^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: ...บางตอนของความฝันอันแสนหวาน(3)...

โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในเสื้อด้านในสั่นเตือนบอกว่ามีสายเรียกเข้า แต่ศัลยแพทย์ไม่เคยละมือจากผู้ป่วยที่อยู่ตรงหน้าได้ ฉันเองก็เช่นกัน ฉันตัดไส้ติ่งตามวิธีที่อ่านและเรียนมาจากรุ่นพี่ ก่อนจะเย็บแผลปิดหน้าท้องเรียบร้อย จึงถอดชุดผ่าตัดออกมา

“ใช้ได้แล้วนี่ เคสต่อไปก็ลงมือเลยนะ”

“ง่า…พี่เป็นมือสองช่วยเหมือนเดิมใช่ไหมคะ” ถึงจะมั่นใจแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่กล้าทำคนเดียวอยู่ดีนั่นล่ะ

“แหงสิ” เขาหัวเราะ

ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ระหว่างรอแพทย์ดมยาผู้ป่วยรายต่อไป รุ่นพี่หมีป่าก็เช่นกัน เขาหลบไปคุยโทรศัพท์เสียงดังลั่นอยู่ในห้องพักที่อยู่ห่างกันไม่ไกล

หน้าจอโทรศัพท์บอกว่ามีสายไม่ได้รับจากพี่มิคถึง 3 สาย ฉันกดโทรศัพท์หาเขาทันทีด้วยความประหลาดใจว่ามีเรื่องเร่งร้อนอะไรเขาจึงต้องโทร.หาฉันขนาดนั้น

“ขอโทษค่ะ…เมื่อกี้หนูเข้าเคสอยู่”

“ก็ว่าอยู่” เขาเดาได้ไม่ยาก “เดี๋ยวพี่ซื้อเบนโตะไปฝาก จะให้เอาไปที่ไหนดี”

“เอ่อ…ฝากไว้ใต้หอก็ได้ค่ะ” ฉันกะว่าจะให้เพื่อนร่วมห้องรับไปใส่ตู้เย็นไว้ก่อน ตั้งใจว่าวันนี้คงยังไม่ได้ออกจากห้องผ่าตัดง่าย ๆ แน่

“หนูจะได้กลับหรือวันนี้ ไปกินแถวห้องผ่าตัดไหม เดี๋ยวพี่เอาไปให้”

ฉันคิดได้ว่ามีห้องอาหารอยู่หน้าเคาท์เตอร์รับผู้ป่วย ซึ่งเป็นส่วนเดียวกับห้องผ่าตัด จึงบอกเขา “ไว้ที่ห้องอาหารในโออาร์ก็ได้ค่ะ”

“โอเค…พี่กำลังจะกลับแล้ว ถึงแล้วเดี๋ยวพี่โทร.หานะ”

“ค่ะ…” ฉันตอบรับก่อนจะไปล้างมือ เตรียมเข้าผ่าตัดผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบรายต่อไป รุ่นพี่หมีป่าเดินมาล้างมือข้าง ๆ ยักคิ้วให้กำลังใจ

อีกประการที่ฉันนิยมในความเป็นศัลยแพทย์คือ บางครั้งเราไม่ต้องการคำพูด แต่มีการแสดงออกบางอย่างทำให้ฉันอบอุ่นในใจ และรู้ว่าตลอดทางในการผ่าตัดทั้งเคสที่ผ่านมาแล้วและเคสที่กำลังจะผ่า เขาจะอยู่ตรงหน้าคอยช่วยฉันเสมอ

มีอาจารย์หลายท่านบอกฉันว่า ศัลยแพทย์นับถือเรื่องซีเนียริตี้มาก เพราะเราต้องเรียนรู้ผ่านการกระทำ

จบเคสไส้ติ่งอักเสบ รุ่นพี่โทร.ตามเคสลำไส้อุดตันจากห้องฉุกเฉินเข้ามาผ่าตัดฉุกเฉิน ฉันขอเข้าเคสด้วย เขาเลิกคิ้วเพียงครู่ก็พยักหน้ารับ ให้ฉันได้เข้าช่วยเป็นมือสอง

การผ่าตัดครั้งนี้กินเวลานานกว่าที่คิด โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อฉันสั่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันไม่ได้สนใจ จนจบเคส ทุกอย่างเรียบร้อยดีนั่นล่ะ รุ่นพี่หนุ่มจึงบอกให้ทุกคนพักก่อน

“ไปหาข้าวกินก่อนเถอะ” ฉันยิ้มรับ เมื่อเดินออกจากห้องผ่าตัด พร้อมกดโทรศัพท์หาพี่มิค ขณะเดินตรงไปยังส่วนที่จัดเป็นห้องอาหาร

กล่องอาหารจากร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังวางอยู่บนโต๊ะ มีตั้งแต่ชุดปิ่นโต ราเมน ชุดกุ้งเทมปุระ มากเกินกว่าที่ฉันคนเดียวจะจัดการได้หมด

“ขอโทษค่ะพี่ ติดเคสอีกแล้ว”

“อื้ม…ไม่เป็นไร พี่วางไว้ที่ห้องอาหารนะ นี่พักแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ อยู่ที่ห้องอาหารนี่ล่ะค่ะ” ฉันตอบกลั้วหัวเราะ “พี่มิคซื้อมาเยอะมากเลย จะกินหมดไหมคะนี่”

ฉันตั้งใจว่าจะเข้าไปชวนรุ่นพี่มากินด้วยกัน แต่คำตอบของเขาก็ทำให้ฉันนิ่งไป

“หมดสิ เดี๋ยวพี่ไปกินด้วย”

ฉันกระพริบตาปริบ ๆ “เอ๊ะ…พี่ยังไม่ได้ทานเหรอคะ”

“ก็รอกินกับหนูนั่นล่ะ แปปเดียวนะ เดี๋ยวพี่ไป”

เอาละสิ...ฉันไม่แน่ใจนักว่าการนั่งกินข้าวกับเขาสองคนในห้องอาหารของห้องผ่าตัดนั้นเหมาะสมมากแค่ไหน ถึงนี่จะอยู่ในช่วงนอกเวลาที่ไม่ค่อยมีใคร แต่ฉันก็ยังอดเกรงใจรุ่นพี่หมีป่าที่อยู่เวรด้วยกันไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายนั้นโผล่หน้ามามอง แล้วเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“อ้าว…ใครซื้อข้าวกล่องมาเยอะแยะ”

“เอ่อ…” ฉันนิ่งไปครู่ ก่อนบอกตามตรง “พี่มิคน่ะค่ะ”

“อ่อ…ซื้อมาเยอะดีนะ” เขาบอกแล้วหันหลังเดินจากไป เพราะพี่มิคเป็นเรสิเดนท์อีเลกทีฟที่มาจากโรงพยาบาลอื่น จึงไม่ค่อยสนิทกับรุ่นพี่ที่อยู่ที่นี่นัก

ฉันนั่งคิดอยู่ครู่ ก็ตัดสินใจโทรศัพท์หาเพื่อนรัก ภาวนาให้วันนี้เธอไม่ออกไปเที่ยวซุกซนที่ไหน เพียงไม่นาน ปลายสายก็ตอบรับ

“แก…อยู่ที่ห้องเปล่า”

“อื้อ…ทำไมเหรอ”

“มาที่โออาร์หน่อยสิ” ฉันบอก

“เฮ่ย…ไปทำไร”

“มากินข้าวกัน”

ปลายสายนิ่งไปครู่ “ไม่เอา ขี้เกียจกิน วันนี้จะอ่านการ์ตูน” เป็นที่รู้กันว่าเพื่อนรักฉันติดการ์ตูนมากจนไม่สนใจข้าวปลา ปกติฉันไม่ได้ใส่ใจจะเคี่ยวเข็น แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ

“มาเถอะ...” ฉันทอดเสียงอ่อนกึ่งขอร้อง “พี่มิคซื้ออาหารญี่ปุ่นมาเต็มเลยว่ะ บอกว่าจะมากินด้วย”

“อ้าว แกก็กินกับพี่มิคไปดิ”

ฉันอ้าปากค้าง สวดส่งเพื่อนอยู่ในใจ “ไม่เอา...แกมากินด้วยกันนะ”

“ไม่เอา เราจะอ่านการ์ตูน” เพื่อนรักยังยืนกรานคำเดิม ฉันจึงต้องใช้ไพ่ตายใบสำคัญ

“แกรักการ์ตูนมากกว่าเราเหรอ...” ฉันทำเสียงอ่อนกึ่งตัดพ้อ “นะ…มาที่โออาร์แปบเดียว ไม่ถึงชั่วโมงหรอก วางการ์ตูนของแกมาหาเพื่อนหน่อย นะนะ...”

สุดท้ายเพื่อนรักก็ยอมใจอ่อน “ก็ได้…”



ไม่นาน พี่มิคก็มาถึง เขาอยู่ในชุดลำลอง เสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบสบาย ๆ เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าฉันเปิดกล่องอาหารวางไว้พร้อมแล้ว

“หิวไหม”

“ไม่มากค่ะ...พี่มิคล่ะคะ” ฉันเอ่ยถาม “ขอโทษนะคะ...ไม่คิดว่าเคสจะยาว”

“กัทออปใช่ไหม” เขาหมายถึงลำไส้อุดตัน “อย่างนี้ล่ะ...ชั่วโมงเดียวนี่ไม่ช้ามากหรอก แล้วผ่ามาเป็นอะไรล่ะ”

ฉันหัวเราะเมื่อคิดถึงผู้ป่วยที่เพิ่งผ่าตัดไป “ไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ พี่มิคลองทายสิ”

“หืม…เฮโรอีน ?” สิ่งที่เขาเดาทำให้ฉันเบิกตากว้าง ทำตาโตมองแล้วรีบส่ายหน้าเร็ว ๆ

“ไม่ค่ะ ไม่ ไม่ แหม…ถ้าเป็นเฮโรอีนเรื่องคงยาว หนูคงต้องไปกินข้าวกับคุณตำรวจแทนแล้วล่ะค่ะ” มีหลายครั้งที่การผ่าตัดผู้ป่วยลำไส้อุดตันออกมาเป็นยาเสพติดที่แพคอยู่ในถุงยาง และคนที่ปวดหัวที่สุดก็คงเป็นศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดนั่นล่ะที่ต้องไปให้ปากคำ

“เห็ดค่ะ...เห็ดหอมชิ้นเบ้อเร่อ” ฉันยกมือประกอบ เห็ดหอมสดที่ผ่าตัดออกมาได้ขนาดใหญ่เกือบครึ่งฝ่ามือ ถึงจะน่าแปลกใจที่มันทำให้เกิดภาวะลำไส้อุดตันจนต้องรีบผ่าตัด แต่เมื่อคิดถึงขนาดที่คงไม่ผ่านการเคี้ยวหรือย่อยสลายมาจนถึงลำไส้เล็กแล้ว ฉันว่ามันก็ดูมีเหตุมีผลอยู่ไม่น้อย

ประตูกระจกถูกเปิดออก พร้อมกับที่เพื่อนรักที่ครองตำแหน่งรูมเมทของฉันเดินเข้ามาภายใน พี่มิคเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ ขณะที่ฉันยิ้มเจื่อน ๆ บอก “คือ…หนูเห็นว่าพี่ซื้อมาเยอะมาก กลัวจะกินไม่หมดเลยชวนเพลงมาด้วยน่ะค่ะ”

“สวัสดีค่ะพี่มิค” เพลงยกมือไหว้ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ฉัน

“ขอโทษนะคะ มัวแต่คุยเพลินเลยลืมบอกพี่มิคก่อน”

“อ่อ..ไม่เป็นไร ทานด้วยกันนะครับน้องเพลง” เขาบอกเสียงเรียบ ขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งทำอะไรบางอย่างผิดไปอย่างไม่น่าให้อภัย ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ เตรียมตะเกียบและช้อนให้เพลง

“ลืมน้ำไปเลย เดี๋ยวหนูไปเทน้ำก่อนนะคะ” นี่อาจเป็นทางเดียวที่ฉันพอจะหนีออกมาจากท่าทางเคร่งขรึมที่ชวนอึดอัดของเขาได้

ฉันเดินไปหยิบแก้วที่มุมห้อง ได้ยินเสียงเพลงเอ่ยขอตัวตามมาอยู่แว่ว ๆ เพียงครู่เดียว เพลงก็เดินมาอยู่ข้าง ๆ ฉัน กระซิบเสียงลอดไรฟันเบา ๆ ว่า “โคตรมาคุเลยว่ะ”

“เออ…พี่เขาโกรธเปล่าวะ”

“ก็สมควรโกรธน่ะ พี่เขาตั้งใจจะกินกับแกคนเดียวนะ”

ฉันกัดฟันอย่างเคยชิน เมื่อรู้สึกไม่มั่นใจในการกระทำของตัวเอง แต่เรื่องเเกิดขึ้นแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ต้องทำคืทำตัวเหมือนปกติ ปล่อยให้กาลเวลามอบคำตอบให้ทุกอย่าง

ฉันยกแก้วน้ำไปวางให้พี่มิคและตัวเอง เพลงเดินตามมานั่งลงข้าง ๆ พี่มิคยังดูนิ่งจนน่ากลัว

เพลงแอบใช้ศอกกระทุ้งแขนฉันเบา ๆ ให้หาทางแก้สถานการณ์ ฉันสูดลมหายใจยาว คีบปลาดิบชิ้นหนึ่งไปจิ้มวาซาบิกิน แล้วบอก
“โห…ปลาสดจัง พี่มิคซื้อร้านไหนคะนี่”

เขาบอกชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ซึ่งฉันเคยอ่านเจอในนิตยสารและเล่าให้เขาฟังว่าอยากไปกิน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเสียที
ถ้าจำไม่ผิด ร้านนั้นตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ไกลจากยิมที่เขาไปและโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่น้อย

ฉันได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ อย่างรู้สึกผิด เขาคงตั้งใจมากที่ไปหาซื้ออาหารพวกนี้มา ฉันกลอกตาไปมาพยายามหาทางออกจากความรู้สึกอึดอัดในใจ แล้วใครจะเหมาะไปกว่ายายเพลงเพื่อนรักล่ะ

“เพลง…เปลี่ยนใจลองชิมน้องมอลไหม” ฉันรู้ว่าเพื่อนรักไม่กินของดิบ และแน่นอนว่าเพื่อนรักส่ายหน้า เบะปากทันที

ฉันแกล้งหัวเราะคิก แล้วหันไปยิ้มกว้างให้พี่มิค “ยายเพลงไม่ชอบปลาดิบล่ะค่ะพี่มิค กลัวอะนิซาคิส(พยาธิในปลาทะเล)ขึ้นสมอง ไปกินกันทีไรหนูเลยจัดน้องมอลเปรมทุกที”

ฉันคีบเนื้อแซลมอลขึ้นมาตรงโบกไปมาตรงหน้าเขา “พี่มิคไม่กลัวอะนิซาคิสใช่ไหมคะ”

พี่มิคมองแล้วยิ้ม บรรยากาศเร่มผ่อนคลายลงเมื่อเขายื่นตะเกียบมาคีบรับแซลมอลที่ฉันโบกอยู่ใบแตะที่วาซาบิ “หนูมายั่วกันอย่างนี้ เดี๋ยวพี่แย่งน้องมอลหมดหรอก”

“ไม่ได้นะ...นี่หนูจอง” ฉันรีบบอกแล้วคีบแซลมอลสองชิ้นมาใส่ถาดหลุมตรงหน้า

“มีตั้งแยะ แกอย่าตะกละนักเลย” เพลงแกล้งดุอย่างไม่จริงจังนัก ฉันเลยได้ทีเบะปากทำงอแง

“พี่มิคดูสิ...เพลงดุหนู”

พี่มิคหัวเราะ “แย่งน้องมอลพี่ไปแล้วยังมางอแง คิดว่าพี่จะเห็นใจเหรอครับ”



คืนนั้นรุ่นพี่หมีป่าใจดี ให้ฉันลงเวรตอนสี่ทุ่ม ทั้งที่ฉันทั้งส่งสายตา ทั้งโอดครวญอ้อนวอนขออยู่ช่วยต่อจนถึงเช้าตามเวลาลงเวร แต่รุ่นพี่คนดีกลับขมวดคิ้วมองดุ

“ไปพักเถอะ ไม่เห็นเหรอว่าเคสหมดกระดานแล้ว”

“เดี๋ยวหนูรอก็ได้ค่ะ เผื่อมีเคสฉุกเฉิน...เอ่อะ...” ฉันรีบยกมือตะครุบปากทันทีเมื่อรุ่นพี่หนุ่มส่งสายตาดุมากับคำพูดเป็นลาง สำหรับนักศึกษาแพทย์อย่างฉันการได้เห็น ได้ช่วยงานต่าง ๆ คือการเรียนรู้ที่ชวนให้กระตือรือร้น แต่สำหรับศัลยแพทย์อย่างพวกรุ่นพี่ นั่นคืองานที่ต้องอดตาหลับขับตานอนมาเข้าเคส “ง่า…ไม่พูดก็ได้”

“น้องกลับไปพักผ่อนเถอะ จะให้ไปนอนกับพวกพี่ในห้องพักเวรมันก็คงไม่ดี” รุ่นพี่หมีป่าบอกอย่างในใจเย็น ฉันจึงได้แต่ก้มหน้ารับคอตกเป็นหมาหงอย

“ก็ได้ค่ะ...ขอบคุณนะคะ”

“เออ…กลับดี ๆ ล่ะ”

ดังนั้นฉันจึงกลับมานั่งให้เพลงได้ซักไซ้ไล่เรียงที่หออยู่ในเวลานี้ เพื่อนรักทำตาดุเมื่อฉันยังปิดปากเงียบเป็นหอยกาบ สุดท้ายเพลงก็วางการ์ตูนในมือลง แล้วหันมานั่งจ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัย

“แกจะพูดดี ๆ หรือพูดด้วยน้ำตา ฮึ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” ฉันลอยหน้าลอยตาบอก

“บ้าเหรอแก ถ้าไม่มีอะไรพี่เขาจะหิ้วข้าวหิ้วน้ำมาฝาก แล้วยังมานั่งรอกินข้าวกับแกอยู่เป็นชั่วโมงทำพรืดทำผืออะไรวะ”

ฉันถอนใจเบา ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ชายแสนดีตามมารยาทสุภาพบุรุษคนหนึ่ง หรือมีเหตุผลใดที่มากกว่านั้น

“ก็บอกแล้วไงว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน”

“นี่…อย่าลอกดารามาตอบ เราเป็นเื่อนแกนะไม่ใช่สื่อมวลชน” เพื่อนรักย่นจมูกใส่ ก่อนจะกลับมาขึงตาดุ “ตอบมาเร็ว ๆ เลย อย่าให้ต้องใช้ไม้แข็งนะ”

ฉันถอนใจหนัก ๆ “แกก็ไปถามพี่เขาสิวะ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“พอเถอะ...เราง่วงแล้ว”

ฉันบอกแล้วทำท่าจะล้มตัวลงนอน เพลงกัดริมฝีปากหรี่ตาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกระโดดเข้ามาตะครุบตัวฉันไว้ เธอใช้นิ้วจี้เอวฉันจนต้องดิ้นไปมาเหมือนปลาถูกทุบ ฉันร้องลั่นดิ้นหนีเป็นพัลวัน แต่ยายเพื่อนตัวดียังไม่ยอมหยุดง่าย ๆ ฉันเลยหันไปจี้เอวเธอบ้าง กลายเป็นสงครามบนเตียงที่กินเวลานานกว่าจะจบลงด้วยเสียงหอบแฮ่กของพวกเราทั้งสองคน

“ไอ้บ้า...” ฉันโวยใส่ หลังหอบหายใจจนพอตั้งตัวได้

“ก็แกอยากไม่บอก”

“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่หว่า” เพราะเขาไม่เคยนิยามความสัมพันธ์ แม้ฉันจะเคยขีดเส้นลงไปแล้ว

เพลงถอนใจยืดยาว ก่อนหันกลับมาจ้องหน้าฉันอีกครั้ง “งั้นไม่ถามก็ได้” ฉันยิ้มกว้าง กำลังจะเนรเทศเพื่อนลงจากเตียง ยายเพลงก็รีบบอก

“เปลี่ยนใหม่ อันนี้แกตอบได้แน่”

ฉันกลอกตา “อะไร”

“แกคิดยังไงกับพี่มิค” สายตาคมดุของเพื่อนมองลึกเข้ามาในตาฉันอย่างพยายามค้นหา

ฉันถอนใจเบา ๆ ตั้งแต่คบหาเป็นรูมเมตกันมาตั้งแต่ปีสี่ เพลงเป็นเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฉันมาโดยตลอด จึงไม่ยากที่ฉันจะตอบตามตรงเมื่อเธอถามคำถามที่ฉันควรต้องตอบได้

“พี่เขาเป็นพี่ที่ดีน่ะ...”

“แค่นั้นอ่ะ” เพลงถามอย่างขัดใจ เมื่อฉันเงียบไปนาน

ฉันไหวไหล่ “ก็แค่นั้น...”

“จริงจัง?”

ฉันพยักหน้ารับ “อือ…พี่เขาเป็นพี่ที่ดี สอนอะไรเราตั้งหลายอย่าง”

“นี่แก...ไม่ชอบพี่เขาบ้างเลยเหรอ” เพลงหรี่ตาอย่างไม่อยากเชื่อ

ฉันนิ่งไปครู่เพื่อทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะถอนใจเบา ๆ “ชอบสิ พี่มิคน่ารักแสนดีออกขนาดนั้น”

เพลงทำหน้าปั้นยาก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คงชินเสียแล้วกับตรรกะแบบแปลก ๆ ตามแบบฉบับของฉัน ฉันจึงได้แต่บอกต่อ “แกคิดว่าคนที่ผ่านมาเจอกันในช่วงเวลาหนึ่ง จะติดต่อใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้ได้นานแค่ไหนวะ วันหนึ่งเขาก็กลับโรงพยาบาลเขา เราก็อยู่ของเรา แล้วก็คงจะห่าง ๆ กันไป...เราไม่ชอบเลย เวลาที่คนที่เราถูกใจ คบหาสนิทสนมด้วยจะหล่นหายไปจากชีวิตน่ะ”

หน้าของเพลงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เวลานี้เหมือนคนเห็นสัตว์ประหลาดสามหัวมายืนตรงหน้าขึ้นทุกที แล้วเธอก็ถาม เมื่อฉันไม่พูดต่อ “แล้วยังไงวะ ถ้าแกกลัวเขาจะหายไป ก็คว้าเขาไว้แน่น ๆ ชัดเจนไปเลยดิว่าแกอยากให้เขาอยู่ข้าง ๆ ”

ฉันหัวเราะกับความคิดของเพื่อน “เพลง…การเก็บใครบางคนไว้ในชีวิต ไม่จำเป็นต้องอยู่ในฐานะคนรัก เราเป็นลูกคนเดียว เราอยากมีพี่ชาย เราอยากให้พี่มิคเป็นพี่ชายเรา”

“เฮ่ย…ใจร้ายว่ะ แล้วถ้าพี่มิคไม่อยากเป็นล่ะ”

“ก็…ไม่รู้สิ” ฉันถอนใจพลางไหวไหล่ด้วยความเคยชิน “แต่ว่านะ...พี่มิคกับเราน่ะ ไม่เหมาะจะเป็นคนรักกันหรอก เป็นพี่เป็นน้องแบบนี้ดีกว่า เราอยากได้คนที่เราจะอ้อนได้ไปนาน ๆ ไม่ใช่ความรักที่มันหวือหวาแค่เวลาเริ่มต้น แต่เราอยากได้ความอบอุ่นที่คงอยู่นาน ๆ ”

เพลงนิ่งไปนาน ก่อนจะถอนใจ เดินกลับไปหยิบการ์ตูนที่เตียงตัวเอง “งงว่ะ...บอกเลยว่าตรรกะแกมันพิลึกมากโดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ อะไรชีวิตมันจะต้องซับซ้อนขนาดนั้น”

“จริง ๆ ก็ไม่ซับซ้อนนะ...ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่” ฉันหัวเราะ “ก็เท่านั้นเอง”

“ใจร้ายว่ะ”

“เราไม่อยากเป็นคนใจดีที่ต้องเจ็บทีหลังหรือเผลอทำให้ใครเจ็บเมื่อก้าวไปไกลเกินน่ะ”


-----
สวัสดีวันแรงงานค่ะ บทนี้มีใครโกรธ 'ฉัน' กันบ้างไหมคะ??? นิยามความรักแบบแปลกๆของเธอ น่าตีไหมคะ
แต่ที่รู้ ๆ ยายเพลงอยากตีก้นเพื่อนไม่น้อยเลยค่ะ

คุณหมีสีชมพู : แหม...มีแต่คนสงสารพี่มิค

คุณ kraten : นั่นสิคะ พี่มิคน่าสงสาร

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ : แหะ ๆ ก็...นิดหน่อยน่ะค่ะ

คุณ ใบบัวน่ารัก : จริง ๆ ห่างกันไม่มากนะคะ สัก 5 ปีได้ ชีฟเรสิเดนท์กับเอ็กซ์เทิร์น แต่ที่ใช้หนูเพราะ 'ฉัน' ในเรื่องแทนตัวเองแบบน้ตลอดกับคนที่แก่กว่า ส่วนพี่มิคก็...นั่นสิคะ...แต่ปกติไม่ใช้หนูก็ใช้น้อง แต่ก็ไม่ค่อยเรียกชื่อกันเลย เอ...หรือพี่มิคคิดจะหลอกเด็กจริง ๆ นะ!!!

คุณ mhengjhy : ยั้ง....ทันไหมคะ

คุณ pkka : ภาพตอนผ่าหรือภาพตอนไหนคะ

คุณ คิมหันตุ์ : มีแต่คนสงสารพี่มิคอีกแล้ว -*-

คุณ goldensun : จริงค่ะ ฉันรักการผ่าตัดมาก ^^ สงสารพี่มิคอีกคนแล้วใช่ไหมคะ

----

วันนี้หอบ 'วันอยากเขียน ฉบับที่ 1' มาฝากกันค่ะ แปะไว้ที่เมพ(meb)เช่นเดิม
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=13005

ฝากติดตาม เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ^^

ด้วยรักและคิดถึง



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2557, 15:17:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ค. 2557, 15:17:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1647





<< ...บางตอนของความฝันอันแสนหวาน(2)...   ...บางตอนของความฝันอันแสนหวาน(end)... >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 1 พ.ค. 2557, 15:35:55 น.
สงสาร ฉัน มากกว่าคะ
คนที่กลัวที่จะรัก กลัวที่จะเลิก บางทีมันก็ดี มันเป็นการป้องกันตัวและหัวใจที่ดีวิธีหนึ่ง แต่บางที มันก็อาจจะไม่ดี เพราะเราไม่รู้เลยว่า ที่เรากลัวอยู่นั้น จริงๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่เราอาจจะได้เจอก็เป็นได้ สงสารรรรจัง
เค้าเป็นคนไม่กลัวเจ็บคะ ยอมเจ็บ ขอเพียงแค่ได้รู้ ได้พิสูจน์ คนเรา ถ้าเค้าจะผ่านมา แล้วผ่านไป ก็ต้องปล่อย อย่างน้อยเราก็ไม่เคยเสียใจ อย่างน้อยเราก็ได้พิสูจน์แล้ว ได้รักแล้วเจ็บ มันก็คงไม่ต่างกับ เจ็บเพราะไม่ได้รัก (ความคิดเค้าเองนะ) ^^


ใบบัวน่ารัก 1 พ.ค. 2557, 15:41:18 น.
คนที่คิดว่าจะให้เป็นพี่ชาย
เค้าคงไม่คิดเหมือนหนูหรอกนะ


kraten 1 พ.ค. 2557, 17:22:38 น.
เข้าใจ "ฉัน"นะ เพราะเคยทำอย่างเดียวกัน โดยไม่รู้ตัว นึกขึ้นได้... ตายแล้ว! บาปชมัด!


grazioso 1 พ.ค. 2557, 18:26:59 น.
รอลุ้นต่อไปค่าาาา เป็นกำลังใจให้พี่เสมอนะคะ :)


pkka 1 พ.ค. 2557, 20:07:47 น.
สงสารพี่มิคเลยนะ หึๆ


goldensun 1 พ.ค. 2557, 20:51:46 น.
ฉันน่าสงสารนะ กลัวความผูกพัน เลยตั้งเกราะ แต่ก็ยังรู้ถึงความรู้สึกของพี่มิค เลยยิ่งรู้สึกไม่ดี
กลัวไปก่อนแบบนี้ จะพลาดโอกาสดีๆที่ผ่านเข้ามาได้นะคะ
แต่ถึงจะคั่นไว้แค่พี่ชาย แต่ก็คือความผูกพันนะคะ


คิมหันตุ์ 1 พ.ค. 2557, 23:15:56 น.
โห่.........รีบตัดไฟตั้งแต่จุดไม้ขีดเลยอ่ะ โหดมาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account