างกันแค่สามก้าว มันยิ่งทำให้ผมห่วง คิดถึงคุณ รู้ไหม”

ผ้าห่มที่กั้นช่องว่างไว้ถูกมือบางดึงออก ปลายจมูกโด่ง กับปลายจมูกรั้นชนกัน พรนับพันยื่นริมฝีปากไปแตะเพียงแผ่วเบา ก่อนจะใช้ประสบการณ์อันน้อยนิดของตัวเองสัมผัสริมฝีปากของทิวากรให้ลึกล้ำขึ้น มือคล้องคอไว้เพื่อรั้งให้อีกฝ่ายลงมามอบความคิดถึงแก่เธอได้ถนัดขึ้น

น้ำเสียงหายใจที่หอบกระชั้น ลมหายใจร้อนเป่ารดใบหน้าเนียนขึ้นสีจัด แต่ดวงตากลับจ้องเขาไม่วาง มือหนาลูบไรผม ลูบแก้มพรนับพันอย่างทะนุถนอม น้ำเสียงแหบพร่า “คิดถึงแบบนี้ ผมอาจตายได้นะครับ”

“แต่ฉันคิดถึงคุณ”

น้ำเสียงอ้อนกำลังพังทลายเกราะป้องกันของทิวากร ชายหนุ่มบีบจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยว บทคนเจ้าอารมณ์พอดีเข้า เล่นเอาเขาหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“ผมไม่อยากรังแกคุณ”

พรนับพันเชิดปาก ดวงตาวาววับเอาเรื่อง “จะไปไหนก็ไปเลย จากนี้ฉันจะไม่คิดถึงคุณแล้ว จะคิดถึงผู้ชายคนอื่น จะไปทำแบบนี้กับคนอื่น คอยดู...อื้ม” ปากช่างจำนรรจาถูกลงโทษจนพูดไม่ได้

ทิวากรนึกอยากลงโทษคนพูดไม่คิดวันละหลายๆ ครั้ง เธอควรรู้ว่าเขาน่ะหวงเธอ และหงุดหงิดมาก แม้เธอจะพูดไปเพราะอารมณ์ยามบอกจะประชดด้วยการควงนายแปบ หรือคนอื่นๆ เขาต้องแสร้งยิ้มทั้งที่อยากคว้าตัวคนพูดมาจูบปิดปากแบบนี้นานแล้ว

มือค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปสัมผัสส่วนอ่อนไหว แต่มือยังสัมผัสอยู่ที่เสื้อผ้า ขณะที่ทิวากรถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงอันต่ำ “อย่าพูดแบบนี้อีก เข้าใจไหม ผมไม่มีวันปล่อยให้คุณไปทำแบบนี้กับใคร”

พรนับพันหน้าสีระเรื่อจ้องตากลับ หัวเราะคิก ยื่นหน้ามาปิดปากเขาเสียเอง แต่ก็ทิ้งประโยคหนึ่งให้ใจคนฟังได้จารึกไว้

“แค่คุณคนเดียว”

ความคิดถึงได้ขับกล่อมออกมาเป็นบทเพลงแสนหวานในห้วงความรักของคนสองคนที่วันนี้หัวใจได้ทำความเข้าใจตรงกันเสียที ไม่มีช่องว่างใดๆ ระหว่างกันอีก บทเรียนในอดีตได้สั่งสอน และเป็นบทเรียนให้พวกเขาไม่ก้าวพลาดอย่างที่แล้วมา

ความรักมักได้รับการให้อภัย และเข้าใจกันเสมอ


ร่างนุ่มนิ่มอันเปลือยเปล่านอนกอดร่างที่เต็มไปด้วยกล้าม และความอุ่นแน่น เปลือกตาหลับพริ้มอย่างฝันดี ริมฝีปากแต้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อรู้สึกว่ามีมือหนากำลังไต่ไปบนเนื้อตัวของเธอ

“ตื่นแล้วเหรอ”

พรนับพันเกยคางบนอกหนา ยิ้มเผล่เป็นเด็กน้อย จูบปลายคางของทิวากรที่มีไรหนวดขึ้น ท่าทางขี้อ้อน “อืม ฝันดีมาก” นิ้วชี้แตะไรหนวด และริมฝีปากสีสวยของทิวากรพลางหัวเราะคิก

“ดีใจที่เห็นคุณยิ้มได้ เมื่อคืนเห็นบ่นว่าเจ็บ รอบเดียวผมก็สงสารคุณแล้ว”

เพียะ...นิ้วมือทั้งห้าฟาดไปกลางกล้ามเนื้อหน้าอก แก้มสองข้างขึ้นสีมะเขือเทศ พรนับพันได้แต่สะบัดหน้าอันร้อนผ่าวหนีจากสายตาร้อนแรง

“พอเถอะ เลิกพูดเรื่องนั้นเลย ฉันไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

“ผมอาบด้วยได้ไหม” ทิวากรทำเสียงอ้อนเลียนแบบแมวน้อยที่มาคลอเคลียเขาตลอดคืน

หญิงสาวถลึงตาใส่ แต่ปากยิ้มเขิน และเพราะว่าเธอยิ้มก็ไม่ต่างจากคำอนุญาต ร่างของเธอถึงได้ลอยหวือจากเตียง พรนับพันต้องหลับตาปี๋เพราะไม่ใจกล้าหน้าด้านพอจะมองร่างเปลือยของทิวากร ต่อให้เห็นมาตลอดคืน และไหนจะเธออีกที่มือคว้าผ้าห่มมาบังร่างไว้ไม่ทัน ได้แต่ร้องว้ายเบาๆ ปล่อยให้ทิวากรอาบน้ำให้ พลางสำรวจเธออย่างกับเรียนสุขศึกษาแบบเจาะลึกอีกรอบต่อจากเมื่อคืน


แต่เช้านี้ดูเหมือนเรื่องดีๆ จะไม่ได้ดีจนจบ พรนับพันออกมาจากห้อง ก็พอรู้ว่าต้องเผชิญกับสายตาล้อเลียนของเจ้าสัวกวี คุณนายจรัสศรี และรุ่งรวิกานต์แน่ๆ ในเมื่อมีคนตัวโตเดินออกตามมา

สามคนนั้นเธอไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ แต่กับครอบครัวของเธอที่วันนี้ยกโขยงมานั่งร่วมโต๊ะอาหารนี้ด้วยทำให้พรนับพันอ้าปากค้างพูดไม่ออก

“มาได้ยังไงคะ” พรนับพันยิ้มเจื่อน เลี่ยงทิวากรราวกับเขาเป็นไฟกองใหญ่ร้อนๆ ที่เธอควรถอยห่างออกมาก่อนในเวลานี้ “ไม่บอกกันเลย”

“บอกแล้วฉันจะได้เห็นแกกับคุณทิว...” หนึ่งดาราตอบกลั้วหัวเราะ เห็นเพื่อนหน้าแดงอายม้วนจึงอธิบายการมาจริงๆ “ฉันอยากให้แกจดทะเบียนแต่งงานก่อน ฉันเป็นเพื่อนรักแก แต่อยู่ไม่ถึงวันแต่งงานแก ฉันไม่ยอมหรอกน่า แล้วคุยกับคุณทิวไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืนว่าจะขอให้แกกับคุณทิวจดทะเบียนกันก่อนได้ไหม เขาก็ตกลง ส่วนวันงานเลี้ยงใหญ่ตอนอาทิตย์หน้าให้เป็นเลี้ยงฉลองมงคลสมรสไป”

“เมื่อวานซืน?” พรนับพันหันไปถามทิวากร หรี่ตามองพลางชี้นิ้วคาดโทษ แต่ฝ่ายนั้นไหวไหล่ไม่สะทกสะท้านใดๆ

“เห็นพี่พราวด์กับคุณทิวดีกันแบบนี้พวกเราก็สบายใจนะคะ” นับพันพรยิ้มให้กับครอบครัวของพี่สาว “แฟร์อยากอุ้มหลาน”

แค่กๆ... คนถูกทักด้วยเรื่องเดิมสำลักน้ำลาย ทิวากรต้องมาลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง แต่ไม่วายหันไปยิ้มตอบกับนับพันพร “ไม่ต้องห่วงนะครับ พี่ไม่เสียเวลาแน่นอน อายุเราก็สามสิบกันแล้วทั้งคู่ ขืนรอไปอีก ลูกจะไม่แข็งแรงได้ จริงไหมครับ”

พรนับพันหัวเราะหึๆ ไหล่ไหวขยับ ริมฝีปากเหยียดยิ้ม ดวงตาวาวโรจน์ ก่อนสะบัดหน้าพรืดไปนั่งลงข้างบิดาที่น่าจะเข้าใจเธอมากที่สุด

ทิวากรจอมเผด็จการ ซ้ำยังตีสนิทกับครอบครัวเธอได้อย่างลื่นไหล

“ยัยแฟร์เธอก็มีคุณทองภูแล้วไง อย่ามาโยนภาระอยากมีหลานเลย มีลูกไปเลย”

นับพันพรหน้าแดงก่ำ เงียบปากก่อนที่พรนับพันจะโยนระเบิดมาให้เธออายอีก

เจ้าสัวกวีได้รับคำยืนยันจากปากทิวากรเรื่องลูกแล้วนึกยินดี เป็นประธานเริ่มงานทีเดียว “วันนี้ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ผมจะขอตกลงเรื่องสินสอดทองหมั้นกันตรงนี้เลยแล้วกัน พวกเรามีโอกาสเตรียมสินสอดทองหมั้นมาวันนี้” พานทองบนโต๊ะหลายพานบนผ้าแดงเด่นหรา “ทองคำแท่งมูลค่าเก้าล้านบาท เครื่องเพชรเก้าชุดใหญ่ เงินสดสิบเก้าล้านบาท”

เจ้าสาวที่มีพิธีการเลื่อนไปมาถูกรุ่งรวิกานต์ นับพันพร และหนึ่งดาราลากไปจัดการเปลี่ยนชุด โดยปล่อยให้เรื่องเจรจาสู่ขอเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไปก่อน ทิวากรมีทองภูเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวคอยดูแลเรื่องชุดอีกที

“จริงๆ จัดงานเล็กๆ แค่จดทะเบียน ทานข้าวกันก็พอ จะแต่งตัวทำไมให้วุ่นวาย” พรนับพันบ่นอุบ เธอไม่ใช่คนชอบมีพิธีการอะไรมากมายอยู่แล้ว

สาวชุดไทยสีขาว ผ้าเรียบ ตัวเสื้อเป็นเสื้อแขนยาว คอติดจนถึงกระดุมเม็ดบน กระโปรงยาวถึงตาตุ่ม ทรงผมถูกจัดขมวดเป็นมวยกลางศีรษะ ปักปิ่นสวย ข้างหูทัดดอกไม้กลิ่นหอมของดอกจำปีไว้ ที่คอห้อยสร้อยเพชร และตุ้มหูเพชรที่อยู่คนละชุดกับสินสมรส

“ผู้หญิงเราแต่งงานกันครั้งเดียว ถึงวันนี้จะมีแค่ครอบครัว เพื่อนสนิท แต่มันก็คืองาน ฉันอยากร่วมงานแต่งงานของเพื่อนอย่างเป็นทางการนะยะ ถ้าฉันอยู่ได้แกคิดว่าฉันจะพลาดเหรอ ฉันยังต้องกลับไปเรียนนะ แต่ฉันก็ยังอยากสวยในงานแก”

พรนับพันมองเพื่อนรักที่วันนี้สวมชุดเดรสสีขาว ผมบ็อบสั้นเริ่มยาวขึ้นจนระต้นคอ หน้าแต่งจัดจ้าน

“ป่านนี้ผู้ใหญ่มากันครบแล้วแก พ่อฉันก็มา”

“ฉันเลยไม่ได้ช่วยอะไรงานแต่งงานของตัวเองเลย ทุกคนแอบจัดการลับหลังฉันกันหมด” พรนับพันอดบ่นอย่างน้อยใจไม่ได้

“พี่พราวด์ ที่พวกเราทำก็เพราะไม่อยากให้พี่คิดมาก ไม่อยากให้พี่เหนื่อย แค่พี่โกรธคุณทิวกว่าจะหายงอนก็ก่อนวันแต่งงานแค่วันเดียว พี่ไม่รู้หรอกว่าคุณทิวต้องเตรียมงานเหนื่อยแค่ไหน” นับพันพรจับมือพี่สาวมากุมไว้ บีบเบาๆ “แฟร์ดีใจมากนะคะที่พี่สาวของแฟร์มีวันนี้”

“ฝากพี่ชายของรุ่งด้วยนะคะพี่พราวด์” รุ่งรวิกานต์ยิ้มยินดี ชุดเจ้าสาวเจ้าบ่าวในวันนี้ และวันเลี้ยงฉลองล้วนเป็นฝีมือของเธอทั้งสิ้น

“แต่เจ้าสาวใส่เฝือกอ่อนที่ขาแบบนี้ เก๋ไม่เบาดีนะ” เจ้าสาวคนสวยไม่วายค่อนขอด คนได้ยินทั้งสามพานหัวเราะอย่างครื้นเครง

วันมงคลวันนี้ พรนับพันรู้สึกหัวใจพองฟู เต็มไปด้วยความสุขที่สุด


ยามเย็น ญาติสนิทมิตรสหายในวันนี้ก็ทยอยกันกลับไป เจ้าบ่าวของงานมองร่างของพรนับพันที่เพิ่งคุยอะไรบางอย่างกับสารวัตรดนพ และเดินกลับเข้ามายังศาลาริมคลองที่เขายืนรออยู่

หน้าตาของพรนับพันครุ่นคิด หัวคิ้วขมวดเป็นปมยุ่งจนคนมองต้องไปเกี่ยวเอวเล็กมาตระกองกอดไว้ โยกไปมา “วันนี้เห็นเจ้าสาวยิ้มมาทั้งวัน ทำไมตกเย็นทำหน้ายุ่งแบบนั้น เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงก็เข้าหอกันแล้ว ทำหน้าแบบนี้ตอนพ่อแม่อวยพรเดี๋ยวเขาก็หาว่าผมรังแกอะไรคุณพราวด์หรอก”

“รังแกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าสาวจอมก๋ากั่นพูดทั้งที่หน้าขึ้นสี

“นั่นเรียกว่าสมยอม ทั้งยอมทั้งยั่วด้วย”

พรนับพันบิดเนื้อที่แขนเจ้าบ่าวอย่างหมั่นเขี้ยว และแก้เขิน ก่อนจะกลับสู่โหมดหน้าเครียดต่อ “ฉันเพิ่งฟังความจริงอีกอย่างจากสารวัตรลาวามา”

“ผมไม่มีความจริงอะไรซ่อนคุณแล้วนะ” ทิวากรรีบออกตัว ในทีแรกที่วันนี้เป็นวันแต่งงาน ที่เขาตั้งใจเซอร์ไพร้ส์พรนับพันอยู่แล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะหายโกรธหรือไม่ เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้หนึ่งดาราได้อยู่ร่วมงาน แต่เขาก็กลัวว่าถ้าขืนรอไปรวบยอดอาทิตย์หน้า ใครแถวนี้จะได้เกิดหนีไปจริง วันนั้นเขาก็คงทนไม่ไหว

พรนับพันหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องนั้นต้องใช้เวลาทั้งชีวิตตรวจสอบ”

“แล้วสารวัตรเขาว่าอะไรครับ” ทิวากรพากลับไปยังเรื่องที่เจ้าสาวคนสวยเขาทำหน้าเครียด

“จำเรื่องร้านอาหารญี่ปุ่นได้ไหม”

“ผมเจอคุณที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสองครั้ง ครั้งไหนล่ะครับ” ครั้งแรกก็คือตอนที่นัดเจอกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก กับอีกครั้งก็...

“คุณกับคุณน้ำหนาว”

“มีอะไรครับ ผมปล่อยเรื่องนี้ให้ตำรวจจัดการ”

“คุณจำได้ไหมว่าเรื่องคราวนั้นจับตัวคนวางยาคุณน้ำหนาวไม่ได้เลยสักคน” พรนับพันหยุดไป กัดริมฝีปากแดงสวยตัวเองชั่งใจ ก่อนจะบอกสิ่งที่สารวัตรบอกกับเธอ “เพราะว่าคุณน้ำหนาวเธอวางยาตัวเองค่ะ”

“คนที่รู้ว่าฉันเป็นนักเขียน นอกจากน้ารุจี ก็ยังมีคุณน้ำหนาวด้วยเหมือนกัน เธอไปอยู่ที่บ้านฉันตั้งหลายวันตอนนั้น ฉันยกคอมมาพิมพ์งานต่อหน้าเธอด้วยซ้ำไป”

“ทำไมคุณถึงเชื่อแบบนั้น”

หญิงสาวสังเกตแววตาของทิวากรว่าจะมีแววหวั่นไหวไปกับรักเก่าหรือไม่ แต่ดวงตาคมปลาบที่มอง และพร้อมเชื่อเธอทำให้พรนับพันยินดีที่จะเล่าต่อ “พี่ชวินปฏิเสธเรื่องเปิดเผยตัวตนของฉัน รวมทั้งเรื่องร้านอาหารญี่ปุ่น ที่จริงคุณจิวก็ข่มขู่ฉันจริงนะคะ แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง ตอนอาหารญี่ปุ่นคุณน้ำหนาวเธอสร้างเรื่องทั้งหมดโดยใช้ชื่อคุณจิว สารวัตรลาวาตรวจสอบเบอร์ การโทรเข้าออก คุณจิวเองก็บอกว่าเธอไม่มีทางให้ผู้หญิงอื่นได้เข้าใกล้คุณทิวแน่”

“เบื่อจริงๆ เลยผู้ชายที่หญิงแท้ หญิงไม่แท้รุมแย่งกันเนี่ย” พรนับพันกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เธอกอดเอวเจ้าบ่าวที่ในที่สุดก็อยู่ในอ้อมแขนของเธอด้วยความรัก “คุณน้ำหนาวเธอจ้องเราอยู่ด้วยค่ะ” เอียงคอกระซิบริมหูทิวากร

ชายหนุ่มเงยขึ้นมอง พบประกายตาของแขกอีกคนในงานวันนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้ำหนาวจะอยู่ในกลุ่มบุคคลที่สร้างเรื่องขึ้นมาในครั้งนี้ด้วย

“ไม่เหมือนใครแถวนี้หรอกไล่ตะเพิดกันออกจะบ่อย”

“ก็ไม่เห็นว่าไล่แล้วจะไปไหนพ้นเลยนี่คะ ก็วนเวียนอยู่ข้างๆ กันตลอด” พรนับพันยื่นหน้ามาแตะจมูกพลางยักคิ้ว หลิ่วตาล้อเลียน “ไปประกาศศักดากับฉันดีกว่า คุณน้ำหนาวเธอจะได้รู้ว่าคุณทิวเป็นของใคร แล้วคุณสามีก็ต้องรู้ด้วยว่าห้ามไปใจดีไม่เลือกหน้าอย่างที่แล้วมาอีก ขี้เกียจผจญศึกชิงนายอีก มาทำเป็นคนไม่เด็ดขาดอย่างที่แล้วมาไม่ได้แล้วนะ มีระเบิดบึ้มกลางบ้านแน่”

ทิวากรหัวเราะก้องกับคำขู่จากปากสีหวาน เขาไม่ยอมเดินตามพรนับพัน แต่ตรึงร่างอันสมส่วนกลมกลึงไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะจรดริมฝีปากไปบนอวัยวะเดียวกัน ประกาศต่อหน้าสาธารณะ และคนที่ยังมีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาให้รู้ตัวนับจากนี้

หัวใจของนายทิวากร จะขอมีเพียงผู้หญิงปากร้าย เจ้าอารมณ์นามว่าพรนับพันเพียงคนเดียว...จากนี้และตลอดไป

“คุณน้ำหนาวไปแล้ว” ภรรยาตัวแสบของเขาเขย่งเลยหัวไหล่หนาขึ้นมองพลางหัวเราะคิกคัก หอมแก้มสามีฟอดใหญ่ให้รางวัลกับจูบมาราธอนนานนับนาที...จูบไล่มารจริงๆ

“ขออีกครั้งได้ไหม”

ท่าทีเอาแต่ใจของทิวากรทำให้คนฟังร้องเสียงหลง เมื่อครู่ลมหายใจเธอเกือบจะหมดเอา

“ไม่เอา อายเขา”

“แต่นายแปบยืนเกาะเสาบ้านมองอยู่ ผมต้องประกาศศักดา”

พรนับพันไม่ทันร้องประท้วง ก็ถูกจู่โจมด้วยริมฝีปากเดิมอีกครั้ง เธอไม่รู้หรอกว่านายเป็นไทยืนเกาะเสาบ้านมองมาจริงหรือเปล่า แต่การประกาศศักดาแบบนี้...พานให้เลือดลมเธอร้อนซู่ และหัวใจเอาแต่สะกดร้องลั่นว่า...เอาอีกๆ

สามีใครก็ไม่รู้...รักจังเลย



....................................................

เกิดอาการอยากอัพสองตอนรวด เป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยกันเลยค่า ฮิ้ววว เดี๋ยวบทส่งท้ายจะตามมาในวันพรุ่งนี้นะคะ ก่อนเปียกน้ำให้สำลักความหวานกันก่อน
ละครชุดหมักดองอย่าง พี่ภีมกับนายกลางยังคงหยุดอยู่ที่เดิมค่ะ ฮา ส่วนนายแปบตอนนี้ยังไม่มีโครงการนะคะ โนพล็อตมาก แต่รักฮี ใครรักนายแปบรอตอนหน้านะคะ จับมาส่งท้ายด้วย

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ อารมณ์นางไม่สนความจริงอะไรแล้ว นอกจากต้องการทดสอบความอดทนของพี่ทิวค่า หลังจากทำตัวเป็นพระเอกมานาน

คุณ konhin พระเอกเรื่องนี้น่าหมั่นไส้นะคะ ทำตัวดีเกินไป ฮา คงไม่กล้าแล้ว

คุณ อัศวินนภา บทหน้าแปบมาเยอะค่ะ รอความน่ารักของเขาได้

คุณ yimyum กลัวนายแปบจะทำให้พี่ทิวหึงเกินไปค่ะ ฮา เขียนจนถึงบทพิเศษก็ยังนึกหน้านางเอกของแปบไม่ออก แต่เป็นตัวป่วนต่อไปนี่ยังนึกออก ฮา

คุณ Sukhumvit66 พาตอนจบมาเสิร์ฟเลยค่า กลัวจะเล่นน้ำแล้วไม่มีเวลาอ่าน อิอิ

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่า พาเรื่องนี้มาถึงตอนจบในวันนี้ มงคลแท้ๆ บทพิเศษพรุ่งนี้นะคะ ไม่รู้ใครจมบ่อน้ำตาลไปแล้วหรือยัง หรืออยากไปเกาะเสาบ้านเป็นเพื่อนนายแปบแทน ฮา ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2557, 00:54:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2557, 00:54:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 3082





<< บทที่ 19 : หมดความอดทน   ตอนพิเศษ >>
Sukhumvit66 12 เม.ย. 2557, 01:54:26 น.
ฮิ้ววว..แล้วก็แฮปปี้ เอนดิ้ง ไปอีกเรื่อง....
ปรบมือ ปรบมือ


atua 12 เม.ย. 2557, 06:18:34 น.
หนุกค่ะ ยังรออ่านอีกเรื่องนะค่ะ


OhLaLa 12 เม.ย. 2557, 13:46:53 น.
เผลอแป็ปเดียวจบแล้ว ชอบการประกาศศักดาระหว่างทิวกับพราวด์ รอบทพิเศษนะคะ


yimyum 12 เม.ย. 2557, 14:37:33 น.
ให้นายแปบมีนางเอกบ้างสิ อยากเห็นจังว่าเวลานายแปบหวานกับคนรักจะฮาขนาดไหน^^








จบแร้ววววววว...........ฮิ้วววว ยิ้มเบยยย


Auuuu 12 เม.ย. 2557, 20:25:58 น.
อ่านรวดเดียวยาวววว สนุกดีค่า ชอบๆ :)


อัศวินนภา 12 เม.ย. 2557, 23:00:11 น.
โอ้ยๆๆๆๆ นำ้ตาลขึ้น ยิ้มกว้างมากกก น่ารักมากเลย


konhin 13 เม.ย. 2557, 00:30:42 น.
ประกาศศักดาาาา กรี๊ดๆๆๆ หวานตอนจบจนได้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account