มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: ตอนที่ 2.

2.



ร่างในชุดสีน้ำเงินคราม เคลื่อนนำทางหญิงสาวไปตามทางเดิน ออกมายังปีกซ้ายของอาคารพิพิธภัณฑ์ แล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องสมุด ก่อนจะแทรกร่างผ่านเข้าประตูไป นลินดารีบตามเข้าไป

ภายในห้อง ตู้ใส่หนังสือหลายตู้ยังคงล้มระเกะระกะเต็มห้อง มีเพียงหนังสือบางส่วนที่ถูกเก็บมากองไว้ เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

นลินดามองหาวิญญาณของคุณวรรณดา พบว่ายืนสงบนิ่งอยู่ในมุมมืดข้างตู้หนังสือ ด้านขวาสุดของห้อง ที่แสงไฟส่องไปไม่ถึง

“คุณป้าพาลินมาที่นี่ทำไมคะ”

คุณวรรณดายกมือขึ้น ชี้ไปยังภาพเขียนที่ประดับไว้ตรงผนังด้านหนึ่งของห้อง

“ตรงนั้น... มีของสำคัญ...”

นลินดาเดินมาหยุดตรงหน้ารูปเขียนบนผนังกลางห้องสมุด คิ้วเรียวสวยขมวดน้อยๆ อย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลองปลดรูปออกจากผนัง ดวงตากลมโตเปล่งประกายวาวระยับ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่หลังกรอบรูป

“นี่ใช่ไหมคะคุณป้า”นลินดาหันมาถาม

คุณวรรณดาพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนค่อยๆเลือนหายไป คล้ายกับหมดหน้าที่ของตนแล้ว นลินดาสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ อาการอึดอัดหายใจไม่เต็มปอดหายไปแล้ว รวมถึง

อาการเย็นวูบวาบด้วย หญิงสาวหันกลับมามองผนังห้องที่เจาะเป็นช่องเล็กๆ ด้านในมีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ มือเรียวบางยกกล่องใบนั้นออกมาจากที่ซ่อน

“มีอะไรอยู่ข้างในนะ” เสียงพึมพำดังขึ้นเบาๆ

เมื่อดึงสลักที่คล้องไว้ออก สิ่งที่อยู่ภายในก็ปรากฏต่อสายตา...

สมุดบันทึกเล่มหนึ่ง หุ้มปกด้วยหนังสีน้ำตาล เก่าจนสีซีด บางส่วนมีรอยขาดจากกาลเวลาที่ล่วงผ่าน ปลายนิ้วเรียวเสลาเคลือบสีชมพูมุกพลิกดูด้านใน ตัวหนังสือที่บันทึกไว้ บางส่วนเลือนรางซีดจางเป็นสีน้ำตาลอ่อน หากยังพออ่านออก

ด้านหน้าปกเขียนว่า

‘บันทึกการค้นพบ ผลึกจันทร์ มณีล้ำค่าแห่งนครเวียงผา’

นลินดาลูบหน้าปกบันทึกเก่าคร่ำคร่า ในมืออย่างครุ่นคิด ก่อนจะหมุนกายเดินออกมา ร่างเพรียวระหงต้องหยุดชะงัก เมื่อเดินผ่านโต๊ะกลางห้อง

สายตามองเห็นของสิ่งหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ตอนแรกที่เข้ามา เธอไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรวางอยู่ตรงนั้น เพราะมัวแต่พุ่งความสนใจไปที่วิญญาณของคุณวรรณดา

บนโต๊ะ มีจี้ห้อยคอประดับอัญมณีสีเหลืองอำพัน วางอยู่บนกล่องไม้งามวิจิตร ประกายวาววาม สะกดให้คนมองเผลอหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ

วี้ด...วี้ด...วี้ดดดด...

คลื่นเสียงความถี่สูงดังก้องขึ้น เสียงนั้นดังแทรกผ่านเข้ามาในหัวของหญิงสาว ทำให้เกิดอาการปวดหัวจี๊ดแทบทนไม่ไหว กระแสพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากจี้ห้อยคออันนั้น คล้ายก้อนผลึกใสกำลังส่งสัญญาณร้องเรียกหาใครบางคนอยู่...

“เอ๊ะ! เสียงอะไร...” นลินดาอุทานอย่างตกใจ



ภายในห้องกว้าง ประดับประดาอย่างงดงามวิจิตร...

บนเก้าอี้ไม้ ร่างของสตรีผู้หนึ่ง ในชุดคลุมสีดำรุ่มร่าม นั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เงาบนกระจกสะท้อนภาพใบหน้าอันเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยเป็นริ้วรอย ผิวหนังแห้งหยาบ ขรุขระ ราวกับหนังคางคก เส้นผมบนศีรษะขาวโพลนยาวระแผ่นหลังงองุ้ม ดวงตาฝ้าฟางขุ่นมัวไม่สดใส ริมฝีปากดำคล้ำหม่นหมอง ทำให้ใบหน้านั้นแลดูคล้ายปีศาจ

หญิงชรามองเงาสะท้อนของตนแล้วถอนหายใจยาว

“เวลาล่วงผ่านมานานเหลือเกิน...”

นางรำพึงรำพันเสียงแผ่ว... แววตาอ่อนล้าสิ้นหวัง คล้ายหมดพลังในการดำรงชีวิต

บุรุษหนุ่ม ร่างสูงสง่างามนัก ไหล่กว้างตั้งตรงท่าทางองอาจ ผิวกายละเอียดผ่องใสราวกับผิวของสตรี สวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด เดินเข้ามาหาหญิงชรา มือหนาหากนุ่มละมุนแตะไหล่บางอย่างถนอม ดวงตายาวเรียวทอดมองใบหน้าเหี่ยวย่นแสนน่าเกลียดนั้น ด้วยแววตาอาทร เจือความอ่อนโยน... ลึกซึ้ง...

“ศศิ... ไปข้างนอกกันเถิด ดอกบัวในสระปทุมศิรา กำลังเบ่งบาน เพ็ญหน้าเราจักมีสมาชิกใหม่กำเนิดขึ้น ท่านโสมภัทรแจ้งแก่พวกเราทุกคนแล้ว”

เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยขึ้นเบาๆ วงแขนแข็งแรงโอบประคองร่างบางให้ลุกขึ้น ประคองออกมาที่ระเบียงด้านนอก มองเห็นบึงกว้างมีดอกบัวดอกใหญ่สองดอกกำลังเต่งตูม ผุดขึ้นกลางบึง รายรอบด้วยดอกบัวดอกน้อยสีแดงสด เหมือนสีทับทิม กลีบดอกแตะแต้มละอองสีทองงดงาม ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูง ด้านบนสุดสลักเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว มีอัญมณีเม็ดใหญ่ประดับอยู่ ด้านล่างเป็นลานกว้าง ตรงกลางลานมีสระน้ำรูปดอกบัวแปดกลีบ

“ปล่อยข้าเถิดนรวีร์ ข้าเดินเองได้”

หญิงชราเบี่ยงกายออกห่าง เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ริมระเบียง ทอดสายตามองความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างเซื่องซึม

กิริยานั้นทำให้แววตากระจ่างใสบนใบหน้าคมคาย หม่นหมองลง นรวีร์มองร่างงองุ้มอ่อนแอของศศิพิลาสอย่างสงสาร

นานเหลือเกิน... ที่นางต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

“ศศิ เจ้าจงลืมบุรุษผู้นั้นเสีย เปิดหัวใจของเจ้ารับความรักจากข้าเถิด เจ้าจักมิต้องอยู่อย่างทุกข์ทนเยี่ยงนี้อีก”

เขาเคยเอ่ยประโยคนี้กับนาง หลายต่อหลายครา...

หากคนฟังกลับนิ่งเฉย คล้ายไม่ยอมรับรู้สิ่งใด นอกจากปล่อยตัวเองให้จมปลักกับภาพในอดีต เฝ้ารอคอยความหวังที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด...

“นรวีร์ ข้ามีชีวิตอยู่ เพื่อรอคอยเจษฎากลับคืนมา ข้ามิอาจมอบความรักให้เจ้าได้”

นางตัดรอนเขาอย่างเย็นชา ทุกๆลมหายใจของนางมีเพียงบุรุษผู้นั้น ไม่เคยมีเขาอยู่ในความคิดของนางเลย แม้เพียงชั่วขณะจิต...

“ศศิพิลาส... ศศิพิลาส...”

เสียงหนึ่งแว่วผ่านมาตามสายลม!

หญิงชราขยับกาย ดวงตาฝ้าฟางมีแววตื่นเต้นแลสบดวงตาดำสนิท มุมปากแย้มออก มือเหี่ยวย่นจับแท่นแขนแข็งแรงให้ช่วยพยุงกายลุกขึ้น นางหลับตาลงตั้งใจฟังเสียงนั้น

“นรวีร์ฟังสิ... ข้าได้ยินเสียงเรียก...”เสียงแหบพร่า กระตือรือร้น

นรวีร์หลับตาลงพร้อมกับกุมมือเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยปุ่มปมของหญิงชราไว้มั่น คลื่นสัญญาณบางอย่าง แทรกผ่านมาตามสายลม

ภาพๆหนึ่งปรากฏขึ้น...

อัญมณีสีอำพันส่องประกายเรืองรอง ในสถานที่แห่งหนึ่ง ภาพนั้นชัดเจนราวกับปรากฏต่อหน้า เสียงเรียกดังขึ้นแผ่วๆ

“ศศิพิลาส...ศศิพิลาส...ข้าอยู่ที่นี่...”

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตายาวเรียวทอประกายยินดี

“ผลึกจันทร์เรียกหาเจ้าแล้วศศิ...”เสียงกังวานใสเอ่ยขึ้น

หญิงชราพยักหน้ารับ แววตายินดีไม่ต่างกัน นางจับมือนรวีร์ไว้มั่น ประกายความหวัง ปรากฏบนดวงตาฝ้าฟาง ในที่สุดเวลาที่นางรอคอยก็มาถึง...

“นรวีร์... ช่วยทำให้ความปรารถนาของข้า เป็นจริงด้วยเถิด...”

นรวีร์มองอากัปกิริยาของคนพูดแล้วสะท้อนใจ เขาไม่ได้เห็นแววตาแบบนี้ของนางมานานเท่าใดแล้วหนอ...

การรอคอย...กลืนกินชีวิตและวิญญาณของนางแทบหมด...

เวลาล่วงผ่าน... ศศิพิลาสจ่อมจมอยู่ในความหมองเศร้า นางสิ้นหวังลงทุกขณะ เขาคอยให้กำลังใจและเฝ้าดูแลนาง รวมทั้งพยายามตามหาอัญมณีคู่กายของนางมาตลอด

หากผลึกจันทร์ของนางไม่เคยส่งสัญญาณให้รับรู้เลย จนบางครั้ง... เขาเอง ก็เกิดความท้อแท้ ไม่ต่างจากนาง

“ศศิ ข้าจักนำผลึกจันทร์ แลบุรุษผู้นั้นมาพบเจ้า ข้าสัญญา...”

นรวีร์กระชับมือหญิงชราไว้แน่น ยืนยันให้นางมั่นใจในสัจจะแห่งตน...

ศศิพิลาสพยักหน้ารับรู้

“ข้าจะรอ... รอเจ้ากลับมา”

เสียงแหบแผ่วพร่า หากเต็มไปด้วยความหวังล้นเปี่ยม

ร่างสูงสง่าถอยห่าง มือหนาคลายออกช้าๆ ปล่อยมือเหี่ยวย่นเป็นอิสระ ริมฝีปากหยักโค้งแย้มละมุน ดวงตาเรียวยาวดำสนิท ทอดมองร่างของหญิงชราเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแตะปลายนิ้วบนอัญมณีที่ประดับอยู่บนรัดเกล้า

ลำแสงสีอำพันสว่างเจิดจ้า ล้อมรอบร่างนั้น ก่อนจะพุ่งเป็นสายลอยหายไปบนท้องฟ้า...



“มาแล้วเหรอยายลิน”

เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง

นลินดาสะดุ้งเฮือก! ปล่อยของในมือหล่นร่วง ใบหน้าขาวซีด จนคนที่ก้าวเข้าในห้องรีบปราดเข้าไปหา พร้อมกับประคองร่างบางให้นั่งลง

“พี่นัท... รวินท์ล่ะคะ”

นลินดามองหาชายคนรัก แววตาเป็นห่วง ทำเอาพี่ชายเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาในบัดดล

“ห่วงกันเหลือเกิน... ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด เจอดีมาสิท่า”

คนเป็นพี่ค่อนขอด มองอาการที่น้องสาวเป็นอย่างรู้ดี

ศีรษะได้รูปพยักน้อยๆ มือเสยผมสีน้ำตาลดัดเป็นเกลียวอ่อนชุ่มเหงื่อ อย่างอ่อนแรง เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ

“เจอทั้งวิญญาณทั้งของเลยล่ะพี่นัท โดยเฉพาะไอ้นั่นเด็ดสุด”ดวงตากลมปรายตามอง ของบนโต๊ะอย่างหวาดๆ

นายตำรวจหนุ่มหัวเราะหึ หยิบอัญมณีสีอำพันมาดูใกล้ๆ เจ้าของวางทิ้งไว้ก่อนจะพาเขาไปดูเทปวงจรปิด ถ้าน้องสาวของเขาเป็นโจร รับรองไม่เหลือแน่ เล่นวางล่อตาแบบนี้

“มันก็แค่จี้ห้อยคอธรรมดา ของเก่าหน่อย แกเห็นผีเจ้าของ เขาออกมาหรือวะ”

คนเป็นพี่เอ่ยถาม หากน้องสาวนิ่วหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนตอบว่า

“เจอผียังดีเสียอีก นี่เจออะไรไม่รู้ จี้นั่นมันส่งเสียงร้องวี้ดๆแสบแก้วหู เหมือนกำลังร้องหาใครสักคน หรือว่ามันจะร้องหาเจ้าของก็ไม่รู้ ลินรู้สึกแบบนั้นนะ”

นลินดาอธิบายสิ่งที่เธอสัมผัสได้ให้พี่ชายฟัง สายตาจดจ้องจี้ห้อยคอโบราณ อย่างครุ่นคิด

“แกหูฝาดไปหรือเปล่า”

นัทธีหรี่ตา ชูจี้ห้อยคอในมือ หมุนไปหมุนมากลางอากาศ เขาเอาจี้มาแนบหู ฟังดูให้แน่ใจ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติตามที่น้องสาวบอก

“ฉันไม่เห็นได้ยินอะไร”

“ช่างเถอะ... พูดไปก็เท่านั้น”นลินดาคร้านอธิบาย

“เมื่อกี้ลินเจอ วิญญาณคุณป้าวรรณดา แม่ของรวินท์ด้วยค่ะ”

ข้อมูลใหม่ทำเอาคนฟังตาวาว ขยับเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวติดกัน ซักไซ้อย่างสนใจ

“เล่ามาไวไว ผีเอ่อ... วิญญาณว่าที่แม่สามีแก ท่านบอกอะไรมั่ง”

ไม่วายกระเซ้าน้องสาวเล่นตามประสา

นลินดาเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้พี่ชายฟัง ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเก่าเก็บเล่มนั้นให้อีกฝ่ายดู

“คุณป้าบอกว่าเป็นของสำคัญ ลินยังไม่ได้อ่านหรอกค่ะ จะเอาไปให้รวินท์เขาดูก่อน”

นัทธีรับบันทึกมาเปิดดูคร่าวๆ นิสัยขี้เกียจอ่าน ทำให้เขาไม่สนใจตั้งแต่เห็นตัวอักษรเรียงพรืดเต็มหน้า หนำซ้ำยังตัวหนังสือยังเลือนราง มองไม่ชัดอีก แบบนี้ยิ่งอ่านยากเข้าไปอีก ผู้กองหนุ่มส่งบันทึกคืนให้น้องสาว

“ฉันว่าอย่าเพิ่งให้หวานใจแกดูเลย บางทีในนี้อาจมีเรื่องสำคัญ ไม่งั้นแม่หวานใจแกเขาจะบอกที่ซ่อนแกเหรอ เขาต้องการให้แกอ่านมันแน่ๆ ฉันเชื่อแบบนั้นนะ”นัทธีวิเคราะห์

“ลินกลัวรวินท์เขาว่า อย่างไอ้จี้เนี่ย ลินก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเก็บซะมิด”

ท่าทางลังเลของน้องสาว ทำเอาผู้กองนัทธีรำคาญ คนอื่นที่เห็นน้องสาวเขาเพียงผิวเผิน ต่างคิดว่านลินดาเก่งสารพัดอย่าง แคล่วคล่องว่องไว ตัดสินใจเด็ดขาด สมเป็นสาวสมัยใหม่ มันก็แค่เปลือก ข้างในอ่อนยังกับขี้ผึ้งลนไฟ โดยเฉพาะกับแฟนหนุ่ม รายนั้นแทบอยู่ในหยดเลือด ทำอะไรคิดถึงแต่รวินท์ไปทุกอย่าง ทั้งรักทั้งห่วง...

“ยายลิน แกอยากช่วยแฟนแกไหม ถ้าอยากก็หุบปากเงียบๆ แล้วอ่านบันทึกนี่ซะ”

นัทธีตัดสินใจแทนเสร็จสรรพ เขารุนหลังน้องสาวออกไปนอกห้อง พาไปส่งหน้าอาคาร

“ไปทำงานได้แล้ว เรื่องทางนี้ฉันเคลียร์เอง”เขาตบไหล่น้องสาวแรงๆ อย่างที่ชอบทำ

“ค่ะ พี่นัท”

นลินดายิ้มเนือยๆ พยักหน้ารับคล้ายจำยอม แล้วเดินกลับไปยังสปา

เมื่อรวินท์เดินออกมา เขาเห็นเพียงหลังของคนรักเดินลับตึกไป นักธุรกิจหนุ่มหันไปถามนายตำรวจ พี่ชายของคนรักที่ยืนอยู่

“ลิลลี่แวะมาหรือครับ”

“ยายลินแวะมาดูเฉยๆ วันนี้งานคงยุ่ง เห็นรีบกลับไปทำงานต่อ”

นัทธีหาข้ออ้างให้น้องสาว ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ตามไปกวน คนคู่นี้บ้างานพอกัน ไม่มีเสียล่ะ จะทำให้เสียงาน

“ขอบคุณมากนะครับพี่นัท ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ” รวินท์เอ่ยลาพี่ชายคนรัก ก่อนจะผละจากไป

นัทธียิ้มขำ เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ผู้กองหนุ่มหันไปมองอาคารพิพิธภัณฑ์ ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง

“คุณป้าครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะช่วยลูกชายคุณป้าเอง”

เขาบอกวิญญาณที่มองไม่เห็น

ลมพัดมาวูบหนึ่งคล้ายรับรู้ ทำให้คนบอกสะดุ้งเฮือก ขนแขนลุกเกรียว...



แสงเทียนวับวามในความมืด เทียนหลอมละลายส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั้งห้อง เปลวเทียนสาดแสงต้องอัญมณีบนโต๊ะเป็นประกายเรืองรอง

ริมหน้าต่างร่างสูงเพรียว ยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างนิ่งอยู่ ดวงตาดำขลับทอดมองไปไกล

“สภาพศพแห้งเกรียมเหมือนถูกไฟไหม้ แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่มีร่องรอยของไฟไหม้ ไม่พบคราบน้ำมันหรือเชื้อไฟบนตัวผู้ตาย จะว่าถูกไฟช็อตก็อาจเป็นไปได้ แต่บริเวณที่พบศพไม่พบการรั่วของกระแสไฟฟ้าเลย ลักษณะการตายแบบนี้ผมไม่เคยพบมาก่อน”

คำพูดของนายตำรวจหนุ่มยังก้องอยู่ในหัว รวินท์ระบายลมหายใจออกแรงๆ นึกเวทนาพี่ชาย สภาพศพของไรวัตน่าอนาถนัก ไรวัตต้องมาจบชีวิตเพราะความโลภของตัวเองแท้ๆ ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดสุดท้ายของพี่ชายขึ้นมา

“แกยังไม่รู้จักฝ่ายนั้นเขาดี ถ้าเขาอยากได้ เขามีวิธีการทำให้ของสิ่งนั้น เป็นของเขาจนได้ ฉันเตือนแกเพราะหวังดีหรอกนะ”

วิธีการของฝ่ายนั้น คือการร่วมมือกับไรวัต เข้ามาขโมยของ หากไม่เกิดเหตุ สมบัติประจำตระกูลของเขา คงกลายเป็นของสะสมของฝ่ายนั้นไปแล้ว!

รวินท์หยิบจี้ห้อยคอขึ้นมาดู เขาหงายฝ่ามือ ข้างที่มีรอยแดงขึ้นมาเปรียบเทียบ ขนาดของรอยแดงเท่ากับอัญมณีบนจี้พอดี ราวกับจับมาพิมพ์ลงไป นี่เป็นอีกปริศนาที่ชายหนุ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

...รอยนูนแดงที่ฝ่ามือเกิดจากอะไรกันแน่...

รวินท์แตะปลายนิ้วกับผิวเรียบลื่น กระไอร้อนสัมผัสปลายนิ้ว เขาหงายฝ่ามือขึ้น รอยแดงบนฝ่ามือร้อนผ่าวขึ้นมา

“เจษฎา...เจษฎา...”

เสียงหนึ่งดังแทรกผ่านสายลมกระทบโสตประสาท หากไม่ได้ดังอยู่ในหู แต่กลับดังก้องอยู่ในหัว

ทันใดนั้น! ประกายวาวระยับของอัญมณีสีอำพันบนอุ้งมือ สะท้อนเปลวเทียนวาบผ่านนัยน์ตา ความคิดทั้งมวล คล้ายเลือนไปจากสมอง อาการง่วงงุน จู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว

รวินท์พยายามแข็งขืน สะบัดศีรษะไล่ความง่วง ให้หายไป หากเจ้าตัวกลับฝืนไม่ไหว เดินโซเซพาตัวเองมาล้มลงบนที่นอน ปรายหางตาก่อนจะหลับ เห็นลำแสงสีเหลืองเหลือบรุ้ง พุ่งผ่าน วาบเข้ามาล้อมรอบร่างกาย ตัวเบาหวิว... ความรู้สึกดับวูบลงไป...

ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงความฝัน...

แสงสว่างนวลจากประทีปน้ำมัน ในฐานโคมห้อยระย้าบนเพดานสูง สาดส่องไปทั่วห้องที่ตกแต่งอย่างงดงาม เครื่องใช้ภายในห้องล้วนทำมาจากทองคำ กลางห้องมีเตียงไม้แกะสลักลวดลายวิจิตร ประดับด้วยอัญมณีมีค่า ผ้าทอยกดอกสีทองอร่าม พาดโยงกับเสาไม้ สี่มุมเตียงคลุมทับต่างมุ้ง ชายผ้าระลงมาจดพื้น ที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ผืนใหญ่

บนเตียง ร่างของชายสูงวัยคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนนั้น ใบหน้าของเขาซีดเซียวอย่างคนอมโรค ดวงตาหม่นหมองร่วงโรยหรี่ปิดลง ผมยาวแซมด้วยสีขาวตามวัยอันล่วงผ่าน ขมวดมวยสูงรุ่ยร่ายระใบหน้า เสียงลมหายใจสะท้อนขึ้นลงแผ่วเบา แทบมองไม่เห็นรอยเขยื้อนของแผ่นอกใต้ผ้าห่มหนานั้น

ประกายอ่อนละมุนของแสงไฟ สะท้อนเงาวูบไหวบนผนัง ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ก้าวเข้ามาภายในห้อง ใบหน้ายาวเรียว คิ้วเข้มพาดยาวบนดวงตาดำคมงาม จมูกโด่งเป็นสันกระจ่างชัด ศีรษะได้รูปก้มลงเล็กน้อย ทอดสายตามองผู้ที่อยู่บนเตียงนิ่งนาน

หญิงสูงวัยร่างท้วมในอาภรณ์งดงาม บนศีรษะสวมศิราภรณ์ทองคำประดับอัญมณีวาววาม บ่งบอกฐานันดรอันสูงศักดิ์ แตะไหล่กว้างของชายหนุ่มคนนั้น

“เจษฎา อาการประชวรของพ่อเจ้า ทรุดหนักลงไปทุกวัน”

แม่เมืองรับสั่งกับพระโอรส ด้วยกระแสเสียงหมองเศร้า อัสสุชลคลอเต็มสองเนตร เมื่อทอดมองร่างทรุดโทรม ของเจ้าผู้ครองนคร

“ลูกจักหาทางรักษาพระองค์ให้ได้ ลูกสัญญา”

เจ้าชายเจษฎากุมหัตถ์พระมารดาไว้มั่น ก่อนหันไปรับสั่งกับมหาอำมาตย์ใหญ่ ที่หมอบอยู่บนพื้นด้านหน้าพระแท่นบรรทม

“ท่านสุรโยธิน ท่านแน่ใจหรือไม่ ว่าสิ่งที่ท่านบอกเรา เป็นความจริง”

“นครจันทรกานต์ ล้วนมากมายด้วยสิ่งวิเศษ ข้าได้บำเพ็ญพรต จนสามารถถอดจิต เดินทางไปถึงที่แห่งนั้นได้ ข้าขอยืนยันว่าที่นั้นมีจริง ข้าจักนำทางองค์เจษฎา ไปยังนครจันทรกานต์ โปรดวางพระทัยเถิด”

บุรุษร่างใหญ่ วัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะหันไปสบตากับชายสูงวัยสวมชุดขาว ที่นั่งอยู่ใกล้กัน

“ท่านมหาอำมาตย์ เป็นผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้า ย่อมสามารถนำทาง องค์เจษฎาไปยังนครจันทรกานต์ ได้โดยง่าย”ปุโรหิตเฒ่า ช่วยยืนยันอีกคน

เจ้าชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เนตรคมงามทอดมองพระบิดาบนแท่นบรรทม คล้ายกำลังตัดสินพระทัย ก่อนรับสั่งกับพระมารดาว่า

“ลูกจะเดินทางไปค้นหา นครจันทรกานต์”

การตัดสินพระทัยของเจ้าชาย ทำให้ขุนนางทั้งสองลอบยิ้มให้กัน สายตาทั้งคู่เหลือบแลไปยังร่างของเจ้าชายผู้สง่างามด้วยแววตาวาวโรจน์...

ภาพนั้นพร่าพรายลง... ก่อนจะชัดเจนขึ้นอีกครั้ง

ภาพคล้ายมองจากมุมสูง ผ่านก้อนเมฆขาว ลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ภูเขาสูงซับซ้อน แนวเขียวขจีของต้นไม้หนาทึบทะมึน ผู้คนกลุ่มใหญ่ ไว้ทรงผมทรงเดียวกันคือเกล้าขมวดไว้กลางศีรษะ พันรอบด้วยผ้ายาวสีดำ ชายผ้ายาวระไหล่ สวมเสื้อแขนกุดผ่าหน้าสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีกรัก ท่อนล่างพันด้วยผ้าสีดำขมวดปมพันรัดหว่างขาเหน็บชายไว้ด้านหลัง ในมือถือดาบยาวเดินเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ นำหน้าขบวนม้าและขบวนช้าง ผ่านแนวป่ารกชัน

บนกูบช้าง บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน สวมอาภรณ์ประณีต ประดับด้วยอัญมณีมีค่า ท่วงท่าองอาจสง่างามนัก นั่งอยู่บนนั้น สายตาคมปลาบทรงอำนาจ มองไปยังผู้ที่ขี่ม้าสีดำ ที่นำขบวนอยู่ด้านล่าง ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุด

ร่างสูงสง่าของเจ้าชายหนุ่ม ลุกขึ้นยืน ส่งสัญญาณให้ควาญช้าง หมอบช้าง ก่อนเสด็จลงมายังพื้นเบื้องล่าง ประจันหน้ากับชายสูงวัยใบหน้าดุดัน ในชุดนักรบ ที่อยู่บนหลังม้า

“ท่านสุรโยธิน อีกไกลเท่าใด เราถึงจะล่วงเข้าสู่เขตนครจันทรกานต์”เสียงห้าวกังวาน

เอ่ยถาม

ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ในเกราะหนังแบบขุนทหาร สะพายดายไว้ด้านหลัง กระโดดลงมาจากหลังม้า ก่อนตอบคำถามนั้น

“อีกไม่ช้า เราจักเดินทางถึงเมืองจันทรกานต์”

“ไม่ช้า แล้วเมื่อใดกัน นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วมิใช่หรือ”

กระแสเสียงกรุ่นด้วยรอยหงุดหงิด ดวงตาดำจัดวาววับจ้องหน้าขุนนางใหญ่

“เมื่อใด เราจักพบนครจันทรกานต์ที่ท่านว่า จงแจ้งแก่เราให้แน่ชัด!”

“ไม่เกินสามราตรี เราจักถึงนครจันทรกานต์”คนตอบแจ้งเวลา

“สามราตรี ขอให้จริงดังว่า มิฉะนั้นท่านรู้ใช่ไหม ว่าจักเกิดสิ่งใด”

เจ้าชายรับสั่งคาดโทษ

“องค์เจษฎาคิดว่า ที่ข้าทูล เป็นความจริงมิใช่หรือ”

มหาอำมาตย์ใหญ่ย้อนคำ มองวงพักตร์คมงามของเจ้าชายหนุ่มนิ่ง ดวงตาดำใหญ่แฝงรอยสมเพชปิดไม่มิด

“หากมิทรงแน่พระทัย จักทรงเสด็จ มาด้วยองค์เองกระนั้นหรือ” ถ้อยวาจานั้นหยามหยันอยู่ในที

“ท่านยืนยันกับเราเองว่า หากมิอาจพาเราไปถึงจันทรกานต์ได้ ท่านจักยอมมอบหัวของท่านแก่เรา เยี่ยงนี้แล้ว ท่านจักพลิกลิ้นไปได้อย่างไรอีก”

เจ้าชายหนุ่มรับสั่งท้วง แววตาของอีกฝ่าย ทำให้ทรงเริ่มระแวง หากยังทรงสะกดพระทัย นิ่ง ฟังคำของมหาอำมาตย์ใหญ่ต่อ

“องค์เจษฎา... ทรงอ่อนด้อยสติปัญญาถึงเพียงนี้เชียวหรือ” มหาอำมาตย์ยิ้มหยัน ดวงตาทอประกายวาวกล้า

“หัวของข้ามิได้มีไว้ตัดเล่น หากมีไว้เพื่อสวมมงกุฎแห่งนครเวียงผา บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ข้าจักขึ้นเป็นพ่อเมือง! ” คำพูดของอำมาตย์ใหญ่ บ่งชัดว่ากำลังคิดทำสิ่งใด

“นี่เจ้าลวงเรามาหรือ...สุรโยธิน!”

เจ้าชายหนุ่มตวาดลั่น พระแสงดาบถูกชักออกมาจากฝัก ดวงเนตรมองกวาดไปรอบวรกาย ทหารองค์รักษ์ขยับเข้ามาล้อมกั้น กันภัยให้องค์รัชทายาท

ทว่า...กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินกาลเสียแล้ว!

ขุนนางใหญ่แห่งเวียงผาชักดาบออกจากฝัก ส่งสัญญาณให้เหล่าทหาร เข้ามาล้อมเจ้าชายและเหล่าองครักษ์เอาไว้

“ข้าเพียงกุเรื่องนครจันทรกานต์ขึ้นมา เพื่อให้เจ้าออกมาจากเมือง นี่หรือรัชทายาทผู้ครองนครอันยิ่งใหญ่ ความฉลาดช่างมีน้อยนิดเสียนี่กระไร ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...”

เสียงหัวเราะดังก้องไพรกว้าง ฝูงนกป่าตกใจ แตกตื่น บินกรูเหนือท้องฟ้า ลำแสงสุดท้ายแห่งทิวาวารสาดกระทบร่างสูงใหญ่ของมหาอำมาตย์ เงาดำทะมึนทอดยาวอยู่เบื้องหลัง แลดูคล้ายเงาของมัจจุราช ผู้กำลังจ้องปลิดชีพมนุษย์

“ฆ่ามันให้หมด! ” คำสั่งมรณะดังก้องออกมา

มหาอำมาตย์ถลันเข้ามาหา ตวัดคมดาบฟาดฟันสุดแรง หมายสังหารเจ้าชายหนุ่มให้ดับดิ้นลงไป เจ้าชายเจษฎายกพระแสงขึ้นรับคมดาบทันท่วงที ทั้งสองประลองเพลงดาบกันบนพื้นใบไม้กลางป่าใหญ่

เคล้ง! ขวับ! เคล้ง!

คมดาบแหวกอากาศกระทบกันดังสนั่น ทั้งสองพลัดกันรุกผลัดกันรับ หากเพลงดาบของเจ้าชายหนุ่มดูจะเป็นรอง ขุนทหารผู้เชี่ยวชาญศึกเช่นมหาอำมาตย์ จังหวะหนึ่งปลายดาบของจอมทรราช ตวัดต้องวรกายกำยำของเจ้าชายหนุ่ม จนโลหิตสาดกระจาย กระเด็นถูกใบไม้ใบหญ้าแดงฉาน ร่างสูงสง่าซวนเซ หากยังยกพระแสงกันดาบที่สองไม่ให้ต้องกายาได้ทัน!

องครักษ์ที่ตามเสด็จมาด้วย มีเพียงสิบคน ส่วนอีกฝ่ายมีทหารนับร้อย น้ำน้อยหรือจะสู้กองไฟไหว การต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงรวดเร็วพอกัน ร่างชุ่มโชกเต็มไปด้วยโลหิตของเหล่าทหารนอนตายเกลื่อนพื้น ราวกับใบไม้ร่วง...

เจ้าชายหนุ่มพาวรกายเต็มไปด้วยบาดแผลฝ่าวงล้อมออกมาจนมุมที่หน้าผา กบฏแผ่นดินนำกำลังเข้าประชิด

“องค์เจษฎา ยอมจำนนเถิด ไม่มีทางใดให้หลบหนีอีกแล้ว”

มหาอำมาตย์ยิ้มเยาะ มองดูวรกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ อย่างผู้เหนือกว่า

“ไม่มีวัน! เราคือองค์เจษฎานราเทพ แห่งเวียงผา เราจักไม่ยอมก้มหัวให้เจ้าเป็นอันขาด”

เจ้าชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าของผู้ทรยศ ด้วยความกราดเกรี้ยว โลหิตไหลนองชโลมวรกาย จนแดงฉาน หัตถ์หนากระชับพระแสงดาบมั่น มิได้มีความหวั่นหวาด ปรากฏในสายพระเนตรแม้เพียงน้อย

“หากเจ้ายอมจำนน ข้าจักไว้ชีวิตเจ้า เลือกเอาเจษฎา จักยอมสยบต่อข้า หรือจักยอมตาย”

มหาอำมาตย์ยื่นข้อเสนอ สรรพนามเรียกขานมิได้มีความเคารพ ในฐานันดรศักดิ์ของอีกฝ่ายอีกต่อไป ทางเลือกล้วนมีความอัปยศอดสูรอคอยทั้งสิ้น...

“ฝันไปเถิด ว่าเราจะยอมก้มหัวให้ จำไว้...วันหนึ่งเราจะกลับมาจัดการกับเจ้า!”

เจ้าชายเจษฎาประกาศก้อง ก่อนหันกายกระโดดลงหน้าผาไป !

ภาพกระเพื่อมไหว เหมือนมองผ่านม่านน้ำที่ถูกก้อนหินกระทบพื้นผิว แตกกระจายเป็นวงกว้าง เลือนรางแล้วค่อยๆแจ่มชัดขึ้น...

ท้องฟ้าสว่างใส เมฆสีขาวลอยตัวเป็นก้อนเล็กกระจายอยู่เต็มผืนฟ้า ลำแสงสีทองแกมชมพูสาดกระจาย อาบไล้ม่านใบไม้เขียวขจี ที่ขึ้นซ้อนทับกันจนหนาทึบบนเนินเขาสูงชัน ประกายแดดสาดส่องลงมากระทบผิวน้ำ ส่องประกายระยิบระยับ ตามริ้วคลื่นน้ำที่ไหลลงมาจากโขดหินสูง

ริมลำธาร ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน นอนนิ่งไร้สติ ศีรษะได้รูปซบลงบนกอหญ้า ผมดำสนิทรุ่ยร่ายระใบหน้า ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส บางแห่งมีเลือดไหลซึมออกมา เสื้อผ้าขาดวิ่น เลอะคราบเลือดและคราบโคลน จนมองไม่เห็นสีเดิม มือหนากำดาบไว้มั่น แม้ยามไร้สติก็มิยอมปล่อยหลุดมือ เมื่อแสงแดดสาดส่องกระทบ คมดาบในมือก็ส่องประกายวะวับจ้า...

ไม่ไกลจากตรงนั้น หญิงสาวร่างงามระหงกำลังเดินเล่นริมลำธารใส ลำแสงวะแวบสะท้อนเปลวแดด สาดส่องมากระทบสายตา นางจึงเดินตรงเข้ามาหาประกายแสงนั้น ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อมองเห็นร่างไร้สตินอนอยู่ริมตลิ่ง

ร่างบางยอบตัวลงข้างๆ เมียงมองร่างกายอันเต็มไปด้วยบาดแผล หน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลง แสดงถึงการมีชีวิต นางจึงลองแตะปลายนิ้วบนไหล่กว้าง เขย่าร่างนั้นเบาๆ

“ท่าน... ท่าน... ตื่นเถิด”เสียงหวานใสดั่งเสียงระฆังแก้ว ร้องเรียก

เจ้าของร่างลืมตาโพลง ขยับดาบในมืออย่างระแวง ทำให้ร่างเล็กบางกระเถิบหนีด้วยความตกใจ

“ใจเย็นก่อน ข้ามาดี มิได้มาทำร้ายท่าน”นางร้องห้าม

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสตรี ปลายดาบคมปลาบก็ลดลงข้างกายดุจเดิม มือเรียวยาวเสยผมที่ระใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอันคมสัน ดวงตาดำขลับราวนิลเนื้อดี ทอดมองใบหน้าเนียนลออนิ่ง ก่อนพยายามหยัดกายลุกขึ้น

บาดแผลสาหัส เริ่มเจ็บระบม ยามขยับกาย ความปวดร้าวแล่นเป็นริ้วแทบขืนกายไม่ไหว เจ้าของร่างนิ่วหน้าข่มความเจ็บปวด ฝืนลุกขึ้นนั่งจนได้

“ที่นี่คือที่ใด”

ดวงตาคม จ้องมองหญิงสาวนิ่ง แววตาฉายพลังอำนาจในตน แม้ยามมีสภาพใกล้เคียงกับเศษเนื้อ ก็ไม่ละท่าทีองอาจลงแม้แต่น้อย

“ริมลำธาร”

นางตอบเขา พร้อมหลบสายตาคมกล้าที่จ้องมา

เจ้าชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบกาย อย่างระแวงภัย ก่อนหันกลับมาพินิจมองหญิงสาว ความงามของนางนั้นทำให้คนมองไม่อาจละสายตาได้

“ท่านมาจากที่ใด ไยถึงได้รับบาดเจ็บเยี่ยงนี้”

หญิงสาวเอ่ยถามคนเจ็บ ดวงตาคู่สวยมองบาดแผลบนร่างของเขาอย่างห่วงใย แววตานั้น ทำให้อีกฝ่ายลืมความเจ็บไปชั่วครู่

“ข้าชื่อเจษฎา เป็นชาวเวียงผา แล้วเจ้าเล่า...”

ดวงตาคมไม่ละไปจากใบหน้าเนียน

หญิงสาวแย้มริมฝีปาก นางขยับกายลุกขึ้นเผยให้เห็นร่างระหงกระจ่างตา นางสวมผ้าซิ่นสีชมพูอ่อนจาง สวมเสื้อแขนกระบอกสีเดียวกัน ผมยาวเกล้าเป็นมวยสูงประดับดอกกล้วยไม้ป่าสีขาว ดวงหน้างามพิสุทธิ์อ่อนลออ งดงามจับตา เสียงหวานใสคล้ายเสียงกังสดาลดังก้องกังวาน สะท้อนมา แว่วเสียงนั้นดังว่า...

“ข้าชื่อศศิ... ศศิพิลาส”

เจ้าชายหนุ่มยิ้มละไม ดวงเนตรคมงามทอประกายวาวระยับ คล้ายจดจารนามอันไพเราะของหญิงสาวบ้านป่าไว้ในหทัย

“ศศิพิลาส... ข้าจักจำชื่อเจ้าไว้”



บันทึกเก่าเก็บถูกเปิดออกช้าๆ นลินดามองผ่านตัวอักษรซีดจางนั้นอย่างตั้งใจ ข้อความที่เรียงร้อยบนกระดาษสีเหลืองนวลเขียนไว้ว่า...

“...ข้าพเจ้า หลวงวิสุทธิ์มนตรี นามเดิมวงศ์ ได้เขียนบันทึกนี้ขึ้น ขณะเดินทางไปค้นหา เมืองโบราณอันมีชื่อว่า นครเวียงผา ข้าพเจ้าได้ศึกษาและได้อ่านข้อความ ที่ถอดความจากศิลาจารึกหลักหนึ่ง ซึ่งถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษ จากเมืองโบราณแห่งหนึ่งทางเหนือของพม่า ข้อความในจารึกนั้นกล่าวถึง เมืองโบราณนาม นครเวียงผา นครแห่งนี้เป็นเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่งในภาคเหนือของไทย มีแนวป่าและภูเขาหลายลูกเป็นปราการกั้น เมืองนี้ล่มสลายมานับพันปีจึงยากต่อการค้นหา

ศิลาจารึกถูกถอดความ ในนั้นกล่าวถึงเรื่องราวของเจ้าชายเจษฎานราเทพ เจ้าชายหนุ่มแห่งนครเวียงผา ข้าพเจ้าจะขอเรียกพระนามสั้นๆว่าเจ้าชายเจษฎา.. ในศิลาจารึกได้บรรยายถึงความงามสง่าของเจ้าชายพระองค์นี้ไว้ว่า มีดวงเนตรคมราวพยัคฆ์ วรกายสูงใหญ่กำยำ เก่งในเชิงดาบ และเชี่ยวชาญในกลศึกต่างๆ ขณะที่เจ้าชายทรงมีพระชนมายุได้ยี่สิบชันษากำลังหนุ่มฉกรรจ์ พระบิดา เจ้าผู้ครองนครเวียงผาทรงประชวรด้วยโรค ที่ยากต่อการรักษา เจ้าชายเจษฎาจึงทรงไปค้นหายารักษาโรค ด้วยรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสามารถช่วยให้อาการประชวรของพระบิดาหายได้...”

“อือ... เจ้าชายทรงพระกตัญญูจริงๆ อุตส่าห์ไปหายามารักษาพระบิดา”

นลินดาพึมพำอย่างชื่นชม รู้สึกประทับใจเจ้าชายหนุ่มขึ้นมา หญิงสาวหยิบปากกามาจดชื่อนครเวียงผา และเจ้าชายเจษฎาลงไปในกระดาษ

“นครเวียงผา เจ้าชายเจษฎานราเทพ ชื่อเพราะท่าทางจะทรงพระหล่อเอาการ”

ริมฝีปากบางแย้มออก ดวงตากลมโตหลับพริ้มลง จินตนาการถึงเจ้าชายรูปหล่อ ในบันทึกอย่างนึกสนุก

ทว่า...ภาพบางอย่างแวบผ่าน เข้ามาในหัว

นลินดาลืมตาโพลง ปล่อยปากกาหลุดร่วง ภาพในหัวยังคงดำเนินต่อไปราวกับฉายวีดีโอ มีครบทั้งภาพทั้งเสียง

“ลื้อมันชุ่ย ปล่อยให้เกิดเรื่องเฮงซวย แบบนี้ได้ยังไง!”

เสียงพูดสำเนียงคล้ายคนจีน ดังออกมาจากปากของชายคนหนึ่ง ที่นั่งบนเก้าอี้นวม ในนิมิตเห็นเพียงด้านข้างของชายคนนั้น ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ในเงามืด เลือนรางแทบมองไม่เห็น นลินดาพยายามเพ่งมอง หากคล้ายมีม่านขาวๆ กั้นไว้ จำกัดให้มองเห็นเหตุการณ์เพียงแค่นั้น

“คุณบุญเกิดครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผลึกจันทร์มันมีอาถรรพ์จริงๆนะครับ ผมเห็นมากะตา”

ชายอีกคนนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับชายคนแรกเอ่ยขึ้น นลินดามองเห็นใบหน้าของเขาแจ่มชัด ชายคนนั้นคือ...

นายกอบลาภ เพื่อนนักธุรกิจของไรวัตนั่นเอง!

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

อัพแล้วค่ะ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2557, 01:10:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2557, 01:10:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1315





<< ตอนที่ 1.   ตอนที่ 3. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account