มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: ตอนที่ 3.

3.



ก๊อก...ก๊อก....ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกให้คนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนุ่มรู้สึกตัวตื่น แสงสว่างจากประกายแดดในตอนเช้า ทอแสงลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง แยงตาคนที่เพิ่งตื่นจนตาพร่า

“เช้าแล้วเหรอเนี่ย...”

นลินดาพึมพำเบาๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง ก่อนบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ สายตามองนาฬิกาบนหัวเตียง ตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่า สายมากแล้ว

“ยายลินตื่นหรือยัง สายแล้วโว้ย!”

เสียงนัทธี ร้องเรียกดังโหวกเหวกอยู่หน้าประตูห้อง เสียงเคาะประตูรัวขึ้นอีกครั้ง

“ตื่นแล้วค่า... พี่นัท!”

นลินดาร้องตอบ งัวเงียลุกจากที่นอน เดินมาเปิดประตูให้พี่ชาย

นัทธีอยู่ในเครื่องแบบเต็มยศ กอดอกทำหน้าเคร่งอยู่หน้าประตู แสดงว่าตื่นนานแล้ว หากไม่สายจริงคงไม่มาปลุกน้องสาวด้วยตัวเอง นายตำรวจหนุ่มมองใบหน้าซีดเซียวของน้องสาว ก่อนจะส่ายหน้า

“ทำไมวันนี้ตื่นสายนักล่ะ จะแปดโมงอยู่แล้วนะ เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันหรอก”

“เมื่อคืนลินนอนดึก กว่าจะได้นอนก็ปาไปตั้งตีสอง”

นลินดาปิดปาวหาวอีกรอบ ใบหน้ายังไม่คลายความง่วงงุน จนพี่ชายนึกสงสาร

“จะลามั้ย นอนพักสักวัน สารรูปแก ดูไม่ได้เลย”

นลินดาส่ายหน้าจนผมกระจาย

“ไม่ค่ะ ลินมีงานค้างอยู่ พี่นัทลงไปรอข้างล่างเถอะค่ะ เดี๋ยวลินตามไป”

นัทธียิ้มอ่อนๆ ขยี้หัวยุ่งของน้องสาวอย่างเอ็นดู ก่อนจะลงมานั่งดื่มกาแฟรอในห้องอาหาร สิบห้านาทีต่อมา นลินดาก็พาตัวเองลงมาด้วยใบหน้าที่ดูสดใสขึ้น

“กาแฟหน่อยไหม...”

นัทธีรินกาแฟ ส่งให้น้องสาว ก่อนก้มหน้าสนใจข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ต่อ

“ขอบคุณค่ะพี่นัท”

นลินดารับถ้วยกาแฟมาจิบช้าๆ แล้วถอนหายใจยาวๆ เสียงนั้นทำให้พี่ชายเงยหน้าขึ้นมอง

“เป็นอะไรอีกล่ะ ผีมาเข้าฝันหรือไง”เขากระเซ้า

คนเป็นน้องส่ายหน้าไปมา ยกกาแฟขึ้นจิบอีกอึก ก่อนเล่าเรื่องนิมิตของตนให้พี่ชายฟัง

“เมื่อคืนลินเห็นภาพในหัวค่ะ”

ส่งที่ได้ยินทำให้นายตำรวจหนุ่ม มีท่าทางตื่นเต้น เขารีบวางหนังสือพิมพ์ลง หันมาตั้งใจฟังเรื่องราวอย่างสนใจ



“ลินเห็นนายกอบลาภ คนที่เคยมาขอซื้อจี้ห้อยคอของรวินท์ กำลังคุยกับใครไม่รู้ ภาพมันไม่ค่อยชัด รู้สึกว่านายกอบลาภจะเรียกผู้ชายคนนั้นว่า คุณบุญเกิด อะไรนี่แหละค่ะ”

นลินดาคล้ายไม่แน่ใจ ในสิ่งที่เห็น ภาพนิมิตที่เห็นยังคลุมเครือ ไม่สู้กระจ่าง

นัทธีขมวดคิ้ว มือลูบขอบถ้วยกาแฟไปมาอย่างครุ่นคิด

“นายกอบลาภ ผู้ต้องสงสัยในคดีการตายของคุณไรวัต แกแน่ใจนะว่าใช่นายกอบลาภ”เขาถามย้ำ

นลินดาพยักหน้ารับ

“ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ลินจำหน้าเขาได้ แต่อีกคนที่ชื่อบุญเกิดนี่สิ ลินเห็นหน้าไม่ชัด นายคนนี้ท่าทางจะเป็นเจ้านายใหญ่อีกที” หญิงสาวให้ความเห็น

ข้อมูลที่น้องสาวบอก ทำให้ผู้กองนัทธี สนใจชายที่ชื่อบุญเกิดขึ้นมา นอกจากมองเห็นวิญญาณแล้ว นลินดายังมีลางสังหรณ์ ที่มาในรูปของนิมิต นายตำรวจหนุ่มเชื่อว่าสิ่งที่น้องสาวของเขาเห็น มีมูลความจริง บางทีปริศนาเกี่ยวกับคดีการตายของไรวัต อาจได้รับการคลี่คลายในไม่ช้านี้

“นายบุญเกิด อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ พี่จะลองหาข้อมูลดู ไม่น่าจะยากนะ”นัทธีบอกน้องสาว

“พี่นัทได้ข้อมูลแล้ว รีบมาบอกลินนะ ลินสังหรณ์ใจว่า มันจะมีเรื่องยุ่งๆอีก”

นลินดานึกห่วงคนรักขึ้นมา ภาพในนิมิตนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

“ไอ้ไรวัตมันตายแบบนี้ อั๊วก็แย่สิวะ แล้วอั๊วจะเอาผลึกจันทร์มาได้ยังไง!”

ชายที่ชื่อบุญเกิดลุกขึ้นยืน ก่อนตรงเข้าไปจิกคอเสื้อของคู่สนทนา กระชากจนหัวสั่นหัวคลอน

“ลื้อต้องหาทาง เอาผลึกจันทร์มาให้อั๊วให้ได้!”

กอบลาภหน้าซีดเหงื่อแตกพลั่ก ท่าทางของเขาคล้ายเกรงกลัวชายคนนั้นเหลือเกิน ภาพหยุดลงเพียงแค่นั้น ก่อนวาบหายไป หากมันเพียงพอที่จะบอก นิสัยของคนในนิมิตได้

นลินดารับรู้ถึงความน่ากลัวของผู้ชายที่ชื่อนายบุญเกิด ชายคนนั้นกำลังคิดการบางอย่าง เพื่อหาทางครอบครองผลึกจันทร์!

รถเก๋งสีบอร์นทองเลี้ยวเข้ามาจอด ด้านหน้าภูวันดาสปา ประตูข้างคนขับเปิดออก หญิงสาวร่างบางก้าวลงมาจากรถ มือเรียวปิดประตูรถ ทำท่าจะเดินเข้าไปด้านใน แต่ชะงักเหมือนนึกอะไรได้หมุนกายชะโงกหน้าไปคุยกับคนขับ

“พี่นัทได้เรื่องยังไง ก็รีบโทรมาบอกลินด้วยนะ”

นลินดาไม่วายกำชับพี่ชาย

“เออ... ไปทำงานได้แล้วสายแล้ว”คนเป็นพี่พยักหน้ารับ ก่อนขับรถออกไป

หญิงสาวโบกมือให้ เมื่อเห็นรถเลี้ยวผ่านประตูออกไป จึงหมุนกายเดินไปยังสถานที่ทำงานของตนเอง

“คุณลิลลี่คะ เอกสารที่ให้เตรียมไว้ ได้แล้วค่ะ”

น้ำใจเลขาสาว ส่งแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ให้ผู้จัดการสปาสาว

“ขอบคุณค่ะ”

นลินดารับแฟ้ม เข้ามาอ่านในห้อง รายละเอียดของเอกสาร เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ข้อมูลข้าวของในพิพิธภัณฑ์ นอกจากงานในสปาแล้ว หญิงสาวยังรับหน้าที่เป็นดูแลพิพิธภัณฑ์ด้วย

หลังจากเกิดเรื่อง รวินท์สั่งปิดพิพิธภัณฑ์โดยแจ้งแก่ลูกค้าว่า ต้องการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ดูดีที่สุดในขณะนี้...



นาฬิกาข้างฝาส่งเสียง บอกเวลาเที่ยงวัน หากเจ้าของห้องยังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้นวม สายตาจับจ้องเอกสารในมือ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่า มีใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง และยืนกอดอกมองเธออยู่นานหลายนาทีแล้ว

ก๊อก... ก๊อก...

ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะสองสามที เสียงดังพอที่จะทำให้ คนที่คร่ำเคร่งต่องานเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ดวงตากลมทอประกายเจิดจ้า ริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกสีอ่อนแย้มออกในทันที

“รวินท์...”

เจ้าของภูวันดายิ้มกว้าง จนแลเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ใบหน้าคมสันดูกระจ่างตา ดวงตาคมดำสนิทเหมือนนิลเนื้อดี ทอดมองใบหน้าเนียนลออ ด้วยแววตาอ่อนโยน ร่างสูงเพรียวเดินอ้อมโต๊ะมาโอบไหล่บางไว้

“ผมมาชวนคุณไปทานข้าว” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม

“ที่โรงแรมมีเมนูใหม่ให้ลองชิมหรือคะ”

นลินดาแกล้งถาม ใบหน้าแต้มรอยยิ้มละมุนละไม แววตาเป็นประกายวาวใส

“เชฟที่โรงแรมเขาทำสเต็กเนื้องู เขาอยากให้คุณลองชิม”

ชายหนุ่มบอกเบาๆ น้ำเสียงจริงจัง แต่ดวงตาคมกลับระยับไหว ซ่อนรอยยั่วเย้าไม่มิด นั่นทำให้เขาโดนกำปั้นเล็กๆ ทุบถอง อย่างหมั่นไส้

“รวินท์อะ... รู้ทั้งรู้ว่าลินถามเล่นๆ ยังจะแกล้งอีก”

นลินดาซ่อนรอยยิ้ม ตีหน้าขึงขังราวกับกำลังโมโหจริงๆ

รวินท์หัวเราะเบาๆ รั้งร่างบางแนบชิด กระชับไว้ในอ้อมอก กดคางบนกระหม่อมเล็กนั้นอย่างเอ็นดู ใบหน้าฉาบรอยยิ้มละมุนตา

“ลิลลี่...”เขาพึมพำเรียกชื่อเธอเบาๆ

อ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดร่างบางไว้แน่น จมูกโด่งงามซุกซบผมนุ่มกรุ่นหอม ก่อนจะแนบใบหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ลมหายใจอุ่นรินรดข้างแก้มนวลแผ่วๆ

“เหนื่อยหรือคะ...”

นลินดายิ้มอ่อนๆ ซบหน้าแนบอกกว้างแสนอุ่นนั้น มือเรียวบางลูบแผ่นหลังชายหนุ่มแผ่วเบา ปลอบประโลม นุ่มนวล...

“อยากกอด...”รวินท์บอกเสียงเบา

ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน อย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ กระชับอ้อมแขนกอดรัดร่างบางไว้มั่น ประหนึ่งร่างเล็กนุ่มนวลในอ้อมแขน คือที่พักพิงหัวใจอันอ่อนล้าของตนเอง..

นลินดาหลับตาพริ้ม นิ่งฟังเสียงหัวใจเต้นดังตึกตักข้างหู รับรู้ถึงความรู้สึกลึกๆในจิตใจของชายคนรัก ยามนี้รวินท์กำลังเผชิญกับปัญหาหนัก เหตุการณ์เมื่อวานคงทำให้เขาสะเทือนใจไม่น้อย

คนที่ไม่รู้จักรวินท์อย่างลึกซึ้ง มักจะมองว่าเขาเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง มีความมั่นใจในตัวเองสูง ความเคร่งขรึม เอาจริงเอาจังกับงาน ทำให้รวินท์ดูแกร่งกล้า หากความจริงแล้ว ชายหนุ่มมิได้แตกต่างจากคนอื่นเลย ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่เขาแบกไว้ ทำให้ต้องซ่อนความรู้สึกทั้งมวล ไว้ภายใต้ใบหน้า เคร่งขรึมเย็นชา จนดูเหมือนรูปสลักไร้หัวใจ

นลินดายังจำครั้งแรกที่พบกับเขาได้...

ในงานรับน้องอันแสนวุ่นวาย เมื่อหกปีก่อน... รุ่นพี่ปีสี่ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา จนน้องปีหนึ่งเห็นแล้วอ่อนระทวยไปทั้งแถว กำลังลงโทษน้องใหม่ที่มาสาย ด้วยการให้ถือถุงเดินเก็บขยะรอบมหาวิทยาลัย

“เก็บขยะให้เต็มถุงก่อน ถึงจะกลับไปเข้าร่วมกิจกรรมได้”

เสียงทุ้มนุ่ม หากฟังดูเรียบเฉยสั่งการ เจ้าของเสียงเป็นนิสิตหนุ่มร่างสูงเพรียว ใบหน้าคมคายสะดุดตา หากเจ้าตัวกลับทำหน้าเคร่ง ริมฝีปากหยักโค้งไร้รอยยิ้มประดับ

“ถุงใบเบ้อเริ่ม ใครจะเก็บได้เต็ม แกล้งกันชัดๆ”

เสียงบ่นพิโอดพิครวญ ดังมาจากคนที่โดนลงโทษ น้องใหม่ปีหนึ่งผู้นั้นคือนลินดานั่นเอง!

“ใครใช้ให้มาสายล่ะ การมาสายแสดงให้เห็นว่า เป็นคนไร้ระเบียบ”

เขาตำหนิน้องใหม่ตรงๆ โดยไม่ออมคำ ดวงตาดำจัด มองหน้าคนบ่นด้วยแววตาเฉยเมย ไม่มีความเห็นใจอยู่ในแววตาคู่นั้น

คนถูกมองรู้สึกหมั่นไส้ ท่าทางมาดจัดของรุ่นพี่หนุ่ม ตั้งใจว่าวันหนึ่ง จะทำให้ใบหน้าเฉยชา คล้ายรูปปั้นเทพบุตรกรีกนี้ มีอารมณ์อื่นแทรกอยู่บ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่ง ตาดุแบบนี้

นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ของความสนใจที่นลินดามีให้รวินท์ โดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มเองก็ติดใจรุ่นน้องหน้าใส ยิ้มสวยคนนี้อยู่เหมือนกัน

ความสัมพันธ์ของเขาและเธอ เริ่มต้นจากวันนั้น...

รวินท์มักจะมาเดินเตร็ดเตร่แถวหน้าคณะ ที่นลินดาเรียนอยู่ พอเห็นหญิงสาวเดินมาเขาก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ร่วมเดือนที่รวินท์ทำแบบนี้ จนนลินดาอดรนทนไม่ไหว เดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับถามโพล่งว่า

“คุณมาทำอะไรอยู่ที่หน้าคณะฉันทุกเย็น”

“เดินเล่น...”เขาตอบสั้นๆ หากเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น

“มารอใครก็บอกมาเหอะ”

นลินดาแกล้งกระเซ้า ริมฝีปากบางแย้มอย่างรู้เท่าทัน

ใบหน้าคมคายนั้นสะดุดตาคน โดยเฉพาะนักศึกษาสาวๆ ทำให้ชายหนุ่มเป็นเป้าสายตาได้ง่าย เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ดังมากระทบหูนลินดาว่า รวินท์กำลังตามจีบน้องปีหนึ่งคณะที่เธอเรียนอยู่

“แล้วคุณคิดว่าผมมารอใครล่ะ”เขาย้อน

ดวงตาดำขลับทอประกายวาววับ จ้องใบหน้านวลเนียนนิ่ง แววตานั้นทำให้คนถูกมองแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา คำตอบอยู่ในแววตาคู่นั้นแล้ว ว่าเขามารอใคร...

นับตั้งแต่วันนั้น ทุกเย็นจะมีร่างสูงของรุ่นพี่จอมเก๊ก มายืนรอรุ่นน้องหน้าใส พร้อมกับเดินกลับบ้านด้วยกัน นลินดาค้นพบว่าภายใต้ท่าทางเคร่งขรึม จริงจังนั้น มีความอ่อนโยน แสนโรแมน ติกซ่อนอยู่

...ความรักของเธอกับรวินท์ ก่อตัวอย่างเงียบๆ หากมั่นคงนัก...

“ลิลลี่... ขอบคุณนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มนวลดังข้างหู

นลินดาเงยหน้าขึ้นมองชายคนรัก ดวงตาดำสนิทระยับพราว ทอประกายสดใส

ร่างสูงขยับห่างคลายอ้อมกอดที่รัดร่างบางออก นิ้วเรียวยาวลูบไรผม ที่ระใบหน้าให้อย่างอ่อนโยน ก่อนโอบไหล่พาเดินออกมานอกห้องช้าๆ

“หากวันนี้ผมไม่มีคุณ ผมจะทำยังไง...”

รวินท์สบตากลมโตกระจ่างใสนั้น แววตาอ่อนโยน อบอุ่น

“เราคงไม่มีวันนี้ หากคุณไม่กลับมา ด้วยหัวใจดวงเดิม”

นลินดาตอบเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ริมฝีปากบางเคลือบสีอ่อนแย้มออกน้อยๆ

“ขอบคุณที่ยังรอผม...”

ริมฝีปากหยักโค้งแตะบนขมับคนพูดอย่างแสนรัก มือหนากุมมือข้างซ้ายของหญิงสาวไว้มั่น บนนิ้วนางสวมแหวนเพชรน้ำงาม ทอประกายวาวระยิบ

รวินท์แตะปลายนิ้วลูบแหวนวงน้อยอย่างภูมิใจ ก่อนจะสอดนิ้วกระชับอุ้งมือนุ่มไว้

ตอนที่เขาเรียนจบ นลินดาเพิ่งอยู่ปีสอง บิดาส่งเขาไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเตรียมตัวกลับมาเป็นผู้บริหารกิจการในเครือ นั่นเป็นบททดสอบสำคัญ ระหว่างความรักกับความห่างของระยะทาง เขาตัดสินใจขอหมั้นนลินดา ก่อนที่จะไปเรียนต่อ

“ลิลลี่... เราหมั้นกันนะ”

รวินท์กุมมือนุ่มของหญิงสาวไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้าง ดวงตาของหญิงสาวมองสบตาเขาอย่างอ่อนหวาน นั่นทำให้เขากล้าหยิบแหวนออกมาขอหมั้นเธอ หากหญิงสาวกลับทัดทาน

“ไม่ค่ะ รวินท์... ลินไม่ขอรับแหวนวงนี้จากคุณ”

“ทำไมล่ะลิลลี่ หรือคุณไม่ได้รักผม”ปลายเสียงทอดเบาลง แววตาไหววูบ

นลินดาส่ายหน้า คลี่ยิ้มละมุน มือเรียวบางแตะท่อนแขนเขาไว้ บีบกระชับมั่น

“ลินรักคุณค่ะ แต่ลินไม่อยากปิดโอกาสคุณ”น้ำเสียงของหญิงสาวจริงจัง “คุณอาจจะเจอใคร ที่คุณรักเขามากกว่าลิน”

“ไม่มีวัน ผมรักคุณคนเดียว รักแรกและรักเดียวในชีวิต”เขาย้ำชัดถึงหัวใจของตน

นลินดายิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มนั้นเจือด้วยความภูมิใจ ผู้หญิงคนไหนบ้าง จะไม่ซาบซึ้ง เมื่อมีผู้ชายมาประกาศต่อหน้า ว่ารักเธอคนเดียว

“เวลา... ความห่างของระยะทาง เป็นตัวแปรให้หัวใจคนเปลี่ยนผันไป ลินจะรอคุณอยู่ที่นี่ หากคุณยังเป็นคนเดิม หัวใจดวงเดิม ลินจะรับแหวนวงนี้ค่ะ” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หากคำพูดประโยคนั้น เต็มไปด้วยน้ำหนักแห่งความเชื่อมั่นและศรัทธา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหัวใจของเขาไว้ตลอดหลายปี ที่อยู่ต่างแดน เขาได้พิสูจน์ให้เธอเห็นว่า...

เวลา... ระยะทาง ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่หลวง หากหัวใจสองดวงมั่นคงในความรักที่มีให้กัน...

เขาและเธอ... ได้ผ่านบททดสอบความรักครั้งนั้น มาได้อย่างงดงาม...

“รวินท์คะ สเต็กงูที่คุณว่า เชฟเขาใช้งูเหลือมหรืองูหลามทำคะ”เสียงใสๆเอ่ยถาม เมื่อเดินมาเกือบจะถึงโรงแรม

รวินท์ยิ้มขำ เอื้อมมือมาบีบปลายจมูกโด่งงามของคนรักอย่างเอ็นดู กิริยาเหมือนพี่ชายกับน้องสาว กำลังล้อเล่นกัน

“ถ้าอยากกิน ผมจะสั่งเชฟเขาทำให้ ถ้าไม่ยอมกิน จะบีบจมูกจับกรอกเลย”เขาแสร้งดุ

“ถ้ากล้าทำ ลินก็กล้ากิน”

นลินดาหัวเราะเสียงใส สอดแขนกลมกลึงคล้องแขนเขาไว้ เอนศีรษะซบไหล่กว้าง เดินเคียงร่างสูงไปตามทางเดินของสวนสวย อย่างอารมณ์ดี

ภาพของชายหญิงทั้งสอง อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง ร่างสูงสง่าสวมชุดสีขาวสะอาด ทอดมองร่างของคนทั้งคู่จนลับตา ก่อนระบายลมหายใจเบาๆ ดวงตายาวเรียวไหววูบ

“ศศิ... หากเจ้าได้เห็นภาพนี้ เจ้าคง...” นรวีร์พึมพำในคอ

ชายหนุ่มขยับกาย เดินออกจากหลังพุ่มไม้หนา ไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินแกรนิตสีดำ ร่างสูงหยุดนั่งพักบนเก้าอี้ตรงซุ้มไม้ดัด แสงแดดในตอนบ่ายสาดส่องผ่านร่มเงาไม้ลงมารำไร

ใกล้กันนั้นมีบึงน้ำ ดอกบัวหลวงออกดอกสีชมพูแกว่งไกวล้อสายลม ตรงกลางบึงวางรูปปั้นนางฟ้าสวมอาภรณ์สีทองกำลังรินน้ำจากคนโท สายน้ำไหลแรงพวยพุ่ง ละอองไอน้ำเย็นฉ่ำ ลมพัดมาบางเบาหอบเอาความเย็นสดชื่นของละอองน้ำมาด้วย ทำให้คนที่นั่งอยู่รู้สึกผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวหลวงกรุ่นกำจายตามลม

นรวีร์นั่งทอดกายอย่างสงบ ภาพของสองหนุ่มสาวที่เขาเห็นเมื่อครู่ แสดงชัดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่มีให้แก่กัน แววตาของชายหนุ่มยามทอดมองหญิงสาว ทอประกายความรักอย่างเปิดเผย แววตาแบบนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ หญิงสาวชาวจันทรกานต์เช่นศศิพิลาส ยอมทำทุกอย่างเพื่อบุรุษผู้นั้น

ยอม... แม้กระทั่งมอบสิ่งล้ำค่า อันเปรียบเสมือน ชีวิตทั้งชีวิตของตนให้เขา...

“ศศิพิลาส... ศศิพิลาส...”

เสียงกรีดแหลม แทรกผ่านมาตามลม ผลึกจันทร์ของศศิพิลาส กำลังส่งสัญญาณเรียกหาเจ้าของ

นรวีร์ผุดลุกขึ้น นิ้วเรียวแตะบนผลึกจันทร์บนรัดเกล้าเหนือหน้าผาก แสงสีอำพันสว่างวาบ ร่างสูงสง่าหายวับไปจากบริเวณนั้น!



แสงเรื่อเรืองใสกระจ่างฉายฉาน เมื่อแสงอ่อนจางลง ร่างสูงสง่าของบุรุษผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างตาปรากฏกายขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรแดนสรวงสงบนิ่ง ดวงตายาวเรียวอ่อนซึ้งอย่างคนมีเมตตา ทอดมองผ่านแสงสลัวในห้องที่ปิดม่านทึบ

“ศศิพิลาส...ข้าอยู่ที่นี่...”

เสียงร่ำเรียก ดังมาจากตู้เซฟข้างเตียง

นรวีร์แตะปลายนิ้วบนผลึกจันทร์ ลำแสงสีอำพันสว่างเจิดจ้า

พลัน! ประตูหนาของตู้เซฟก็เปิดอ้าออก เผยให้เห็นกล่องใบน้อยวางไว้ด้านใน เมื่อเขาโบกมืออีกครั้งฝากล่องก็เปิดอ้าออก อัญมณีสีอำพัน ทอประกายวาวระยับ ลอยมาอยู่บนฝ่ามือหนาราวกับปุยนุ่นโดนลมพัด

“ศศิ... ผลึกจันทร์ของเจ้า อยู่ที่นี่แล้ว...”เสียงรำพึงดังขึ้นเบาๆ

...ผลึกจันทร์ก้อนนี้ ได้จากเจ้าของมานานเหลือเกิน...

เวลาผันผ่านนานนับพันปี นับตั้งแต่ผลึกจันทร์ได้ถูกนำไป เมื่อมันมีฤทธิ์อีกครั้ง มันจึงส่งสัญญาณเรียกหาเจ้าของไม่หยุด

ผลึกจันทร์ เป็นเครื่องประดับกายประจำตัวของชาวจันทรกานต์ มีฤทธิ์อำนาจมากมาย เกิดมาพร้อมกับชีวิตของผู้คนในเมืองจันทรกานต์ทุกคน ผลึกจันทร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและวิญญาณ ของผู้ที่กำเนิดมาร่วมกัน

“วันหนึ่ง... เจ้าจักได้กลับคืนเจ้าของ...”

น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน ปลอบประโลมอัญมณีแห่งชีวิต ปลายนิ้วเรียวยาว แตะบนผิวเรียบลื่นของอัญมณี แผ่วเบา...

นี่เป็นครั้งแรกที่อัญมณีแห่งชีวิต ได้สัมผัสกับผู้คนในแดนเดียวกับที่มันกำเนิดขึ้นมา รัศมีสีอำพัน ทอแสงระเรื่อเป็นประกายแวววาว ราวกับรับรู้ถึงสัมผัสนั้น!

นรวีร์รับรู้ถึงความรู้สึกของก้อนผลึกที่ส่งออกมา ด้วยความเวทนา ผลึกจันทร์ส่งกระแสอ่อนเศร้า เต็มไปด้วยความโหยหาอาวรณ์เจ้าของเดิมของมัน ก้อนผลึกใสปรารถนาจะกลับคืนสู่จันทรกานต์

ชายหนุ่มประคองอัญมณีไว้มั่น ภาพในอดีตวาบผ่านมาในมโนนึก...

“นรวีร์ ข้ามิอาจครองคู่กับเจ้าได้”

ศศิพิลาสส่งดอกบัวทับทิม สัญลักษณ์ในการขอแต่งงานคืนให้เขา หลังจากที่นางขอเวลาตัดสินใจหนึ่งเพ็ญ พอครบกำหนด นางกลับปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อไย

“หรือเจ้าต้องการเวลาคิด”

เขาจับมือนุ่มวางดอกบัวลงบนฝ่ามือ บีบมือให้นางรับไว้ ยังมีความหวังว่านางจะตอบตกลง

“อย่าพยายามเลย ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคู่กับเจ้า ขอให้เราเป็นเพื่อนหรือพี่น้องกันเถิด” นางชักมือออก ดอกบัวหล่นลงบนพื้นแทบเท้านาง

“ทำไมศศิ... ข้ารักเจ้า รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเห็นกัน เรากำเนิดมาพร้อมกัน ตามกฎของจันทรกานต์ เราต้องครองคู่กันมิใช่หรือ”

ชายหนุ่มเอ่ยอ้างถึงกฎของเมืองจันทรกานต์ เขาและศศิพิลาสถือกำเนิดจากดอกบัวกลางสระปทุมศิรา แดนกำเนิดของชาวจันทรกานต์ ในคืนเพ็ญเดียวกัน เพ็ญใดมีชาวจันทรกานต์ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน หากเป็นหญิงทั้งสองคน หรือเป็นชายทั้งสองคน ให้นับถือเป็นพี่น้องกัน แม้นฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงอีกฝ่ายเป็นชาย ทั้งสองจักครองคู่กัน หรือเลือกนับถือเป็นพี่น้องก็ได้

ชาวจันทรกานต์แทบทั้งหมดที่เกิดในประการหลัง ล้วนแต่ปลงใจร่วมเรือนครองคู่กัน ด้วยมีความเชื่อว่า เกิดมาเพื่อกันและกัน เขาเองก็เชื่อเช่นนั้น

เชื่อ... ว่าเขาเกิดมาเพื่อรักศศิพิลาสเพียงคนเดียว มิได้เกิดมาเพื่อจะเป็นพี่หรือเพื่อนของนาง

“นรวีร์ เจ้าก็รู้ว่ากฎนั้นมีข้อยกเว้น หากชายหญิงทั้งสอง มิได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน ย่อมเลือกเคารพนับถือกันเป็นพี่น้องก็ได้ ข้ามิได้รู้สึกกับเจ้าฉันชู้สาว เรามาเป็นพี่น้องกันเถิด” นางยื่นมือมาแตะแขนเขา ยิ้มอ่อนหวานให้

“ไม่! ข้ารักเจ้า รักอย่างชายรักหญิง มิใช่พี่น้อง” ชายหนุ่มรวบร่างบางมากอดแน่น “ข้ารักเจ้าศศิ ข้ารักเจ้าได้ยินมั้ย!”

“อย่าทำเช่นนี้เลยนรวีร์ ข้ามิได้รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า หัวใจของข้ามอบให้ชายอื่นแล้ว”
นางยืนนิ่งให้เขากอดรัด มิได้ขัดขืน การกระทำเช่นนั้น ตอกย้ำความปวดร้าวให้เขาเจียน

ขาดใจ นรวีร์คลายอ้อมแขนออกทันที ร่างกายอ่อนนุ่มหอมกรุ่นละม้ายเหล็กเผาไฟ ลวกลนบนหัวใจจนแสบไหม้ นางเหลือเพียงร่างส่วนหัวใจลอยหายไปอยู่ในอุ้งมือของคนอื่น เขาต้องการทั้งร่างกายและหัวใจของนาง มิใช่เพียงกกกอดร่างกายแต่ไม่ได้รับความรักตอบ

“เขาเป็นใคร คู่ควรกับเจ้ามากกว่าข้าหรือ”

“มิใช่เจ้ามิคู่ควรกับข้า แต่ข้ามิได้รักเจ้า ข้ารักเจษฎาและอยากครองคู่กับเขา”

ศศิพิลาสใช้อำนาจผลึกจันทร์ พาตัวเองออกมาจากจันทรกานต์ นางไปพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่า ใกล้ลำธาร ชายหนุ่มคนนั้นสง่างามนัก ท่าทางองอาจทระนง ลักษณะของเขา บ่งบอกว่ามีฐานันดรอันสูงศักดิ์

ทั้งสองพากันมาเดินเล่นริมลำธารใส ก่อนนั่งลงที่ก้อนหินใหญ่เคียงข้างกัน

“เจษฎา... ท่านจักอยู่กับข้า ที่จันทรกานต์ได้หรือไม่”ศศิพิลาสเอ่ยถาม

“ศศิ... ข้ามีหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบ”

เจ้าชายเจษฎารับสั่งกับหญิงสาว ด้วยสุรเสียงแปร่งพร่า วงพักตร์หม่นหมองลง ดวงเนตรฉายแววระทมทุกข์

“บ้านเมืองของข้าถูกเจ้ามหาอำมาตย์แย่งชิงไป ตอนนี้ข้าต้องการกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินก่อน ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องไปลำบากกับข้าด้วย”

“เช่นนั้นเราทั้งสอง คงไม่ได้อยู่ร่วมกัน”

ศศิพิลาสก้มหน้าลงมองสายน้ำ ซ่อนรอยผิดหวัง เจ้าชายเจษฎาเชยคางสตรีโฉมโสภาให้มองหน้าตน รับสั่งอย่างอ่อนโยน

“ศศิ... ข้ารักเจ้า เมื่อใดที่ข้าทวงบัลลังก์ของข้าคืนมาได้ ข้าจักมารับเจ้าไปเป็นแม่เมือง ครองคู่อยู่กับข้า”

“อีกนานเท่าใด เราถึงจักได้อยู่ร่วมกัน” ศศิพิลาสถามเสียงแผ่ว

เจ้าชายหนุ่มมิได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับปลิดใบไม้ใบหนึ่งมา ก่อนจะเป่าเป็นเพลงไพเราะ บรรเลงเพลงใบไม้ขับกล่อมหญิงสาว

ร่างบอบบางงดงามของศศิพิลาส เอนซบไหล่กว้างของบุรุษที่นางปลงใจ ดวงตาคู่สวยหรี่ปิดลงนิ่งฟัง บทเพลงสำเนียงแปลกหูอย่างเพลิดเพลินใจ

“เพลงอะไรหรือเจษฎา”เมื่อเพลงจบลง ศศิพิลาสจึงเอ่ยถาม

“ไม่มีชื่อดอก ข้าบรรเลงมัน ตามที่หัวใจข้าปรารถนา หากจักเรียกขาน คงเรียกว่าบทเพลงแห่งความรัก”

เจ้าชายเจษฎายิ้มอ่อนโยน วางใบไม้บนฝ่ามือนุ่ม กุมกระชับไว้มั่น

“ศศิ... จงจำไว้ ว่าข้ารักเจ้าเพียงใด วันหนึ่งข้างหน้า หากเราต้องพรากจากกัน เราจักมีวันดีๆวันนี้ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจของเราทั้งสอง”

หญิงสาวชาวจันทรกานต์ ถึงกับน้ำตาซึม ซาบซึ้งในความรักของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ทั้งสองนั่งพรอดพร่ำรำพันรัก โดยไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองอย่างร้าวราน

เมื่อศศิพิลาสกลับมายังจันทรกานต์ นรวีร์จึงเข้าไปพูดคุยกับนาง หญิงสาวมองหน้าเขาคล้ายรู้ ว่าเขาแอบตามนางไป

“เจษฎา... เขาเป็นเจ้าชายแห่งนครเวียงผา ข้าช่วยชีวิตเขาจากการถูกทำร้าย เราทั้งสองรักกัน เจ้าคงเห็นแล้ว” นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง

“บุรุษผู้นั้นเป็นถึงเจ้าชาย เขาจักยอมมาอยู่ที่จันทรกานต์กับเจ้า เช่นนั้นหรือ”

“เขาคงมิยอมมาที่นี่ ข้ารู้ดี”

ศศิพิลาสยอมรับ ความจริงข้อนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง มือเรียวงามแตะอัญมณีบนจี้ห้อยคอ อย่างเลื่อนลอย

“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจักทำเช่นไร”

นรวีร์มองใบหน้างามพิสุทธิ์ ดวงตาทอประกายความหวัง

“เขาไม่มาอยู่ที่นี่ แต่ข้าไปอยู่กับเขาได้ เขาสัญญากับข้าว่า เขาจักรับข้าเป็นแม่เมือง”

ทางออกของหญิงสาว ทำให้นรวีร์นิ่งงัน ศศิพิลาสรักเจ้าชายเจษฎามาก จนยอมไปจากจันทรกานต์แดนกำเนิด

“เขากับเจ้าต่างกัน หากเจ้าไปจากที่นี่ พลังชีวิตของเขาจักน้อยลง รวมถึงอายุขัยของเจ้าด้วย”เขาเอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย

“นรวีร์ ชีวิตของข้าจักมีความหมายได้อย่างไร หากปราศจากความรักของเจษฎา ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจักไปอยู่กับเจษฎา ข้าจักช่วยเขากู้บ้านเมืองจากทรราช”

คำพูดประโยคสุดท้ายของศศิพิลาส ทำให้คนฟังกังขา นรวีร์มองหน้าหญิงสาว นางกุมผลึกจันทร์ อัญมณีคู่กายไว้มั่น ท่าทีเช่นนั้นทำให้เขารู้ว่านางกำลังคิดทำสิ่งใด

“ศศิ... เจ้าคิดทำสิ่งใด...” เขาถามอย่างตกใจ

“ข้าจักมอบผลึกจันทร์ของข้าให้เจษฎา ผลึกจันทร์จักช่วยให้เจษฎาชนะศัตรู”

“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วศศิ... เจ้ารู้มิใช่หรือว่า ผลึกจันทร์สำคัญต่อชีวิตเจ้าเช่นไร”

เมื่อผลึกจันทร์ถูกใช้โดยผู้อื่น เจ้าของผลึกจันทร์จะได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส เจ็บปวด ทรมาน ประหนึ่งถูกพระเพลิงเผาผลาญ เหตุเพราะพลังชีวิตในกายผูกเกี่ยวกับผลึกจันทร์เป็นหนึ่งเดียวกัน ยิ่งใช้ผลึกจันทร์มากเท่าใด ผู้เป็นเจ้าของจะต้องสูญเสียพลังชีวิตไปเท่านั้น!

“หากชายผู้นั้นรู้ ว่าเจ้าเสียสละเพื่อเขาถึงเพียงนี้ เขาคงมิยอมรับผลึกจันทร์จากเจ้า”

นรวีร์มั่นใจว่า เจ้าชายคงไม่ยอมรับผลึกจันทร์ หากรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดกับผู้เป็นเจ้าของบ้าง

ศศิพิลาสกำอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ไว้มั่น นางมองหน้าเขานิ่ง แววตาจริงจังมั่นคงฉายชัด

“ข้าจักมิบอกเรื่องนี้กับเขา นรวีร์... เจ้าต้องมิบอกเรื่องนี้กับเขาเช่นกัน ข้าขอร้อง”

นรวีร์หลับตาลงซ่อนความปวดร้าวในแววตา เมื่อใดที่เขานึกถึงเรื่องราวในอดีต หัวใจพลันปวดปร่าขึ้นมา ราวกับถูกราดรดด้วยน้ำกรด เพียงแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่มีอยู่ มิได้แทรกแซมด้วยความอาฆาตแค้น ต่อบุรุษผู้แย่งชิงหัวใจแม้แต่น้อย...

“นรวีร์... ช่วยทำให้ความปรารถนาของข้า เป็นจริงด้วยเถิด...”

คำวิงวอนของหญิงอันเป็นที่รัก แว่วผ่านเข้ามาในความคิด นรวีร์ลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่เขาพบเห็นเมื่อครู่ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนักใจ

เจ้าชายเจษฎาเปลี่ยนชาติภพกำเนิดใหม่ เป็นชายหนุ่มที่ชื่อรวินท์ เขาได้ลืมเลือนความทรงจำที่มีต่อศศิพิลาสไปหมดสิ้น เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว...

ร่างสูงใหญ่นิ่งคิดอะไรบางอย่าง ก่อนแตะปลายนิ้วบนหน้าผากของตน ดวงตายาวเรียวหรี่

ปิดลง กำหนดจิตให้แน่วนิ่ง...

อัญมณีบนสายรัดเกล้าสว่างจ้า ลำแสงสีเหลืองทองส่องเป็นลำตรงเข้าสู่อัญมณีบนจี้ห้อยคอ รัศมีสีเหลืองอำพัน เปล่งประกายเรื่อเรืองขึ้น ผลึกจันทร์ใสกระจ่างสะท้อนเงาวาวระยับ คลื่นพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจนฝ่ามืออุ่นร้อน ปลายนิ้วลดลงข้างกาย ดวงตายาวเรียวลืมขึ้นช้าๆ

นรวีร์แย้มมุมปาก ดวงตาทอประกายวาวจ้า มีเพียงเขาที่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป...

ชายหนุ่มวางผลึกจันทร์ไว้ที่เดิม ก่อนจะหมุนกายหายวับไป ลำแสงสีอำพันสว่างจ้า พวยพุ่งออกจากห้องนั้นไป...



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



อัพแล้วค่ะ



ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ



ผการุ้ง



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2557, 00:44:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 เม.ย. 2557, 00:44:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1299





<< ตอนที่ 2.   ตอนที่ 4. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account