ร้อยรักพรางตะวัน (Just To Love You)
ชีวิตและจิตใจของฉันเหมือนดั่ง..ตุ๊กตาแก้ว..
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน,รักซึ้งๆ,รักโรแมนติก
ตอน: บทที่ 2 จะผิดไหม..หากหัวใจต้องการไออุ่น
รถตู้ติดฟิล์มทึบสีดำสนิทแล่นเข้ามาจอดยังลานจอดรถชั้นสี่ของคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา อรณีก้าวลงจากรถตู้ด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน หน้าตาอิดโรยเพราะเพิ่งตื่นนอนในตอนที่โดนปลุกเมื่อสักครู่หลังจากหลับลึกตั้งแต่ขึ้นรถกลับ แสงสุรีย์ชะโงกหน้ามาเรียกไว้ระหว่างที่หญิงสาวกำลังก้าวเดินออกไปยังลิฟท์ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด
“พรุ่งนี้เช้าหกโมงครึ่งเจ้มารับนะ ต้องไม่สายเพราะกว่าจะได้เรื่องนี้มาเจ้สู้กับผู้จัดการนังชลดาเลือดตาแทบกระเด็น คืนนี้ก็อย่าดึกนักล่ะ”
“โอเค...ไม่ต้องห่วง กลับดีๆนะเจ้”
อรณีตอบรับแทบจะในทันที เรื่องงานเป็นสิ่งที่หล่อนรับผิดชอบดีเสมอ ไม่เคยเสื่อมเสียเรื่องนี้เลยแม้สักครั้งนอกจากกิตติศัพท์ความวีนที่ใครต่อใครต่างพากันเกรงกลัว หมั่นไส้ แต่หล่อนก็ไม่สนใจ...
แสงสุรีย์มองตามจนอรณีเข้าลิฟท์ พอประตูลิฟท์กดปิดจึงให้สัญญาณคนขับรถให้ออกรถได้ ผู้จัดการจอมเฮี๊ยบสีหน้าครุ่นคิดหนักกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ใหญ่ที่ผ่านมาที่แอบได้ยินทีมงานคนหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกับชัชพลดีคุยกันเรื่องอรณีอย่างออกรส ทั้งเรื่องส่วนตัวของเขาที่เป็นความลับไม่เคยมีใครล่วงรู้ ทั้งเรื่องซุบซิบของเขากับอรณีที่เริ่มขยายเป็นวงกว้าง
‘หวังว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้นะ..อรณี เจ้ต้องหาทางกันเธอออกห่างจากผู้ชายคนนั้นซะแล้ว’
แสงสุรีย์พึมพำกับตัวเอง ดวงตาเรียวรีภายใต้แว่นกรอบบางทรงรีมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย...
//////////
อรณีไขกุญแจหน้าห้องพักเข้ามาอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะอยากจะให้คนรออยู่ประหลาดใจ ในมือถือขนมเค้กวนิลาอัลมอนด์ก้อนโตจากร้านสวีทคลับ ร้านโปรดของเขา ทำให้เสียเวลาไปมากเพราะอุตส่าห์ให้คนขับรถวกกลับไปซื้อให้ก่อนจะกลับ ซึ่งผู้จัดการจอมดุถึงกับบ่นอุบทีเดียว
“ทำอะไรอยู่น๊า”
อรณีแอบย่องเข้ามาภายในบริเวณห้องรับแขกอย่างเงียบที่สุด วันนี้เป็นวันเกิดของคนรอ แต่เขาเลือกที่จะมาฉลองกันสองคนกับหล่อน ซึ่งอรณีก็ดีใจมากที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหล่อนก็ยังเป็นคนสำคัญที่สุดของเขาอยู่เสมอ
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าติดธุระยุ่งอยู่ ไม่ว่างไปเจอหรอกครับ”
เสียงตามสายดังอยู่ไม่ไกล อรณีแอบเงี่ยหูฟังไม่รู้เขามีเรื่องอะไรถึงได้มีน้ำเสียงหงุดหงิด ทั้งที่ปกติมักจะเป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอ
“โธ่.. ผมไม่อยากไป ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วย”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างแรง เดินไปเดินมาคุยโทรศัพท์ไปด้วยความหงุดหงิด อรณีได้แต่แอบยืนมองอยู่อย่างเป็นห่วง แต่ไม่กล้าขัดจังหวะ
“ผมหาของผมเองได้ ไม่ต้องให้แม่หรือใครต้องมาเป็นห่วงหรอก”
“หางั้นเหรอ...หาอะไรกัน” อรณีพึมพำกับตนเองเบาๆ สีหน้าฉงนใจ
“อลิซ..อะไรเนี่ย ผมไปอยากไปเจอเขาหรอก ถึงจะสวยแค่ไหนผมก็ไม่ไปเจอ เข้าใจไหมครับแม่”
ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างเบื่อหน่าย ทันทีที่มารดาพูดโน้มน้าวให้เขาไปเจอกับใครบางคน ฉับพลันสายตาพลันเหลือบไปเห็นกระจกสะท้อนหน้าต่างห้องพัก เขาเห็นอรณียืนหลบมุมอยู่ตรงหน้าห้องรับแขก เพียงแค่เห็นจึงรีบตัดบทสนทนาทันที
“แค่นี้ก่อนนะครับ ผมยุ่งอยู่ ไว้ค่อยคุยกัน” ภาณุกดวางสายทันทีก่อนจะหันไปยิ้มให้อรณี พร้อมทั้งปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ทำเหมือนเพิ่งเห็นว่าหล่อนมา
“มาแล้วเหรอ ทำไมมาเงียบจังวันนี้ ทุกทีเสียงงี้มาก่อนตลอด”
‘ภาณุ’ ชายหนุ่มหน้าตาดีวัยสามสิบปี รูปร่างสันทัดค่อนไปทางคล้ำเล็กน้อยอย่างคนกรำแดดเป็นประจำ เอ่ยทักคนมาใหม่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาพร้อมน้ำส้มที่คั้นสดเตรียมไว้รอ
“ขอบใจ...พอดีเห็นณุเครียดๆ อรก็เลย..” อรณีทำปากง้ำ หน้าหงิกอย่างคนมีอะไรในใจอยากจะพูดแต่กลับนิ่งเสียจนภาณุได้แต่ยิ้มเอาใจ พร้อมทั้งแกล้งยืนขวางหล่อนไว้ไม่ให้เดินต่อ
“อะไรอีก ยืนขวางอย่างนี้แล้วจะเข้าได้ไง”
อรณีเงยหน้ามองภาณุที่ยังยืนยิ้มล้อเลียนหล่อนอยู่ ปากบางหยักสวยยิ่งงุ้มงอหนักเข้าไปกว่าเก่าอย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยครั้ง ภาณุถึงกับหัวเราะขันก่อนจะทำแบมือทวงพร้อมน้ำเสียงติดจะกวนเล็กน้อย “ไหน..ของขวัญวันเกิด”
“ฮึ..เห็นหน้าก็ทวงเลยนะ อ่ะ..เอาไป เค้กวันเกิด”
อรณียื่นกล่องเค้กขนาดหนึ่งปอนด์ที่อุตส่าห์ถือซ่อนไว้ด้านหลังให้อย่างเสียไม่ได้ ภาณุยิ้มกว้างรับมาถือไว้ก่อนจะก้มลงหอมแก้มใสที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นอย่างเอาใจ “ฮึ๊ย..ไอ้บ้านี่ เดี๋ยวเถอะ”
อรณีหน้าแดงก่ำ ถูแก้มข้างที่ถูกหอมไปมาอย่างขัดใจ ใบหน้าเนียนใสมีสีเลือดฝาดขึ้นมาทันทีที่ถูกคนคนนี้จู่โจม ถึงกับตีแขนเขาเบาๆ ก่อนจะค้อนขวับเข้าให้อย่างหมั่นไส้ แต่คำขอบคุณของเขากลับเรียกรอยยิ้มของหล่อนได้ดีอีกตามเคย
“ขอบคุณนะ สำหรับของขวัญทั้งสองอย่างเลย”
“อะไร ทั้งสองอย่าง ก็แค่เค้กก้อนเดียวเอง” อรณีเลิกคิ้วอย่างสงสัย แล้วคำตอบก็กระจ่างชัดเมื่อภาณุเอามือจิ้มเบาที่แก้มของตน ก่อนจะเอ่ยล้อเลียน
“ก็นี่ไง...ของขวัญอีกอย่าง ฉันชอบมากเลยล่ะ”
“บะ..บ้า ใครเขาเรียกว่าของขวัญกันเล่า”
อรณีเห็นการกระทำล้อเลียนนั้น หน้าถึงกับซับสีเลือดขึ้นมาอย่างเขินๆ จะเดินหนีเข้าห้องนอนแต่ภาณุเรียกไว้เสียก่อน ทำให้หญิงสาวถึงกับชะงักไป
“ของขวัญถูกใจมากเลยนะ ถึงจะเค้กก้อนเดียวก็เถอะ มากินข้าวกันดีกว่า ณุทำตั้งแต่ค่ำแล้ว”
ภาณุโปรยยิ้มอบอุ่นก่อนจะวางกล่องขนมเค้กบนโต๊ะอาหาร แล้วเปิดฝาครอบอาหารที่ทำไว้เตรียมให้คนหิว เป็นของโปรดของหล่อน จนอรณีถึงกับตาโตถูกใจ
“โห..รู้ใจจริงๆเลย..ณุ.. อรหิวจะตาย เมื่อกี้เจ้ซื้อสลัดกับน้ำส้มให้ อรกินทุกวันจนหน้าจะเป็นบร็อคโคลี่ ผักกาดแก้ว ผักกาดหอม มะเขือเทศอยู่แล้ว”
อรณีกระเง้ากระงอดลืมเรื่องขวยเขินเมื่อครู่แล้วรีบไปนั่งให้ชายหนุ่มบริการอย่างเต็มที่ราวกับตนเป็นเด็กเล็กก็ไม่ปาน ภาณุเห็นท่าทางออดอ้อนตาใสของคนตรงหน้าก็ได้แต่ยีผมเป็นลอนยายสยายของหล่อนเบาๆ จนคนโดนรวนถึงกับหน้ามุ่ย แต่เมื่อจานข้าวผัดหมูโปะไข่ดาวยางมะตูมเลื่อนมาวานตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นถูกใจเร็วพลัน
“เป็นไง..หอมมั๊ย เสียดายเย็นแล้ว เอาเข้าเวฟก่อนค่อยกินดีมั๊ย”
“อื้อ..ไม่เอา จะกินแล้ว หิว ชอบที่สุดเลย ณุ ถูกใจที่สุดจะหาของอร่อยที่ไหนได้เหมือนกับข้าวผัดฝีมือณุไม่มีอีกแล้ว”
อรณียิ้มอ้อน ดวงตากลมใสฉายแวววิบวับถูกใจจนภาณุต้องเผลอหลบตา กลัวบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเต้นแรงอยู่ในหน้าอกด้านซ้ายจะเผลอไผลให้หล่อนสังเกตเห็น
//////////
เกือบหกโมงของเช้าวันใหม่..แสงสุรีย์เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มาก่อนเวลาเพราะต้องมาคุยตกลงเรื่องที่ค้างคาอยู่เมื่อคืนให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากปล่อยให้มันติดอยู่ในใจตลอดคืนไม่ทันได้หาคำตอบ แล้วหล่อนก็พบเป้าหมายนั่งอยู่ที่โซฟาหลังใหญ่กลางห้องท่ามกลางแสงจากโทรทัศน์เพียงริบหรี่
ภาพที่อรณีนั่งหลับชันเข่าอยู่บนโซฟาตัวยาวพิงไหล่ซบอยู่กับภาณุที่นั่งหลับพิงศรีษะของอรณีหลับไปด้วยกัน
เป็นภาพชินตาจนหล่อนแอบอิจฉาเล็กๆ อดไม่ได้ที่จะแอบค่อนขอด
“เอ๊ะ..สองคนนี้นี่ เฮ้อ..ตลอดสิ”
ผู้จัดการจอมเฮี๊ยบพึมพำเบาๆ ก่อนจะเข้าไปสะกิดภาณุโดยไม่ปลุกอรณีให้รู้ตัว ชายหนุ่มงัวเงียลืมตาขึ้นมามองพบหน้านิ่งของแสงสุรีย์ที่ยืนกอดอกจ้องเขม็งมายังเขาและคนในปกครองของหล่อนก็รู้ตัวหยิบหมอนอิงมาซ้อนกันแล้วให้คนหลับซบแทนที่ไหล่ของเขา
“สวัสดีครับ..เจ้แสงมาแต่เช้าเลย..คือผม..”
ภาณุลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจพร้อยรอยยิ้มส่งมาท่าทางอิดโรย แสงสุรีย์ขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยคำพูดประโยคแรกของวันที่ไม่เข้าหูเขาแม้แต่น้อย
“เพิ่งมาหรือยังไม่ได้กลับห้องคุณ” ประโยคสั้นๆ น้ำเสียงห้วนจากคนมาใหม่ทำให้บรรยากาศของห้องทึมเทา ภาณุกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นหนักใจ
“กำลังจะกลับเดี๋ยวนี้ครับ เมื่อคืนวันเกิดผม อรซื้อเค้กมาฉลองเลยอยู่ดึกกันไปหน่อย ขอโทษครับเจ้”
“ไม่เป็นไร..เจ้รู้แล้วเมื่อคืนอรบอก สาละวนหาเค้กวันเกิดมาฝากคุณแทบแย่ เอาเป็นว่าคุณกลับห้องไปก่อนดีมั๊ย อรมีนัดบรีฟงานเช้า อย่าหาว่าไล่เลยนะ เจ้เกรงใจคุณเหมือนกัน”
“อ่า..ไม่เป็นไรครับ งั้นผมกลับห้องก่อน”
ภาณุเดินคอตกออกไปจากห้อง แสงสุรีย์มองตามจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมามองคนหนุนหมอนอิงบนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วได้แต่ส่ายหน้า
//////////
ห้องของภาณุอยู่ชั้นถัดลงมาจากอรณีเพียงหนึ่งชั้น ภายในห้องสีโทนเทาครีมจัดวางเป็นระเบียบตามแบบห้องชุดทั่วไปที่ไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่งให้เลิศหรูเหมือนอย่างห้องของหญิงสาวชั้นบน ชายหนุ่มถอดรองเท้าวางบนชั้นวางก่อนจะเดินเข้าห้องนอนของตนไปเปลี่ยนเป็นกางเกงนอนตัวยาวกับเสื้อกล้ามตัวบางสีเทาแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ แล้วกดเปิดวิทยุเครื่องเล็กบนหัวนอนหรี่เสียงให้เบาที่สุดคล้ายจะให้เปิดคลอเป็นเพื่อนคลายเหงา
เสียงเพลงเก่าดังขับขานด้วยน้ำเสียงแว่วหวาน เนื้อความในเพลงสื่อความนัยถึงจิตใจที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ได้เป็นอย่างโดนใจ เสียงกริ่งหน้าประตูห้องดังขึ้น ภาณุลุกขึ้นนั่งอย่างเหนื่อยล้าเข้าใจว่าคงเป็นอรณีที่แวะมาหาเป็นประจำไม่จำกัดเวลา ทันทีที่เปิดประตูผู้จัดการสาวจอมเฮี๊ยบสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะพาตัวเข้ามาภายในห้องของเขาโดยที่เจ้าของห้องยังไม่ได้เชื้อเชิญ
“เจ้มีอะไรรึเปล่าครับ..เรื่องอรมีปัญหารึเปล่า”
ทันทีที่ประตูห้องปิดลงเจ้าของห้องก็ตั้งคำถามทันที แสงสุรีย์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับแผงอกกำยำที่โผล่ผ่านเสื้อกล้ามสีเทาให้เห็น ร่างเพรียวบางของผู้จัดการสาวดูเล็กลงไปถนัดใจเมื่อเทียบกับคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน หล่อนขยับแว่นเล็กน้อยอย่างประหม่าแล้วเริ่มเข้าประเด็นของเรื่องโดยหยุดตัวเองไว้ที่หน้าประตูห้องไม่ล่วงล้ำเข้าไปภายในห้อง
“คือพี่..เอ่อ เจ้ คือ..พี่”
น้ำเสียงตะกุกตะกักของคนตรงหน้าพาให้ชายหนุ่มที่ร่างกายอ่อนล้าเป็นทุนเดิมดึงมือผู้จัดการสาวแล้วเดินนำมานั่งยังโซฟากลางห้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกันด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมถนัดเรียกพี่ว่าเจ้เหมือนอร คงไม่ว่าผมนะครับ ว่าแต่เจ้มีเรื่องอะไรรึเปล่าถึงต้องมาหาถึงห้องผม”
“เจ้อยากจะมาคุยกับคุณเรื่องสถานะของอรณีในตอนนี้เผื่อว่าคุณอาจจะยังไม่รู้”
แสงสุรีย์ขยับแว่นอีกตามเคย หลังจากนั่งนิ่งอยู่สักครู่จนภาณุรู้สึกอึดอัดใจ ซึ่งหล่อนก็รับรู้ได้จากสีหน้าของเขา ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันขณะนี้เป็นคนที่จัดว่าหน้าตาดี ไม่แปลกใจที่แม้แต่หล่อนยังเผลอไผลออกอาการขัดเขินเขาอยู่ไม่เบา
“มีอะไรเหรอครับ ..เรื่องเก่าๆของอรเหรอ”
ภาณุเปิดทางเพราะข้องใจ ซึ่งแสงสุรีย์ก็เห็นประสบช่องทางที่หล่อนจะได้พูดตรงแบบไม่อ้อมค้อมจึงเริ่มเปิดประเด็นในทันที
“เรื่องเก่าของอรไม่ใช่ว่าจะไม่มีผล เจ้เป็นห่วงอยู่ คราวก่อนก็ผู้กำกับร้อยล้านกว่าจะเคลียร์ได้แทบแย่ แต่คราวนี้เจ้ว่าน่ากลัวคุณชัชจะรุกอรหนัก เมื่อวานเจ้ไม่ไว้ใจสายตาเขาเลย กลัวว่าถ่ายละครจบคงมีข่าวว่าอรกินผู้กำกับรายล่าสุดอีกแน่แต่ที่เจ้เอามาบอกคุณเพราะว่าไม่อยากให้คุณใกล้ชิดหรือไปไหนมาไหนกับอรมากจนเกินไปนัก”
“เกี่ยวอะไรกับผม..ผมไม่ใช่ประเด็น ผมกับอรเราเป็นเพื่อนกัน”
คำพูดของภาณุจริงจังจนแสงสุรีย์แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่อะไรบางอย่างบอกหล่อนว่าเขาโกหก ถ้าไม่โกหกเขาคนนี้ก็อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง
“คุณมอง ไม่เหมือนคนภายนอกมองนะ นี่คุณสองคนยังอยู่คอนโดเดียวกัน เจอกันบ่อยๆ บางทีอรว่างก็ไปไหนมาไหนกับคุณ เข้านอกออกในคอนโดมันดูไม่งาม เหมือนว่าอรมีผู้ชายอยู่ด้วยที่คอนโด คนคงไม่คิดว่าคุณสองคนเป็นแค่เพื่อน หรือคุณไม่คิดว่าเป็นการเพิ่มเรื่องให้อรเหรอวันดีคืนดีเจอนักข่าวสาวไส้จะทำยังไง คุณรู้มั๊ยว่าอรกำลังจะมีงานใหญ่เร็วๆนี้ เห็นว่าร่วมงานกับผู้กำกับละครมือรางวัลระดับนานาชาติเชียวนะ อ้อ..แถมด้วยนักแสดงชายก็ดังระดับเอเชียด้วยสิ ถ้าได้จริงคราวนี้แม่ชลดาอะไรนั่นก็ตามอรไม่ทันแน่ เธอกำลังจะก้าวไปอีกขั้นเหนือนักแสดงหญิงทุกคนในเมืองไทยนะ”
“เจ้คิดว่าผมจะเป็นตัวปัญหาของเธอ..หรือเป็นตัวถ่วงเธองั้นหรือครับ”
สีหน้าจริงจังของชายหนุ่มที่แสงสุรีย์มักเห็นเพียงแววตาขี้เล่นอยู่เสมอของเขา หากแต่วันนี้หม่นหมองลงไป ผู้จัดการสาวลอบถอนใจเล็กน้อยแต่ก็จำต้องพูดออกไป
“ถ้าคุณหวังดีกับอรคงเข้าใจ เจ้ไปก่อนนะ ต้องไปคุยงานกับอรเพิ่มเติมอีกนิดก่อนไป ขอบคุณนะที่รับฟัง”
ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธจากภาณุ มีเพียงร่างกายอ่อนล้าทันทีที่ปิดประตู ภาณุถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่..
///////////
“เจ้..เมื่อกี้ตอนปลุกอรเห็นณุอยู่มั๊ย”
อรณีถามหาภาณุทันทีที่แสงสุรีย์ก้าวเข้าประตูมา หญิงสาวแต่งตัวเสร็จสรรพเรียบร้อยเตรียมพร้อมรอ ดวงหน้านวลสวยแต่งแต้มเครื่องสำอางสีอ่อนเล็กน้อยมองจ้องอย่างขอคำตอบ
“สวนกันหน้าประตู เห็นว่าจะรีบออกต่างจังหวัดนะวันนี้ เจ้ก็ไม่ได้ถามละเอียดหรอก” แสงสุรีย์ตัดบททำเอาคนรอคำตอบถึงกับหน้ามุ่ยขัดใจ
“เมื่อกี้อรโทรหาก็ไม่รับ สงสัยรีบไปต่างจังหวัด หรือไปหายัยอลิสอะไรนั่นก็ไม่รู้” อรณีย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินมานั่งยังโต๊ะทานข้าว แสงสุรีย์ยกจานอาหารพร้อมถ้วยซุปมาวางไว้ให้ตรงหน้า อรณีเห็นแล้วถึงกับเบ้ปาก
“อีกแล้ว อะไรเนี่ย สลัดผักอย่างเดียวเลยอ่ะ ซุปก็..ไหนว่ารีบไงเจ้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกลางทางกันดีกว่า”
“วันนี้ไม่มีแล้วที่นัดไว้ตกลงเลื่อนไปเพราะบทไม่เรียบร้อย วันนี้เจ้ให้อรฟรีหนึ่งวันจะไปไหนบอก เดี๋ยวให้ลุงทองขับไปส่ง”
“ไม่รู้จะไปไหนได้หยุดทั้งทีเหงาจะตาย ณุก็ไม่อยู่ ไปหาคนเลี้ยงข้าวดีกว่า” อรณียักไหล่อย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกจนแสงสุรีย์ต้องเอ่ยปราม
“ไปกับใครเจ้รู้จักมั๊ย ระวังตัวหน่อยนะกำลังจะหยิบงานใหญ่ อย่าให้ใครเห็นเข้าล่ะเราจะเสียชื่อ”
“โธ่..เจ้ มือชั้นนี้แล้ว สับรางเก่ง ไปนะ”
อรณีพูดจบก็เดินตัวปลิวออกไปนอกห้องทันทีทิ้งให้ผู้จัดการจอมเฮี๊ยบเก็บถ้วยชามอาหารเพียงลำพัง สีหน้าครุ่นคิดหนัก ทั้งเป็นห่วงทั้งกังวลไปสารพัด ในขณะที่ตัวต้นเรื่องกลับมานั่งหน้าบึ้งอยู่กับเพื่อนรักที่โรงพยาบาลแทน
‘มินตรา’ ลอบสังเกตอาการเพื่อนรักด้วยความสงสัยที่อรณีดูแปลกๆไป ไม่ค่อยร่าเริงนักจึงเอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไรอ้วน นั่งถอนหายใจหลายเฮือกแล้วนะ มีอะไรคับอกคับใจนักหนารึไง”
“บอกแล้วว่าอย่าเรียกชื่ออ้วน..อร..อร..อร เมื่อไหร่จะจำห๊ะ มิน ฉันน่ะเป็นนางเอกดังไม่ใช่ยัยอ้วน อรณีคนเดิมแล้วนะ”
อรณีตีแขนเพื่อนรักดังเพียะด้วยความหมั่นไส้ เมื่อเห็นสีหน้าล้อเลียนจากเพื่อนรักตัวดี มินตราเผลอหัวเราะออกมาอย่างขำขันเมื่อเห็นอรณีหน้าเซ็งสนิทกว่าเดิม
“ฉันพูดเล่นน่า ทำไมโมโหใครมา อารมณ์บ่จอย ระวังไม่สวยนะอร หรือว่าเพราะณุอีกแล้ว”
“อย่าพูดถึงนะหงุดหงิด ว่าแต่หลานฉันไปไหนล่ะมิน ยังไม่เห็นหน้าเลย ผู้ชายผู้หญิง”
อรณีเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นใครอีกในห้อง ทั้งอธิป อาร์ม หรือเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน มินตรายิ้มแย้มสีหน้าอิ่มเอิบเมื่อมองตามสายตาเพื่อนรักพบสามีเดินเข้ามาคนเดียว
“ลูกล่ะโอม”
“อยู่กับไอ้ณุมันที่คอฟฟี่ช็อป ฝากมันให้ดูก่อนเห็นมันไม่รู้จะไปไหนน่ะสิ”
อรณีถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินคำตอบจากอธิป เพื่อนสนิทอีกคนที่พ่วงตำแหน่งสามีเพื่อนรักในกลุ่มอย่างมินตราอีกหนึ่งตำแหน่ง มินตราหยิกแขนอธิปเป็นเชิงปรามไม่ให้พูด ทำเอาคนมาใหม่ทำหน้างง ไม่เข้าใจ แล้วอรณีก็แย้งถามด้วยความอยากรู้เสียก่อน
“ไหนว่าณุไปดูงานต่างจังหวัดไง”
คำถามเสียงเข้มของคนสวยที่หน้างอเป็นม้าหมากรุกทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะเป็นอธิปที่ตอบคำถามคาใจนั้น
“ไปที่ไหน เห็นบอกมีอะไรจะปรึกษา แต่มาถึงก็ไม่พูดอะไร ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่ เลยให้เล่นกับอาร์ม เผื่อมันจะอารมณ์ดีขึ้นมาน่ะสิ”
“คนโกหก!!.
อรณีสบถลอยๆ อธิปถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบปฏิเสธว่าไม่ได้โกหก มินตราถึงกับต้องหยิกแขนสามีให้รู้ตัวจะได้เลิกพูด
“โอ๊ย!! เจ็บนะ อะไรล่ะ มินหยิกกันทำไม แค่ฝากลูกไว้กับไอ้ณุแค่นี้ต้องหยิกกันดัวย”
คำพูดออดอ้อนไม่รู้เรื่องของสามีที่มองด้วยแววตางุนงง มินตราได้แต่ปรามดุทางสายตาแล้วพยักเพยิดให้หันไปมองอรณีที่นั่งมองออกไปทางประตูห้องก่อนจะตัดสินใจผลุนผลันลุกขึ้นบอกลาแล้วเดินลิ่วออกจากห้องไป..
“ทำไมพูดอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลยล่ะโอมก็..”
“ขอโทษๆ ก็ไอ้ณุมันอยู่กับลูกจริงๆแล้วจะให้โอมบอกลูกอยู่กับใครเล่ามิน ดูหน้ามันก็รู้แล้วว่าออกอาการงอนยัยตัวแสบอีกแล้ว”
อธิปยักไหล่ไม่ยี่หระ มินตราถึงกับตีเพียะเข้าให้ที่แขนอย่างแรง ทำเอาคนตัวสูงร้องโอดโอย มินตราค้อนขวับก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างเซ็งๆ
“เมื่อไหร่สองคนนี้เค้าจะพัฒนากันซะทีนะโอม อายุก็สามสิบเข้าไปแล้ว เรานำไปตั้งสองแล้วนะลูกน่ะ”
“เรื่องของคนสองคนพูดยากนะมิน ไอ้ณุมันเป็นพวกปากหนักรักนะแต่ไม่แสดงออก ส่วนยัยอ้วนก็สวยเลือกได้ ไม่รู้เมื่อไหร่จะเปิดใจ หรือไม่งั้นก็ยุส่งมันไปหาคนใหม่กันทั้งคู่นั่นล่ะ”
อธิปถอนหายใจเมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทตั้งแต่มหาวิทยาลัยที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋คู่ตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างภาณุและอรณี แต่ก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่ ต่างคนต่างก็ไม่มีทีท่า.
.
“บางทีพวกเค้าสองคนอาจจะเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นมั้ง” มินตราเอ่ยลอยๆ พร้อมกอดเอวสามีแน่น อธิปโอบภรรยาไว้แล้วเอ่ยสิ่งที่คิดซึ่งมินตราก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้หรอกมิน เหมือนอย่างเราไง มันต้องมีสักคนไม่ใครก็ใครล่ะที่จะต้องหวั่นไหวและอยากก้าวข้ามคำว่าเพื่อนสนิทบ้าง”
“แล้วถ้าพวกเค้าต่างคนต่างไม่ยอมรับล่ะ”
ไม่วายที่มินตราจะอดนึกแย้ง อยากเอาใจช่วยแต่บางครั้งก็ไม่ควรก้าวก่ายเรื่องนี้ แต่ก็ยังอดใจไม่ให้อยากรู้ไม่ได้อยู่ดี
“ก็คงต้องแยกย้ายกันไปตามทางไม่ต้องมาให้เจอะให้เจอกันตลอดชีวิต หรือก็จนกว่าใครสักคนจะแต่งงานกับใครคนอื่น ถึงจะจบเลิฟสตอรี่ของเพื่อนสนิทได้อย่างถาวรกระมัง”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ ^^
ขอบคุณพี่นุ้ย ปริยาธร สำหรับคอมเมนท์แรกด้วยค่า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2557, 08:54:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2557, 08:54:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 1632
<< บทที่ 1 ความสวยงามคือสิ่งสำคัญในชีวิต..? | บทที่ 3 ช่วงเวลา..ระหว่างทาง >> |