Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง
ตอน: บทที่ 6
เทเลอัสกลับจากลานฝึกซ้อมเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องทำงานของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก และทันทีที่เปิดประตูห้องเขาก็เห็นร่างของโอโอวาคาร์ที่กำลังก้มๆ เงยๆ ให้ความสนใจกับแผ่นหนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่วางแผ่อยู่บนโต๊ะกึ่งกลางห้อง
“แผนที่อาณาเขตใหม่นี่วาดได้ละเอียดดีมาก ฝีมือใครล่ะ”หัวหน้าคณะแพทย์หลวงเอ่ยถามทั้งที่ยังคงก้มหน้ามองแผนที่อยู่
เทเลอัสยิ้มมุมปากให้กับท่าทีเกริ่นนำประโยคนั้น ก่อนเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม “คนวาดมีอยู่สองคน แต่คนให้ข้อมูลมีเป็นสิบ ว่าแต่ท่านลุงเถอะ อุตส่าห์ส่งคนไปตามข้ามาทั้งทีเพียงเพราะอยากรู้เรื่องแผนที่เท่านั้นรึ”
“รู้ว่าไม่ใช่ยังจะมาถาม”โอดาวาคาร์ส่งนัยน์ตาเขียวปั้ดไปยังหลานชายที่ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน “ลุงมีเรื่องวานเจ้าสักหน่อย”
“ท่านลุงมีอะไรให้ข้าช่วยเหรอ”
คนเป็นลุงทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ “นึกว่าจะตอบ ‘ขอให้ท่านลุงบอกมา หลานยินดีทำให้ทุกอย่าง’ เสียอีก”
“ข้าไม่ชอบรับปากใครสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านลุงก็รู้”เทเลอัสตอบเสียงเรียบแต่นัยน์ตากลับพราวระยับ ลองผู้เป็นลุงมาไม้นี้ หนำซ้ำยังให้คนไปตามตัวเขามาจากลานฝึกดาบตั้งแต่เช้าล่ะก็ รับรองว่าเรื่องที่มาขอให้ช่วยต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “ตกลงว่าท่านลุงอยากให้ข้าช่วยเรื่องอะไร”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากขอยืมตัวลูกน้องเจ้าที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนสักคน”
“ท่านลุงอยากได้ภาพวาดอะไร”
“ก็ภาพเหมือนตัวข้ายังไง”
เทเลอัสเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ “มีภาพเขียนตัวเองเวลามองแล้วเหมือนกำลังดูภาพปีศาจ ไม่เอาด้วยหรอก น่ากลัว”
โอโดวาคาร์สะดุ้ง อยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อหลายปีก่อนเทเลอัสเคยเสนอนักวาดภาพฝีมือดีให้วาดภาพเหมือนให้ แต่เขากลับปฏิเสธไปด้วยประโยคที่เทเลอัสเพิ่งจะพูดจบไปเมื่อครู่
ใจเย็นๆไว้ อย่าลน เดี๋ยวถูกจับได้ – หัวหน้าคณะแพทย์หลวงบอกตัวเอง ลอบสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ แล้วแกล้งเฉไฉหน้านิ่ง “ลุงเปลี่ยนใจแล้ว อย่ามีภาพเหมือนตัวเองไว้ประดับมารมีเหมือนบารอนคนอื่นๆ บ้าง”บอกเหตุผลที่เพิ่งคิดออกสดๆ ร้อนๆ แต่สีหน้ากับนัยน์ตาของเทเลอัสนั้นไม่ได้ทำให้คนเป็นลุงสบายใจได้เลย ดูท่ายิ่งพูดจะยิ่งมีพิรุธเสียมากกว่า
“เดี๋ยวข้าจะให้มีรอพส์เป็นธุระจัดการหาคนให้”
โอโดวาคาร์ยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินคำตอบของหลานชาย นึกอยากจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกที่สุดท้ายแผนการก็บรรลุเป้าหมาย แต่พอได้ยินเทเลอัสเอ่ยประโยคต่อมา รอยยิ้มก็พลันมลายหายไปในทันที
“แต่พอดีช่วงนี้ทหารที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนงานเยอะ ปลีกตัวไปไหนไม่ได้ คงต้องรบกวนให้ท่านลุงมานั่งเป็นแบบในห้องทำงานข้าแทน”
“ในห้องนี้งั้นเหรอ!” โอโดวาคาร์ร้องถามเสียงหลง หายใจเข้าออกฟึดฟัดเพราะถ้าดูจากรอยยิ้มของเทเลอัสแล้ว เขาตอบได้ในทันทีว่าเจ้าหลานชายหัวไวต้องกำลังสงสัยเขาอยู่เป็นแน่แท้ คราวนี้เข้าใจหัวอกของราชครูไบอัสเสียทีว่าทำไมถึงเอือมระอากับเทเลอัสนัก “เทเลอัส เจ้ามัน...ตัวแสบ!”
“ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แล้วหากไม่ทำเช่นนี้มีเหรอที่ท่านลุงจะยอมบอกความจริง” เทเลอัสบอก นึกขำท่าทางโมโหขัดเคืองใจของผู้เป็นลุง “บอกมาตามตรงดีกว่า เพราะหากขืนบ่ายเบี่ยงท่านลุงคงทราบดีว่าคนอย่างข้าไม่มีทางยอมช่วยแน่นอน”
โอโอวาคาร์ถอนหายใจ กระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆ “คนเขาเดือดร้อนเลยอยากให้ลูกน้องเจ้าไปช่วยวาดภาพเหมือนของเพื่อนสนิทที่หายตัวไปจากบ้านมาหลายปี เวลาไปตามหาจะได้สะดวก ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะบรรยายรูปร่างหน้าตา”
“แล้ว...คนเขาเดือดร้อนของท่านลุงน่ะ ใคร”
“ทำไมจะต้องถามด้วย ใครเดือดร้อนมาเราช่วยได้ก็ช่วยไป ไม่เข้าใจเหรอ ข้าเป็นหมอ ยึดถือคตินี้เป็นหลัก”
“ข้าเป็นทหาร”เสนาบดีกลาโหมเอ่ยแย้งเสียงเย็น
“ทหารไม่ใช่คนไม่มีหัวใจไม่มีเมตตาเลยเหรอ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องซักไซร้อย่างที่ทำกับพวกนักโทษเลย”
“คงไม่ใช่เรื่องจำเป็นหากท่านลุงไม่พยายามปิดบังคนๆ นั้นจากข้า”เทเลอัสพูด “หากไม่ยอมบอกว่าคนๆ นั้นคือใคร ข้าจะปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือ”
โอโดวาคาร์ถลึงตาดุใส่หลานชายที่ไม่สะทกสะท้านหวาดหวั่นเลยสักนิด แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่สุดท้ายก็ปวดหัว จนปัญญาจะต่อปากต่อคำ “ก็ได้ บอกก็ได้! แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะช่วย”
เทเลอัสถอนหายใจ ก่อนพยักหน้ารับตามคำขอ โอโดวาคาร์จึงยอมบอกแต่โดยดี
“คนที่เจ้าต้องช่วยเหลือคืออาเดรียน่า”
พอได้ยินชื่อของนักโทษสาว ใบหน้าของท่านเสนาบดีกลาโหมก็ขึงตึง เอ่ยเสียงเย็น “นางให้ท่านลุงมาพูดกับข้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ได้ใช้ แบบนี้เขาเรียกขอร้อง” โอโดวาคาร์รีบอธิบายข้อเท็จจริงให้อีกฝ่ายฟัง “คิดดูสิ หากนางเดินเข้ามาขอคุยกับเจ้าด้วยตัวเอง อย่าว่าแต่จะเข้าถึงตัวเจ้าเลย พวกทหารไม่มีทางยอมให้นางเฉียดเข้าใกล้แม้แต่ขอบลานฝึกดาบหรอก”
“ท่านลุงก็เลยอาสามาพูดโกหกกับข้า?”
โอโดวาคาร์ส่งเสียงฮึดฮัดรำคาญใจใส่หลานชายที่นับวันจะยิ่งก่อกวนให้ใครต่อใครประสาทเสียได้เก่งเหลือเกิน “อยากจะคิดยังไงก็แล้วแต่เจ้าเลยเทเลอัส แต่อย่าลืมว่าเจ้ารับปากกับลุงแล้วว่าจะช่วยอาเดรียน่า ห้ามคืนคำเด็ดขาด”
“คนอย่างข้าคำไหนคำนั้น”
“ดี”
“แต่นางต้องมาคุยกับข้าเอง”เทเลอัสพูดต่อ ไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของผู้เป็นลุง “หากอยากได้น้ำใจจากคนอื่นก็ต้องแสดงความจริงใจของตัวเองก่อน เรื่องของตัวเองแต่ให้คนอื่นแบกหน้ามาเจรจาต่อรอง นอกจากจะเสียมารยาทแล้วยังแสดงว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาดอีกด้วย”
โอโดวาคาร์ยกมือขึ้นลูบศีรษะตนไปมาอย่างยุ่งยากลำบากใจ “แล้ว...ถ้านางไม่มา”
เทเลอัสส่ายหน้าช้าๆ “จำคำพูดเมื่อครู่ของข้าไปบอกนาง รับรองว่าคนดีของท่านลุงได้วิ่งแจ้นมาหาข้าแน่”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลังจากจัดการผู้ป่วยรายแรกของวันที่มีอาการผดผื่นขึ้นทั่วตัวไปเรียบร้อย อาเดรียน่าก็กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวกลมสามขาอย่างขัดเคืองใจ ไม่ว่าจะพยายามข่มอารมณ์ให้สงบลงเท่าไรก็แทบไม่เป็นผล ยิ่งเมื่อหันไปเจอทหารซึ่งคอยจับตาดูตนอย่างเข้มงวดก็ยิ่งพาลให้นึกถึงเสนาบดีกลาโหม ผู้เป็นสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้หญิงสาวอยู่ในอารมณ์บูดสนิท
เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ ผู้ชายอะไรปากร้ายที่สุด
อาเดรียน่าบ่นฮึดฮัดในใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่โอโดวาคาร์เล่าให้ฟังระหว่างที่ทั้งคู่นั่งกินอาหารเช้า หลังออกไปเจรจาต่อรองเทเลอัสรับปากจะช่วย แต่มีข้อแม้ว่านางต้องไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังไม่วายฝากประโยคค่อนขอดเรียกอารมณ์โกรธให้เดือดจนแทบปะทุ หากไม่ติดเรื่องซีร์น่านางคงจะบุกไปอาละวาดใส่เทเลอัสเรียบร้อยแล้ว
อย่างที่มิลันโธบอก เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
อาเรียน่าถอนหายใจ พยายามข่มอารมณ์โกรธเคืองให้สงบ เพราะหากต้องการสืบหาข่าวของเพื่อนรักต่อไป เทเลอัสคือทางเลือกเดียวที่จะต้องลองเสี่ยงเข้าไปเผชิญหน้าเอง
ลองเสี่ยงใช้มารยาหญิงกับหมอนี่ดูสักครั้งแล้วกัน -- อาเดรียน่าบอกตัวเองแล้วเดินออกไปจากโรงคนป่วยทันที
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“ถ้ายังติดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรดีก็กลับออกไปก่อน”
มีรอพส์ที่ก่อนหน้านั้นเอาแต่ยืนกระสับกระส่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดถึงกับสะดุ้ง เพราะไม่คิดว่าเทเลอัสที่กำลังนั่งตรวจดูตารางเวรยามอยู่ในห้องทำงานจะสังเกตเห็นตนที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ขอโทษขอรับท่านเสนาฯ”เขาก้มตัวทำความเคารพ เดินเข้ามาอยู่ใกล้โต๊ะทำงานของผู้เป็นหัวหน้า ก่อนเอ่ยเข้าเรื่อง “คือว่า มีคน...เอ่อ...มาขอพบท่านขอรับ”
“ใคร”เทเลอัสถาม ตายังคงสารวนอยู่กับงานตรงหน้า แต่จากท่าทีอึกอัดของมีรอพส์และปัจจัยประกอบอีกสองสามข้อ เขาก็พอจะเดาได้ว่าใครที่มาขอพบเขาถึงห้องทำงานตั้งแต่เช้า
“อาเดรียน่าขอรับ”มีรอพส์ตอบเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ แทบจะหยุดหายใจระหว่างรอฟังคำตอบจากผู้เป็นหัวหน้า “ท่านเสนาฯจะให้นางเข้าพบไหมขอรับ”
“นางอุตส่าห์มาหาถึงห้องทำงานก็ต้องยอมให้พบสิ หากปฏิเสธข้าคงถูกหลายคนประณามว่าไร้น้ำใจ”เทเลอัสตอบ
มีรอพส์ลอบกลืนน้ำลาย พยายามนึกหาสาเหตุว่าทำไมหญิงสาวที่เกลียดหัวหน้าของตนเข้าไส้จู่ๆ ก็โผล่มาหาเสียเอง ในขณะที่เทเลอัสก็ดูท่าจะไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด เพราะการตอบรับนั่นบอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้เป็นหัวหน้าของตนอาจรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว
หลังมีรอพส์หายไปเพียงชั่วอึดใจ ร่างของหญิงสาวก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของเทเลอัสราวสองเมตร นางยืนอยู่เงียบๆ รอให้อีกฝ่ายเกริ่นทักทาย แต่ดูเหมือนเขาจะสนใจงานตรงหน้ามากกว่าแขกผู้มาขอเข้าพบ ซึ่งเขาอาจคิดว่าเป็นเพียงอากาศธาตุไม่มีตัวตน
“ท่านเสนาฯ”อาเดรียน่าเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ “ขอภัยที่มารบกวน ข้ามีเรื่องสำคัญอยากให้ท่านช่วย”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
อาเรียน่าพยายามอดกลั้นกับท่าที่เฉยชาของอีกฝ่าย สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ยาวๆ ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนอบน้อมสุดชีวิต
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องขอให้ท่านเมตตาให้ความช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
พอได้ยินเสียงอ่อนฟังรื่นหู เทเลอัสจึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ใบหน้าที่เคยงอง้ำและจ้องมองราวกับสาปแช่งเขาทุกครั้งที่เจอกัน กลับสงบเสงี่ยมอ่อนโยน ไม่เหลือเค้าความดื้อรั้นเลยสักนิด จนอดคิดไม่ได้ว่าที่หญิงสาวยอมอ่อนข้อให้ด้วยเพราะต้องการความช่วยเหลือจริงๆ หรือเพียงแค่เล่นละครตบตาเขากันแน่
“เรื่องอะไร”
รู้แล้วยังจะมาถาม -- อาเดรียน่าเข่นเคี้ยวในใจ หากก็ยอมตอบแต่โดยดี
“เท่าที่ทราบ ท่านโอโดวาคาร์ได้มาเกริ่นถึงเรื่องนี้กับท่านเสนาฯ ไว้บ้างแล้ว--”
“ใช่ ลุงข้าออกนอกหน้าแทนเจ้าทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”เทเลอัสเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ แต่ละคำพูดเนิบช้าเน้นหนักราวกับต้องการให้ถ้อยคำเหล่านั้นซึมซาบเข้าไปในโสตประสาทของหญิงสาวให้ได้มากที่สุด “หากเจ้าไม่รู้ข้าก็จะบอกไว้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายว่าข้าเป็นคนตรง เพราะฉะนั้นต่อไปหากมีเรื่องอะไรไม่มาคุยกับข้าด้วยตัวเอง ไม่ต้องอ้อมค้อมพูดฝากใครมาอีก”
“เจ้าค่ะ”อาเดรียน่ารับคำ ผลุบตามองต่ำ ด้วยเกรงว่าอาจจะเผลอแสดงอาการไม่พอใจผ่านสีหน้าและแววตาออกมาให้เทเลอัสเห็น
เทเลอัสวางปากกางขนนกลงและหันมาให้ความสนใจกับหญิงสาวแทน “พูดเรื่องของเจ้ามา”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วอึดใจ รวบรวมคำพูดทั้งหมดก่อนค่อยๆ เอ่ยเล่า “ข้ากำลังตามหาคนๆ หนึ่ง เป็นเพื่อนสนิท รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก นางคือสาเหตุที่ทำให้ข้าเดินทางมายังเมืองหลวง”อาเดรียน่าช้อนนัยน์ตาขึ้นมองไปยังอีกฝ่ายที่ยังนั่งนิ่งราวกับรูปสลักไร้ชีวิต ท่าทางเหมือนกับคืนแรกที่เขาสอบสวนนางในคุกหลวงไม่มีผิดเพี้ยน จนหญิงสาวอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ “นางชื่อซีร์น่า เมื่อห้าปีก่อนนางออกจากบ้านมาทำงานอยู่ในวังหลวง ซีร์น่ามักติดต่อมาหาเสมอ แต่จู่ๆ นางก็เงียบหายไป ไม่ส่งข่าวมาราวๆสองถึงสามปี ข้าเลยไม่รู้ว่านางจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็เลย...”
“เป็นห่วง อยากตามหาเพื่อนให้เจอ”เทเลอัสเอ่ยแทนหญิงสาวที่พยักหน้ารับช้าๆ “การตามหาคนๆ หนึ่งที่แทบไม่เป็นที่รู้จักบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ หนำซ้ำยังเป็นแค่บุคคลธรรมดาไร้พรรคพวก เส้นสาย รู้ไหมว่ามันยากขนาดไหน”
อาเดรียน่าลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนตอบเสียงอุบอิบ “เมื่อก่อนไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”พูดจบก็ปั้นหน้าเครียดเรียกคะแนนขอความเห็นใจ “ข้าถึงได้มาขอความช่วยเหลือท่านเสนาฯไงเจ้าค่ะ”
“นิสัยอีกอย่างหนึ่งของข้าก็คือ ข้าไม่เคยให้ความช่วยเหลือศัตรู”
“แต่ว่าข้าไม่ได้เป็น --”
“นั่นความคิดของเจ้า แต่สำหรับข้าไม่ใช่”เทเลอัสเอ่ยเสียงเยียบเย็น นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่เขายังคงปักใจเชื่อว่าเป็นสายลับของศัตรู ซึ่งในตอนนี้เจ้าหล่อนก็ยังสามารถรักษาสีหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอาการหวาดหวั่นหรือทำทีท่าอยากอาละวาดใส่เขาดั่งเช่นทุกครั้ง “ข้าไม่เคยปราณีหรือให้ความช่วยเหลือศัตรู โดยเฉพาะจากแคว้นกอรินธ์...ข้าจะชิงชังพวกเขามากเป็นพิเศษ”
“ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากกันเลยนี่ – นั่นคือความคิดของท่าน แต่ไม่ใช่สำหรับข้า”อาเดรียน่าพูด ไม่สนใจสายตาอันเยือกเย็นของเทเลอัสเลยสักนิด “ข้าคือชาวเซเพเรียส บรรพบุรุษทุกคนของข้าก็เช่นเดียวกัน ต่อให้มีข้อแม้ว่าต้องตายข้าก็ไม่ยอมแปรพักตร์เป็นอื่นเด็ดขาด”
เทเลอัสยิ้มหยัน จ้องมองอาเดรียน่าที่ยอกย้อนคำพูดของเขาได้ทันควัน ทั้งที่ปกติแทบจะไม่มีใครกล้าหรือตามทันคำพูดอันแสนเชือดเฉือนของเขา แม้กระทั่งราชครูไบอัสก็เถอะ
“ถ้าเช่นนั้นก็จงสาบาน”
คิ้วเรียวโค้งของหญิงสาวขมวดมุ่นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
“นี่คือข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการช่วยเหลือของข้า”เทเลอัสกล่าวต่อ จับจ้องหญิงสาวไม่วางตา “จงสาบานดั่งที่เจ้าพูดว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศต่อแผ่นดินเซเพรัส หากผิดคำพูดขอให้ร่างทั้งร่างถูกฝูงสัตว์ร้ายรุมจิกทึ้งฉีกกระชากจนถึงแต่ความตาย แต่ก่อนหน้านั้นข้าขอสาปแช่งให้เจ้าต้องทนทุกข์อยู่กับการถูกทรมาน แม้อยากตายก็ตายไม่ได้”
อาเดรียน่าขบฟันแน่น ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างอดทนอดกลั้นเพื่อไม่ให้ตนระเบิดโทสะออกมา นางไม่ได้กลัวคำสาปแช่งของเทเลอัส แต่โกรธเพราะยังต้องยอมทนให้เขาด่าทอว่าเป็นคนเลวทรามต่ำช้า ทั้งที่นางไม่ได้กระทำตัวเช่นนั้นเลยสักนิด
“ข้าขอสาบาน”หญิงสาวพูด ใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง “ตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศต่อแผ่นดีเซเพรัส หาไม่แล้วขอให้ข้าประสบกับชะตากรรมดั่งที่ท่านเสนาบดีกลาโหมแค้วนเซเพรัสได้สาปแช่งไว้ทุกประการ”
เทเลอัสจ้องมองไปยังนัยน์ตาคู่สีเทาของหญิงสาวที่จ้องตอบกลับมาอย่างท้าทายอวดดี สำหรับคนอื่นนางอาจเป็นเพียงหญิงสาวที่งดงาม บอบบางไร้พิษสง และโชคร้ายที่ต้องเข้ามาพัวพันว่าเป็นศัตรูของแผ่นดิน แต่สำหรับเทเลอัสทุกสิ่งทุกอย่างนั้นตรงกันข้ามโดยชิ้นเชิง ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทางกับแววตาของอาเดรียน่าในวันนี้ ก็ยิ่งช่วยตอกย้ำความเชื่อของเขาให้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
“เป็นอันว่าข้าตอบตกลงให้ความช่วยเหลือเจ้า”ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดของอาเดรียน่าก็อ่อนลง ประกายดื้อรั้นท้าทายแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีจนแทบปิดไม่มิด แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ “แต่ต้องรออีกสักสามสี่วัน เพราะอย่างที่บอกกับท่านลุงไปแล้วว่าช่วงนี้ลูกน้องข้ามีงานล้นมือ หากจัดหาคนได้เมื่อไรจะรีบส่งข่าวไปบอกทันที”
เป็นครั้งแรกที่อาเดรียน่ายิ้มให้เสนาบดีกลาโหมอย่างเป็นมิตรและจริงใจ ในเมื่อยอมรับปากว่าจะช่วย คนทะนงในศักดิ์ศรีอย่างเทเลอัสไม่มีวันผิดคำพูดอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วการออกจากบ้านเพื่อตามหาซีร์น่าก็จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด แม้จะยังระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าจะพบหน้ากันเมื่อไร แต่ความหวังที่เคยหมดสิ้นแทบเป็นศูนย์ ก็กลับมาเติมเต็มให้มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
“หากรอยยิ้มที่งดงามชวนให้หวั่นไหวนั้นมอบให้กับข้าล่ะก็ ข้าจะถอนคำสาบานและคำสาปแช่งเหล่านั้นทั้งหมดเลย”
เทเลอัสปรายตามองไปยังซาลาคลอสซึ่งกำลังเดินออกมาจากหลังฉากไม้ที่กางกั้นอยู่ด้านหลังห้องทำงาน สีหน้าปลาบปลื้มชวนฝัน
“ไหนเคยพูดว่ามีเพียงรอยยิ้มของไธอิยาเท่านั้นที่ทำให้ใจเจ้าหวั่นไหวได้ ทำไม? พอแต่งงานกันไปแล้วจะผิดคำพูดงั้นรึ”
ใบหน้าเคลิบเคลิ้มของซาลาคลอสหายวับไปในพริบตา หันมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทแทน “อย่าเอาคำพูดข้าไปตีความหมายผิดๆ แบบนั้นสิ -- ใช่! เจ้าตีความหมายผิด!”เขาพูดย้ำเสียงหนักเมื่อเห็นเทเลอัสเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจ “สรุปว่านางมาขอให้เจ้าช่วยเรื่องอะไร”
“แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
“เพราะข้าอยากรู้”
“อืม...”เทเลอัสพยักหน้ารับช้าๆ “ตรงดี แต่อย่างไรซะข้าก็บอกไม่ได้”
ซาลาคลอสยืนกอดอก วางท่าขึงขังราวกับกำลังเจรจาขอสงบศึก “ทำไม”
เสียงถอนหายใจยาวดังออกมาจากเทเลอัส ก่อนเอ่ยตอบอย่างจริงจังเช่นกัน “ข้าไม่ควรป่าวประกาศเรื่องเดือดร้อนของคนที่มาขอความช่วยเหลือให้ใครต่อใครฟัง มันเป็นเรื่องมารยาทที่ดีซึ่งเจ้าเองก็น่าจะรู้”
“อ่ะฮ่า!”ซาลาคลอสตีมือเสียงดัง ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกายวิบวับ “และแล้วรอยยิ้มอันงดงามของนักโทษสาวก็ทำให้ท่านเสนาบดีกลาโหมหวั่นไหวได้แล้ว”
ท่านเสนาบดีกลาโหมหลับตา สูดลมหายใจเข้าก่อนจะระบายออกช้าๆ อย่างอดทน
“ซาลาคลอส เจ้าเป็นถึงหัวหน้าราชองครักษ์ อย่าเที่ยวพูดประโยคไร้สาระนี้ให้ใครอื่นได้ยินเข้าล่ะ เดี๋ยวใครต่อใครจะหมดนับถือ”
คนถูกเตือนหัวเราะหึๆ “ก็แค่แปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเจ้าจะยอมเชื่อในเรื่องที่อาเดรียน่ามาขอให้ช่วย ก็เท่านั้น”
เทเลอัสเองก็ยอมว่าไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเกี่ยวกับเรื่องที่อาเดรียน่าหยิบยกมาเป็นข้ออ้าง ในตอนแรกเขามั่นใจว่านางอาจมีวาระซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง แต่พอรับปากว่าจะยอมช่วยเหลือ รอยยิ้มนั้นกลับทำให้เหตุผลหลายต่อหลายอย่างของเขาสั่นคลอน ความคลางแคลงสงสัยกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มนั้นงดงามสะกดตา หากแต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความจริงที่ออกมาจากจิตใจ แต่หากว่าสิ่งที่อาเดรียน่าแสดงออกมาทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหกตบตาแล้วล่ะก็ เทเลอัสคิด -- ฝีมือการเป็นสายลับสองหน้าของนางก็เข้าขั้นเยี่ยมยอดเลยทีเดียว
“ถือซะว่าลองเสี่ยง หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าสร้างบุญช่วยเหลือคนเดือดร้อน แต่ถ้าคิดไม่ซื่อเล่นตุกติกล่ะก็ คราวนี้...ต่อให้มีสิบราชครูไบอัสก็มาขวางไม่ให้ข้าประหารนางไม่ได้”
“นี่เจ้ายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจับอาเดรียน่าประหารอีกเหรอ!”
“ตราบใดที่ยังพิสูจน์อย่างแน่นอนไม่ได้ว่านางคือผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่มีวันเลิกคิดเช่นนั้น”
ซาลาคลอสเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานที่เทเลอัสนั่งอยู่ ก่อนจะก้มตัวลง ค่อยๆ โน้มใบหน้าอันเคร่งเครียดเข้าไปใกล้ ดวงตาที่เคยเป็นประกายหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นแน่นิ่งจริงจังจนอาจทำให้เส้นขนบนท้ายทอยของผู้ที่ถูกจ้องมองลุกชัน แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเสนาบดีกลาโหมที่นั่งจ้องนิ่งกลับมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด
“ทำไมมองแบบนั้น ข้าพูดผิดหูเจ้าไปรึไง”
ซาลาคลอสส่ายหน้าช้าๆ “เปล่าเลย ข้าแค่สงสัยนิดเดียวว่าตัวเจ้าเองน่ะหาหลักฐานพิสูจน์ได้แน่ชัดหรือยัง ว่าอาเดรียน่าเป็นสายลับของกอรินธ์จริงๆ เพราะตราบใดที่ยังพิสูจน์ความคิดของตัวเองไม่ได้ เจ้าก็หมดโอกาสที่จะตัดสินชีวิตของนาง”
“การที่จู่ๆ นางก็โผล่เข้ามาในวังหลวงยามวิกาล แล้วทำให้ผลึกเทพธิดาแตก พลังทั้งหมดไหลไปสู่ตัวราชครูแคว้นกอรินธ์ในขณะที่ดวงจิตเทพธิดาสิงสถิตอยู่ในร่างของนาง เป็นเพียงความคิดของข้าอย่างนั้นเหรอ!”เทเลอัสกล่าวเสียงเยียบเย็น เหลือบตาขึ้นมองผู้เป็นสหาย “หากเวลาผ่านไปสักหนึ่งปีเรื่องนี้คงกลายเป็นตำนาน ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวเอก และข้าคือปีศาจในร่างมนุษย์ผู้ชั่วร้าย งั้นสิ!”เขาลงท้ายด้วยเสียงประชดออกดุนิดๆ
“คล้ายๆ แบบนั้นแต่ไม่ใช่ซะทีเดียว -- งงใช่ไหม งั้นฟังข้าให้ดี”ซาลาคลอสอธิบายเมื่อเห็นว่าเทเลอัสทำหน้าดุมากขึ้นทุกที “หากเจ้ายังยืนยันความผิดของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ ในขณะที่ราชครูไบอัสคอยดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดีด้วยเหตุผลที่ว่านางคือร่างที่ดวงจิตเทพธิดาสถิตอยู่ ชีวิตและความปลอดภัยของนางจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด นี่คือมุมมองของคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ แต่ถ้ามองในมุมของคนทั่วๆไปที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อาเดรียน่าคือหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย เพราะคืนที่เกิดเหตุวุ่นวายในวังหลวง ท่านเสนาบดีกลาโหมไม่สามารถจับตัวราชครูบาซิลของแคว้นกอรินธ์หรือสายลับคนอื่นๆ ได้ เขาจึงโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับนาง”
“เรื่องบ้าบอ”เทเลอัสถอนหายใจเสียงหนัก ใบหน้าคมเข้มขัดเคืองไม่พอใจ “หากพวกกอรินธ์ลงมือในอีกสองสามวันนี้ อยากจะรู้จริงว่าจะยังมีใครคิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้อีก”
“พูดแบบนี้แสดงว่าได้ข่าวอะไรมา ใช่ไหม”
เทเลอัสมองสหายสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “สายของข้าส่งข่าวมาบอกว่าสายลับของกอรินธ์เริ่มมีความเคลื่อนไหว น่าจะได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากราชครูบาซิลเลยทีเดียว”
“ครั้งล่าสุดที่พวกนั้นบุกเข้ามายังผ่านไปไม่ถึงสองเดือนดีเลยนะ”ซาลาคลอสว่า ตาลุกวาว “นี่พวกกอรินธ์ใจกล้าบ้าระห่ำ หรือเพราะชื่อเสียงความเก่งกาจของเจ้าลดลงกันแน่ฮึ เพื่อนข้า”
เทเลอัสเพียงแค่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งเสียงเรียกให้มีรอพส์เข้ามาในห้อง
“ลองไปถามๆ ดูว่ามีนายทหารที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนคนไหนว่างาน หรือมีงานน้อยที่สุด หาได้แล้วให้มาพบข้า”
“ขอรับ”
“มีอะไรหรือเปล่า”เทเลอัสถามเมื่อเห็นท่าที่อึกอัดของลูกน้องคนสนิท
“ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ท่านบารอนมูมานัสมารบเร้าขอเข้าพบท่านหัวหน้าน่ะขอรับ”
มีรอพส์ตอบ พลางเหลือบตามองเทเลอัสที่ดูเหมือนใบหน้าเขาจะขึงตึงขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ซาลาคลอสนั้นกลับมีรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ด้วยเป็นที่ล่วงรู้กันไปจนทั่วราชสำนักว่าบรรดาบารอนสกุลใหญ่ทั้งหลายที่มีบัตรสาวอายุแรกรุ่นและยังครองตนเป็นโสด ต่างหมายมั่นอยากเกี่ยวดองกับบารอนมิลานิออน ผู้เป็นหนึ่งในสี่ที่ปรึกษาขององค์กษัตริย์และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดบารอนสกุลใหญ่ของแคว้น มีบุตรชายคนโตผู้เป็นทายาทโดยตรงซึ่งก็คือเทเลอัส จึงกลายเป็นเป้าหมายในการเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ซึ่งแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นหวังผลประโยชน์ในเรื่องของความร่ำรวยและอำนาจทางการเมืองเพียงเท่านั้น
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วไงว่าลูกไม้ประเภทว่าทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาไปร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำกับองค์กษัตริย์และพระราชินีน่ะ ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”ซาลาคลอสพูดด้วยน้ำเสียงระรื่น
“ข้ารู้”
“อย่ามาโกหกเลย”ซาลาคลอสโต้กลับทันควัน “หากรู้อยู่แล้วจะมานั่งทำหน้าตึงอยู่อย่างนี้ทำไม”
“รำคาญ”เทเลอัสพูดห้วนๆ “ต่อให้ข้าแต่งงานไปแล้วบารอนพวกนั้นก็ยังจับลูกสาวพวกเขาใส่พานประเคนให้มาเป็นอนุข้าอีกอยู่ดี”
ซาลาคลอสพยักหน้ารับช้าๆ อย่างเห็นด้วย “จริงแท้แน่นอนเลยทีเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องไปร่วมอาหารมือค่ำเสียหน่อย จะได้สะสางเรื่องนี้กับบารอนมูมานัสด้วยเสียเลย”
“หรือถ้าจะให้ดี ข้าว่าเจ้าเต้นรำสักเพลงกับเจ้าหญิงคัสซันดร้าสักสองสามเพลงไปเลย รับรองว่าบรรดาบารอนทั้งหลายที่อยากได้เจ้าเป็นลูกเขย จะต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างแน่นอน”
มีรอพส์ต้องรีบเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เผลอหลุดรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ ขณะปรายตามองเทเลอัสที่พ่นลมหายใจออกอย่างเหลืออดเหลือทนให้กับความคิดแสงอันตรายนั้น
“ต่อให้หมดทางเลือก ข้าก็ไม่ขอทำตามคำแนะนำของเจ้าเด็ดขาด ซาลาคลอส!”
**********************************
“แผนที่อาณาเขตใหม่นี่วาดได้ละเอียดดีมาก ฝีมือใครล่ะ”หัวหน้าคณะแพทย์หลวงเอ่ยถามทั้งที่ยังคงก้มหน้ามองแผนที่อยู่
เทเลอัสยิ้มมุมปากให้กับท่าทีเกริ่นนำประโยคนั้น ก่อนเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม “คนวาดมีอยู่สองคน แต่คนให้ข้อมูลมีเป็นสิบ ว่าแต่ท่านลุงเถอะ อุตส่าห์ส่งคนไปตามข้ามาทั้งทีเพียงเพราะอยากรู้เรื่องแผนที่เท่านั้นรึ”
“รู้ว่าไม่ใช่ยังจะมาถาม”โอดาวาคาร์ส่งนัยน์ตาเขียวปั้ดไปยังหลานชายที่ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน “ลุงมีเรื่องวานเจ้าสักหน่อย”
“ท่านลุงมีอะไรให้ข้าช่วยเหรอ”
คนเป็นลุงทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ “นึกว่าจะตอบ ‘ขอให้ท่านลุงบอกมา หลานยินดีทำให้ทุกอย่าง’ เสียอีก”
“ข้าไม่ชอบรับปากใครสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านลุงก็รู้”เทเลอัสตอบเสียงเรียบแต่นัยน์ตากลับพราวระยับ ลองผู้เป็นลุงมาไม้นี้ หนำซ้ำยังให้คนไปตามตัวเขามาจากลานฝึกดาบตั้งแต่เช้าล่ะก็ รับรองว่าเรื่องที่มาขอให้ช่วยต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “ตกลงว่าท่านลุงอยากให้ข้าช่วยเรื่องอะไร”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากขอยืมตัวลูกน้องเจ้าที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนสักคน”
“ท่านลุงอยากได้ภาพวาดอะไร”
“ก็ภาพเหมือนตัวข้ายังไง”
เทเลอัสเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ “มีภาพเขียนตัวเองเวลามองแล้วเหมือนกำลังดูภาพปีศาจ ไม่เอาด้วยหรอก น่ากลัว”
โอโดวาคาร์สะดุ้ง อยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อหลายปีก่อนเทเลอัสเคยเสนอนักวาดภาพฝีมือดีให้วาดภาพเหมือนให้ แต่เขากลับปฏิเสธไปด้วยประโยคที่เทเลอัสเพิ่งจะพูดจบไปเมื่อครู่
ใจเย็นๆไว้ อย่าลน เดี๋ยวถูกจับได้ – หัวหน้าคณะแพทย์หลวงบอกตัวเอง ลอบสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ แล้วแกล้งเฉไฉหน้านิ่ง “ลุงเปลี่ยนใจแล้ว อย่ามีภาพเหมือนตัวเองไว้ประดับมารมีเหมือนบารอนคนอื่นๆ บ้าง”บอกเหตุผลที่เพิ่งคิดออกสดๆ ร้อนๆ แต่สีหน้ากับนัยน์ตาของเทเลอัสนั้นไม่ได้ทำให้คนเป็นลุงสบายใจได้เลย ดูท่ายิ่งพูดจะยิ่งมีพิรุธเสียมากกว่า
“เดี๋ยวข้าจะให้มีรอพส์เป็นธุระจัดการหาคนให้”
โอโดวาคาร์ยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินคำตอบของหลานชาย นึกอยากจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกที่สุดท้ายแผนการก็บรรลุเป้าหมาย แต่พอได้ยินเทเลอัสเอ่ยประโยคต่อมา รอยยิ้มก็พลันมลายหายไปในทันที
“แต่พอดีช่วงนี้ทหารที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนงานเยอะ ปลีกตัวไปไหนไม่ได้ คงต้องรบกวนให้ท่านลุงมานั่งเป็นแบบในห้องทำงานข้าแทน”
“ในห้องนี้งั้นเหรอ!” โอโดวาคาร์ร้องถามเสียงหลง หายใจเข้าออกฟึดฟัดเพราะถ้าดูจากรอยยิ้มของเทเลอัสแล้ว เขาตอบได้ในทันทีว่าเจ้าหลานชายหัวไวต้องกำลังสงสัยเขาอยู่เป็นแน่แท้ คราวนี้เข้าใจหัวอกของราชครูไบอัสเสียทีว่าทำไมถึงเอือมระอากับเทเลอัสนัก “เทเลอัส เจ้ามัน...ตัวแสบ!”
“ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แล้วหากไม่ทำเช่นนี้มีเหรอที่ท่านลุงจะยอมบอกความจริง” เทเลอัสบอก นึกขำท่าทางโมโหขัดเคืองใจของผู้เป็นลุง “บอกมาตามตรงดีกว่า เพราะหากขืนบ่ายเบี่ยงท่านลุงคงทราบดีว่าคนอย่างข้าไม่มีทางยอมช่วยแน่นอน”
โอโอวาคาร์ถอนหายใจ กระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆ “คนเขาเดือดร้อนเลยอยากให้ลูกน้องเจ้าไปช่วยวาดภาพเหมือนของเพื่อนสนิทที่หายตัวไปจากบ้านมาหลายปี เวลาไปตามหาจะได้สะดวก ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะบรรยายรูปร่างหน้าตา”
“แล้ว...คนเขาเดือดร้อนของท่านลุงน่ะ ใคร”
“ทำไมจะต้องถามด้วย ใครเดือดร้อนมาเราช่วยได้ก็ช่วยไป ไม่เข้าใจเหรอ ข้าเป็นหมอ ยึดถือคตินี้เป็นหลัก”
“ข้าเป็นทหาร”เสนาบดีกลาโหมเอ่ยแย้งเสียงเย็น
“ทหารไม่ใช่คนไม่มีหัวใจไม่มีเมตตาเลยเหรอ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องซักไซร้อย่างที่ทำกับพวกนักโทษเลย”
“คงไม่ใช่เรื่องจำเป็นหากท่านลุงไม่พยายามปิดบังคนๆ นั้นจากข้า”เทเลอัสพูด “หากไม่ยอมบอกว่าคนๆ นั้นคือใคร ข้าจะปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือ”
โอโดวาคาร์ถลึงตาดุใส่หลานชายที่ไม่สะทกสะท้านหวาดหวั่นเลยสักนิด แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่สุดท้ายก็ปวดหัว จนปัญญาจะต่อปากต่อคำ “ก็ได้ บอกก็ได้! แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะช่วย”
เทเลอัสถอนหายใจ ก่อนพยักหน้ารับตามคำขอ โอโดวาคาร์จึงยอมบอกแต่โดยดี
“คนที่เจ้าต้องช่วยเหลือคืออาเดรียน่า”
พอได้ยินชื่อของนักโทษสาว ใบหน้าของท่านเสนาบดีกลาโหมก็ขึงตึง เอ่ยเสียงเย็น “นางให้ท่านลุงมาพูดกับข้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ได้ใช้ แบบนี้เขาเรียกขอร้อง” โอโดวาคาร์รีบอธิบายข้อเท็จจริงให้อีกฝ่ายฟัง “คิดดูสิ หากนางเดินเข้ามาขอคุยกับเจ้าด้วยตัวเอง อย่าว่าแต่จะเข้าถึงตัวเจ้าเลย พวกทหารไม่มีทางยอมให้นางเฉียดเข้าใกล้แม้แต่ขอบลานฝึกดาบหรอก”
“ท่านลุงก็เลยอาสามาพูดโกหกกับข้า?”
โอโดวาคาร์ส่งเสียงฮึดฮัดรำคาญใจใส่หลานชายที่นับวันจะยิ่งก่อกวนให้ใครต่อใครประสาทเสียได้เก่งเหลือเกิน “อยากจะคิดยังไงก็แล้วแต่เจ้าเลยเทเลอัส แต่อย่าลืมว่าเจ้ารับปากกับลุงแล้วว่าจะช่วยอาเดรียน่า ห้ามคืนคำเด็ดขาด”
“คนอย่างข้าคำไหนคำนั้น”
“ดี”
“แต่นางต้องมาคุยกับข้าเอง”เทเลอัสพูดต่อ ไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของผู้เป็นลุง “หากอยากได้น้ำใจจากคนอื่นก็ต้องแสดงความจริงใจของตัวเองก่อน เรื่องของตัวเองแต่ให้คนอื่นแบกหน้ามาเจรจาต่อรอง นอกจากจะเสียมารยาทแล้วยังแสดงว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาดอีกด้วย”
โอโดวาคาร์ยกมือขึ้นลูบศีรษะตนไปมาอย่างยุ่งยากลำบากใจ “แล้ว...ถ้านางไม่มา”
เทเลอัสส่ายหน้าช้าๆ “จำคำพูดเมื่อครู่ของข้าไปบอกนาง รับรองว่าคนดีของท่านลุงได้วิ่งแจ้นมาหาข้าแน่”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลังจากจัดการผู้ป่วยรายแรกของวันที่มีอาการผดผื่นขึ้นทั่วตัวไปเรียบร้อย อาเดรียน่าก็กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวกลมสามขาอย่างขัดเคืองใจ ไม่ว่าจะพยายามข่มอารมณ์ให้สงบลงเท่าไรก็แทบไม่เป็นผล ยิ่งเมื่อหันไปเจอทหารซึ่งคอยจับตาดูตนอย่างเข้มงวดก็ยิ่งพาลให้นึกถึงเสนาบดีกลาโหม ผู้เป็นสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้หญิงสาวอยู่ในอารมณ์บูดสนิท
เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ ผู้ชายอะไรปากร้ายที่สุด
อาเดรียน่าบ่นฮึดฮัดในใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่โอโดวาคาร์เล่าให้ฟังระหว่างที่ทั้งคู่นั่งกินอาหารเช้า หลังออกไปเจรจาต่อรองเทเลอัสรับปากจะช่วย แต่มีข้อแม้ว่านางต้องไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังไม่วายฝากประโยคค่อนขอดเรียกอารมณ์โกรธให้เดือดจนแทบปะทุ หากไม่ติดเรื่องซีร์น่านางคงจะบุกไปอาละวาดใส่เทเลอัสเรียบร้อยแล้ว
อย่างที่มิลันโธบอก เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
อาเรียน่าถอนหายใจ พยายามข่มอารมณ์โกรธเคืองให้สงบ เพราะหากต้องการสืบหาข่าวของเพื่อนรักต่อไป เทเลอัสคือทางเลือกเดียวที่จะต้องลองเสี่ยงเข้าไปเผชิญหน้าเอง
ลองเสี่ยงใช้มารยาหญิงกับหมอนี่ดูสักครั้งแล้วกัน -- อาเดรียน่าบอกตัวเองแล้วเดินออกไปจากโรงคนป่วยทันที
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“ถ้ายังติดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรดีก็กลับออกไปก่อน”
มีรอพส์ที่ก่อนหน้านั้นเอาแต่ยืนกระสับกระส่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดถึงกับสะดุ้ง เพราะไม่คิดว่าเทเลอัสที่กำลังนั่งตรวจดูตารางเวรยามอยู่ในห้องทำงานจะสังเกตเห็นตนที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ขอโทษขอรับท่านเสนาฯ”เขาก้มตัวทำความเคารพ เดินเข้ามาอยู่ใกล้โต๊ะทำงานของผู้เป็นหัวหน้า ก่อนเอ่ยเข้าเรื่อง “คือว่า มีคน...เอ่อ...มาขอพบท่านขอรับ”
“ใคร”เทเลอัสถาม ตายังคงสารวนอยู่กับงานตรงหน้า แต่จากท่าทีอึกอัดของมีรอพส์และปัจจัยประกอบอีกสองสามข้อ เขาก็พอจะเดาได้ว่าใครที่มาขอพบเขาถึงห้องทำงานตั้งแต่เช้า
“อาเดรียน่าขอรับ”มีรอพส์ตอบเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ แทบจะหยุดหายใจระหว่างรอฟังคำตอบจากผู้เป็นหัวหน้า “ท่านเสนาฯจะให้นางเข้าพบไหมขอรับ”
“นางอุตส่าห์มาหาถึงห้องทำงานก็ต้องยอมให้พบสิ หากปฏิเสธข้าคงถูกหลายคนประณามว่าไร้น้ำใจ”เทเลอัสตอบ
มีรอพส์ลอบกลืนน้ำลาย พยายามนึกหาสาเหตุว่าทำไมหญิงสาวที่เกลียดหัวหน้าของตนเข้าไส้จู่ๆ ก็โผล่มาหาเสียเอง ในขณะที่เทเลอัสก็ดูท่าจะไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด เพราะการตอบรับนั่นบอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้เป็นหัวหน้าของตนอาจรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว
หลังมีรอพส์หายไปเพียงชั่วอึดใจ ร่างของหญิงสาวก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของเทเลอัสราวสองเมตร นางยืนอยู่เงียบๆ รอให้อีกฝ่ายเกริ่นทักทาย แต่ดูเหมือนเขาจะสนใจงานตรงหน้ามากกว่าแขกผู้มาขอเข้าพบ ซึ่งเขาอาจคิดว่าเป็นเพียงอากาศธาตุไม่มีตัวตน
“ท่านเสนาฯ”อาเดรียน่าเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ “ขอภัยที่มารบกวน ข้ามีเรื่องสำคัญอยากให้ท่านช่วย”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
อาเรียน่าพยายามอดกลั้นกับท่าที่เฉยชาของอีกฝ่าย สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ยาวๆ ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนอบน้อมสุดชีวิต
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องขอให้ท่านเมตตาให้ความช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
พอได้ยินเสียงอ่อนฟังรื่นหู เทเลอัสจึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ใบหน้าที่เคยงอง้ำและจ้องมองราวกับสาปแช่งเขาทุกครั้งที่เจอกัน กลับสงบเสงี่ยมอ่อนโยน ไม่เหลือเค้าความดื้อรั้นเลยสักนิด จนอดคิดไม่ได้ว่าที่หญิงสาวยอมอ่อนข้อให้ด้วยเพราะต้องการความช่วยเหลือจริงๆ หรือเพียงแค่เล่นละครตบตาเขากันแน่
“เรื่องอะไร”
รู้แล้วยังจะมาถาม -- อาเดรียน่าเข่นเคี้ยวในใจ หากก็ยอมตอบแต่โดยดี
“เท่าที่ทราบ ท่านโอโดวาคาร์ได้มาเกริ่นถึงเรื่องนี้กับท่านเสนาฯ ไว้บ้างแล้ว--”
“ใช่ ลุงข้าออกนอกหน้าแทนเจ้าทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”เทเลอัสเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ แต่ละคำพูดเนิบช้าเน้นหนักราวกับต้องการให้ถ้อยคำเหล่านั้นซึมซาบเข้าไปในโสตประสาทของหญิงสาวให้ได้มากที่สุด “หากเจ้าไม่รู้ข้าก็จะบอกไว้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายว่าข้าเป็นคนตรง เพราะฉะนั้นต่อไปหากมีเรื่องอะไรไม่มาคุยกับข้าด้วยตัวเอง ไม่ต้องอ้อมค้อมพูดฝากใครมาอีก”
“เจ้าค่ะ”อาเดรียน่ารับคำ ผลุบตามองต่ำ ด้วยเกรงว่าอาจจะเผลอแสดงอาการไม่พอใจผ่านสีหน้าและแววตาออกมาให้เทเลอัสเห็น
เทเลอัสวางปากกางขนนกลงและหันมาให้ความสนใจกับหญิงสาวแทน “พูดเรื่องของเจ้ามา”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วอึดใจ รวบรวมคำพูดทั้งหมดก่อนค่อยๆ เอ่ยเล่า “ข้ากำลังตามหาคนๆ หนึ่ง เป็นเพื่อนสนิท รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก นางคือสาเหตุที่ทำให้ข้าเดินทางมายังเมืองหลวง”อาเดรียน่าช้อนนัยน์ตาขึ้นมองไปยังอีกฝ่ายที่ยังนั่งนิ่งราวกับรูปสลักไร้ชีวิต ท่าทางเหมือนกับคืนแรกที่เขาสอบสวนนางในคุกหลวงไม่มีผิดเพี้ยน จนหญิงสาวอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ “นางชื่อซีร์น่า เมื่อห้าปีก่อนนางออกจากบ้านมาทำงานอยู่ในวังหลวง ซีร์น่ามักติดต่อมาหาเสมอ แต่จู่ๆ นางก็เงียบหายไป ไม่ส่งข่าวมาราวๆสองถึงสามปี ข้าเลยไม่รู้ว่านางจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็เลย...”
“เป็นห่วง อยากตามหาเพื่อนให้เจอ”เทเลอัสเอ่ยแทนหญิงสาวที่พยักหน้ารับช้าๆ “การตามหาคนๆ หนึ่งที่แทบไม่เป็นที่รู้จักบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ หนำซ้ำยังเป็นแค่บุคคลธรรมดาไร้พรรคพวก เส้นสาย รู้ไหมว่ามันยากขนาดไหน”
อาเดรียน่าลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนตอบเสียงอุบอิบ “เมื่อก่อนไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”พูดจบก็ปั้นหน้าเครียดเรียกคะแนนขอความเห็นใจ “ข้าถึงได้มาขอความช่วยเหลือท่านเสนาฯไงเจ้าค่ะ”
“นิสัยอีกอย่างหนึ่งของข้าก็คือ ข้าไม่เคยให้ความช่วยเหลือศัตรู”
“แต่ว่าข้าไม่ได้เป็น --”
“นั่นความคิดของเจ้า แต่สำหรับข้าไม่ใช่”เทเลอัสเอ่ยเสียงเยียบเย็น นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่เขายังคงปักใจเชื่อว่าเป็นสายลับของศัตรู ซึ่งในตอนนี้เจ้าหล่อนก็ยังสามารถรักษาสีหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอาการหวาดหวั่นหรือทำทีท่าอยากอาละวาดใส่เขาดั่งเช่นทุกครั้ง “ข้าไม่เคยปราณีหรือให้ความช่วยเหลือศัตรู โดยเฉพาะจากแคว้นกอรินธ์...ข้าจะชิงชังพวกเขามากเป็นพิเศษ”
“ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากกันเลยนี่ – นั่นคือความคิดของท่าน แต่ไม่ใช่สำหรับข้า”อาเดรียน่าพูด ไม่สนใจสายตาอันเยือกเย็นของเทเลอัสเลยสักนิด “ข้าคือชาวเซเพเรียส บรรพบุรุษทุกคนของข้าก็เช่นเดียวกัน ต่อให้มีข้อแม้ว่าต้องตายข้าก็ไม่ยอมแปรพักตร์เป็นอื่นเด็ดขาด”
เทเลอัสยิ้มหยัน จ้องมองอาเดรียน่าที่ยอกย้อนคำพูดของเขาได้ทันควัน ทั้งที่ปกติแทบจะไม่มีใครกล้าหรือตามทันคำพูดอันแสนเชือดเฉือนของเขา แม้กระทั่งราชครูไบอัสก็เถอะ
“ถ้าเช่นนั้นก็จงสาบาน”
คิ้วเรียวโค้งของหญิงสาวขมวดมุ่นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
“นี่คือข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการช่วยเหลือของข้า”เทเลอัสกล่าวต่อ จับจ้องหญิงสาวไม่วางตา “จงสาบานดั่งที่เจ้าพูดว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศต่อแผ่นดินเซเพรัส หากผิดคำพูดขอให้ร่างทั้งร่างถูกฝูงสัตว์ร้ายรุมจิกทึ้งฉีกกระชากจนถึงแต่ความตาย แต่ก่อนหน้านั้นข้าขอสาปแช่งให้เจ้าต้องทนทุกข์อยู่กับการถูกทรมาน แม้อยากตายก็ตายไม่ได้”
อาเดรียน่าขบฟันแน่น ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างอดทนอดกลั้นเพื่อไม่ให้ตนระเบิดโทสะออกมา นางไม่ได้กลัวคำสาปแช่งของเทเลอัส แต่โกรธเพราะยังต้องยอมทนให้เขาด่าทอว่าเป็นคนเลวทรามต่ำช้า ทั้งที่นางไม่ได้กระทำตัวเช่นนั้นเลยสักนิด
“ข้าขอสาบาน”หญิงสาวพูด ใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง “ตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศต่อแผ่นดีเซเพรัส หาไม่แล้วขอให้ข้าประสบกับชะตากรรมดั่งที่ท่านเสนาบดีกลาโหมแค้วนเซเพรัสได้สาปแช่งไว้ทุกประการ”
เทเลอัสจ้องมองไปยังนัยน์ตาคู่สีเทาของหญิงสาวที่จ้องตอบกลับมาอย่างท้าทายอวดดี สำหรับคนอื่นนางอาจเป็นเพียงหญิงสาวที่งดงาม บอบบางไร้พิษสง และโชคร้ายที่ต้องเข้ามาพัวพันว่าเป็นศัตรูของแผ่นดิน แต่สำหรับเทเลอัสทุกสิ่งทุกอย่างนั้นตรงกันข้ามโดยชิ้นเชิง ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทางกับแววตาของอาเดรียน่าในวันนี้ ก็ยิ่งช่วยตอกย้ำความเชื่อของเขาให้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
“เป็นอันว่าข้าตอบตกลงให้ความช่วยเหลือเจ้า”ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดของอาเดรียน่าก็อ่อนลง ประกายดื้อรั้นท้าทายแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีจนแทบปิดไม่มิด แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ “แต่ต้องรออีกสักสามสี่วัน เพราะอย่างที่บอกกับท่านลุงไปแล้วว่าช่วงนี้ลูกน้องข้ามีงานล้นมือ หากจัดหาคนได้เมื่อไรจะรีบส่งข่าวไปบอกทันที”
เป็นครั้งแรกที่อาเดรียน่ายิ้มให้เสนาบดีกลาโหมอย่างเป็นมิตรและจริงใจ ในเมื่อยอมรับปากว่าจะช่วย คนทะนงในศักดิ์ศรีอย่างเทเลอัสไม่มีวันผิดคำพูดอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วการออกจากบ้านเพื่อตามหาซีร์น่าก็จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด แม้จะยังระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าจะพบหน้ากันเมื่อไร แต่ความหวังที่เคยหมดสิ้นแทบเป็นศูนย์ ก็กลับมาเติมเต็มให้มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
“หากรอยยิ้มที่งดงามชวนให้หวั่นไหวนั้นมอบให้กับข้าล่ะก็ ข้าจะถอนคำสาบานและคำสาปแช่งเหล่านั้นทั้งหมดเลย”
เทเลอัสปรายตามองไปยังซาลาคลอสซึ่งกำลังเดินออกมาจากหลังฉากไม้ที่กางกั้นอยู่ด้านหลังห้องทำงาน สีหน้าปลาบปลื้มชวนฝัน
“ไหนเคยพูดว่ามีเพียงรอยยิ้มของไธอิยาเท่านั้นที่ทำให้ใจเจ้าหวั่นไหวได้ ทำไม? พอแต่งงานกันไปแล้วจะผิดคำพูดงั้นรึ”
ใบหน้าเคลิบเคลิ้มของซาลาคลอสหายวับไปในพริบตา หันมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทแทน “อย่าเอาคำพูดข้าไปตีความหมายผิดๆ แบบนั้นสิ -- ใช่! เจ้าตีความหมายผิด!”เขาพูดย้ำเสียงหนักเมื่อเห็นเทเลอัสเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจ “สรุปว่านางมาขอให้เจ้าช่วยเรื่องอะไร”
“แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
“เพราะข้าอยากรู้”
“อืม...”เทเลอัสพยักหน้ารับช้าๆ “ตรงดี แต่อย่างไรซะข้าก็บอกไม่ได้”
ซาลาคลอสยืนกอดอก วางท่าขึงขังราวกับกำลังเจรจาขอสงบศึก “ทำไม”
เสียงถอนหายใจยาวดังออกมาจากเทเลอัส ก่อนเอ่ยตอบอย่างจริงจังเช่นกัน “ข้าไม่ควรป่าวประกาศเรื่องเดือดร้อนของคนที่มาขอความช่วยเหลือให้ใครต่อใครฟัง มันเป็นเรื่องมารยาทที่ดีซึ่งเจ้าเองก็น่าจะรู้”
“อ่ะฮ่า!”ซาลาคลอสตีมือเสียงดัง ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกายวิบวับ “และแล้วรอยยิ้มอันงดงามของนักโทษสาวก็ทำให้ท่านเสนาบดีกลาโหมหวั่นไหวได้แล้ว”
ท่านเสนาบดีกลาโหมหลับตา สูดลมหายใจเข้าก่อนจะระบายออกช้าๆ อย่างอดทน
“ซาลาคลอส เจ้าเป็นถึงหัวหน้าราชองครักษ์ อย่าเที่ยวพูดประโยคไร้สาระนี้ให้ใครอื่นได้ยินเข้าล่ะ เดี๋ยวใครต่อใครจะหมดนับถือ”
คนถูกเตือนหัวเราะหึๆ “ก็แค่แปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเจ้าจะยอมเชื่อในเรื่องที่อาเดรียน่ามาขอให้ช่วย ก็เท่านั้น”
เทเลอัสเองก็ยอมว่าไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเกี่ยวกับเรื่องที่อาเดรียน่าหยิบยกมาเป็นข้ออ้าง ในตอนแรกเขามั่นใจว่านางอาจมีวาระซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง แต่พอรับปากว่าจะยอมช่วยเหลือ รอยยิ้มนั้นกลับทำให้เหตุผลหลายต่อหลายอย่างของเขาสั่นคลอน ความคลางแคลงสงสัยกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มนั้นงดงามสะกดตา หากแต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความจริงที่ออกมาจากจิตใจ แต่หากว่าสิ่งที่อาเดรียน่าแสดงออกมาทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหกตบตาแล้วล่ะก็ เทเลอัสคิด -- ฝีมือการเป็นสายลับสองหน้าของนางก็เข้าขั้นเยี่ยมยอดเลยทีเดียว
“ถือซะว่าลองเสี่ยง หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าสร้างบุญช่วยเหลือคนเดือดร้อน แต่ถ้าคิดไม่ซื่อเล่นตุกติกล่ะก็ คราวนี้...ต่อให้มีสิบราชครูไบอัสก็มาขวางไม่ให้ข้าประหารนางไม่ได้”
“นี่เจ้ายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจับอาเดรียน่าประหารอีกเหรอ!”
“ตราบใดที่ยังพิสูจน์อย่างแน่นอนไม่ได้ว่านางคือผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่มีวันเลิกคิดเช่นนั้น”
ซาลาคลอสเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานที่เทเลอัสนั่งอยู่ ก่อนจะก้มตัวลง ค่อยๆ โน้มใบหน้าอันเคร่งเครียดเข้าไปใกล้ ดวงตาที่เคยเป็นประกายหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นแน่นิ่งจริงจังจนอาจทำให้เส้นขนบนท้ายทอยของผู้ที่ถูกจ้องมองลุกชัน แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเสนาบดีกลาโหมที่นั่งจ้องนิ่งกลับมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด
“ทำไมมองแบบนั้น ข้าพูดผิดหูเจ้าไปรึไง”
ซาลาคลอสส่ายหน้าช้าๆ “เปล่าเลย ข้าแค่สงสัยนิดเดียวว่าตัวเจ้าเองน่ะหาหลักฐานพิสูจน์ได้แน่ชัดหรือยัง ว่าอาเดรียน่าเป็นสายลับของกอรินธ์จริงๆ เพราะตราบใดที่ยังพิสูจน์ความคิดของตัวเองไม่ได้ เจ้าก็หมดโอกาสที่จะตัดสินชีวิตของนาง”
“การที่จู่ๆ นางก็โผล่เข้ามาในวังหลวงยามวิกาล แล้วทำให้ผลึกเทพธิดาแตก พลังทั้งหมดไหลไปสู่ตัวราชครูแคว้นกอรินธ์ในขณะที่ดวงจิตเทพธิดาสิงสถิตอยู่ในร่างของนาง เป็นเพียงความคิดของข้าอย่างนั้นเหรอ!”เทเลอัสกล่าวเสียงเยียบเย็น เหลือบตาขึ้นมองผู้เป็นสหาย “หากเวลาผ่านไปสักหนึ่งปีเรื่องนี้คงกลายเป็นตำนาน ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวเอก และข้าคือปีศาจในร่างมนุษย์ผู้ชั่วร้าย งั้นสิ!”เขาลงท้ายด้วยเสียงประชดออกดุนิดๆ
“คล้ายๆ แบบนั้นแต่ไม่ใช่ซะทีเดียว -- งงใช่ไหม งั้นฟังข้าให้ดี”ซาลาคลอสอธิบายเมื่อเห็นว่าเทเลอัสทำหน้าดุมากขึ้นทุกที “หากเจ้ายังยืนยันความผิดของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ ในขณะที่ราชครูไบอัสคอยดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดีด้วยเหตุผลที่ว่านางคือร่างที่ดวงจิตเทพธิดาสถิตอยู่ ชีวิตและความปลอดภัยของนางจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด นี่คือมุมมองของคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ แต่ถ้ามองในมุมของคนทั่วๆไปที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อาเดรียน่าคือหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย เพราะคืนที่เกิดเหตุวุ่นวายในวังหลวง ท่านเสนาบดีกลาโหมไม่สามารถจับตัวราชครูบาซิลของแคว้นกอรินธ์หรือสายลับคนอื่นๆ ได้ เขาจึงโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับนาง”
“เรื่องบ้าบอ”เทเลอัสถอนหายใจเสียงหนัก ใบหน้าคมเข้มขัดเคืองไม่พอใจ “หากพวกกอรินธ์ลงมือในอีกสองสามวันนี้ อยากจะรู้จริงว่าจะยังมีใครคิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้อีก”
“พูดแบบนี้แสดงว่าได้ข่าวอะไรมา ใช่ไหม”
เทเลอัสมองสหายสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “สายของข้าส่งข่าวมาบอกว่าสายลับของกอรินธ์เริ่มมีความเคลื่อนไหว น่าจะได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากราชครูบาซิลเลยทีเดียว”
“ครั้งล่าสุดที่พวกนั้นบุกเข้ามายังผ่านไปไม่ถึงสองเดือนดีเลยนะ”ซาลาคลอสว่า ตาลุกวาว “นี่พวกกอรินธ์ใจกล้าบ้าระห่ำ หรือเพราะชื่อเสียงความเก่งกาจของเจ้าลดลงกันแน่ฮึ เพื่อนข้า”
เทเลอัสเพียงแค่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งเสียงเรียกให้มีรอพส์เข้ามาในห้อง
“ลองไปถามๆ ดูว่ามีนายทหารที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนคนไหนว่างาน หรือมีงานน้อยที่สุด หาได้แล้วให้มาพบข้า”
“ขอรับ”
“มีอะไรหรือเปล่า”เทเลอัสถามเมื่อเห็นท่าที่อึกอัดของลูกน้องคนสนิท
“ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ท่านบารอนมูมานัสมารบเร้าขอเข้าพบท่านหัวหน้าน่ะขอรับ”
มีรอพส์ตอบ พลางเหลือบตามองเทเลอัสที่ดูเหมือนใบหน้าเขาจะขึงตึงขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ซาลาคลอสนั้นกลับมีรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ด้วยเป็นที่ล่วงรู้กันไปจนทั่วราชสำนักว่าบรรดาบารอนสกุลใหญ่ทั้งหลายที่มีบัตรสาวอายุแรกรุ่นและยังครองตนเป็นโสด ต่างหมายมั่นอยากเกี่ยวดองกับบารอนมิลานิออน ผู้เป็นหนึ่งในสี่ที่ปรึกษาขององค์กษัตริย์และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดบารอนสกุลใหญ่ของแคว้น มีบุตรชายคนโตผู้เป็นทายาทโดยตรงซึ่งก็คือเทเลอัส จึงกลายเป็นเป้าหมายในการเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ซึ่งแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นหวังผลประโยชน์ในเรื่องของความร่ำรวยและอำนาจทางการเมืองเพียงเท่านั้น
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วไงว่าลูกไม้ประเภทว่าทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาไปร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำกับองค์กษัตริย์และพระราชินีน่ะ ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”ซาลาคลอสพูดด้วยน้ำเสียงระรื่น
“ข้ารู้”
“อย่ามาโกหกเลย”ซาลาคลอสโต้กลับทันควัน “หากรู้อยู่แล้วจะมานั่งทำหน้าตึงอยู่อย่างนี้ทำไม”
“รำคาญ”เทเลอัสพูดห้วนๆ “ต่อให้ข้าแต่งงานไปแล้วบารอนพวกนั้นก็ยังจับลูกสาวพวกเขาใส่พานประเคนให้มาเป็นอนุข้าอีกอยู่ดี”
ซาลาคลอสพยักหน้ารับช้าๆ อย่างเห็นด้วย “จริงแท้แน่นอนเลยทีเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องไปร่วมอาหารมือค่ำเสียหน่อย จะได้สะสางเรื่องนี้กับบารอนมูมานัสด้วยเสียเลย”
“หรือถ้าจะให้ดี ข้าว่าเจ้าเต้นรำสักเพลงกับเจ้าหญิงคัสซันดร้าสักสองสามเพลงไปเลย รับรองว่าบรรดาบารอนทั้งหลายที่อยากได้เจ้าเป็นลูกเขย จะต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างแน่นอน”
มีรอพส์ต้องรีบเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เผลอหลุดรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ ขณะปรายตามองเทเลอัสที่พ่นลมหายใจออกอย่างเหลืออดเหลือทนให้กับความคิดแสงอันตรายนั้น
“ต่อให้หมดทางเลือก ข้าก็ไม่ขอทำตามคำแนะนำของเจ้าเด็ดขาด ซาลาคลอส!”
**********************************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2557, 10:18:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2557, 10:18:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 1060
<< บทที่ 5 | บทที่ 7 >> |