Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง

ตอน: บทที่ 4

ภายในห้องทรงพระอักษรซึ่งรายล้อมไปด้วยหนังสือและเอกสารมากมาย มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่จัดเข้าชุดไว้กับโต๊ะรับรองที่กึ่งกลางห้อง ผมของเขาเป็นสีขาวยาวจนเลยเอวเล็กกิ่ว แต่น่าแปลกที่คิ้วดกหนานั้นยังคงดำขลับ นัยน์สีน้ำตาลจ้องมองพื้นที่ปูด้วยพรมลายวิจิตรชั้นดี สองมือผอมเรียวราวประสานไว้บนตัก เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต ใบหน้าซึ่งบ่งบอกว่าผ่านชีวิตมาเนิ่นนานไม่สื่ออารมณ์ใด จนกระทั่งเสียงเอ่ยของอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วยดังขึ้น

“จะให้สรุปผลงานครั้งนี้ของท่านเช่นไรดี ราชครูของข้า”


กษัตริย์แห่งแคว้นกอรินธ์วัยห้าสิบชันษาตรัส ทั้งๆ ที่ยังหลับพระเนตร พระวรกายแข็งแกร่งเฉกเช่นชายหนุ่มผิงอยู่กับเก้าอี้ไม้สักทองหลังโต๊ะทรงอักษรตัวใหญ่ พระองค์เป็นกษัตริย์นักรบที่ทุกแคว้นบนคาบสมุทรนี้ต่างยำเกรงและไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางอันอาจจะก่อให้เกิดสงคราม จะยกเว้นก็แต่เพียงแคว้นเซเพรัสที่มีกองกำลังทหารอันแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่านั้น ที่กล้าพอจะงัดข้อด้วย


“ล้มเหลว แต่ไม่ถึงกับไม่เป็นท่า”ราชครูตอบ น้ำเสียงราบเรียบ “หม่อมฉันได้พรากผลึกเทพธิดามาจากอ้อมอกของเซเพรัสได้สำเร็จ”


กอรินธ์ลืมพระเนตรสีมรกตขึ้น ทอดพระเนตรไปยังร่างของราชครูของพระองค์ที่ยังนั่งจ้องมองพรมอยู่เช่นเดิม


“ท่านเล่ามาให้ละเอียดสิ”


“ทูลฝ่าบาท”ราชครูเกริ่น หันมาค้อมศีรษะลงอย่างช้าๆ “ระหว่างการสู้รบ หญิงสาวคนหนึ่งได้ทำผลึกแตก พลังทั้งหมดจึงพุ่งเข้าสู่ร่างหม่อมฉันที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ทว่าดวงจิตเทพธิดานั้นสถิตอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้นั้น”


“และอะไรเล่าที่ท่านว่าล้มเหลว”กอรินธ์ตรัสถามอย่างฉงนพระทัย “เพราะเท่าที่เราต้องการคือพลัง ซึ่งตอนนี้ก็อยู่กับตัวท่านแล้ว”


“สำคัญตรงที่ว่าพลังนั้นไม่สามารถสำแดงพลานุภาพใดๆ ได้ หากขาดดวงจิต ทั้งสองต้องอยู่คู่กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้”ราชครูบอก


กอรินธ์ครุ่นคิดอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนรับสั่งบอก “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องไปนำตัวนางผู้นั้นมา ซึ่งท่านคงรู้ดีอยู่แล้ว -- ฆ่านางและดึงดวงจิตมา”


หากแต่ราชครูปฏิเสธ “ทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะดวงจิตที่ขาดพลังต้องอาศัยร่างในการดำรงอยู่ หากผู้เป็นเจ้าของร่างกายนั้นตาย ดวงจิตจะไม่สามารถทนรับการสูญสิ้นนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง และจะสลายไป พลังที่อยู่ในร่างของหม่อมฉันก็จะไม่มีค่าอะไรอีกเลย”


“แล้วท่านล่ะ เหมือนนางหรือเปล่า”


“ตรงอย่างข้ามอย่างสิ้นเชิง”ราชครูตอบด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “หากหม่อมฉันตาย พลังจะเคลื่อนย้ายไปยังร่างของมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบใดที่ดวงจิตยังไม่สูญสลายหรือถูกทำพิธีให้สถิตอยู่ในอัญมณีที่มีคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่ง เพราะพลังขึ้นอยู่กับดวงจิตเท่านั้น”


องค์ประมุขทรงสบถอย่างขุ่นเคืองพระทัยเป็นอย่างยิ่ง “ถูกอย่างที่ท่านพูด เราล้มเหลวแต่ไม่ถึงกับไม่เป็นท่า -- แล้วท่านคิดว่าพวกเซเพรัสรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”


“กระหม่อมมั่นใจว่าราชครูไบอัสต้องทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน”


“ซึ่งเขาต้องให้เสนาบดีกลาโหมคอยควบคุมตัวแม่ผู้หญิงนั่นราวกับเงาตามตัวเป็นแน่ -- คราวนี้งานของท่านก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”


“คิดเร็ว ลงมือไว อ่านแผนการของศัตรูขาด -- หากทำได้ ไม่ว่าหนักหนาเท่าไรก็ไม่ใช่ปัญหา”


“ข้าเชื่อว่าท่านสามารถทำดั่งที่พูดได้ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังอดกังวลเกี่ยวกับข้ารับใช้ฝีมือดีของกษัตริย์เซเพรัสไม่ได้”


ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย “ทรงหมายถึง?”


“คนหนึ่งคือศัตรูคู่ปรับของท่าน และสองคือบุรุษที่ทำให้กองกำลังทหารของเซเพรัสทรงอำนาจเหนือแคว้นต่างๆ บนคาบสมุทรแห่งนี้”กอรินธ์รับสั่ง “ข้ายอมรับและชื่นชมในฝีมือของพวกเขา แต่ในเมื่ออยู่คนละฝ่ายก็ต้องกำจัดทิ้ง”


“ถึงไม่มีรับสั่งหม่อมฉันก็ต้องฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะหากปล่อยไว้จะไม่ส่งผลดีกับแคว้นของเราเลย”ราชครูบอก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันขุ่นเคือง “ไบอัสฉลาด เล่ห์เหลี่ยมจัด ส่วนเทเลอัสนั้นหนักยิ่งกว่า นิ่งเฉยเสียจนอ่านทางไม่ออก คาดเดาเอาอะไรจากเขาไม่ได้เลยสักนิด ที่สำคัญ...ฝีมือเขาไม่ธรรมดา”


พระเนตรขององค์กษัตริย์หรี่เล็กลงขณะเอ่ยรับสั่ง “แสดงว่าข่าวที่ร่ำลือกันก็เป็นเรื่องจริง”


“พ่ะย่ะค่ะ”ราชครูยอมรับ ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “เทเลอัสเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์”


“หากเทียบกับท่าน”


“แม้ไม่เคยปะทะกันรุนแรง แต่คาดว่าฝีมือคงใกล้เคียงกับกระหม่อม”


“แบบนี้ยิ่งปล่อยไว้ไม่ได้”ทรงใช้พระกรซ้ายทุบลงบนโต๊ะหนักๆ หนึ่งครั้ง พระสุรเสียงคัดเคืองพระทัย “รีบหาทางกำจัดเทเลอัสโดยเร็วและชิงตัวผู้หญิงคนนั้นมา แต่ว่า...”กอรินธ์รับสั่งเหมือนเพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”


คิ้วของราชครูขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะตอบ “กระหม่อมไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนในวังหลวง เพราะตอนที่กระหม่อมพยายามพาตัวกลับมาด้วย เสนาฯกลาโหมเข้ามาขัดขวางไว้และพานางไปทั้งๆ ที่สลบไม่ได้สติ”


“พระธิดาพระองค์เล็กของเซเพรัสหรือเปล่า”กอรินธ์สันนิฐาน


“ไม่ใช่อย่างแน่นอน”ราชครูบอก พลางนึกย้อนไปถึงใบหน้าของหญิงสาว “ไม่เหมือนเลยสักนิด”


การหาคำตอบว่าหญิงสาวรายนั้นเป็นใครไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนในตอนนี้ -- กษัตริย์กอรินธ์ครุ่นคิด แต่เรื่องการดึงดวงจิตเทพธิดามานั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด


“ข้าต้องการให้ท่านนำตัวหญิงสาวคนนั้นมา และหาทางดึงดวงจิตมารวมกับพลังในร่างกายท่านให้เร็วที่สุด ข้าไม่ต้องการให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ข้าเกลียดการรอคอย”


ทรงเน้นรับสั่งสุดท้าย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ราชครูรู้เป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มอธิบายแผนการต่อไปของตนต่อกษัตริย์อย่างละเอียดลออ



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




“เป็นอย่างไรบ้างอาเดรียน่า วันนี้เหนื่อยไหม เห็นตรวจคนไข้เสียหลายคน”


ฟาลซีล หนึ่งในคณะแพทย์หลวงที่อายุไล่เลี่ยกับอาเดรียน่าเอ่ยถามอย่างชวนคุย เขาเป็นคนตระกูลขุนนางที่ไม่ใหญ่โตนักหากนับตามการถือครองที่ดินและข้าทาสบริวาร แต่ด้วยอัธยาศัยที่ดีจึงทำให้ได้รับการนับถืออย่างค่อนข้างกว้างขวาง และฟาลซีลก็เป็นดั่งเช่นบรรพบุรุษของเขา ทั้งการพูดจา สีหน้า และการแสดงน้ำใจไมตรี ทำให้เขาเป็นที่ที่ชื่นชอบของทุกคน รวมทั้งอาเดรียน่าด้วย


“แค่สี่ห้ารายเท่านั้น อาการก็ไม่หนักหนามากแล้ว เหลือแค่มั่นทำความสะอาดบาดแผลกับกินยาเท่านั้นเอง เจ้าสิที่น่าเหนื่อย มาให้รักษาแต่ละรายอาการหนักทั้งนั้น”


“อาการไม่ถึงกับน่าเป็นห่วงหรอก แต่ข้าเป็นจักษุแพทย์รักษาเฉพาะทางจึงดูเหมือนงานเยอะ”ฟาลซีลตอบ พลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหญิงสาวซึ่งกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทำแผล “เจ้าอยากเรียนจักษุแพทย์บ้างไหมล่ะ ข้าจะสอนให้”เขาเสนอ


อาเดรียน่าส่ายหน้า “แค่วิชาแพทย์พื้นฐานทั่วไปข้ายังต้องเรียนอีกเป็นหอบ แล้วจักษุแพทย์น่ะเป็นวิชาเฉพาะทาง เวลาปฏิบัติก็ต้องช่างสังเกตละเอียดรอบคอบ คนหัวทึบแถมใจร้อนอย่างข้าไปไม่รอดหรอก”


“อย่าพูดบั่นทอนคุณค่าตัวเองอย่างนั้นเลย แล้วข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าหัวทึบ แต่เก่งมากเลยเชียวล่ะ”


หญิงสาวชี้หน้าตัวเองแล้วหัวเราะ “ข้าน่ะเหรอเก่ง!”นางพูด แต่ยังไม่ทันปฏิเสธต่อ อีกฝ่ายก็เสริมขึ้นว่า


“ใช่ เจ้าเก่ง จากที่ข้างสังเกตมาสามอาทิตย์ คนอื่นก็ชื่นชมเจ้า โดยเฉพาะท่านโอโดวาคาร์”


“ก็คงจะมีแต่บรรดาคณะแพทย์หลวงนี่ล่ะที่ชื่นชมข้า”


ฟาลซีสทำสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมพูดเช่นนั้น”


“ลองไปถามพวกทหารดูสิ หรือเจ้ายักษ์สองคนที่คอยตามข้าทุกฝีก้าวนั่นก็ได้ เจ้าจะได้รับคำตอบที่ตรงกันข้ามกับคำว่านิยมชมชอบกลับมาแน่ๆ”อาเดรียน่าพูดอย่างขมขื่น


ฟาลซีสเหลือบมองทหารสองนายที่ยืนทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ที่สุดมุมห้อง ซึ่งดูเหมือนจะพลัดเวรกับชุดเมื่อบ่ายวานนี้ ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่ทำหน้าสลด


“หากบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำผิดดั่งที่ถูกกล่าวหาก็อย่าได้คิดใส่ใจไปเลย สักวันความจริงจะต้องปรากฏ และคนพวกนั้นก็จะต้องอับอายตัวเอง”ฟาลซีสว่า “บอกตามตรงนะอาเดรียน่า ในความรู้สึกข้า เจ้าไม่เหมือนสายลับเลยสักนิด”


“หากเสนาฯกลาโหมคิดเหมือนเจ้า ข้าคงไม่ต้องมาติดแหงกอยู่อย่างนี้ ซ้ำร้ายยังต้องทนแบกความอัปยศที่ข้าไม่ได้ก่ออีกต่างหาก -- ข้าล่ะเกลียดเขานัก”อาเดรียน่าพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้ายุ่งยากใจเอ่ยอ้อมแอ้ม “ความจริง ท่านเสนาฯ กลาโหมน่ะ ท่าน --”


“เป็นคนดี! สุภาพบุรุษ -- นั่นมันสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับข้า!”อาเดรียน่าเอ่ยแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจสายตาถมึงถึงของทหารสองนายที่ส่งมาให้เลยสักนิด “เลิกพูดถึงเขาเถอะ ข้าไม่อยากเสียสุขภาพจิตก่อนมื้อเที่ยง จะพาลกินอาหารไม่ลงเสียเปล่าๆ”


ฟาลซีสได้แต่ยิ้มรับ


“ฟาลซีล ข้าขอถามท่านสักเรื่องหนึ่งจะได้ไหม”จู่ๆ อาเดรียน่าก็เอ่ยขึ้น หลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่


“ได้สิ หากตอบได้ ข้าจะบอกทันที”


“ท่านรู้จักนางข้าหลวงที่ชื่อว่าซีย์น่าบ้างหรือเปล่า”


คิ้วหนาสีทรายของชายหนุ่มขมวดมุ่น ขณะพยายามคิดทบทวนความทรงจำของตนอย่างหนัก


“ซีย์น่า...อืม...ไม่นะ ไม่เคยได้ยินเลย -- คนสำคัญรึ”เขาถาม เมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดของหญิงสาว


“ไม่ใช่ญาติกันหรอก”อาเดรียน่าตอบ “ซีย์น่าน่ะเป็นกำพร้า อยู่ตัวคนเดียว -- ข้ารู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก ซีย์น่าเป็นคนเก่ง เข้มแข็ง ปกป้องข้ามาตลอด ข้าจึงรักนางเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ตอนอายุสิบสองนางเดินทางมาเมืองหลวงกับพวกพ่อค้า หลังจากนั้นสามปีนางกลับไปหาข้าแล้วบอกว่าได้ทำงานเป็นนางข้าหลวงอยู่ในวัง แล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เจอนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็ส่งข่าวมาบอก แต่สองปีหลังที่ผ่านมาไม่มีแม้แต่จดหมายหรือข่าวใดๆ เกี่ยวกับนางเลย ข้าเป็นห่วงจึงเข้ามาตามหา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คืบหน้าเลยสักนิด หนำซ้ำยังลากตัวเองเข้ามาเจอเรื่องยุ่งสุดๆ อีก”


“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องตามหาจากนางข้าหลวงด้วยกัน เจ้าเคยถามพวกนางบ้างหรือเปล่า”


อาเดรียน่าถอนหายใจ ละมือจากงานที่ยังทำค้างอยู่ สีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยลำบากใจ


“เคยถามคนสองคน กับมิลันโธ หรือท่านโอโดวาคาร์ก็ถามมาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้จัก -- ข้ารู้ว่าการตามหาคนๆ เดียวที่ตัวเล็กกระจ้อยร่อยไม่ได้ยิ่งใหญ่โด่งดังนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา แต่เมื่อไรล่ะที่จะได้เจอ ข้าเกรงว่านางจะเป็นอันตราย!”หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง พลางหันมองนายทหารทั้งสองซึ่งยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเอ่ยต่อราวกับประชดชะตาชีวิตตัวเอง “ข้าอุตส่าห์หาเรื่องใส่ตัวเพื่อจะได้มีชื่อเสียงโด่งดัง เดินผ่านไปที่ไหนก็มีแต่คนชะเง้อคอตาม ตานี่ค้างเชียว! -- หวังว่าสักวันหนึ่งซีย์น่าคงจะได้ยินเรื่องราวของข้านะ จะได้ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรง!”


“ที่ตาค้างน่ะ เพราะความงามของเจ้าต่างหาก”


เสียงผู้มาใหม่เอ่ยแทรกขึ้น พร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมเข้มแย้มรอยยิ้มทักทาย เช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ดูเป็นมิตร หากแต่บุคคลที่สองซึ่งเดินตามหลังมาด้วยทำให้รอยยิ้มที่กำลังส่งไปทักทายตอบมลายหายไปจากใบหน้าของอาเดรียน่าในทันที


หญิงสาวเมินหน้าหนีเสนาธิการกลาโหม ลูกน้องคนสนิทของเทเลอัส หันไปตั้งคำถามกับฟาลซีสด้วยเสียงกระซิบกระซาบ


“คนที่เอ่ยทักน่ะ ใครรึ”


“ท่านซาลาคลอส หัวหน้าราชองครักษ์”


เขานี่เอง-- อาเดรียน่าคิดในใจ หันไปมองซาลาคอสที่ยังส่งรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม เมื่อดูจากท่าทางการแสดงออก เขาเป็นคนที่น่าคบหาตามที่เสนาบดีลาร์โก้เคยบอกไว้ แต่ก็อีกนั่นล่ะ เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ใช้ตัดสินความจริงใจกันไม่ได้


ดูอย่างเสนาธิการกลาโหมสิ


หญิงสาวปรายตามองชายหนุ่มผิวเข้มร่างสูงกำยำ ท่าทางสุภาพเรียบร้อยด้วยความความไม่ชอบใจ เพราะตลอดหลายวันที่เทเลอัสไม่อยู่ ก็ไม่ใช่เขาคนนี้หรอกรึที่สั่งให้บรรดาทหารคอยตามเฝ้านางอย่างเข้มงวด ยิ่งกว่าครั้งที่ถูกจับขังอยู่ในคุกหลวงเสียอีก


“เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงทำหน้าบึ้งตึง หรือข้าเผอเรอทำเรื่องให้เจ้าไม่พอใจ”ซาลาคลอสถาม เมื่อเห็นท่าทีไม่รับแขกของหญิงสาว


อาเดรียน่าเพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่เอ่ยคำพูดใดต่อ เพราะถึงอย่างไรซะซาลาคลอสก็เป็นเพื่อนสนิทกับเทเลอัส คนที่นางไม่ชอบหน้าที่สุดในชีวิต จึงต้องระวังตัวไว้ก่อนเช่นกัน


แต่ซาลาคลอสเอ่ยอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะมาคอยจับผิด หากเจ้าไม่ได้มีเจตนาร้ายดั่งที่ถูกกล่าวหา ต่อให้มีเทเลอัสอีกสักสิบคนก็ต้อนเจ้าจนมุมไม่ได้”


“อย่าให้มีถึงสิบเลย แค่คนเดียวข้าก็เหนื่อยที่จะต้องรับมือกับเขาแล้ว”อาเดรียน่าพูดเสียงบูด พลางส่งสายตาตำหนิให้เสนาธิการกลาโหมแทนผู้เป็นนาย ซึ่งยังอยู่ที่ชายแดน


“ฟาลซีล สบายดีนะ”เสนาธิการกลาโหมเอ่ยทักแพทย์หลวง เพื่อหวังเปลี่ยนบรรยากาศอันครุกรุ่นให้สงบลง


ฟาลซีลพยักหน้ารับ ยิ้มตอบ “สบายดีขอรับ แล้วท่านมีรอพส์เล่า สบายดีหรือ พักหลังเห็นท่านงานยุ่ง”


“ก่อนหน้านั่นก็ไม่เท่าไร แต่พอท่านหัวหน้าฯ ไม่อยู่ อะไรๆ ก็มาสุมที่ข้าหมด”


พอพูดจบมีรอพส์ถึงได้รู้ตัวว่าเผลอพาดพิงไปถึงเรื่องของหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นัยน์ตาสวยจึงตวัดจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ทำเอาคนถูกมองทำสีหน้าปั้นยาก หากเป็นนักโทษทั่วไปเขาคงตวาดลั่น แต่นักโทษรายนี้ได้รับสิทธิพิเศษ โดยมีคณะเสนาบดีกว่าครึ่งคอยตามใจราวกับลูกสาวคนโปรดจากตระกูลขุนนางใหญ่ มิหน้ำซ้ำความงามราวเทพธิดายังสะกดให้ความโกรธมอดดับลงได้อย่างง่ายดายอีก


ไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าทรมานผู้หญิงสวยๆ อย่างนี้ลงไปได้ยังไง -- มีรอพส์ได้แต่แอบสงสัยอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะรู้ดีว่าคงได้ถูกเทเลอัสเทศน์ข้ามวันเป็นแน่


“ดูท่าทางเจ้าคงไม่ชอบหน้าเทเลอัสเสียเลย”ซาลาคลอสพูด


“ไม่ใช่แค่หน้าหรอก แต่ทุกๆ อย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเขาเลยเชียวล่ะ”อาเดรียน่าบอกอย่างเน้นหนักจริงจัง “เป็นท่าน จะทำใจชอบคนที่ทรมานท่านทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรได้อย่างนั้นหรือ”


“แต่สถานการณ์ในตอนนั้นไม่ได้เอื้ออำนวยให้หลายๆ คนสงสัยเกี่ยวกับตัวเจ้าเป็นอื่นนอกจากสายลับของกอรินธ์ เจ้าเลือกปรากฏตัวในจุดที่วุ่นวายที่สุด และได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุด รวมทั้งน่าสงสัยอย่างที่สุด”ซาลาคลอสอธิบายด้วยน้ำเสียงสงบ หากแต่สีหน้ายังคงยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม “หากตัดสินโดยยึดเหตุผลของทหาร ถือว่าเทเลอัสทำถูกต้องแล้ว”


อาเดรียน่าเชิดใบหน้าขึ้นอย่างท้าทาย “หากสงสัยมานัก ทำไมไม่ไปสืบประวัติข้าเล่า! รับรองว่าพวกท่านจะได้รู้ความจริงทุกอย่าง จะได้ไม่ต้องมากล่าวหาข้าส่งเดชอยู่อย่างนี้”


“สายลับที่ยอดเยี่ยมต้องไม่มีตัวตน หรือหากมีก็อาจเป็นเพียงข้อมูลเท็จที่ไว้ล่อหลอกให้ผู้คนตายใจ”


“ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรสุดท้ายท่านก็เลือกที่จะเข้าข้างเสนาฯ กลาโหม”อาเดรียน่าเริ่มขึ้นเสียง ลุกพรวดขึ้นยืนประจันหน้า ไม่สนใจเสียงเอ่ยปรามอย่างร้อนรนของฟาลซีลที่อยู่อยู่ด้านหลัง หรือร่างกายของซาลาคลอสที่สูงกว่านางกว่าครึ่งฟุต “ใช่สิ! เขาเป็นเพื่อนรักของท่านนี่”


ซาลาคลอสยิ้ม “เจ้าบอกว่าข้าเข้าข้างเทเลอัสเพราะเป็นเพื่อนกัน เจ้าไม่ชอบหน้ามีรอพส์เพราะเขาเป็นลูกน้องของเทเลอัส เช่นนั้นแล้ว เจ้าสมควรจะเกลียดท่านโอโดวาคาร์ด้วยนะ”


ท่าทีโมโหโทโสของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นงงงันในทันที คิ้วงามได้รูปขมวดมุ่น ขณะที่ดวงตาจ้องเขม็งไปยังหัวหน้าราชองครักษ์


“ท่านโอโดวาคาร์เป็นคนดีมีน้ำใจกับข้า แล้วเหตุใดข้าจึงต้องเกลียดเขา!”


มีรอพส์ยืนอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนตื่นตะลึง ในขณะที่เสียงหัวเราะของซาลาคลอสดังกึกก้องไปทั่วทั้งโรงคนป่วย ส่งผลให้เส้นอารมณ์เส้นสุดท้ายของอาเดรียน่าขาดผึง


“มีอะไรน่าหัวเราะนักหนา!”


“ก็เจ้าน่ะสิ”ซาลาคลอสว่า โน้มตัวเข้ามาใกล้หญิงสาวเล็กน้อย “ไม่เคยรู้หรอกรึว่าท่านโอโดวาคาร์เป็นลุงแท้ๆ ของเทเลอัส”


ถ้วยคำนั้นส่งผลให้ใบหน้าของอาเดรียน่าซีดเผือด นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ ขณะที่สมองกำลังดิ้นรนหาหนทางออกว่าสิ่งที่เพิ่งได้รับฟังเป็นเพียงเรื่องโกหก นางมองสีหน้ายิ้มๆ ของซาลาคลอส ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเสนาธิการกลาโหม จนหันมาหยุดที่ใบหน้าพาซื่อของฟาลซีลซึ่งเอ่ยยืนยันด้วยเสียงแผ่วเบา


“ข้าคิดว่าเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วเสียอีก”


อาเดรียน่าทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตัวเดิมอย่างไร้เรี่ยวแรง เงยหน้าขึ้นมองซาลาคอสอย่างอับจนถ้อยคำ


“ที่ข้าบอกความจริง ไม่ได้หวังให้เจ้ารู้สึกอับอายหรือเสียหน้า แต่ต้องการให้เจ้าใช้เหตุผลในการตัดสินใจคุณความดีของคนๆ หนึ่งมากกว่าอารมณ์ส่วนตัว หรือจากการมองเห็นเพียงแค่ผิวเผิน”ซาลาคลอสแนะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อย่ามองเพียงแค่การกระทำ แต่จงมองจากเหตุผลที่เขาทำ”


อาเดรียน่าค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอีกหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่


“ขอตัวไปทำงานต่อเจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับซาลาคลอส ก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อยและเดินผ่านออกไปจากห้องพร้อมกับฟาลซีล ด้วยอากัปกิริยานอบน้อม


มีรอพส์มองตามหลังหญิงสาวที่เพิ่งเดินจากไปด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง ก่อนจะหันกลับมากระพริบตาปริบๆ ใส่ซาลาคอส


“ท่านหัวหน้าเสกมนตร์ใดใส่นางหรือขอรับ นางถึงได้ยอมเชื่องเป็นลูกแมวเช่นนี้”


“เสกมนตร์!?”ซาลาคลอสเอ่ยทวนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “นี่ข้านะ ไม่ใช่นายของเจ้า”


“ท่านเทเลอัสไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นหรอกขอรับ!”มีรอพส์รีบปฏิเสธอย่างขึงขังจริงจัง ซึ่งทำให้ซาลาคลอสหัวเราะอีกยกใหญ่ “ถึงต่อให้ทำ แต่ข้าว่า...นางคงตั้งท่ารอรับมือเต็มที่ ไม่ยอมโอนอ่อนง่ายๆ เหมือนเมื่อครู่เป็นแน่”


“เป็นเรื่องธรรมดามีรอพส์ หากคนที่จับนางโยนเข้าคุกคือข้า นางคงยืนเถียงข้าคอเป็นเอ็น ไม่ยอมทำท่านอบน้อมเช่นนั้นในท้ายที่สุดหรอก”ซาลาคลอสบอกเหตุผล พลางเดินกลับออกไปยังลานฝึกของพวกทหารราชองครักษ์ซึ่งอยู่ในวังหลวงทางด้านทิศใต้


มีรอพส์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น “เท่าที่จับตามองมาเกือบสามอาทิตย์ ผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะมีพิษสงอะไร บางทีนางอาจเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ก็ได้”


“อย่าเพิ่งวางใจไป เวลาแค่นี้ยังตัดสินอะไรไม่ได้หรอก ดูอย่างสายลับคนก่อนหน้านี้ปะไร ทำเอาข้าหัวเกือบหลุด แต่ที่สำคัญที่สุดน่ะคือนายของเจ้า”ซาลาคลอสหันไปมองมีรอพส์ที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อได้รับฟังเรื่องเมื่อหนหลัง “ช่วยไม่ได้นะที่เขาจะเพิ่มนิสัยระแวดระวังและไว้ใจใครยากมากขึ้นเป็นเท่าตัว”


“ครั้งนั้นท่านเทเลอัสใจเด็ดจริงๆ เป็นข้าคงไม่รู้ว่าจะกล้าลงมือได้หรือเปล่า”มีรอพส์พูด น้ำเสียงกลัดกลุ้มหนักใจ “แต่ยิ่งคิดทบทวนก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่”


ซาลาคลอสแย้มรอยยิ้มอย่างเศร้าสร้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นั่นคือมิตรภาพที่เต็มไปด้วยความจริงใจ เพียงแต่สุดท้ายฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะทำตามภาระหน้าที่ของตนเองมากกว่าจะเลือกมิตรภาพ อีกฝ่ายที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามหน้าที่ของตนเช่นกัน -- มันเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง จุดจบจึงน่าเศร้านัก”


เสียงสนทนาเงียบหายไป เมื่อฝ่ายมีรอพส์นั้นจมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง -- มิตรภาพกับหน้าที่ หากทั้งสองสิ่งขัดแข้งกันก็ไม่มีทางประนีประนอมให้จบลงด้วยดีได้ ขนาดเสนาบดีกลาโหมผู้แสนชาญฉลาดยังต้องอับจนด้วยหนทาง แล้วหากเป็นเขาล่ะ – มีรอพส์ถอนหายใจ ด้วยรู้แน่แก่ใจว่าตนเองคงจนด้วยปัญญาเช่นกัน


“เรื่องบางเรื่องก็อย่าเก็บมาคิดล่วงหน้าเลย จะพาลให้หมดอาลัยตายอยากในชีวิตเสียเปล่าๆ”ซาลาคลอสเอ่ยอย่างรู้ทัน เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “ข้าว่าเจ้าควรทำตัวให้กระฉับกระเฉงนะ ขืนทำปวกเปียกอย่างนี้เทเลอัสกลับมาเห็นจะเอ็ดเอาไม่รู้ด้วยนะ”


“ท่านเสนาฯ จะกลับมาวันนี้เหรอขอรับ!”มีรอพส์ถาม ท่าทางตื่นตกใจเล็กน้อย


“ใช่สิ”ซาลาคลอสตอบ มองกลับด้วยความประหลาดใจ “เทเลอัสไม่ได้แจ้งข่าวมาให้รู้หรอกรึ”


เสนาธิการกลาโหมส่ายหน้าปฏิเสธ คิ้วขมวดมุ่น “ไม่ได้แจ้งไว้เลย ข้าแน่ใจ”


“ลองเป็นแบบนี้แสดงว่าเทเลอัสต้องคิดทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้น มีรึที่จะไม่ส่งข่าวมาบอกคนสนิทอย่างเจ้า”ซาลาคลอสออกความเห็น พลางหยุดยืนเมื่อมาถึงลานฝึกขนาดกว้าง พวกทหารราชองครักษ์บางส่วนซึ่งไม่ได้เข้าเวรกำลังใช้ดาบไม้ฝึกการต่อสู้อยู่บนลาน “ข้ารู้สึกคันไม้คันมือ -- ฝึกดาบกันสักหน่อยไหม”


มีรอพส์ทำท่าเสียดาย “ก็อยากอยู่หรอกขอรับ แต่ท่านดูโน่นสิ พวกลูกน้องข้าเดินหน้าตั้งกันมาทางนี้แล้ว”เขาพยักเพยิดหน้าไปทางขวามือของตัวเอง ซึ่งมีทหารสองนายกำลังใกล้เข้ามาอย่างเร่งรีบ สีหน้าคร่ำเคร่ง “เห็นทีข้าคงต้องกลับไปสะสางงานให้เสร็จก่อนที่ท่านเทเลอัสจะกลับมา ไม่อย่างนั้นข้าต้องโดนเอ็ดด้วยสายตาดุๆ ของท่านแน่”


ซาลาคลอสหัวเราะเสียงดัง มองมีรอพส์ซึ่งทำความเคารพอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปหาทหารทั้งสอง พวกเขาหยุดยืนคุยกันครู่สั้นๆ ก่อนจะเดินไปจากลานฝึกอย่างรวดเร็ว



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



“มิลันโธ! อยู่หรือเปล่า มิลันโธ!”


เสียงร้องตะโกนอย่างร้อนอกร้อนใจของอาเดรียน่า ดังไปทั่วทั้งบ้านหลังใหญ่ของโอโดวาคาร์ บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหมดที่พลอยแตกตื่นพากันโผล่หน้าออกมามองหญิงสาวที่วิ่งวุ่นไปทั่วทั้งบ้านด้วยสีหน้างงงัน รวมทั้งคนถูกเรียกซึ่งวิ่งถลันเข้ามาพร้อมส่งเสียงขานรับ


“ท่านอาเดรียน่า ข้าอยู่นี่!”


อาเดรียน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองสาวใช้ร่างท้วมที่รีบรุดเข้ามาใกล้ “มิลันโธ”


“เกิดอะไรขึ้นเหรอเจ้าค่ะ หน้าตาตื่นมาเชียว”สาวใช้เอ่ยถามขึ้นก่อน


อาเดรียน่าอ้าปากเตรียมพูด แต่ก็ต้องยั้งเอาไว้ เมื่อสังเกตเห็นบ่าวจำนวนมากยังคงยืนมองอยู่ทั่วบ้าน นางจึงคว้าท่อนแขนของมิลันโธ และเดินไปยังห้องนอนของตนแทน


“ทำไม! ทำไมล่ะมิลันโธ ทำไมถึงไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับข้า!”อาเดรียน่าเริ่มปลดปล่อยน้ำเสียงระบายความอัดอั้นของตนเองออกมา ทันทีที่ประตูห้องนอนถูกปิดสนิท “เจ้าก็เหมือนกัน ทำไมถึงไม่บอกข้า!”


“อ้าว!”พี่เลี้ยงสาวใหญ่อุทานลากเสียงยาว เริ่มงงงันมากขึ้นเป็นเท่าตัว “ท่านใจเย็นๆ ตั้งสติก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ แล้วค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่มีทางตอบคำถามของท่านได้เลย”


หญิงสาวทำสีหน้าราวกับรับรู้ข่าวอันน่าสลด ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง


“ผู้ชายคนนั้น...เป็น...เป็นหลานแท้ๆ ของท่านโอโดวาคาร์!”


ความไม่เข้าใจสงสัยของมิลันโธกระจ่างแจ้งในทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือจนอยากจะปล่อยโฮของหญิงสาวตรงหน้า นางมองท่าทางกระเง้ากระงอดราวเด็กหญิงเล็กๆ ด้วยความขบขันเอ็นดูก่อนจะพูดว่า


“โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง -- ก็ท่านไม่เคยถาม เลยคิดว่ารู้แล้วเสียอีก”


“ไม่รู้! ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”อาเดรียน่าตอบ หน้างอ “หน้าข้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนรู้เรื่องนี้ หากข้าใช้ เวทมนตร์ได้คงได้มุดแผ่นดินหนีด้วยความอับอายแน่ๆ”


“แล้วใครบอกเรื่องนี้กับท่านล่ะเจ้าค่ะ”


“หัวหน้าราชองครักษ์”


คิ้วของมิลันโธเลิกขึ้นสูง ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย “เจอกับท่านหัวหน้าฯ มาแล้วเหรอเจ้าค่ะ -- ท่านใจดีเหมือนกับที่ข้าบอกไหม”


“ยังตอบไม่ได้”อาเดรียน่าว่า มองหน้าพี่เลี้ยงสลับกับนิ้วมือของตนที่วางไว้บนตัก กระพริบตาถี่กว่าปกติ ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างดื้อดึง “แต่ที่แน่ๆ เขาดูน่าคบมากกว่าคนเก่งของเจ้า”


“เฮ้อ...คงไม่มีใครดื้อเท่าท่านแน่”


“ใครว่าไม่มี – ท่านเสนาบดีลาร์โก้เพิ่งบอกอยู่ว่าคนดีของเจ้านะ ดื้อพอๆ กับข้า”อาเดรียน่าค้าน จ้องกลับตาแป๋ว ทำเอาพี่เลี้ยงสาวใหญ่ยิ้มกริ่มส่ายศีรษะอย่างระอา


“แล้วตอนนี้หายโมโหหรือยังเจ้าค่ะ”รอยยิ้มยิ่งแย้มกว้าง เมื่อหญิงสาวอ่อนวัยกว่าพยักหน้ารับ ท่าทางกลับมาสงบเสงี่ยมว่าง่ายอีกครั้ง “ท่านควรทำใจให้สบาย ปล่อยวางให้มากกว่านี้ ร่างกายจะได้แข็งแรง เมื่อถึงเวลาที่ต้องดึงดวงจิตเทพธิดาออกจากร่างจะได้ไม่เป็นอันตราย”


นัยน์ตาของอาเดรียน่าเบิกกว้างขึ้นทันที “ท่านราชครูหาวิธีดึงดวงจิตได้แล้วเหรอ”


“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดเอาเองว่าหากสุขภาพท่านแข็งแรงก็น่าจะส่งผลดีกว่า -- ข้าเป็นห่วง ไม่อยากให้ท่านเป็นอันตราย”


“ขอบใจนะ ขอบใจมาก”


อาเดรียน่าพูด พลางกุมมือของมิลันโธแน่น ความรู้สึกอบอุ่นเต็มล้นในอก แล้วด้วยความรู้สึกนี้เองที่ทำให้นางคิดถึงคนสำคัญในชีวิตที่ทำให้ต้องจากบ้านออกมาตามหา โดยมีความหวังว่าในเร็ววันนี้คงมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกครั้ง


************************************



กาแฟเย็นIcedcoffee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2557, 13:24:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2557, 13:24:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1038





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account