มณีจันทรา
w6OUUR.jpg [677x756px] ฝากรูป


นิยาย มณีจันทรา

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่

รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ

เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง

เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น

เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย

เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น

ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก

ที่ชื่อ 'ความรัก'

และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน

ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง'

'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก

สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้'


หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

***
แนะนำตัวละคร




UvIA8j.jpg [400x500px] ฝากรูป


รวินท์


รวินท์ ชายหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเจ้าของโรงแรมภูวันดา หนุ่มเท่ห์ หล่อจัด ชนิดสาวกรี๊ด จริงจังกับงาน เคร่งครึม ยิ้มยาก มีความรับผิดชอบสูง มีความโรแมนติกให้กับแฟนสาวเพียงคนเดียว คือ นลินดา...


h9hmWy.jpg [500x571px] ฝากรูป


นลินดา

นลินดา สาวมั่น ผู้จัดการภูวันดาสปา (อยู่ในเครือเดียวกับโรงแรม ใช้พื้นที่ร่วมกัน) แฟนสาวของรวินท์ มีสัมผัสที่หก รู้ถึงอันตราย ที่จะมาใกล้ และสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณคุณวรรณดาแม่ของรวินท์ได้



IY8ZtK.jpg [406x375px] ฝากรูป


ศศิพิลาส

ศศิพิลาส หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางอัปสร


nJG4Gg.jpg [340x492px] ฝากรูป

นรวีร์

นรวีร์ ชายหนุ่มผู้มีความมั่นคงในความรัก


ขอนำเสนอนิยายแนวรักข้ามภพชาติ ให้ลองอ่านกันค่ะ

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว สำนวนการใช้ภาษาอาจแตกต่างจากปัจจุบันบ้างนะคะตามแนวของเรื่อง อยากนำงานเก่าๆ มาให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างค่ะ

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นบอกกันได้นะคะ

รักนักอ่านค่ะ

รวิญาดา /ผการุ้ง

Tags: มณีจันทรา

ตอน: ตอนที่ 4.

4.



เมื่อเสร็จมื้อเที่ยง รวินท์ขอตัวไปประชุมกับนายกสมาคมท่องเที่ยวไทย ในฐานะตัวแทนของโรงแรม ซึ่งจัดขึ้นที่สมาคมในช่วงบ่าย ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน นลินดาไปส่งคนรักที่รถ ก่อนกลับมายังสปา

หญิงสาวเดินทอดน่องอย่างอารมณ์ดี มาตามทางเดินที่ตัดผ่านพิพิธภัณฑ์ มื้อเที่ยงมื้อนี้ผ่านไปด้วยความสุข อาหารรสชาติดีกว่าทุกวัน เพราะได้คนร่วมโต๊ะที่ถูกใจ รวินท์สั่งของชอบของเธอไว้เต็มโต๊ะ ตักนู่นตักนี่ใส่จานชักชวนให้กิน จนเธอต้องยกมือห้าม

“รวินท์คะ ไม่กลัวลินอ้วนเป็นตุ่มต่อขาหรือคะ”

เธอมองกับข้าวที่อีกฝ่ายตักแทบล้นจาน อย่างยิ้มๆ

“ลิลลี่ คุณยังอ้วนได้อีกหลายกิโล ตัวบางเป็นใบตองปลิวแบบนี้ สักวันจะโดนลมพัดลอยหายไปเหมือนนางบุษบา” เขาเปรียบเทียบเธอกับนางในวรรณคดี

“ระเด่นมนตรีคนนี้ ท่าทางจะขี้เกียจตามหา เลยบังคับให้นางบุษบากินข้าวเยอะๆ จะได้อ้วนจนลมหอบไปไม่ไหวใช่ไหมคะ”

“เฮ้อ... รู้ทันอีกแล้ว”

คิ้วดกหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย แสร้งถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะหัวเราะ ริมฝีปากแย้มกว้างโชว์ฟันขาว ใบหน้าที่เคยเครียดเคร่ง ดูกระจ่างขึ้น

นลินดาอมยิ้ม เมื่อเห็นพนักงานเสิร์ฟในห้องอาหารแห่งนี้ ทำหน้าราวกับเห็นของแปลก ไม่บ่อยครั้ง ที่จะได้เห็นบอสใหญ่ของภูวันดา ยิ้มแย้ม พนักงานเหล่านั้นเลยพากันแอบเมียงมองดูเจ้านายของตน อย่างสนใจ

ไม่บอกก็รู้ว่า แวดวงสนทนาเชิงวิจารณ์ ที่เรียกกันว่า การนินทา จะมีหัวข้อ ยิ้มใสฟันสวย ของบอสหนุ่มหล่อแห่งภูวันดา เป็นหัวข้อต้นๆ

ผู้จัดการสาวของภูวันดาสปา เดินมาถึงด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ ดวงตาคู่สวยอดเมียงมองเข้าไปด้านในไม่ได้ ยามรักษาความปลอดภัยด้านหน้าอาคาร ยกมือขึ้นทำความเคารพ พร้อมทั้งเอ่ยทักทาย

“สวัสดีครับ คุณลิลลี่”

“สวัสดีจ้ะ สมศักดิ์ อยู่ผลัดบ่ายหรือจ้ะ”

หญิงสาวปรายสายตามองป้ายชื่อของอีกฝ่ายนิดหนึ่ง ก่อนทักทายตอบ ทำให้คนถูกเรียกชื่อยิ้มปลื้ม นึกว่าเจ้านายจำชื่อตัวเองได้

“ครับคุณลิลลี่ ผมอยู่ที่นี่วันนี้เป็นวันสุดท้ายครับ ได้ยินคุณยุทธ์บอกว่า พิพิธภัณฑ์จะปิดอีกหลายวัน เลยลดยามตอนบ่ายลง ผมคงต้องย้ายไปดูแถวลานจอดรถแทน”

นิสัยช่างพูดของยามหนุ่ม ทำให้เขาเอ่ยถึงภาระในหน้าที่ของตนให้นายสาวฟัง

“ไหนๆก็มาแล้ว ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยนะ”

นลินดารู้สึกอยากเข้าไป ด้านในอาคารอย่างไม่รู้สาเหตุ

ร่างบางระหงเดินเข้าไปในอาคารพิพิธภัณฑ์ อากาศภายในเย็นเฉียบ ทั้งที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้ คนที่เดินเข้ามาเย็นวาบไปทั้งตัว อาการคุ้นเคยบังเกิดขึ้นอีกครั้ง

“หนูลิลลี่...” เสียงเรียกแว่วมาเบาๆ

นลินดามองกราดไปรอบกาย มุมหนึ่งมืดสลัว มีเงาร่างคุ้นตา ของคุณวรรณดายืนอยู่ หญิงสูงวัยกวักมือเรียกให้หญิงสาวเข้ามาหา

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณป้า”

นลินดาขยับเข้ามาใกล้ มองท่าทีของวิญญาณอย่างสงสัย

“มีคนตามรวินท์ไป... อันตราย... เตือนรวินท์ด้วย...”

วิญญาณคุณวรรณดา ส่งผ่านคำพูดประโยคนี้ โดยไม่มีการขยับปากให้เห็น แต่ได้ยินเสียงพูดดังชัดเจนในหัว

“ใครคะ...”

นลินดาถามอย่างร้อนใจ ข้อมูลที่ได้ยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจน

คุณวรรณดาไม่ได้ตอบคำถามนี้ ร่างโปร่งแสงเลือนหายไปเฉยๆ ทิ้งปริศนาให้หญิงสาวเอาไปขบคิด

นลินดารีบเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์อย่างเร่งร้อน จนยามด้านหน้ามองตามร่างเล็กนั้นอย่างสงสัย หญิงสาวมาถึงห้องทำงานตัวเอง ในอีกสิบนาทีต่อมา มือเรียวหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาแฟนหนุ่ม

“รวินท์หรือคะ ถึงไหนแล้วคะ”

นลินดาบังคับเสียงให้เป็นปกติ เอ่ยถามคนรัก

“ใกล้ถึงแล้วครับ มีอะไรด่วนหรือเปล่า ลิลลี่”ปลายสายถามอย่างแปลกใจ

“พี่นัทค่ะ เขาฝากลินเตือนคุณ ให้ระวังตัวไว้บ้าง”

นลินดากำหูโทรศัพท์แน่น เอ่ยอ้างถึงพี่ชายให้คนรักเชื่อถือ หากจะบอกว่าเธอรู้เพราะวิญญาณคุณวรรณดามาเตือน ก็พูดไม่ได้ เธอไม่เคยบอกรวินท์ ให้รับรู้เรื่องสัมผัสพิเศษของเธอเลย

“ตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี เวลาคุณขับรถดูให้ดี ว่ามีใครตามคุณไปหรือเปล่า ลินเป็นห่วงคุณนะคะ รวินท์”

น้ำเสียงของหญิงสาวดูห่วงใยจนอีกฝ่ายรู้สึกได้

“ผมจะระวังตัว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ แค่นี้ก่อนนะ ใกล้ถึงทางแยกแล้ว”รวินท์รับคำ เขาวางสายไปเมื่อพูดจบ

นลินดาถอนหายใจยาว รู้สึกห่วงคนรักจนแทบอยู่ไม่ติด ภาวนาให้รวินท์สะกิดใจสักนิด กับคำเตือนของเธอ เขาจะได้ระวังตัว ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย...



รถเก๋งสีดำติดฟิล์มทึบ ขับตามรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ไปห่างๆ คนในรถจับตามองรถคันหน้าเขม็ง

“ไอ้ก้าน เองขับไปใกล้มันหน่อยสิวะ จะถึงแยกไฟแดงแล้ว”

ชายหน้าเสี้ยมที่นั่งอยู่บนเบาะด้านข้างคนขับ ชี้มือไปยังสัญญาณไปจราจรที่เห็นอยู่ลิบๆ

“ไอ้เวรแดง... เข้าไปใกล้มันมาก เดี๋ยวมันก็รู้ตัวสิวะ เฮียกอบสั่งให้เราตามมันไปเรื่อยๆ ได้โอกาสเมื่อไหร่ ค่อยอุ้มมัน”

เจ้าคนเป็นสารถี รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ใบหน้าคร้ามดุดันเอ่ยท้วง มันกับเพื่อนได้รับคำสั่งจากลูกพี่คือนายกอบลาภ ให้ติดตามชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมภูวันดา

“ไอ้ก้าน ไอ้แดง ลื้อสองคนตามดูนายรวินท์ให้ดี ถ้าสบโอกาสก็จัดการอุ้มมันมาให้นายใหญ่ นายบุญเกิดอยากได้ตัวมัน ถ้าลื้อจัดการได้ รับรองลื้อรวยเละ”

กอบลาภเสนอรางวัลล่อใจ นั่นทำให้เจ้าวายร้ายกระเหี้ยนกระหือรือ หาทางจัดการกับเจ้าของโรงแรมใหญ่ อย่างเต็มกำลัง มันทั้งสองแอบลอบสังเกต รอเวลาที่รวินท์จะขับรถออกไปนอกโรงแรม วันนี้เป็นโอกาสเหมาะ

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าคนขับพยักพเยิดให้เพื่อนเป็นคนรับสาย กฎหมายใหม่ออกมาว่าห้ามคนที่กำลังขับรถ โทรศัพท์ขณะขับ ถ้าละเมิดจะโดนจับ คงไม่ดีแน่หากจะถูกตำรวจจับด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้

“สวัสดีครับเฮียกอบ ครับ ผมกับไอ้ก้านกำลังขับรถตามนายรวินท์อยู่ครับ”ไอ้แดงรีบรายงานเจ้านาย

“ลื้อ ดูซ้ายดูขวาให้ดี ถ้าได้โอกาสลื้อก็จัดการมันซะ”

น้ำเสียงของกอบลาภเหี้ยมเกรียมทีเดียว

“เฮียจะให้เอาตัวมันไป ให้นายใหญ่เลยไหมครับ”

เจ้าคนพูดถามออกไป ราวกับแน่ใจว่าแผนการครั้งนี้จะไม่พลาด

“ลื้อจับมันมาให้ได้ก่อน แล้วค่อยถามอั๊ว ไม่ทันเห็นน้ำ ใครเขาจะปั้นตุ่มรอ”

“รับรองครับเฮีย เราได้ตัวมันแน่ เฮียเตรียมรางวัลไว้ได้เลย”

เจ้าสมุนตัวร้ายคุยโว ก่อนแสดงผลงาน

“เออ... พวกลื้อรีบจัดการมันให้อั๊วแล้วกัน แค่นี้นะ”

ปลายสายวางหูไป เจ้าคนรับโทรศัพท์หันมาพูดกับเพื่อนอย่างอารมณ์ดี ว่า

“ไอ้ก้าน เอ็งกับข้า งานนี้เตรียมรับทรัพย์ได้แล้ว”

เจ้าเพื่อนคู่หูหน้าตึง หันมาตวาดเจ้าคนพูดเสียงดัง

“ไอ้เวรแดง! มึงไปบอกเฮียเขาแบบนั้นได้ไงวะ ถ้าเราจับมันไม่ได้ เฮียเขาเล่นงานตาย!”

“งานง่ายๆแบบนี้ เอ็งกับข้าทำมาเท่าไหร่แล้ว เอ็งจะไปกลัวอะไรวะ”

ไอ้แดงยังหน้าระรื่น ไม่ทุกข์ร้อนสักนิด

“มันง่ายตรงที่พูด แต่เวลาทำจะง่าย อย่างที่ปากเอ็งพร่ำหรือเปล่าวะ”

เจ้าวายร้ายตัวโตบ่นเสียงขรม

รถเก๋งสปอร์ตของเป้าหมาย แล่นผ่านแยกไฟแดง เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางที่ปลอดคน รถที่ตามหลังได้โอกาสเร่งเครื่องเข้าประชิด คนขับแยกเขี้ยว ตาวาวโรจน์

“ไอ้ก้านเอ็งปราดหน้ามันเลย!”

เจ้าวายร้ายปากเปราะ สั่งเพื่อน

เจ้าคนขับเหยียบคันเร่ง เตรียมพารถแซงรถคันหน้า หากรถยนต์ของอีกฝ่าย มีสมรรถนะสูงกว่า กลับเร่งเครื่องทิ้งระยะห่างออกไปอีก ทำให้คนตามหลังอารมณ์กรุ่น เหยียบคันเร่งจนมิด กะว่าจะเสยรถสปอร์ตหรูให้ตกถนนให้ได้

ครืด...ครืด...เอี๊ยด!

เสียงดังมาจากใต้ท้องรถ ล้อรถถูกอะไรไม่รู้แทงเข้า คนขับเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ส่งผลให้รถเสียหลัก ส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อย ก่อนพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เต็มแรง!

รถสปอร์ตสีเหลืองสด แล่นไปไกล หากคนขับเหลือบมองกระจกส่องหลังสักนิด จะเห็นรถเก๋งสีดำติดฟิล์มหนา นิ่งสงบอยู่หน้าต้นไม้ กระจกรถแตกยับ ตัวถังยุบฝากระโปรงเปิดอ้า ควันลอยขโมงเป็นสาย เดชะบุญของสองวายร้ายยังไม่สิ้น มันจึงพาร่างสะบักสะบอมของตัวเอง คลานออกจากซากรถมาได้

“ไอ้ก้าน เอ็งขับรถประสาอะไร!”

เจ้าคนชื่อแดงขยับปากด่าเพื่อนร่วมแก๊งส์ มือหยาบหนาลูบศีรษะที่บวมปูดเลือดไหลซึม

“ไอ้เวร กูอยากให้มันเป็นแบบนี้ซะที่ไหน ห่าเอ๊ย! ที่นี้มึงจะบอกเฮียกอบเขายังไง เสือกคุยโวไว้มาก ตายหยังเขียดแน่ๆมึง”

เจ้าตัวใหญ่นึกถึงใบหน้าของลูกพี่อย่างหวาดๆ มันอยากถีบเพื่อนร่วมก้วนที่ปากเปราะจนเสียเรื่อง เหยื่อหนีรอดไปได้ แถมยังทำรถพังอีก งานนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่!



“นายกอบลาภติดต่ออยู่กับคนหลายจำพวก หนักไปทางพวกค้าของเก่าเสียส่วนใหญ่ มีประวัติลักลอบค้าวัตถุโบราณข้ามชาติ แต่ทางตำรวจไม่มีหลักฐาน จึงทำอะไรไม่ได้”

เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลเอ่ยกับนายตำรวจหนุ่ม พร้อมกับเลื่อนเมาส์ให้ดูข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์

“แล้วนายบุญเกิดล่ะ”

นัทธีถามถึงบุคคลในนิมิตของน้องสาว

“นายบุญเกิดเป็นลูกพี่ใหญ่ของนายกอบลาภ เคยพัวพันกับคดีลักลอบค้าวัตถุโบราณข้ามชาติ แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดจึงไม่ถูกจับกุม เบื้องหลังของเขามีคนในวงราชการชั้นผู้ใหญ่หนุนหลังอยู่ ถ้าผู้กองนัทจะเล่นกับเขา ต้องดูทิศทางลมให้ดี ไม่งั้นอาจโดนเด้งไปอยู่ชายแดน”

เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล เอ่ยเตือน ในฐานะคนที่ใกล้ชิดข้อมูลข่าวสารวงใน ย่อมรู้ดีว่าใครแตะต้องได้แค่ไหน ใครมีคนหนุนหลังบ้าง

แฟ้มเอกสารของนายบุญเกิดถูกส่งมาให้ ในช่วงบ่าย ข้อมูลทั่วไปของนายบุญเกิดมีเพียงแค่หน้าเดียว ยังดีที่มีรูปติดมาด้วย

บุญเกิดเป็นชายวัยห้าสิบเศษ ใบหน้ารูปเหลี่ยม ดวงตาเรียวยาวบ่งบอกเชื้อสายจีน ไว้ผมยาวมัดรวบไว้ด้านหลัง ผมที่ขมับมีสีขาวแซมเด่นชัด เรียวหนวดบนริมฝีปากบางถูกตัดแต่งอย่างประณีต มองโดยรวม นายบุญเกิดคนนี้ มีมาดไม่ต่างจากเจ้าพ่อมาเฟียเท่าใดนัก

“นายบุญเกิด เอื้อทวีวัฒนสกุล มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอิมพอร์ตเอ็กส์พอร์ต บิดาเป็นชาวฮ่องกง มารดาเป็นชาวไทย มีชื่อเรียกในวงธุรกิจ ว่า ‘เสี่ยฟง’ เป็นนักสะสมวัตถุโบราณตัวยง มักจะเดินทางไปมาระหว่างประเทศไทยกับฮ่องกงบ่อยครั้ง โดยมีนายกอบลาภเป็นผู้ช่วยดูแลธุรกิจในประเทศไทยให้”

นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว อ่านทวนข้อมูล อันน้อยนิด ที่เขาได้รับมา สายตาปัดไปมองแฟ้มหนาอีกแฟ้มที่วางอยู่ใกล้กัน แฟ้มปึกนั้นเป็นข้อมูลของนายกอบลาภ รายละเอียดมากกว่านายบุญเกิดผู้เป็นเจ้านายหลายเท่า

“นายกอบลาภเป็นเบ้รับใช้ คอยออกหน้าทำงานแทนนายบุญเกิดทุกอย่าง เรื่องจี้ห้อยคอคงจะเหมือนกัน”นัทธีสรุป

ผู้กองหนุ่มวางแฟ้มลง ก่อนหยิบโทรศัพท์ โทรหาน้องสาว รายงานเรื่องข้อมูลที่ได้รับให้อีกฝ่ายรับรู้

“ไงคะพี่นัท ได้เรื่องหรือยัง”เสียงแจ้วดังมาตามสาย

“ฉันเพิ่งได้ข้อมูลมา นายบุญเกิดเกี่ยวข้องกับนายกอบลาภจริงๆ ในแฟ้มข้อมูลมีรูปนายบุญเกิดด้วยนะ เย็นๆฉันจะเอาไปให้แกดู”

“ส่งมาให้ลินตอนนี้ได้มั้ย ลินอยากรู้”คนเป็นน้องรบเร้า

“ฉันยังไม่ว่าง มีประชุมกับท่านผู้การ แกรอหน่อยได้มั้ย”

“ลินเป็นห่วงรวินท์นี่คะพี่นัท เมื่อกี้ วิญญาณคุณป้าวรรณดา เพิ่งมาบอกลินว่ามีคนตาม

รวินท์ไป ลินใจคอไม่ดีเลย”นลินดาเล่าให้พี่ชายฟัง ด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้ว ฝ่ายนั้นคงกำลังหาทางทำอะไรบางอย่าง กับเจ้าของโรงแรม

“เดี๋ยวฉันจะให้ลูกน้องไปดูแฟนแกเอง เขาอยู่ที่ไหน”

“รวินท์ไปประชุมที่สมาคมท่องเที่ยวค่ะ อยู่แถว...”

นลินดาบอกสถานที่ให้พี่ชายรู้

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ตอนเย็นๆฉันจะไปหาแก แค่นี้นะ ฉันต้องไปประชุมแล้ว”

นัทธีกดปุ่มวางสาย นายตำรวจหนุ่มมองแฟ้มบนโต๊ะอย่างหนักใจ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว การตายของไรวัตยังไม่คลี่คลาย รวินท์ก็ตกเป็นเป้าอีกราย คนร้ายต้องการอะไรกันแน่...



ในห้องที่ตกแต่งอย่างประณีต เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งทำมาจากไม้สักแกะสลักลวดลายวิจิตร ตู้เอกสารข้างผนังเป็นตู้ไม้สักแกะสลักฝังมุกแบบโบราณ มุมหนึ่งวางชุดรับแขกประดับมุกเข้าชุดกัน ฝาผนังด้านหลังโต๊ะทำงาน ประดับด้วยภาพวาดผู้หญิงโบราณ เกล้ามวยสูง นุ่งผ้าซิ่นมีผ้ารัดอกสีเปลือกไม้ กำลังร่ายรำดูงดงามเหมือนนางในวรรณคดี

บนโต๊ะทำงาน มีแฟ้มเอกสารวางกองอยู่ ปากกาสีดำวางนิ่งอยู่บนปกแฟ้ม เก้าอี้นวมบุหนังอย่างดีถอยห่างจากโต๊ะไปชิดริมหน้าต่าง

บนเก้าอี้ ชายอายุราวห้าสิบปีนั่งนิ่งอยู่ มือยาวเรียวขาวจัด ถือสมุดหุ้มปกด้วยหนังสีดำเก่าคร่ำคร่า ราวกับผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน ตัวอักษรในบนแผ่นกระดาษเหลือง ซีดจางแทบมองไม่เห็น หากยังพออ่านออก คนที่ถือมันกวาดสายตามองผ่านทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจ

“ข้าพเจ้า นายเฉินฟง เขียนบันทึกนี้ขึ้น ขณะเดินทางไปค้นหาเมืองโบราณ อันมีชื่อว่า นครเวียงผา ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนกับมิสเตอร์แฟรงคลิน นักโบราณคดีชาวอังกฤษ แฟลงคลินได้ค้นพบศิลาจารึกหลักหนึ่ง ในซากเมืองร้างเขตชายแดนพม่าติดกับประเทศไทย เขาได้ถอดความศิลาจารึกหลักนั้น พบว่าได้บันทึกเรื่องราวของนครโบราณ นามนครเวียงผาเอาไว้ ข้อความในศิลาจารึกกล่าวว่า

นครเวียงผาเป็นดินแดนอันอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา ได้ล่มสลายด้วยอานุภาพของอัญมณีศักดิ์สิทธิ์นาม ‘ผลึกจันทร์’ผู้คนล้มตายบ้านเมืองจมหายไปใต้พื้นพิภพจนสิ้น ผู้ที่เหลือรอดได้อพยพย้ายถิ่นไปสร้างบ้านเมืองใหม่ ห่างไกลจากนครเดิม ด้วยเกรงอำนาจของมณีวิเศษ

ในศิลาจารึกกล่าวถึง แก้วผลึกจันทร์ไว้ว่า...

ผลึกจันทร์ เป็นอัญมณีรูปไข่ มีลักษณะเป็นแก้วผลึกใสสีเหลืองอำพัน ประดับอยู่บนจี้ห้อยคอล้อมเพชร เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์วิเศษมากมาย ในยามดวงจันทร์กระจ่างเต็มดวงในคืนเพ็ญ อัญมณีจะเปล่งรัศมีเป็นประกายเรืองจำรัสงดงามยิ่ง ผลึกจันทร์จะเกิดฤทธานุภาพสูงสุด และมอบอำนาจอันแสนวิเศษแก่ผู้ครอบครอง ให้สมความปรารถนาในทุกสิ่ง สามารถเนรมิต ทรัพย์สินมีค่า เพชรทองนานาได้ตามประสงค์”

ใต้คำบรรยาย มีรูปวาดด้วยดินสอ ซึ่งคนวาดได้คัดลอกจากภาพบนศิลาจารึก แสดงให้เห็นลักษณะของ จี้ห้อยคอนั้นอย่างชัดเจน

แม้ภาพจะถูกวาดด้วยดินสอถ่าน หากจี้ห้อยคอประดับอัญมณีศักดิ์สิทธิ์นั้น งดงามจับตา...

บุญเกิดได้ให้จิตรกร จำลองภาพในบันทึกออกมา ลงสีตามคำบรรยาย ได้ภาพที่สมบูรณ์ จนสามารถ มองเห็นมณีวิเศษในตำนานได้อย่างเป็นรูปธรรม

ในบันทึกยังบรรยายถึงอำนาจวิเศษของอัญมณีอีกว่า...

“ผลึกจันทร์สามารถทำให้ผู้ครอบครองล่องหนหายตัว มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศประหนึ่งเทพเทวาบนสรวงสวรรค์ ผลึกจักบันดาลให้ผู้ครอบครองมีฤทธาอำนาจ เหนือผู้อื่น สะกดผู้คนให้อยู่ภายใต้อำนาจคอยรับใช้ ดั่งทาสผู้ซื่อสัตย์...”

บุญเกิดถอนหายใจยาว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อ “ผลึกจันทร์” เขาอยากได้อัญมณีศักดิ์สิทธิ์นี้มาตลอด นานหลายปีที่เขาทุ่มเงินมากมายเพื่อตามหาเมืองเวียงผา โดยออกทุนให้นักโบราณคดีหลายคน แต่ก็ไม่มีใครค้นพบเมืองโบราณแห่งนี้เลย

เวียงผาเป็นนครที่ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ อีกทั้งล่มสลายมานับพันปี จึงยากต่อการสืบค้น มีเพียงข้อมูลของมิสเตอร์แฟลงคลินกับบันทึกของบรรพบุรุษของเขาเท่านั้น เป็นเครื่องยืนยันว่ามีอยู่จริง

นักธุรกิจใหญ่ พลิกหน้ากระดาษอ่านบันทึกหน้าถัดไป

“ตามตำนานได้กล่าวว่า ผลึกจันทร์มีอำนาจมาก จึงถูกทำพิธีสะกดไว้ ไม่ให้ใครนำไปครอบครอง แต่ศิลาจารึกได้เผยวิธีแก้มนต์สะกดไว้ว่า...

ผลึกจันทร์จักเรืองอำนาจอีกครา ด้วยโลหิตของบุรุษผู้เกิดในคืนเพ็ญ แลโลหิตหยดนั้นตกต้องผลึกจันทร์ในคืนเพ็ญ...”

หากผู้ค้นพบสามารถคลายมนต์สะกดได้ อำนาจวิเศษของผลึกจันทร์ ย่อมตกเป็นของผู้นั้น

แฟลงคลินได้ปรึกษาเรื่องการค้นหานครโบราณแห่งนี้กับข้าพเจ้า เขาอยากไปสำรวจนครแห่งนี้เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ข้าพเจ้าเองก็สนใจเรื่องเมืองเวียงผาเช่นกัน

ข้าพเจ้าพยายามค้นหาเมืองโบราณนครเวียงผา ด้วยหวังว่าจะค้นพบผลึกจันทร์อัญมณีวิเศษในตำนานนั้น จนกระทั่งข้าพเจ้าได้พบกับนายวงศ์ ซึ่งมีความสนใจเรื่องนี้เหมือนกัน ข้าพเจ้ากับนายวงศ์ ตัดสินใจร่วมเดินทางไปค้นหาผลึกจันทร์ ในหุบเขาแห่งหนึ่งของภาคเหนือของไทย ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณแห่งนี้ โดยมีแฟลงคลินร่วมเดินทางไปด้วย

หลังจากรอนแรมกลางป่ามาหลายเดือน ต้องผจญกับสัตว์ร้ายนานา ไม่ว่าจะเป็นเสือ หมี หรือแม้กระทั่งฝูงช้างป่าแสนดุร้าย หากความหวังของเรายังไม่หมดไป เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ที่คาดว่าเป็นเมืองร้างแห่งหนึ่ง เราสอบถามชาวบ้านป่าที่นำทาง เชื่อว่าเป็นเมืองร้างกลางหุบเขาอีกแห่ง ที่น่าจะใช่นครเวียงผา หลังจากที่เราขุดค้นเมืองร้างหลายแห่งมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่นครเวียงผาสักแห่ง...”

ผู้บันทึกได้เขียนรายละเอียดประจำวัน ในแต่ละช่วงที่เดินทางอย่างละเอียด บุญเกิดเปิดผ่านข้อความไม่สำคัญเหล่านั้น ไปยังหน้าที่เขาคั่นเอาไว้

“แฟลงคลินเพื่อนนักโบราณคดีของข้าพเจ้า เป็นไข้ป่าอาการหนัก ข้าพเจ้าจึงส่งเขากลับ โดยสัญญาว่าจะพยายามค้นหานครเวียงผาให้พบ ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนบันทึกนี้ ข้าพเจ้าเริ่มมีอาการไข้บ้างแล้ว โชคดีที่นายวงศ์มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร จึงพอทำให้ข้าพเจ้าสามารถเดินทางต่อไปได้

ข้าพเจ้าหวังไว้ว่า เราทั้งสองจะค้นพบนครโบราณนี้ และได้ครอบครองผลึกจันทร์สมความปรารถนาในสักวันหนึ่ง

ข้าพเจ้าได้ฝากบันทึกเล่มนี้มากับแฟลงคลิน เพื่อช่วยส่งต่อให้ลูกชายของข้าพเจ้า ที่รออยู่ที่บ้าน ข้อมูลทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบ จักนำทางพวกเขา เพื่อไปค้นหาผลึกจันทร์ต่อไป...”

หน้าสุดท้ายของบันทึกเป็นจดหมาย ที่เจ้าของบันทึกเขียนถึงลูกชายของเขา

“อาปิงลูกรัก...

ขณะที่เจ้าได้อ่านบันทึกเล่มนี้ พ่อกำลังตามหาผลึกจันทร์ อัญมณีวิเศษในตำนาน ที่พ่อเคยเล่าให้เจ้าฟังอยู่ ลูกเอ๋ย... พ่อไม่รู้ว่าจะได้พบเจ้าอีกเมื่อใด จงดูแลแม่ของเจ้าแทนพ่อด้วย หากพ่อมีอันเป็นไป ไม่สามารถค้นพบผลึกจันทร์ในชั่วชีวิตนี้ได้ เจ้าจงสืบทอดเจตนาของพ่อ ตามหาผลึกจันทร์ต่อไป และให้ลูกหลานของเจ้า สืบค้น ติดตามหาอัญมณีศักดิ์สิทธิ์นี้ นำมันมาเป็นสมบัติประตระกูลของเราให้ได้ ...”

บันทึกจบลงเพียงแค่นั้น บุญเกิดลูบแผ่นกระดาษเหลืองกรอบอย่างถนอม เจ้าของบันทึกคือนายเฉินฟง ตาทวดของเขาเอง... ท่านเป็นชาวจีนที่อพยพมาอยู่ที่เมืองไทย ทำกิจการค้าขายระหว่างเมืองจีนกับเมืองไทย จนมีฐานะมั่งคั่ง เป็นเจ้าสัวใหญ่

ท่านเดินทางรอนแรมค้นหาอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ ร่วมกับมิสเตอร์แฟลงคลินเพื่อนนักโบราณคดีชาวอังกฤษ และเพื่อนอีกคนที่ชื่อนายวงศ์ โดยทิ้งให้ผู้เป็นภรรยาและลูกชาย ดูแลทรัพย์สินอยู่ทางบ้าน

หลังจากออกมาจากป่า มิสเตอร์แฟลงคลินเสียชีวิตลง เพราะอาการไข้ทรุดหนักเกินเยียวยา โดยมีบันทึกเล่มนี้ติดมาด้วย ขณะที่ตาทวดของเขาได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นตายร้ายดียังไง ส่วนนายวงศ์ เพื่อนร่วมคณะนั้น ไม่มีใครทราบข่าวของเขาเช่นกัน ...

มารดาของบุญเกิดเป็นลูกสาวคนเดียวของเฉินปิง ลูกชายของทวดเฉินฟงที่แต่งงานกับสาวไทย ต่อมามารดาของเขา ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวฮ่องกง เมื่อท่านให้กำเนิดเขา ท่านได้ตั้งชื่อให้เขาว่า “ฟง” ตามชื่อของตาทวด และย้ายครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ฮ่องกง จนกระทั่งอังกฤษส่งคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีน ท่านจึงย้ายกลับมาทำธุรกิจที่เมืองไทย และเสียชีวิตที่นี่

“อาฟง ลื้อต้องตามหาผลึกจันทร์ มาเป็นสมบัติประจำตระกูลของเราให้ได้ ลื้อต้องสืบทอดคำสั่งบรรพบุรุษ ลื้อต้องทำให้ได้นะอาฟง” แม่ของเขาสั่งเสียก่อนสิ้นใจ

เขาปฏิบัติตามคำสั่งเสียนั้น ตามหาผลึกจันทร์รวมถึงตามหาครอบครัวของนายวงศ์ เพื่อนผู้ร่วมคณะกับตาทวดของเขาในครั้งนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง...

“คุณบุญเกิดครับ ผมพบของที่คุณตามหาแล้ว”

กอบลาภมาบอกเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น

“อะไรที่ลื้อว่าอั๊วตามหา” เขาย้อนถาม

“ผลึกจันทร์ครับ ผมเจอมันแล้ว”

ชื่อของผลึกจันทร์ ทำให้คนฟังตัวชาวาบหัวใจกระตุกไหว ความยินดีอาบพุ่งเต็มหัวใจ

“ลื้อ...เจอมันที่ไหน ลื้อแน่ใจว่าใช่จริงๆ”บุญเกิดรีบละล่ำละลักถาม

กอบลาภส่งรูปถ่ายใบหนึ่งให้แทนคำตอบ เป็นภาพของจี้ห้อยคออันหนึ่ง ประดับด้วยอัญมณีสีอำพันเม็ดใหญ่ ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กงดงาม

บุญเกิดหยิบบันทึกมาเปิดออก เปรียบเทียบรูปถ่ายกับรูปวาดในสมุดบันทึก ภาพทั้งสองเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นของจริง

“ลื้อไปได้รูปนี่มาจากไหน”

“คุณไรวัตครับ เขาเป็นคนนำรูปนี้มาให้ผม ตอนนี้เขาร้อนเงินมาก ติดหนี้บ่อนเสี่ยกวงอยู่เกือบล้าน พอเขารู้ว่าผมกำลังหาจี้ห้อยคอโบราณ เขาเลยเอารูปนี้มาให้ดู จี้อันนี้เป็นมรดกประจำตระกูล ของคุณวรรณดาแม่ของคุณไรวัต”

กอบลาภแจงรายละเอียดที่ไปที่มาของรูป ให้คนเป็นนายฟังอย่างละเอียด

“ลื้อบอกให้มันเอามาให้อั๊วดูได้ไหม”

“คงไม่ได้ครับ ตอนนี้คนที่เป็นเจ้าของจี้ คือนายรวินท์ ภูธนิศ น้องชายของคุณไรวัตครับ”

“รวินท์ ภูธนิศ...”เขาทวนชื่อนั้นในคอ

“นายรวินท์เป็นทายาทของภูวันดากรุ๊ป ส่วนคุณไรวัตแกเป็นลูกเลี้ยง เลยไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติ จะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ”กอบลาภขอความเห็น

บุญเกิดนิ่งคิดอยู่หนึ่ง ก่อนตอบลูกน้องคนสนิทว่า

“ติดต่อขอซื้อมาให้ได้ เขาเรียกราคาเท่าไหร่ อั๊วทุ่มไม่อั้น”

การติดต่อทาบทาม ขอซื้อจี้ห้อยคอดำเนินไป โดยกอบลาภเป็นคนออกหน้า ในขณะเดียวกันบุญเกิดก็ให้คนสืบค้นข้อมูลของรวินท์โดยละเอียด

“นายรวินท์ ภูธนิศ เป็นทายาทคนเดียวของภูวันดากรุ๊ป มีพี่ชายบุญธรรมชื่อนายไรวัต ภูธนิศ นายรวินท์ได้รับจี้ผลึกจันทร์เป็นมรดกตกทอด จากคุณวรรณดาแม่ของเขา ตามประวัติจี้ผลึกจันทร์เดิมเป็นของหลวงวิสุทธิ์มนตรี คุณตาทวดของเขา ซึ่งมีลูกสาวคนเดียวคือคุณยายของคุณวรรณดาแม่ของนายรวินท์”

หลวงวิสุทธิ์มนตรีนั้น คือนายวงศ์ ผู้ร่วมคณะในการค้นหาผลึกจันทร์ในครั้งนั้น เขาได้นำผลึกจันทร์มาเป็นสมบัติประจำตระกูลของตนเอง ขณะที่นายเฉินฟงทวดของบุญเกิดได้หายสาบสูญไป นั่นทำให้บุญเกิดเข้าใจว่า การหายสาบสูญของบรรพบุรุษของเขา อาจเป็นเพราะถูกนายวงศ์ทำร้ายแล้วแย่งชิงผลึกจันทร์ไป ความโลภทำให้พี่น้องฆ่ากัน มานักต่อนักแล้ว...

ประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จะไม่คิดทำร้ายกันบ้างหรือ

บุญเกิดกำหมัดแน่น หัวใจพลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น สักวันเขาจะนำผลึกจันทร์คืนมาให้ได้ รวมถึงจัดการคนที่แย่งชิงผลึกจันทร์ไปจากบรรพบุรุษของเขาให้สิ้นซาก!

ก๊อก...ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกให้คนที่อยู่ในภวังค์รู้สึกตัว บุญเกิดเปิดลิ้นชักเก็บบันทึกสำคัญไว้ในนั้น ก่อนจะอนุญาตให้คนเคาะประตูเข้ามา

“เข้ามาสิ...”

บานประตูเปิดออก ร่างท้วมค่อนข้างเตี้ยของกอบลาภ เดินต้วมเตี้ยม เข้ามาภายในห้อง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เมื่อเห็นเจ้านายส่งสายตาเป็นเชิงอนุญาต

“คุณบุญเกิดครับ ผมมีข่าวเรื่องนายรวินท์มารายงานครับ”กอบลาภกุมมือไว้บนหน้าตัก ท่าทางสำรวม

“มีอะไรก็พูดมา อั๊วไม่มีเวลามาก”คนเป็นนายยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ

“ผมให้ไอ้แดงกับไอ้ก้าน ตามประกบนายรวินท์อยู่ครับ กะว่าจะอุ้มมาขู่ให้ยอมขายผลึกจันทร์ แผนนี้โอเคไหมครับ”

บุญเกิดวางถ้วยชาลง ดวงตาเรียวเล็กจ้องหน้าลูกน้องคนสนิท กอบลาภทำงานพลาดมาหนหนึ่งแล้ว ตอนที่ให้ไปติดต่อซื้อผลึกจันทร์ พอเจ้าของเขาไม่ขาย ก็ย่องไปขโมยเสียอย่างนั้น ซ้ำร้ายยังทำอุตริ เกินคำสั่ง ไปปลดมนต์สะกดผลึกออกโดยพละการ ทำให้ไรวัตถูกอาถรรพ์จนตาย

“คุณบุญเกิดครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผลึกจันทร์มันมีอาถรรพ์จริงๆนะครับ ผมเห็นมากะตา”

“ไอ้ไรวัตมันตายแบบนี้ อั๊วก็แย่สิวะ แล้วอั๊วจะเอาผลึกจันทร์มาได้ยังไง!”

คำแก้ตัวของกอบลาภ ทำให้บุญเกิดระงับอารมณ์ไม่อยู่ จับคอสั้นๆของลูกสมุนตัวแสบ มาเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน หากไม่คิดว่าทำงานด้วยกันมานาน เขาจะส่งกอบลาภไปนอนเล่นในท้องจระเข้ให้เข็ด

“กอบ ลื้อทำงานพลาดมาหนหนึ่งแล้วนะ”คนเป็นนายตำหนิ

กอบลาภหน้าแดง กับคำตำหนิของเจ้านาย เขาทำงานพลาดมาหนหนึ่ง เพราะความคิดชั่ววูบ อยากได้ผลึกจันทร์มาครอบครอง จนทำให้ไรวัตต้องตายอย่างอนาถ ตัวเขาเองจับไข้อยู่หลายวัน กว่าจะฟื้นตัว

“ครั้งนี้ผมรับรองว่า จะไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอนครับ”

คนพูดรับรองอย่างแข็งขัน ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาลูกสมุนที่ส่งไปทำงานสำคัญ

“ไอ้แดงเหรอวะ เป็นไงบ้าง”

เขากดปุ่มเปิดเสียงให้ผู้นายใหญ่ฟังด้วย

“เฮียครับ... เราเอ่อ...”

เสียงปลายสายฟังดูตะกุกตะกัก กอบลาภรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา แต่ยังแข็งใจถามไปว่า

“อ้ำอึ้งอยู่ได้ มีอะไรก็รีบรายงานสิวะ อั๊วอยู่กับนายใหญ่ ลื้อจับนายรวินท์ได้แล้วใช่มั้ย”

เสียงปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะรายงานผลการทำงาน ที่ทำให้คนฟังหน้าเคร่งเครียด

“ขอโทษครับเฮีย ผมสองคนคลาดกับรถนายรวินท์ เอ่อ... แล้วรถของพวกเรา ก็ไปชนต้นไม้ พังยับทั้งคัน...”

“ไอ้เวร! ฉิบหายวายป่วงกันหมด เมื่อกี้ลื้อยังบอกอั๊วว่า จับมันได้แน่ ไอ้เก๋าเจ้งเอ้ย!”

กอบลาภด่ากราดเป็นชุด ใบหน้าอวบอูมแดงก่ำไปจนถึงใบหู ก่อนจะเปลี่ยนมาซีดเมื่อเห็นแววตาวาววับของผู้เป็นนายใหญ่

“ขอโทษครับ...”

กอบลาภก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย อย่างสำนึกความผิด ในสมองพยายามประมวลความคิด หาวิธีนำผลึกจันทร์มามอบให้นายจ้าง เพื่อเป็นการแก้ตัว

“กอบ ลื้อรู้มั้ย ว่าผลึกจันทร์สำคัญต่ออั๊วมาก มาม้าของอั๊วท่านสั่งนักสั่งหนา ให้อั๊วตามหาผลึกจันทร์มาเป็นสมบัติประจำตระกูลให้ได้ บรรพบุรุษของอั๊วอุทิศชีวิต ทั้งชีวิตของท่าน เพื่อตามหามัน อั๊วผู้เป็นลูกหลานต้องสืบทอดเจตนารมณ์ อั๊วจริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน ลื้อต้องรู้ไว้”

ถ้อยคำของนายจ้างไม่มีรอยตำหนิอย่างที่กลัว หากแจงให้เห็นถึงความต้องการอันมั่นคงในการครอบครอง อัญมณีศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน

“คุณบุญเกิดครับ ผมมีแผนการดีๆ แผนนี้น่าจะทำให้คุณได้ครอบครองผลึกจันทร์ สมความปรารถนา”กอบลาภเอ่ยขึ้น น้ำเสียงจริงจัง

บุญเกิดเลิกคิ้วสูง มองหน้าคนพูด ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย มีรอยสำนึกผิดฉายออกมา

“เอาล่ะ... อั๊วจะเชื่อลื้ออีกสักครั้ง มีอะไรก็พูดมา”

QQQQQQQ

อัพแล้วจ้า

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ



รวิญาดา/ ผการุ้ง




รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2557, 20:49:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 เม.ย. 2557, 20:49:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1012





<< ตอนที่ 3.   ตอนที่ 5. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account