มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 6
คุลิกาแบมือรับวัตถุจากมือของชายหนุ่มผู้ซึ่งหลังจากแนะนำตัวกันแล้วก็ได้เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องราวแสนประหลาดที่เขาฟังจากปากคำของปู่อีกทอดหนึ่ง เข็มบอกทิศบนหน้าปัดยังคงหมุนและหน้าปัดก็ยังคงส่องแสงเรือง หญิงสาวแตะที่ฝาปิดก่อนจะพับมันลงหันไปมองพงศ์พลินลังเลอยู่พักก่อนจะขยับริมฝีปากทว่าไม่ทันจะเอ่ยถามอะไร เสียงที่เธอเริ่มคุ้นเคยก็ดังเข้าหู
“เข็มทิศนี่ใช้ไม่ได้ผลในการตามหาตัวพวกชาวเวทมืดหรอก”
ไม่ใช่เธอคนเดียวที่มีปฏิกิริยากับเสียงนั้นทว่าคนที่นั่งข้างกันบนม้านั่งยาวก็ขยับตัวมองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาที่มาของเสียงเช่นกัน อาการนั้นดึงความสนใจของคุลิกาได้ทันที
“คุณพงศ์...”
หญิงสาวจับข้อมือพงศ์พลินที่ตอนนี้กำลังจับตามองที่พื้นทางเดินปูอิฐตัวหนอนซึ่งตัดจากทางเดินรถข้างตัวอาคารมายังม้านั่งยาว เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ละสายตาจากตรงนั้นเธอก็หันไปมองตาม อ้าปากค้างก่อนจะหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง คุลิกากระตุกข้อมืออย่างจะเรียกความสนใจ
“ครับ คุณแคท”
“คุณมองเห็นแมวบ้า...เอ่อ ฉันหมายถึงแมวสีขาวตัวนั้นด้วยเหรอคะ”
พงศ์พลินพยักหน้า มองสบตาคุลิกาและจากสีหน้า แววตานั้นหญิงสาวมั่นใจว่าเขาไม่ใช่แค่เห็นตัวแมว แต่น่าจะได้ยินเสียงพูดด้วย ถึงได้ทำท่าเหมือนหาต้นเสียง แล้วก็ดูงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อรู้ว่าเสียงเมื่อสักครู่มาจากเจ้าสี่เท้าขนขาวสะอาดที่เหมือนกำลังเงยหน้าขึ้นมองตรงมาทางทั้งสองอยู่ตอนนี้
“ได้ยินเสียงพูดด้วย”
หญิงสาวเอ่ยอย่างจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับพงศ์พลิน แต่ชายหนุ่มที่มองสบตากันอยู่ก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ทั้งสองนั่งนิ่งจับตามองเจ้าแมวสีขาวที่ตอนนี้เดินเยื้องย่างเชื่องช้ามายังม้านั่งยาว กระโดดขึ้นมานั่งคั่นกลางระหว่างทั้งคู่ อาการของทั้งคุลิกาและพงศ์พลินคือต่างละสายตาจากกันแล้วก้มลงมองที่ร่างของสัตว์สี่เท้าสีขาวแทน
แมวสีขาวมองซ้ายมองขวาราวกับจะสังเกตสถานการณ์รอบตัวก่อนที่ร่างสีขาวจะเลือนหายไปจากสายตาของสองหนุ่มสาวปรากฏเป็นร่างของเด็กหญิงชุดขาวแทน
“เฮ้ย!”
พงศ์พลินที่เพิ่งเคยเห็นปรากฏการณ์แมวกลายร่างเป็นครั้งแรกร้องออกมาไม่เบานักดีที่คุลิกาไวพอที่จะขยับเข้าประชิดยกมือขึ้นปิดปากชายหนุ่มแล้วก้มลงดุเด็กหญิง
“ทำอะไรน่ะคิตตี้ เกิดคุณพงศ์ช็อกหัวใจวายตาขึ้นมาจะทำยังไง”
คิตตี้ถอนใจยาวผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับสองหนุ่มสาว รอจนชายหนุ่มดูมีอาการสงบลงและคุลิกาคลายมือที่ปิดปากเขาไว้ออกจึงเอ่ยด้วยท่าทีเหมือนไม่คิดว่าเรื่องที่ตนทำให้พงศ์พลินตกใจเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร
“ไม่เห็นจะแปลกเลย ก็ถ้าพี่คนนี้ มีสายเลือดของชาวเวทจริง แล้วก็รับรู้เรื่องประหลาดมาเยอะแยะ วันก่อนพี่แคทก็เพิ่งจะช่วยเขาด้วยมนต์แล้วยังโดนสะกดให้ยืนขาแข็งอยู่ตั้งนานสองนาน ก็คงรับเรื่องพวกนี้ได้อยู่หรอก”
พงศ์พลินส่งเสียงแฮะออกมาก่อนขยายความ “เอ่อ...เคยได้ยินเรื่องแปลก กับเห็นจะคาตา มันไม่เหมือนกันนะ ตั้งแต่เกิดมาพี่ก็เพิ่งเห็นแมวพูดได้แล้วก็กลายร่างเป็นคนนี่แหละ”
“เชื้อสายชาวเวทที่ไม่มีมนต์ติดตัวมาสักนิด แถมยังขี้กลัวซะอีก ดีนะที่อย่างน้อยก็ยังได้ยินและมองเห็นภูตินำทาง”
คิตตี้วิจารณ์เหมือนชายหนุ่มไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อพงศ์พลินหันไปมองคุลิกา หญิงสาวก็ยกไหล่ ถอนใจยาวอย่างจะบอกว่าเธอเองก็จนปัญญาจะจัดการ
“จะว่าไปก็แปลกนะ จากข้อมูลที่ได้มา หลังจากชาวเวทยุคแรกที่มาอยู่ปะปนกับโลกมนุษย์แล้ว แทบไม่เจอเชื้อสายผสมผู้ชายคนไหนที่มีเวทมนต์เลย เหมือนถ่ายทอดแต่กับผู้หญิง”
“สงสัยเวทมนต์คงถ่ายทอดทางโครโมโซม x มั้งน้อง...เอ่อ...” พงศ์พลินอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเรียกแมวที่กลายเป็นคนต่อหน้าว่าอะไรดี
“พี่แคทตั้งชื่อให้ว่าคิตตี้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ มองพนักงานบริษัทกลุ่มหนึ่งที่เดินตัดผ่านหน้าไปทางถนนใหญ่จนเห็นว่าพ้นระยะที่จะได้ยินการสนทนาจึงค่อยเอ่ยปาก
“คิตตี้คงเหมือนนกของเทียดผมแน่ ๆ”
“ก็คงอย่างนั้นแหละค่ะ ว่าแต่ภูตินำทางของเทียดคุณนี่ดีนะคะเป็นนก ท่าทางจะดูแลง่าย ไม่เหมือน...” คุลิกาพูดแล้วปรายตามองภูตินำทางที่ไม่ใช่นก ก่อนแสร้งเปลี่ยนเรื่องทันที “จริงสิ...คิตตี้เมื่อกี้เธอบอกว่าเข็มทิศนี่ใช่ตามเวทนรีมืดไม่ได้ผล เพราะอะไรเหรอ”
“วัตถุที่เสกขึ้นโดยมนต์บริสุทธิ์ จะค้นหาได้ก็เฉพาะคนที่มีมนต์บริสุทธิ์เหมือนกัน ใช้ค้นหาพวกมนต์มืดไม่ได้”
“ผมก็ไม่รู้รายละเอียดนะครับ ปู่เล่าให้ฟังแล้วปู่ก็ฟังจากเทียดมาอีกที ไม่รู้ว่ามีใจความสำคัญอะไรตกหล่นไปบ้างรึเปล่า แต่อย่างน้อยปู่ก็อยากให้ผมมาเตือนคุณ ว่าคุณอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้”
“ที่ฟังเมื่อกี้...” คิตตี้เอ่ยแล้วชะงักเมื่อเห็นสายตาของสองหนุ่มสาวจับจ้องที่ตนเป็นตาเดียว “ก็...ถ้าไม่แอบฟังจะรู้เรื่องด้วยได้ยังไงล่ะ ใช่มั้ยล่ะ”
“เอาเถอะยายคิตตี้ เรื่องแอบฟังช่างมันก่อน ว่าต่อได้เลย”
“เรื่องที่เทียดของพี่คนนี้...พี่พงศ์ใช่มั้ย เรื่องที่เล่าถึงอัญมณีที่ถูกชิงไปน่ะ ในโลกของชาวเวท จะมีผู้ที่คอยดูแลแหล่งกำเนิดเวทมนต์อยู่ พอมีชาวเวทถือกำเนิดขึ้นมา ก็จะมีอัญมณีปรากฏขึ้นเป็นอัญมณีประจำตัวของชาวเวท อัญมณีนี่แหละที่เป็นศูนย์รวมพลังของชาวเวทแต่ละคน
ในดินแดนเวทมนต์แต่ละคนจะมีพลังตั้งแต่เกิด แต่พอชาวเวทกลุ่มหนึ่งมาสืบทายาทกับมนุษย์ รูปแบบของพลังก็เปลี่ยนไป มันจะแฝงอยู่ในตัวจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด พลังเวทและพลังชีวิตของชาวเวทจะอยู่ในอัญมณี หากอัญมณีถูกทำลายหรือถูกพวกเวทมืดดึงเอาพลังในอัญมณีไปหมด ชาวเวทผู้นั้นก็จะ...”
คิตตี้ไปพูดต่อแต่ทำคอพับ ลิ้นจุกปาก
“พูดออกมาว่าตาย จะดูน่ากลัวน้อยกว่านะยายคิตตี้”
คุลิกาเอ่ยเสียงเครียด พงศ์พลินเหมือนจะจับความกังวลในน้ำเสียงได้จึงหันมามองสบตา ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะส่งกำลังใจให้หญิงสาว เธอยิ้มฝืนให้แต่แล้วก็อดถอนใจออกมาไม่ได้
“แล้วเราไม่มีทางทำอะไรได้เหรอคิตตี้” ชายหนุ่มเอ่ยถาม “ถ้าของที่ใช้มนต์นี่ใช้ติดตามตัวพวกเวทมืดไม่ได้ แสดงว่าพวกนั้นก็ไม่น่าจะติดตามตัวคุณแคทได้ใช่ไหม”
“เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าใครที่มีพลังเวทด้านมืดอยู่ในตัว เพราะยังไงเราซะคนคนนั้นจะต้องปรากฏตัวขึ้นเร็ว ๆ นี้แหละ ใช่ไหมล่ะพี่แคท”
“นี่พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ ฉันว่าฉันขอตัวก่อนดีกว่า นี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย”
“ถ้าคุณแคทไม่ว่าอะไร...” พงศ์พลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา “ผมอยากให้เราแลกเบอร์กันไว้ได้ไหมครับ ผมสัญญากับปู่เอาไว้แล้วว่าผมจะคอยให้ความช่วยเหลือคนที่เหมือนกับเทียดทับทิม”
“จะช่วยยังไงคะพี่พงศ์ พลังเวทก็ไม่มี”
เด็กหญิงเอ่ยขัดก่อนจะก้มตัวหลบเมื่อคุลิกาเงื้อมือเหมือนจะตี ร่างเด็กหญิงในชุดขาวเปลี่ยนสภาพเป็นสัตว์สีเท้าวิ่งแน่บลัดเลาะไปตามพุ่งไม้ พ้นสายตาของพงศ์พลินและคุลิกา
พงศ์พลินยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขิน คำพูดของคิตตี้เตือนให้เขารู้ว่าตนคงไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรหญิงสาวที่มีพลังพิเศษได้
“จะว่าไป คิตตี้ก็พูดถูกนะครับผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ แม้แต่เข็มทิศที่คิดว่าอาจจะใช้ช่วยให้คุณระวังตัวได้ก็...”
“อย่างน้อยการที่คุณมาบอกฉันก็ถือว่าช่วยให้ฉันระวังตัวแล้วไงคะ” คุลิกาเอ่ยอย่างให้กำลังใจ “เทียดของคุณเองก็คงจะรู้เรื่องที่ยายคิตตี้ว่าเหมือนกัน ท่านอาจจะตั้งใจแค่ให้คุณมาเตือนฉันก็ได้”
“ครับ แต่ยังไงผมขอให้เบอร์คุณไว้ดีกว่า ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรคุณจะได้โทรหาผม ถึงจะช่วยแบบออกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่ได้ แต่ก็อาจจะช่วยคิดอะไรได้บ้าง”
คุลิกามองชายหนุ่มอย่างพิจารณา ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่จริงจังทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าเขาไม่ได้หลอกขอเบอร์โทรจึงแบมือออกข้างตัวและเขาเองก็เหมือนจะรู้ในความหมายนั้นจึงวางโทรศัพท์ลงบนฝ่ามือ เธอกดหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองรอจนได้ยินเสียงเรียกเข้าดังออกมาจากระเป๋าสะพายจึงกดวางสายส่งคืนโทรศัพท์ให้เขาก่อนที่จะส่งของที่กำไว้ในอีกมือหนึ่งคืนให้ด้วย
“เข็มทิศนี่เป็นของเทียดคุณ ฉันว่าคุณเก็บเอาไว้เถอะค่ะ ถ้ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับฉัน มันก็ควรอยู่กับทายาทของเจ้าของ”
ชายหนุ่มรับเข็มทิศคืนจากหญิงสาว แล้วสะดุ้งเมื่อสิ่งที่กำอยู่ในมืออีกข้างส่งเสียงดังขึ้น ชื่อและภาพของคนบนหน้าจอทำเอาพงศ์พลินตาเหลือก
“พ่อ!”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะนี่เหลือเวลาอีกไม่นานก็หมดพักเที่ยงแล้ว”
คุลิกาผุดลุกขึ้นยืน เดินผละออกจากม้านั่งยาวหันไปเห็นเขากดรับโทรศัพท์ส่งเสียงสนทนากับปลายสายด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความหวั่นเกรงต่อปลายสายเต็มที่
ผู้ชายที่เป็นดารุทัยกับผู้ชายที่สืบเชื้อสายชาวเวทแต่ไม่มีพลังเวทในตัว...บุคลิกท่าทางช่างต่างกันลิบลับ
เจ้าของร่างอวบอิ่มในชุดกระโปรงเกาะอกสีแดงสดดึงแว่นตากันแดดขึ้นไปทัดไว้บนเรือนผมหลังจากก้าวผ่านประตูกระจกอัตโนมัติของโรงพยาบาล ผู้ป่วยและบุคลากรของโรงพยาบาลที่อยู่บริเวณนั้นหลายคนหันมามองเธอท่าทีเหมือนคุ้นตาหญิงสาว ลัลน์ลลิตมักปรากฏตัวในข่าวแวดวงสังคมชั้นสูงเสมอเคยมีข่าวคบหากับดาราหนุ่มอยู่หลายคน เธอเดินถือกระเช้าผลไม้เดินตรงไปยังโถงลิฟท์ของโรงพยาบาล
ลัลน์ลลิตไม่แสร้งทำว่าเธอมีความสุขกับการมาโรงพยาบาลในครั้งนี้ หญิงสาวพยายามไม่สนใจสายตาที่คนมอง ไม่แม้แต่จะยิ้มตอบเมื่อเห็นว่าใครบางคนส่งยิ้มให้อย่างจะบอกว่าจดจำเธอได้ ดวงตาคมโฉบเฉี่ยวติดจะดุ ริมฝีปากสีสดแสยะเล็กน้อยเมื่อเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งส่งยิ้มพร้อมสายตากรุ้มกริ่มมาให้
หญิงสาวไม่เคยคิดแคร์ต่อสายตาของใครมาแต่ไหนแต่ไรเพราะความที่เป็นทายาทของนักธุรกิจดัง หลังเรียนจบพ่อแม่ก็ลงทุนเปิดร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมให้ ทำเลในห้างสรรพสินค้าหรูหรากลางกรุงทำให้กิจการทำกำไรโดยที่ลัลน์ลลิตแทบไม่ต้องทำอะไรเอง ทุกอย่างมีคนคอยช่วยจัดการทั้งหมด เธอใช้เวลาอยู่กับความสนุกสนานและควงชายหนุ่มมามากหน้าหลายตา อย่างรายล่าสุดที่กำลังคบหากันอยู่นั้นเป็นผู้กำกับการแสดงหนุ่มทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจด้านบันเทิงมานานหลายสิบปี
เธอได้รับทราบว่าเขาป่วยจากการโหมถ่ายทำละครเรื่องใหม่ จึงเดินทางมาเยี่ยมแม้ทางฝั่งชายหนุ่ม ลัลน์ลลิตต้องการจะทำให้เขาแปลกใจจึงคุยทางโทรศัพท์ว่าจะมาเยี่ยมไข้เขาในช่วงค่ำหลังจากไปดูแลร้านเรียบร้อยแล้ว หากเธอไปดูแลร้านแค่ช่วงสายก่อนจะเดินเลือกกระเช้าผลไม้ที่ดีที่สุดแพงที่สุดในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างหรูแห่งนั้นแล้วจึงรีบเดินทางมายังโรงพยาบาลที่คู่ควงคนล่าสุดรักษาตัวอยู่
หลังจากกวาดตามองป้ายระบุเลขห้อง หญิงสาวก้าวฉับอย่างมั่นใจไปตามทางเดินบนชั้นห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อถึงหน้าห้องที่มีหมายเลขตรงกับที่ได้รับทราบจากชายหนุ่มเธอจึงเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูผลักเข้าไปทันที
ฝ่ายที่ตั้งใจมาทำให้คนไข้ประหลาดใจกลับเป็นฝ่ายที่ต้องเจอเรื่องประหลาดใจเสียเอง เพราะในห้องพักผู้ป่วยตอนนี้ไม่ได้มีแต่ผู้กำกับการแสดงหนุ่มหากยังมีนักแสดงสมทบสาวที่เพิ่งจะเริ่มมีผลงานแสดงมาเพียงไม่กี่เรื่องอยู่ด้วย และสิ่งที่ทำให้น่าแปลกใจกว่าคือการนั่งเยี่ยมไข้ของนักแสดงสาวที่ไม่เพียงแต่นั่งชิดกับเตียงคนไข้เท่านั้นหากใบหน้าของผู้เยี่ยมก็โน้มไปจนใกล้กับหน้าคนไข้ ปลายจมูกสัมผัสปลายจมูก ริมฝีปากแตะริมฝีปาก
ลัลน์ลลิตส่งเสียงหวีดร้องเรียกชื่อผู้กำกับหนุ่มก่อนจะปรี่ไปที่เตียงคนไข้ นักแสดงสมทบสาวรีบผละออกห่างจากร่างบนเตียงหากไม่ทันการณ์ตะกร้าผลไม้ถูกปาใส่หน้า นักแสดงสาวยกมือขึ้นกุมจมูกก่อนจะต้องยกขึ้นปัดป้องเมื่อถูกลัลน์ลลิตเงื้อมือตบตี เมื่อเห็นว่าไม่อาจต้านแรงหึงหวงไม่ได้จึงเลิกคิดจะปักหลักต้าน วิ่งหนีออกจากห้องพักผู้ป่วย
เมื่อจำเลยหนึ่งในสองหนีออกจากที่เกิดเหตุ ศึกหนักจึงตกอยู่กับคนที่เหลือ ลัลน์ลลิตปรี่เข้าตบตีชายหนุ่มในชุดคนไข้เป็นพัลวัน เมื่อเห็นว่ามือเล็กของตัวเองทุบตีชายหนุ่มร่างใหญ่ไม่ระคายจึงก้มลงหยิบตะกร้าผลไม้ฉีกพลาสติกที่ห่อผลไม้อยู่ก่อนจะละเลงทั้งส้ม สตรอเบอร์รี่และสารพัดผลไม้ในตะกร้าใส่ร่างบนเตียง แม้ผู้กำกับหนุ่มจะพยายามอธิบายอะไรก็เปล่าประโยชน์
กระทั่งแสดงความกราดเกรี้ยวจนหนำใจแล้ว เธอจึงตวาดใส่คนที่พยายามหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวันมาตลอด
“พอได้แล้ว หุบปาก...หยุด ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาเลือดหัวคุณออก”
ไม่พูดเปล่า หญิงสาวขยับเข้าคว้าแจกันบนตู้ข้างเตียงยกขึ้นเหนือหัวทำท่าเหมือนพร้อมจะทุ่มใส่เขา อาการขู่นั้นได้ผลชายหนุ่มบนเตียงสงบปากคำลงได้ทันที
ลัลน์ลลิตรักษาคำพูด เมื่อเขาหยุดพูดเธอก็ไม่ได้เอาแจกันดอกไม้ทุ่มใส่เขา หากแต่เทรดทั้งน้ำและดอกไม้ในแจกันลงบนศีรษะของเขาแทน ชายหนุ่มโวยวายทว่าหญิงสาวไม่ใส่ใจ เดินผละออกจากห้องพักผู้ป่วยทันที
ร่างอวบอิ่มขยับก้าวอย่างรวดเร็วจากแรงอารมณ์ที่ยังคงกรุ่นอยู่ในอก เธอกดปุ่มเรียกลิฟท์รัวราวกับว่ามันจะสามารถเร่งให้ลิฟท์เคลื่อนที่เร็วขึ้นได้ เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกหญิงสาวก็ก้าวเข้าไปทันที
ภายในกล่องเหล็กมีลัลน์ลลิตอยู่เพียงคนเดียว เธอจึงสบถคำหยาบคายออกมาได้เต็มที่ หากเพียงไม่นานเธอก็ต้องร้องว้ายด้วยความตกใจ เมื่อแสงสว่างรอบตัวดับลงกะทันหันพร้อมกับการกระตุกวูบของลิฟท์
ลัลน์ลลิตลืมตาขึ้นมาในความมืด จากสำนึกล่าสุดนั้นหญิงสาวคิดว่าตนเองต้องอยู่ในภายลิฟท์และขณะนี้ไฟฟ้าคงจะดับทำให้ลิฟท์หยุดการทำงาน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายกดปลดล็อคเพื่อให้หน้าจอติดสว่างขึ้น ส่ายเครื่องไปมาเพื่อมองหาจุดที่น่าจะเป็นปุ่มควบคุมข้างประตูลิฟท์
จุดที่ควรจะมีการสะท้อนของแสงหรือมีปุ่มกดและปุ่มสัญญาณขอความช่วยเหลือนั้นกลับไม่มี
“เอ๊ะ!”
เธอหาคำตอบให้กับสิ่งที่สงสัยโดยการสาวเท้าเข้าไปใกล้จุดนั้น แต่แล้วกลับพบว่าสถานที่ที่เธออยู่นั้นไม่ใช่ภายในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมหากแต่เป็นสถานที่ใดสักแห่งที่มีเพียงแต่ความมืดปกคลุม
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่ามีน้ำแข็งเกาะอยู่ที่ขั้วหัวใจ คนที่ปกติแสดงออกให้คนเห็นว่ามีความเด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตนเองตอนนี้หวาดหวั่นกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ความรู้สึกหนึ่งบอกเธอให้คิดว่าตนเองกำลังฝัน หากอีกความรู้สึกกลับชี้ให้เห็นว่าเธอยังมีสติสัมปะชัญญะครบถ้วน
“ช่วยด้วย...นี่...ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ยิ่งย่างเท้าไปไกลเท่าไร ลัลน์ลลิตก็ยิ่งรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในความมืดมิดอันกว้างไกล หาขอบเขตไม่ได้ ความวิตก หวาดกลัวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นขณะที่ก้าวเดิน
แสงไฟสลัวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ความรู้สึกอุ่นใจเรียกให้ลัลน์ลลิตเดินตรงไปยังจุดกำเนิดของแสงนั้น เมื่ออยู่ในระยะที่มองเห็นได้เธอจึงตระหนักว่าเป็นแสงจากตะเกียงเจ้าพายุดวงหนึ่ง ตะเกียงดวงนั้นอยู่ในมือของหญิงชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่น
“แม่หนู หลงทางมาเหรอ”
“ยายเป็นใคร แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน”
“ยายเป็นใคร ที่นี่ที่ไหนไม่สำคัญหรอก รู้แต่ว่ายายสามารถที่จะพาแม่หนูให้กลับไปยังที่ที่จากมาได้ก็แล้วกัน”
“เดี๋ยว...นี่อย่าบอกนะว่าฉันตายแล้ว ไม่...ไม่จริง” หญิงสาวประสาทเสียกับความคิดในทางร้ายที่แล่นเข้ามาในหัว “เป็นไปไม่ได้ ฉันกำลังอยู่ในลิฟท์ แล้วไฟก็ดับ”
“ใจเย็น ๆ สิแม่หนู แม่หนูคงตกใจเสียขวัญมาก ดื่มอะไรร้อน ๆ หน่อยมั้ยล่ะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
หญิงชรากล่าวขณะวางตะเกียงเจ้าพายุลงข้างตัว ถ้วยเครื่องดื่มคล้ายถ้วยชาทำจากดินปรากฏขึ้นในมือเหี่ยวย่นภายในชั่วพริบตา ภายในถ้วยมีน้ำสีรุ้งขดวนเป็นวง ควันจางลอยขึ้นมาจากของเหลวสีประหลาดนั้น
หญิงสาวขยับปากจะปฏิเสธ...ก็นี่มันใช่เวลามาดื่มอะไรที่ไหนกันล่ะ เธอใจร้อนจะแย่ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาอยู่ในที่แบบนี้ได้
ประกายบางอย่างวูบขึ้นมาในดวงตาของหญิงชรา และประกายนั้นมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ลัลน์ลลิตไม่อาจพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปได้
เธอเอื้อมมือไปรับราวเครื่องดื่มนั้นมา ยกภาชนะดินนั้นแตะริมฝีปาก ทันทีที่น้ำสีประหลาดนั้นสัมผัสลิ้น ลัลน์ลลิตก็รู้สึกราวกับว่าความทรงจำของตนปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ภาพชีวิตวัยเด็ก วัยเรียนจนกระทั่งเติบโตมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลิฟท์ปรากฏให้เห็นตรงหน้า คล้ายกับภาพเล็ก ๆ หลาย ๆ ภาพรวมกันบนจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ก่อนที่ภาพตรงหน้านั้นจะขมวดรวมกันเป็นก้อนกลมคล้ายลูกแก้วสีรุ้ง
หญิงชราเอื้อมมือมาหยิบเอาลูกแก้วกลมนั้นยกขึ้นอย่าเชื่องช้า ทันทีที่ลูกแก้วนั้นจรดกับหน้าผากมันก็หายวับเข้าไป
“ความทรงจำของแม่หนู อยู่กับฉันแล้ว ต่อไปแค่หนูดื่มเครื่องดื่มนี่อีกแก้ว หนูก็จะได้กลับไปยังที่ที่แม่หนูจากมา”
แม้จะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทว่าลัลน์ลลิตไม่อาจจะปริปากแย้งอะไรได้ ดวงตาที่มีประกายประหลาดยังคงสะกดให้เธอทำทุกอย่างตามคำพูดของหญิงชรา
ครั้งนี้ในถ้วยเครื่องดื่มมีน้ำสีขาวและดำซ้อนกันเป็นวงสลับสี วงของน้ำสีขาวและดำวิ่งวนสลับทิศกัน วงของน้ำสีขาววิ่งตามเข็มนาฬิกา ส่วนวงของน้ำสีดำหมุนทวนเข็มนาฬิกา
“ดื่มสิ”
ไม่...ไม่นะ...น้ำอะไรก็ไม่รู้
แม้ความคิดจะปฏิเสธแต่ร่างกายกลับทำตามคำสั่ง ส่งถ้วยเปล่าในมือไปแลกกับเครื่องดื่มถ้วยใหม่ ยกขึ้นดื่ม ทันทีที่ของเหลวอุ่น ๆ นั้นล่วงพ้นลำคอ เธอก็รู้สึกราวปั่นป่วน ทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าหมุนเวียนวนไปมา ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงอีกครั้งในห้วงคำนึงของหญิงสาว
ปพนธีร์ปิดแฟ้มเอกสารที่เขาต้องตรวจสอบลง บีบสันจมูกเพื่อไล่ความตึงเครียดจากการทำงานมาตลอดช่วงบ่าย ชายหนุ่มยกเลิกแผนที่จะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมหญิงชราที่โรงพยาบาล
เขากดโทรศัพท์ต่อสายไปยังหมายเลขที่เพิ่งค้นหามาเมื่อวันก่อน ก่อนจะกดหมายเลขต่อ เสียงสัญญาณดังเพียงสองครั้ง ปลายสายก็ส่งเสียงสดใสมาให้ได้ยิน
“คุลิกาค่ะ”
“คุณแคท ผมเองครับ...ป๊อบ”
“คุณป๊อบมีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่าคะ”
น้ำเสียงไม่มั่นใจของหญิงสาวทำให้ปพนธีร์อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ผมคงไม่มีอะไรให้คุณแคทช่วยหรอกครับ”
“หรือให้ถูกต้องบอกว่า อย่างฉันจะไปช่วยอะไรคุณได้ ใช่ไหมคะ”
“จริง ๆ แล้วมีครับ ผมจะรบกวนให้คุณแคทอนุญาตให้ผมไปส่งที่บ้านได้ไหมครับ”
“อืม...คุณป๊อบจะขอไปส่งที่บ้าน เอาไงดี ไม่ได้เตรียมตัว แล้วก็นัดกินข้าวเย็นไว้แล้ว เอาไว้วันหลังเหรอ” เสียงจากปลายสายคล้ายกับคุยกับใครอยู่
“คุณแคทครับ”
“เอ่อ...ค่ะ...ขอโทษค่ะ พอดีฉันคุยกับแมว...เอ่อ...แมวไม่ใช่แมวที่เป็นสัตว์สี่เท้านะคะ คนชื่อแมวเป็นเพื่อนร่วมงานน่ะค่ะ”
ปพนธีร์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบของหญิงสาว
“ครับ...ถ้าวันนี้คุณแคทไม่สะดวก พรุ่งนี้ผมขออนุญาตนะครับ”
หญิงสาวรับคำ ทั้งสองเอ่ยคำลากัน ก่อนจะวางสายชายหนุ่มได้ยินเสียงคล้ายคุลิกากำลังดุใครสักคนอยู่ดังลอดมา เขาคาดว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ชื่อ “แมว” คนนั้น
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา กะเวลาไปถึงโรงพยาบาลในช่วงเวลาเลิกงานที่การจราจรคับคั่งแล้วระบายลมหายใจยาว บางทีการขับรถไปไหนมาไหนในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพโดยลำพังก็น่าเบื่อเอาการ
น่าจะถึงเวลาที่เขาจะมีใครสักคน นั่งผจญรถติดไปด้วยกันแล้ว
ปพนธีร์หยุดมองร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษ รู้สึกว่าร่างกายถูกตรึงไว้ชั่วขณะ ทั้งส่วนโค้งเว้าของร่างกาย เครื่องหน้าโฉบเฉี่ยวของหญิงสาวที่ยืนตรงหน้า ต้องเรียกว่าสะดุดตาได้ในทันที ทั้งเขายังคุ้นว่าเคยเห็นเธอในข่าวสังคมซุบซิบทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์
เธอดูมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยขณะที่ยืนพูดคุยอยู่กับนายแพทย์หนุ่มใหญ่ จบการพูดคุยกันหญิงสาวกระพุ่มมือไหว้พร้อมเอ่ยคำแสดงความขอบคุณ ก่อนจะหันมามองสบสายตากับปพนธีร์เข้าพอดี
น้ำใสที่เอ่อคลอดวงตาคู่นั้นทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกหวั่นไหวประหลาด หญิงสาวในชุดเกาะอกสีแดงค่อยก้าวเท้าเข้ามาหาเขาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
“คุณใช่ไหมคะ ที่เป็นคนไปพบคุณยายแก้ว”
ปพนธีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนนึกขึ้นได้ “คุณเป็นญาติของคุณยาย คนที่เดินตัดหน้ารถผมเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คุณยายแก้วเป็นคนเก่าคนแก่ทำงานในบ้านของคุณลุงฉันมานาน ระยะหลังคุณยายหลง ๆ ลืม ๆ หนีหายออกจากบ้านไปบ่อย ๆ นี่เราก็ติดตามกันอยู่หลายวันกว่าจะได้รับข่าว พอรีบมาดูที่โรงพยาบาลก็เจอคุณยายแก้วจริง ๆ” อาการที่เล่าถึงหญิงชรานั้นแสดงออกถึงความรักใคร่ห่วงใยเต็มเปี่ยม “ต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ ถ้าคุณยายแก้วไปเจอคนอื่นที่ไม่ดูดำดีดี ไม่ได้คุณพามาส่งโรงพยาบาลเราอาจจะยังไม่เจอคุณยายจนป่านนี้ เอ่อ...คุณ....”
“ผมปพนธีร์ครับ...ป๊อบ”
“ค่ะ...ลัน...ลัลน์ลลิต” หญิงสาวยิ้มอ่อนหันมองไปทางประตูห้องพักผู้ป่วยก่อนเอ่ยชักชวน “ฉันเพิ่งคุยกับคุณหมอเสร็จเห็นคุณหมอว่าตอนนี้แค่พักฟื้นรอดูอาการ กำลังจะเข้าไปเยี่ยมคุณยายพอดีค่ะ”
“ผมขอเข้าไปเยี่ยมด้วยนะครับ”
“เชิญค่ะ”
ชายหนุ่มมองตามร่างอวบในชุดกระโปรงสีแดงที่เดินนำเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย หญิงสาวหันกลับมาและปรายตามอง สีหน้าท่าทางของเธอคล้ายมีมนต์สะกดให้เขาก้าวตามเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยนั้น
“เข็มทิศนี่ใช้ไม่ได้ผลในการตามหาตัวพวกชาวเวทมืดหรอก”
ไม่ใช่เธอคนเดียวที่มีปฏิกิริยากับเสียงนั้นทว่าคนที่นั่งข้างกันบนม้านั่งยาวก็ขยับตัวมองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาที่มาของเสียงเช่นกัน อาการนั้นดึงความสนใจของคุลิกาได้ทันที
“คุณพงศ์...”
หญิงสาวจับข้อมือพงศ์พลินที่ตอนนี้กำลังจับตามองที่พื้นทางเดินปูอิฐตัวหนอนซึ่งตัดจากทางเดินรถข้างตัวอาคารมายังม้านั่งยาว เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ละสายตาจากตรงนั้นเธอก็หันไปมองตาม อ้าปากค้างก่อนจะหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง คุลิกากระตุกข้อมืออย่างจะเรียกความสนใจ
“ครับ คุณแคท”
“คุณมองเห็นแมวบ้า...เอ่อ ฉันหมายถึงแมวสีขาวตัวนั้นด้วยเหรอคะ”
พงศ์พลินพยักหน้า มองสบตาคุลิกาและจากสีหน้า แววตานั้นหญิงสาวมั่นใจว่าเขาไม่ใช่แค่เห็นตัวแมว แต่น่าจะได้ยินเสียงพูดด้วย ถึงได้ทำท่าเหมือนหาต้นเสียง แล้วก็ดูงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อรู้ว่าเสียงเมื่อสักครู่มาจากเจ้าสี่เท้าขนขาวสะอาดที่เหมือนกำลังเงยหน้าขึ้นมองตรงมาทางทั้งสองอยู่ตอนนี้
“ได้ยินเสียงพูดด้วย”
หญิงสาวเอ่ยอย่างจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับพงศ์พลิน แต่ชายหนุ่มที่มองสบตากันอยู่ก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ทั้งสองนั่งนิ่งจับตามองเจ้าแมวสีขาวที่ตอนนี้เดินเยื้องย่างเชื่องช้ามายังม้านั่งยาว กระโดดขึ้นมานั่งคั่นกลางระหว่างทั้งคู่ อาการของทั้งคุลิกาและพงศ์พลินคือต่างละสายตาจากกันแล้วก้มลงมองที่ร่างของสัตว์สี่เท้าสีขาวแทน
แมวสีขาวมองซ้ายมองขวาราวกับจะสังเกตสถานการณ์รอบตัวก่อนที่ร่างสีขาวจะเลือนหายไปจากสายตาของสองหนุ่มสาวปรากฏเป็นร่างของเด็กหญิงชุดขาวแทน
“เฮ้ย!”
พงศ์พลินที่เพิ่งเคยเห็นปรากฏการณ์แมวกลายร่างเป็นครั้งแรกร้องออกมาไม่เบานักดีที่คุลิกาไวพอที่จะขยับเข้าประชิดยกมือขึ้นปิดปากชายหนุ่มแล้วก้มลงดุเด็กหญิง
“ทำอะไรน่ะคิตตี้ เกิดคุณพงศ์ช็อกหัวใจวายตาขึ้นมาจะทำยังไง”
คิตตี้ถอนใจยาวผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับสองหนุ่มสาว รอจนชายหนุ่มดูมีอาการสงบลงและคุลิกาคลายมือที่ปิดปากเขาไว้ออกจึงเอ่ยด้วยท่าทีเหมือนไม่คิดว่าเรื่องที่ตนทำให้พงศ์พลินตกใจเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร
“ไม่เห็นจะแปลกเลย ก็ถ้าพี่คนนี้ มีสายเลือดของชาวเวทจริง แล้วก็รับรู้เรื่องประหลาดมาเยอะแยะ วันก่อนพี่แคทก็เพิ่งจะช่วยเขาด้วยมนต์แล้วยังโดนสะกดให้ยืนขาแข็งอยู่ตั้งนานสองนาน ก็คงรับเรื่องพวกนี้ได้อยู่หรอก”
พงศ์พลินส่งเสียงแฮะออกมาก่อนขยายความ “เอ่อ...เคยได้ยินเรื่องแปลก กับเห็นจะคาตา มันไม่เหมือนกันนะ ตั้งแต่เกิดมาพี่ก็เพิ่งเห็นแมวพูดได้แล้วก็กลายร่างเป็นคนนี่แหละ”
“เชื้อสายชาวเวทที่ไม่มีมนต์ติดตัวมาสักนิด แถมยังขี้กลัวซะอีก ดีนะที่อย่างน้อยก็ยังได้ยินและมองเห็นภูตินำทาง”
คิตตี้วิจารณ์เหมือนชายหนุ่มไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อพงศ์พลินหันไปมองคุลิกา หญิงสาวก็ยกไหล่ ถอนใจยาวอย่างจะบอกว่าเธอเองก็จนปัญญาจะจัดการ
“จะว่าไปก็แปลกนะ จากข้อมูลที่ได้มา หลังจากชาวเวทยุคแรกที่มาอยู่ปะปนกับโลกมนุษย์แล้ว แทบไม่เจอเชื้อสายผสมผู้ชายคนไหนที่มีเวทมนต์เลย เหมือนถ่ายทอดแต่กับผู้หญิง”
“สงสัยเวทมนต์คงถ่ายทอดทางโครโมโซม x มั้งน้อง...เอ่อ...” พงศ์พลินอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเรียกแมวที่กลายเป็นคนต่อหน้าว่าอะไรดี
“พี่แคทตั้งชื่อให้ว่าคิตตี้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ มองพนักงานบริษัทกลุ่มหนึ่งที่เดินตัดผ่านหน้าไปทางถนนใหญ่จนเห็นว่าพ้นระยะที่จะได้ยินการสนทนาจึงค่อยเอ่ยปาก
“คิตตี้คงเหมือนนกของเทียดผมแน่ ๆ”
“ก็คงอย่างนั้นแหละค่ะ ว่าแต่ภูตินำทางของเทียดคุณนี่ดีนะคะเป็นนก ท่าทางจะดูแลง่าย ไม่เหมือน...” คุลิกาพูดแล้วปรายตามองภูตินำทางที่ไม่ใช่นก ก่อนแสร้งเปลี่ยนเรื่องทันที “จริงสิ...คิตตี้เมื่อกี้เธอบอกว่าเข็มทิศนี่ใช่ตามเวทนรีมืดไม่ได้ผล เพราะอะไรเหรอ”
“วัตถุที่เสกขึ้นโดยมนต์บริสุทธิ์ จะค้นหาได้ก็เฉพาะคนที่มีมนต์บริสุทธิ์เหมือนกัน ใช้ค้นหาพวกมนต์มืดไม่ได้”
“ผมก็ไม่รู้รายละเอียดนะครับ ปู่เล่าให้ฟังแล้วปู่ก็ฟังจากเทียดมาอีกที ไม่รู้ว่ามีใจความสำคัญอะไรตกหล่นไปบ้างรึเปล่า แต่อย่างน้อยปู่ก็อยากให้ผมมาเตือนคุณ ว่าคุณอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้”
“ที่ฟังเมื่อกี้...” คิตตี้เอ่ยแล้วชะงักเมื่อเห็นสายตาของสองหนุ่มสาวจับจ้องที่ตนเป็นตาเดียว “ก็...ถ้าไม่แอบฟังจะรู้เรื่องด้วยได้ยังไงล่ะ ใช่มั้ยล่ะ”
“เอาเถอะยายคิตตี้ เรื่องแอบฟังช่างมันก่อน ว่าต่อได้เลย”
“เรื่องที่เทียดของพี่คนนี้...พี่พงศ์ใช่มั้ย เรื่องที่เล่าถึงอัญมณีที่ถูกชิงไปน่ะ ในโลกของชาวเวท จะมีผู้ที่คอยดูแลแหล่งกำเนิดเวทมนต์อยู่ พอมีชาวเวทถือกำเนิดขึ้นมา ก็จะมีอัญมณีปรากฏขึ้นเป็นอัญมณีประจำตัวของชาวเวท อัญมณีนี่แหละที่เป็นศูนย์รวมพลังของชาวเวทแต่ละคน
ในดินแดนเวทมนต์แต่ละคนจะมีพลังตั้งแต่เกิด แต่พอชาวเวทกลุ่มหนึ่งมาสืบทายาทกับมนุษย์ รูปแบบของพลังก็เปลี่ยนไป มันจะแฝงอยู่ในตัวจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด พลังเวทและพลังชีวิตของชาวเวทจะอยู่ในอัญมณี หากอัญมณีถูกทำลายหรือถูกพวกเวทมืดดึงเอาพลังในอัญมณีไปหมด ชาวเวทผู้นั้นก็จะ...”
คิตตี้ไปพูดต่อแต่ทำคอพับ ลิ้นจุกปาก
“พูดออกมาว่าตาย จะดูน่ากลัวน้อยกว่านะยายคิตตี้”
คุลิกาเอ่ยเสียงเครียด พงศ์พลินเหมือนจะจับความกังวลในน้ำเสียงได้จึงหันมามองสบตา ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะส่งกำลังใจให้หญิงสาว เธอยิ้มฝืนให้แต่แล้วก็อดถอนใจออกมาไม่ได้
“แล้วเราไม่มีทางทำอะไรได้เหรอคิตตี้” ชายหนุ่มเอ่ยถาม “ถ้าของที่ใช้มนต์นี่ใช้ติดตามตัวพวกเวทมืดไม่ได้ แสดงว่าพวกนั้นก็ไม่น่าจะติดตามตัวคุณแคทได้ใช่ไหม”
“เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าใครที่มีพลังเวทด้านมืดอยู่ในตัว เพราะยังไงเราซะคนคนนั้นจะต้องปรากฏตัวขึ้นเร็ว ๆ นี้แหละ ใช่ไหมล่ะพี่แคท”
“นี่พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ ฉันว่าฉันขอตัวก่อนดีกว่า นี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย”
“ถ้าคุณแคทไม่ว่าอะไร...” พงศ์พลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา “ผมอยากให้เราแลกเบอร์กันไว้ได้ไหมครับ ผมสัญญากับปู่เอาไว้แล้วว่าผมจะคอยให้ความช่วยเหลือคนที่เหมือนกับเทียดทับทิม”
“จะช่วยยังไงคะพี่พงศ์ พลังเวทก็ไม่มี”
เด็กหญิงเอ่ยขัดก่อนจะก้มตัวหลบเมื่อคุลิกาเงื้อมือเหมือนจะตี ร่างเด็กหญิงในชุดขาวเปลี่ยนสภาพเป็นสัตว์สีเท้าวิ่งแน่บลัดเลาะไปตามพุ่งไม้ พ้นสายตาของพงศ์พลินและคุลิกา
พงศ์พลินยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขิน คำพูดของคิตตี้เตือนให้เขารู้ว่าตนคงไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรหญิงสาวที่มีพลังพิเศษได้
“จะว่าไป คิตตี้ก็พูดถูกนะครับผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ แม้แต่เข็มทิศที่คิดว่าอาจจะใช้ช่วยให้คุณระวังตัวได้ก็...”
“อย่างน้อยการที่คุณมาบอกฉันก็ถือว่าช่วยให้ฉันระวังตัวแล้วไงคะ” คุลิกาเอ่ยอย่างให้กำลังใจ “เทียดของคุณเองก็คงจะรู้เรื่องที่ยายคิตตี้ว่าเหมือนกัน ท่านอาจจะตั้งใจแค่ให้คุณมาเตือนฉันก็ได้”
“ครับ แต่ยังไงผมขอให้เบอร์คุณไว้ดีกว่า ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรคุณจะได้โทรหาผม ถึงจะช่วยแบบออกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่ได้ แต่ก็อาจจะช่วยคิดอะไรได้บ้าง”
คุลิกามองชายหนุ่มอย่างพิจารณา ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่จริงจังทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าเขาไม่ได้หลอกขอเบอร์โทรจึงแบมือออกข้างตัวและเขาเองก็เหมือนจะรู้ในความหมายนั้นจึงวางโทรศัพท์ลงบนฝ่ามือ เธอกดหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองรอจนได้ยินเสียงเรียกเข้าดังออกมาจากระเป๋าสะพายจึงกดวางสายส่งคืนโทรศัพท์ให้เขาก่อนที่จะส่งของที่กำไว้ในอีกมือหนึ่งคืนให้ด้วย
“เข็มทิศนี่เป็นของเทียดคุณ ฉันว่าคุณเก็บเอาไว้เถอะค่ะ ถ้ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับฉัน มันก็ควรอยู่กับทายาทของเจ้าของ”
ชายหนุ่มรับเข็มทิศคืนจากหญิงสาว แล้วสะดุ้งเมื่อสิ่งที่กำอยู่ในมืออีกข้างส่งเสียงดังขึ้น ชื่อและภาพของคนบนหน้าจอทำเอาพงศ์พลินตาเหลือก
“พ่อ!”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะนี่เหลือเวลาอีกไม่นานก็หมดพักเที่ยงแล้ว”
คุลิกาผุดลุกขึ้นยืน เดินผละออกจากม้านั่งยาวหันไปเห็นเขากดรับโทรศัพท์ส่งเสียงสนทนากับปลายสายด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความหวั่นเกรงต่อปลายสายเต็มที่
ผู้ชายที่เป็นดารุทัยกับผู้ชายที่สืบเชื้อสายชาวเวทแต่ไม่มีพลังเวทในตัว...บุคลิกท่าทางช่างต่างกันลิบลับ
เจ้าของร่างอวบอิ่มในชุดกระโปรงเกาะอกสีแดงสดดึงแว่นตากันแดดขึ้นไปทัดไว้บนเรือนผมหลังจากก้าวผ่านประตูกระจกอัตโนมัติของโรงพยาบาล ผู้ป่วยและบุคลากรของโรงพยาบาลที่อยู่บริเวณนั้นหลายคนหันมามองเธอท่าทีเหมือนคุ้นตาหญิงสาว ลัลน์ลลิตมักปรากฏตัวในข่าวแวดวงสังคมชั้นสูงเสมอเคยมีข่าวคบหากับดาราหนุ่มอยู่หลายคน เธอเดินถือกระเช้าผลไม้เดินตรงไปยังโถงลิฟท์ของโรงพยาบาล
ลัลน์ลลิตไม่แสร้งทำว่าเธอมีความสุขกับการมาโรงพยาบาลในครั้งนี้ หญิงสาวพยายามไม่สนใจสายตาที่คนมอง ไม่แม้แต่จะยิ้มตอบเมื่อเห็นว่าใครบางคนส่งยิ้มให้อย่างจะบอกว่าจดจำเธอได้ ดวงตาคมโฉบเฉี่ยวติดจะดุ ริมฝีปากสีสดแสยะเล็กน้อยเมื่อเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งส่งยิ้มพร้อมสายตากรุ้มกริ่มมาให้
หญิงสาวไม่เคยคิดแคร์ต่อสายตาของใครมาแต่ไหนแต่ไรเพราะความที่เป็นทายาทของนักธุรกิจดัง หลังเรียนจบพ่อแม่ก็ลงทุนเปิดร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมให้ ทำเลในห้างสรรพสินค้าหรูหรากลางกรุงทำให้กิจการทำกำไรโดยที่ลัลน์ลลิตแทบไม่ต้องทำอะไรเอง ทุกอย่างมีคนคอยช่วยจัดการทั้งหมด เธอใช้เวลาอยู่กับความสนุกสนานและควงชายหนุ่มมามากหน้าหลายตา อย่างรายล่าสุดที่กำลังคบหากันอยู่นั้นเป็นผู้กำกับการแสดงหนุ่มทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจด้านบันเทิงมานานหลายสิบปี
เธอได้รับทราบว่าเขาป่วยจากการโหมถ่ายทำละครเรื่องใหม่ จึงเดินทางมาเยี่ยมแม้ทางฝั่งชายหนุ่ม ลัลน์ลลิตต้องการจะทำให้เขาแปลกใจจึงคุยทางโทรศัพท์ว่าจะมาเยี่ยมไข้เขาในช่วงค่ำหลังจากไปดูแลร้านเรียบร้อยแล้ว หากเธอไปดูแลร้านแค่ช่วงสายก่อนจะเดินเลือกกระเช้าผลไม้ที่ดีที่สุดแพงที่สุดในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างหรูแห่งนั้นแล้วจึงรีบเดินทางมายังโรงพยาบาลที่คู่ควงคนล่าสุดรักษาตัวอยู่
หลังจากกวาดตามองป้ายระบุเลขห้อง หญิงสาวก้าวฉับอย่างมั่นใจไปตามทางเดินบนชั้นห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อถึงหน้าห้องที่มีหมายเลขตรงกับที่ได้รับทราบจากชายหนุ่มเธอจึงเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูผลักเข้าไปทันที
ฝ่ายที่ตั้งใจมาทำให้คนไข้ประหลาดใจกลับเป็นฝ่ายที่ต้องเจอเรื่องประหลาดใจเสียเอง เพราะในห้องพักผู้ป่วยตอนนี้ไม่ได้มีแต่ผู้กำกับการแสดงหนุ่มหากยังมีนักแสดงสมทบสาวที่เพิ่งจะเริ่มมีผลงานแสดงมาเพียงไม่กี่เรื่องอยู่ด้วย และสิ่งที่ทำให้น่าแปลกใจกว่าคือการนั่งเยี่ยมไข้ของนักแสดงสาวที่ไม่เพียงแต่นั่งชิดกับเตียงคนไข้เท่านั้นหากใบหน้าของผู้เยี่ยมก็โน้มไปจนใกล้กับหน้าคนไข้ ปลายจมูกสัมผัสปลายจมูก ริมฝีปากแตะริมฝีปาก
ลัลน์ลลิตส่งเสียงหวีดร้องเรียกชื่อผู้กำกับหนุ่มก่อนจะปรี่ไปที่เตียงคนไข้ นักแสดงสมทบสาวรีบผละออกห่างจากร่างบนเตียงหากไม่ทันการณ์ตะกร้าผลไม้ถูกปาใส่หน้า นักแสดงสาวยกมือขึ้นกุมจมูกก่อนจะต้องยกขึ้นปัดป้องเมื่อถูกลัลน์ลลิตเงื้อมือตบตี เมื่อเห็นว่าไม่อาจต้านแรงหึงหวงไม่ได้จึงเลิกคิดจะปักหลักต้าน วิ่งหนีออกจากห้องพักผู้ป่วย
เมื่อจำเลยหนึ่งในสองหนีออกจากที่เกิดเหตุ ศึกหนักจึงตกอยู่กับคนที่เหลือ ลัลน์ลลิตปรี่เข้าตบตีชายหนุ่มในชุดคนไข้เป็นพัลวัน เมื่อเห็นว่ามือเล็กของตัวเองทุบตีชายหนุ่มร่างใหญ่ไม่ระคายจึงก้มลงหยิบตะกร้าผลไม้ฉีกพลาสติกที่ห่อผลไม้อยู่ก่อนจะละเลงทั้งส้ม สตรอเบอร์รี่และสารพัดผลไม้ในตะกร้าใส่ร่างบนเตียง แม้ผู้กำกับหนุ่มจะพยายามอธิบายอะไรก็เปล่าประโยชน์
กระทั่งแสดงความกราดเกรี้ยวจนหนำใจแล้ว เธอจึงตวาดใส่คนที่พยายามหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวันมาตลอด
“พอได้แล้ว หุบปาก...หยุด ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาเลือดหัวคุณออก”
ไม่พูดเปล่า หญิงสาวขยับเข้าคว้าแจกันบนตู้ข้างเตียงยกขึ้นเหนือหัวทำท่าเหมือนพร้อมจะทุ่มใส่เขา อาการขู่นั้นได้ผลชายหนุ่มบนเตียงสงบปากคำลงได้ทันที
ลัลน์ลลิตรักษาคำพูด เมื่อเขาหยุดพูดเธอก็ไม่ได้เอาแจกันดอกไม้ทุ่มใส่เขา หากแต่เทรดทั้งน้ำและดอกไม้ในแจกันลงบนศีรษะของเขาแทน ชายหนุ่มโวยวายทว่าหญิงสาวไม่ใส่ใจ เดินผละออกจากห้องพักผู้ป่วยทันที
ร่างอวบอิ่มขยับก้าวอย่างรวดเร็วจากแรงอารมณ์ที่ยังคงกรุ่นอยู่ในอก เธอกดปุ่มเรียกลิฟท์รัวราวกับว่ามันจะสามารถเร่งให้ลิฟท์เคลื่อนที่เร็วขึ้นได้ เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกหญิงสาวก็ก้าวเข้าไปทันที
ภายในกล่องเหล็กมีลัลน์ลลิตอยู่เพียงคนเดียว เธอจึงสบถคำหยาบคายออกมาได้เต็มที่ หากเพียงไม่นานเธอก็ต้องร้องว้ายด้วยความตกใจ เมื่อแสงสว่างรอบตัวดับลงกะทันหันพร้อมกับการกระตุกวูบของลิฟท์
ลัลน์ลลิตลืมตาขึ้นมาในความมืด จากสำนึกล่าสุดนั้นหญิงสาวคิดว่าตนเองต้องอยู่ในภายลิฟท์และขณะนี้ไฟฟ้าคงจะดับทำให้ลิฟท์หยุดการทำงาน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายกดปลดล็อคเพื่อให้หน้าจอติดสว่างขึ้น ส่ายเครื่องไปมาเพื่อมองหาจุดที่น่าจะเป็นปุ่มควบคุมข้างประตูลิฟท์
จุดที่ควรจะมีการสะท้อนของแสงหรือมีปุ่มกดและปุ่มสัญญาณขอความช่วยเหลือนั้นกลับไม่มี
“เอ๊ะ!”
เธอหาคำตอบให้กับสิ่งที่สงสัยโดยการสาวเท้าเข้าไปใกล้จุดนั้น แต่แล้วกลับพบว่าสถานที่ที่เธออยู่นั้นไม่ใช่ภายในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมหากแต่เป็นสถานที่ใดสักแห่งที่มีเพียงแต่ความมืดปกคลุม
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่ามีน้ำแข็งเกาะอยู่ที่ขั้วหัวใจ คนที่ปกติแสดงออกให้คนเห็นว่ามีความเด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตนเองตอนนี้หวาดหวั่นกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ความรู้สึกหนึ่งบอกเธอให้คิดว่าตนเองกำลังฝัน หากอีกความรู้สึกกลับชี้ให้เห็นว่าเธอยังมีสติสัมปะชัญญะครบถ้วน
“ช่วยด้วย...นี่...ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ยิ่งย่างเท้าไปไกลเท่าไร ลัลน์ลลิตก็ยิ่งรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในความมืดมิดอันกว้างไกล หาขอบเขตไม่ได้ ความวิตก หวาดกลัวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นขณะที่ก้าวเดิน
แสงไฟสลัวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ความรู้สึกอุ่นใจเรียกให้ลัลน์ลลิตเดินตรงไปยังจุดกำเนิดของแสงนั้น เมื่ออยู่ในระยะที่มองเห็นได้เธอจึงตระหนักว่าเป็นแสงจากตะเกียงเจ้าพายุดวงหนึ่ง ตะเกียงดวงนั้นอยู่ในมือของหญิงชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่น
“แม่หนู หลงทางมาเหรอ”
“ยายเป็นใคร แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน”
“ยายเป็นใคร ที่นี่ที่ไหนไม่สำคัญหรอก รู้แต่ว่ายายสามารถที่จะพาแม่หนูให้กลับไปยังที่ที่จากมาได้ก็แล้วกัน”
“เดี๋ยว...นี่อย่าบอกนะว่าฉันตายแล้ว ไม่...ไม่จริง” หญิงสาวประสาทเสียกับความคิดในทางร้ายที่แล่นเข้ามาในหัว “เป็นไปไม่ได้ ฉันกำลังอยู่ในลิฟท์ แล้วไฟก็ดับ”
“ใจเย็น ๆ สิแม่หนู แม่หนูคงตกใจเสียขวัญมาก ดื่มอะไรร้อน ๆ หน่อยมั้ยล่ะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
หญิงชรากล่าวขณะวางตะเกียงเจ้าพายุลงข้างตัว ถ้วยเครื่องดื่มคล้ายถ้วยชาทำจากดินปรากฏขึ้นในมือเหี่ยวย่นภายในชั่วพริบตา ภายในถ้วยมีน้ำสีรุ้งขดวนเป็นวง ควันจางลอยขึ้นมาจากของเหลวสีประหลาดนั้น
หญิงสาวขยับปากจะปฏิเสธ...ก็นี่มันใช่เวลามาดื่มอะไรที่ไหนกันล่ะ เธอใจร้อนจะแย่ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาอยู่ในที่แบบนี้ได้
ประกายบางอย่างวูบขึ้นมาในดวงตาของหญิงชรา และประกายนั้นมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ลัลน์ลลิตไม่อาจพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปได้
เธอเอื้อมมือไปรับราวเครื่องดื่มนั้นมา ยกภาชนะดินนั้นแตะริมฝีปาก ทันทีที่น้ำสีประหลาดนั้นสัมผัสลิ้น ลัลน์ลลิตก็รู้สึกราวกับว่าความทรงจำของตนปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ภาพชีวิตวัยเด็ก วัยเรียนจนกระทั่งเติบโตมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลิฟท์ปรากฏให้เห็นตรงหน้า คล้ายกับภาพเล็ก ๆ หลาย ๆ ภาพรวมกันบนจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ก่อนที่ภาพตรงหน้านั้นจะขมวดรวมกันเป็นก้อนกลมคล้ายลูกแก้วสีรุ้ง
หญิงชราเอื้อมมือมาหยิบเอาลูกแก้วกลมนั้นยกขึ้นอย่าเชื่องช้า ทันทีที่ลูกแก้วนั้นจรดกับหน้าผากมันก็หายวับเข้าไป
“ความทรงจำของแม่หนู อยู่กับฉันแล้ว ต่อไปแค่หนูดื่มเครื่องดื่มนี่อีกแก้ว หนูก็จะได้กลับไปยังที่ที่แม่หนูจากมา”
แม้จะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทว่าลัลน์ลลิตไม่อาจจะปริปากแย้งอะไรได้ ดวงตาที่มีประกายประหลาดยังคงสะกดให้เธอทำทุกอย่างตามคำพูดของหญิงชรา
ครั้งนี้ในถ้วยเครื่องดื่มมีน้ำสีขาวและดำซ้อนกันเป็นวงสลับสี วงของน้ำสีขาวและดำวิ่งวนสลับทิศกัน วงของน้ำสีขาววิ่งตามเข็มนาฬิกา ส่วนวงของน้ำสีดำหมุนทวนเข็มนาฬิกา
“ดื่มสิ”
ไม่...ไม่นะ...น้ำอะไรก็ไม่รู้
แม้ความคิดจะปฏิเสธแต่ร่างกายกลับทำตามคำสั่ง ส่งถ้วยเปล่าในมือไปแลกกับเครื่องดื่มถ้วยใหม่ ยกขึ้นดื่ม ทันทีที่ของเหลวอุ่น ๆ นั้นล่วงพ้นลำคอ เธอก็รู้สึกราวปั่นป่วน ทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าหมุนเวียนวนไปมา ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงอีกครั้งในห้วงคำนึงของหญิงสาว
ปพนธีร์ปิดแฟ้มเอกสารที่เขาต้องตรวจสอบลง บีบสันจมูกเพื่อไล่ความตึงเครียดจากการทำงานมาตลอดช่วงบ่าย ชายหนุ่มยกเลิกแผนที่จะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมหญิงชราที่โรงพยาบาล
เขากดโทรศัพท์ต่อสายไปยังหมายเลขที่เพิ่งค้นหามาเมื่อวันก่อน ก่อนจะกดหมายเลขต่อ เสียงสัญญาณดังเพียงสองครั้ง ปลายสายก็ส่งเสียงสดใสมาให้ได้ยิน
“คุลิกาค่ะ”
“คุณแคท ผมเองครับ...ป๊อบ”
“คุณป๊อบมีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่าคะ”
น้ำเสียงไม่มั่นใจของหญิงสาวทำให้ปพนธีร์อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ผมคงไม่มีอะไรให้คุณแคทช่วยหรอกครับ”
“หรือให้ถูกต้องบอกว่า อย่างฉันจะไปช่วยอะไรคุณได้ ใช่ไหมคะ”
“จริง ๆ แล้วมีครับ ผมจะรบกวนให้คุณแคทอนุญาตให้ผมไปส่งที่บ้านได้ไหมครับ”
“อืม...คุณป๊อบจะขอไปส่งที่บ้าน เอาไงดี ไม่ได้เตรียมตัว แล้วก็นัดกินข้าวเย็นไว้แล้ว เอาไว้วันหลังเหรอ” เสียงจากปลายสายคล้ายกับคุยกับใครอยู่
“คุณแคทครับ”
“เอ่อ...ค่ะ...ขอโทษค่ะ พอดีฉันคุยกับแมว...เอ่อ...แมวไม่ใช่แมวที่เป็นสัตว์สี่เท้านะคะ คนชื่อแมวเป็นเพื่อนร่วมงานน่ะค่ะ”
ปพนธีร์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบของหญิงสาว
“ครับ...ถ้าวันนี้คุณแคทไม่สะดวก พรุ่งนี้ผมขออนุญาตนะครับ”
หญิงสาวรับคำ ทั้งสองเอ่ยคำลากัน ก่อนจะวางสายชายหนุ่มได้ยินเสียงคล้ายคุลิกากำลังดุใครสักคนอยู่ดังลอดมา เขาคาดว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ชื่อ “แมว” คนนั้น
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา กะเวลาไปถึงโรงพยาบาลในช่วงเวลาเลิกงานที่การจราจรคับคั่งแล้วระบายลมหายใจยาว บางทีการขับรถไปไหนมาไหนในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพโดยลำพังก็น่าเบื่อเอาการ
น่าจะถึงเวลาที่เขาจะมีใครสักคน นั่งผจญรถติดไปด้วยกันแล้ว
ปพนธีร์หยุดมองร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษ รู้สึกว่าร่างกายถูกตรึงไว้ชั่วขณะ ทั้งส่วนโค้งเว้าของร่างกาย เครื่องหน้าโฉบเฉี่ยวของหญิงสาวที่ยืนตรงหน้า ต้องเรียกว่าสะดุดตาได้ในทันที ทั้งเขายังคุ้นว่าเคยเห็นเธอในข่าวสังคมซุบซิบทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์
เธอดูมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยขณะที่ยืนพูดคุยอยู่กับนายแพทย์หนุ่มใหญ่ จบการพูดคุยกันหญิงสาวกระพุ่มมือไหว้พร้อมเอ่ยคำแสดงความขอบคุณ ก่อนจะหันมามองสบสายตากับปพนธีร์เข้าพอดี
น้ำใสที่เอ่อคลอดวงตาคู่นั้นทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกหวั่นไหวประหลาด หญิงสาวในชุดเกาะอกสีแดงค่อยก้าวเท้าเข้ามาหาเขาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
“คุณใช่ไหมคะ ที่เป็นคนไปพบคุณยายแก้ว”
ปพนธีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนนึกขึ้นได้ “คุณเป็นญาติของคุณยาย คนที่เดินตัดหน้ารถผมเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คุณยายแก้วเป็นคนเก่าคนแก่ทำงานในบ้านของคุณลุงฉันมานาน ระยะหลังคุณยายหลง ๆ ลืม ๆ หนีหายออกจากบ้านไปบ่อย ๆ นี่เราก็ติดตามกันอยู่หลายวันกว่าจะได้รับข่าว พอรีบมาดูที่โรงพยาบาลก็เจอคุณยายแก้วจริง ๆ” อาการที่เล่าถึงหญิงชรานั้นแสดงออกถึงความรักใคร่ห่วงใยเต็มเปี่ยม “ต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ ถ้าคุณยายแก้วไปเจอคนอื่นที่ไม่ดูดำดีดี ไม่ได้คุณพามาส่งโรงพยาบาลเราอาจจะยังไม่เจอคุณยายจนป่านนี้ เอ่อ...คุณ....”
“ผมปพนธีร์ครับ...ป๊อบ”
“ค่ะ...ลัน...ลัลน์ลลิต” หญิงสาวยิ้มอ่อนหันมองไปทางประตูห้องพักผู้ป่วยก่อนเอ่ยชักชวน “ฉันเพิ่งคุยกับคุณหมอเสร็จเห็นคุณหมอว่าตอนนี้แค่พักฟื้นรอดูอาการ กำลังจะเข้าไปเยี่ยมคุณยายพอดีค่ะ”
“ผมขอเข้าไปเยี่ยมด้วยนะครับ”
“เชิญค่ะ”
ชายหนุ่มมองตามร่างอวบในชุดกระโปรงสีแดงที่เดินนำเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย หญิงสาวหันกลับมาและปรายตามอง สีหน้าท่าทางของเธอคล้ายมีมนต์สะกดให้เขาก้าวตามเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยนั้น
กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2557, 11:35:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2557, 11:35:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1755
<< ตอนที่ 5 | ตอนที่ 7 >> |
กมลภัทร 25 พ.ค. 2557, 11:38:49 น.
lovemuay >>>> คนแต่งก็มึน ๆ เหมือนกันครับ แต่ไม่อยากจะเล่าอดีตหรือที่มาที่ไปยาวเป็นตอน ๆ เลยต้องจับยัด
Sukhumvit66 >>>> จะไหวมั้ยน้า ขยับมาเป็นนิยายรายเดือนละ ตอนนี้
yimyum >>>> โห...ก็นึกว่าชมคนแต่งอ่ะครับ
Zephyr >>>> ดีจัง ที่มีคนเดาไม่ถูก อิอิ
ของขวัญ >>>> อิอิ เลือกใครดีทีนี้
lovemuay >>>> คนแต่งก็มึน ๆ เหมือนกันครับ แต่ไม่อยากจะเล่าอดีตหรือที่มาที่ไปยาวเป็นตอน ๆ เลยต้องจับยัด
Sukhumvit66 >>>> จะไหวมั้ยน้า ขยับมาเป็นนิยายรายเดือนละ ตอนนี้
yimyum >>>> โห...ก็นึกว่าชมคนแต่งอ่ะครับ
Zephyr >>>> ดีจัง ที่มีคนเดาไม่ถูก อิอิ
ของขวัญ >>>> อิอิ เลือกใครดีทีนี้
yimyum 25 พ.ค. 2557, 21:17:35 น.
เหอๆๆๆ พี่คะ ชั่งมันเหอะค่ะยอมรับว่าพูดไม่เคลียเอง
ตกลงใช้อะไรหาเอ่ย??? หรือพี่เค้าบอกเเล้วเรามองไม่เห็นเองวะ
เหอๆๆๆ พี่คะ ชั่งมันเหอะค่ะยอมรับว่าพูดไม่เคลียเอง
ตกลงใช้อะไรหาเอ่ย??? หรือพี่เค้าบอกเเล้วเรามองไม่เห็นเองวะ
lovemuay 25 พ.ค. 2557, 21:25:27 น.
ใครอ่ะ? ดูน่าสงสัยชอบกล
ใครอ่ะ? ดูน่าสงสัยชอบกล
Sukhumvit66 3 มิ.ย. 2557, 23:57:25 น.
สู้ ๆ คร่า ไรเตอร์..
สู้ ๆ คร่า ไรเตอร์..
นักอ่านเหนียวหนึบ 6 มิ.ย. 2557, 02:28:37 น.
หูยยยยย ยายยย หาตัวตายตัวแทนมาโปรยเสน่ห์แทนเรอะ
งานเข้าละสิ ยายแกเดินหน้ารุกเร็วซะด้วย
เอ ตกลงว่า นายปพนธีร์เนี่ยเป็นพระเอก ส่วนนายพงษ์เป็นผู้ช่วยนางเอก จิงหราาาาา
555 ลุ้นกันต่อไป
หูยยยยย ยายยย หาตัวตายตัวแทนมาโปรยเสน่ห์แทนเรอะ
งานเข้าละสิ ยายแกเดินหน้ารุกเร็วซะด้วย
เอ ตกลงว่า นายปพนธีร์เนี่ยเป็นพระเอก ส่วนนายพงษ์เป็นผู้ช่วยนางเอก จิงหราาาาา
555 ลุ้นกันต่อไป