^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: ...บางตอนของความฝันอันแสนหวาน(end)...

ครบเดือน พี่มิคก็กลับโรงพยาบาลเดิมที่เขาอยู่ แต่ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้จบลงแค่นั้น เขายังส่งข้อความมาคุยกับฉันอย่างสม่ำเสมอ และฉันก็ยังไม่หยุดที่จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตให้เขาร่วมรับรู้ คล้ายจะเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่แต่ละวันฉันจะมีเคสที่น่าสนใจมาเล่าอยู่เสมอ ส่วนเขาก็เล่าถึงเรื่องเปิ่น ๆ ของรุ่นน้องบ้าง กรณีศึกษาของผู้ป่วยบ้างให้ฉันร่วมพูดคุย หรือบางคราว เขาก็สอนผ่านข้อความนั่นล่ะ

‘มีดบาด...’ เขาส่งข้อความมาบอก ทำให้ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

‘ที่ไหนคะ’

‘มือ’ เขาถ่ายภาพแผลส่งมาให้ดู ‘ทำแผลให้พี่หน่อยนะครับ’

ฉันอมยิ้ม คิดภาพเรสิเดนท์ปีศาจของบรรดาเอ็กซ์เทิร์นทำหน้าออดอ้อนตาใส ขอให้เอ็กซ์เทิร์นตัวน้อยอย่างฉันทำแผลให้

‘โหย…มา er สิคะ เดี๋ยวหนูทำแผลให้’ ฉันส่งภาพตัวการ์ตูนแลบลิ้นใส่เขา

‘แล้วนี่...ไปโดนมีดที่ไหนบาดมาคะ’

‘ก็…แถวนี้...’

‘ในโออาร์ ?’ ฉันซักด้วยความกังวลมากขึ้น เพราะการที่บุคคลากรทางการแพทย์ถูกของมีคมบาดขณะทำการรักษาผู้ป่วย ถือเป็นเรื่องที่อันตรายไม่น้อยเลย

‘เปล่า ที่บ้านพักครับ’ เขายอมตอบในที่สุด

‘กลัวพี่ต้องกิน arv เหรอ’ เขาหมายถึงยาต้านไวรัส

‘ค่ะ’ ฉันตอบอย่างจริงจัง ‘ยายเพลงเคยโดนเข็มตำ ต้องกินยาอยู่เป็นเดือน อ้วกแตกแทบแย่น่ะค่ะ’

‘อ่อ…พอดีพี่ปอกมะม่วง กำลังง่วง ๆ เลยเผลอทำบาดมือน่ะ’

ฉันค่อยถอนใจอย่างโล่งอก ‘แล้วไปค่ะ แล้วนี่ทำแผลแล้วใช่ไหมคะ’

‘ยัง ก็รอหนูมาทำให้ไงคะ’

ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงไหม แต่ฉันอดจะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้กับนิสัยร้ายกาจของผู้ชายคนนี้ เท่าที่รู้จักกันมาเดือนกว่า เขาไม่ใช่คนละเลยตนเอง การไปออกกำลังกายที่ยิมอย่างสม่ำเสมอ เฟ้นหาอาหารดี ๆ ตามใจปากท้อง บอกว่าเขาดูแลตนเองเป็นอย่างดี แต่เขาคิดจะงอแงให้ฉันทำแผลเพื่ออะไร เมื่อเราอยู่ไกลกันกว่า 200 กิโลเมตร

ฉันกดโทรศัพท์หาเขาในทันที ปลายสายกดรับด้วยความรวดเร็ว “ว่าไงครับ...”

“พี่มิคไปทำแผลหรือยังคะ” เสียงฉันคงดุจนเขาเงียบไปครู่

“เป็นห่วงพี่เหรอ”

“ใช่ค่ะ” ฉันตอบรับเต็มปากเต็มคำ “พี่มิคต้องไปทำแผล แล้วอย่าลืมฉีดบาดทะยักด้วยนะคะ นี่ฉีดบาดทะยักครั้งสุดท้ายเมื่อไรคะ”

“สามปีแล้วมั้ง” เขาตอบกลั้วหัวเราะ “พี่กำลังทำแผลอยู่ครับ ใจเย็นลงหรือยัง”

“ค่ะ…” ฉันตอบอ้อมแอ้ม เขารู้ทันว่าฉันหงุดหงิดกับการเรียกร้องความสนใจแบบเด็ก ๆ ของเขา “อย่าลืมกินยาด้วยนะคะ”

“ครับ...ถ้าห่วงขนาดนี้ มาดูแลพี่ที่นี่เลยดีไหม”

“พี่มิค...ไม่ตลกนะคะ แผลที่ส่งมาน่ะดูใหญ่ออก”

“อ๋อ…พี่ใช้มุมกล้องน่ะ ไม่อย่างนั้นจะรู้เหรอว่าหนูก็เป็นห่วงพี่”

ฉันนิ่งไปครู่ ก่อนถอนใจเบา ๆ “ก็ต้องห่วงสิคะ...พี่ชายหนูทั้งคนนะ”

อีกสาเหตุที่ทำให้ฉันซีเรียสกับเรื่องนี้มาก เพราะรู้ดีว่ามือของศัลยแพทย์ ปลายนิ้วทุกนิ้วมีความสำคัญยิ่งเมื่อจับและควบคุมเครื่องมือผ่าตัด

“ครับ…น้องสาวคนดี” เขาทอดเสียง ติดจะถอนใจเบา ๆ “จะเป็นน้องพี่จริง ๆ อ่ะ”

“อ้าว…” ฉันหลุดอุทาน “พี่มิคไม่อยากมีน้องอย่างหนูเหรอ”

“ตอนแรกก็ไม่อยาก...แต่ตอนนี้” เขาหยุดคำพูดไปดื้อ ๆ ปล่อยให้ฉันนั่งลุ้นรอคอยคำตอบจนแทบลืมหายใจ “ก็แล้วแต่หนูสิคะ”

ความรู้สึกฉันเหมือนถูกจับถ่วงออกไปนอนโลกแล้วลากดึงกลับเข้าไปในหลุมดำ ก่อนจุถูกอัดเข้าไปในห้วงอวกาศที่แปลกประหลาดจนยากจะอธิบายได้ มันอื้อ มันมึน มันชาไปตั้งแต่สมองจนถึงในหัวใจที่เต้นรัวราวจะกระโดดออกมา ฉันไม่แน่ใจในความหมายของเขา และที่ไม่แน่ใจยิ่งกว่า คือความรู้สึกของตัวฉันเอง

“พี่มิค...”

“ครับ…” เขาทอดเสียงนุ่ม “พี่เป็นคนเลี้ยงง่าย หนูอยากให้พี่เป็นอะไร พี่ก็จะเป็นอย่างนั้น”

ฉันสูดลมหายใจยาว เรียกสติให้ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความไม่มั่นใจบางอย่างทำให้กำแพงบาง ๆ ที่ฉันสร้างขึ้นกั้นกลางระหว่างความสัมพันธ์เริ่มสลาย ฉันกำลังกลัว...ที่จะเสียเขาไป

“ทำแผลเสร็จหรือยังคะ”

“กำลังปิดพลาสเตอร์ครับ ปิดเองไม่ถนัดเลย”

“อย่างนั้น...หนูไม่กวนล่ะค่ะ ไว้ค่อยคุยกันนะคะ” ฉันบอก ก่อนจะตัดสัญญาณการติดต่อลง เพื่อหยิบโทรศัพท์มานั่งจ้องราวมันเป็นของประหลาด

ที่ประหลาดกว่าโทรศัพท์คงเป็นความรู้สึกของฉัน ที่พยายามขีดเส้นใต้ความสัมพันธ์ในระดับพี่น้องมาตั้งแต่แรก วันนี้อาจเป็นครั้งแรกที่พี่มิคทำให้ฉันรู้สึก...ใจสั่น...

ว่ากันว่านั่นเป็นอาการหนึ่งของความรัก แต่ฉันไม่เคยนึกอยากเชื่อ

เพราะที่รุนแรงกว่าคือความกลัว...ฉันกลัว เขาจะทนไม่ได้และเดินหนีไป



ฉันนอนอยู่นานเท่าไรไม่รู้ แสงแดดเริ่มจางลงจนห้องเริ่มมืด เพลงเปิดประตูเข้ามา เปิดไฟทำให้ฉันต้องพลิกตัวหนีแสงจัดจ้าที่สาดเข้ามาในตาโดยไม่ทันตั้งตัว

“อ้าว…” เพื่อนรักอุทานเสียงดัง “มานอนเป็นซากอยู่นี่เอง วันนี้เลิกเร็วเหรอ”

“อือ…ราว์นเช้าเสร็จตอนบ่าย เลยราว์นเย็นต่อแล้วรีบหนีกลับมานอน” การราว์นเช้าแล้วต่อด้วยราว์นเย็นถือเป็นหนึ่งในเรื่องธรรมดาสามัญของวอร์ดอายุรกรรม เพลงจึงพยักหน้ารับอย่างไม่แปลกใจนัก

เพลงเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า ขณะที่ฉันถอนใจเบา ๆ ยกมือก่ายหน้าผาก ยังคงสับสนกับควมรู้สึกบางอย่างที่ค้างอยู่ตั้งแต่วางโทรศัพท์จากพี่มิค

“เพลง…”

“หืม…”

“แกว่า...พี่มิคเป็นไงอ่ะ” ฉันอดถามไม่ได้จริง ๆ

เพื่อนรักเงียบไปครู่ ก่อนบอก “ก็ดีนี่...สอนดี ใจดี ใส่ใจดูแลคนไข้ ที่สำคัญ...เขาใส่ใจแกมาก”

“วันนั้น...ที่เราให้แกลงไป มันไม่เหมาะสมใช่ไหม”

เพลงเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ชันคอเท้าคางจ้องหน้าฉันอย่างค้นหา “มันอยู่ที่ว่า...แกมองความเหมาะสมในแง่ไหน”

“ถ้าเขากับแกบริสุทธิ์ใจจะคบกัน...จะกินกันสองคนหรือสามคนมันก็ไม่มีคำว่าไม่เหมาะสมหรอก แต่ถ้าความสัมพันธ์มันเดินออกนอกวามบริสุทธิ์ใจแบบนั้นแล้ว...มันก็ต้องมีขอบเขตของความเหมาะสม”

ฉันถอนใจด้วยความเข้าใจ ขอบเขตของความเหมาะสมที่เพลงว่า มันอยู่ที่ความคิดของเขาและฉันนั่นล่ะ เวลานั้น ฉันคิดถึงแต่สายตาและความเข้าใจของคนนอกที่อาจเห็นภาพเขากับฉันนั่งกินข้าวด้วยกัน จึงลากเพลงมาเพื่อลบภาพความไม่เหมาะสมในใจฉัน

แต่ฉัน...ไม่เคยมองหาความเหมาะสมในใจเขาเลย

“เรา…นิสัยเสียมากใช่ไหม” ฉันอดถามเบา ๆ ไม่ได้

เพลงพยักหน้ารับทันทีอย่างไม่ถนอมน้ำใจ “ใช่…แกคิดแต่จะปกป้องตัวเอง แต่ไม่เคยมองคนอื่นเลย”

“เรามองแกนะ” ฉันบ่นอุบอิบ

เพลงย่นจมูกใส่ “ใช่สิ ก็เราเป็นเพื่อนแกนี่ถ้าไม่มองความรู้สึกของเรา เราจะทุบหัวแกให้แบะเลย แต่กับคนอื่นน่ะ...คนที่อยากเดินเข้ามาหาแก แกเคยมอง เคยให้โอกาสเขาไหมวะ”

“ก็ถ้า...ไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่ ทำไมเราต้องให้โอกาสคนที่เราคิดว่าไม่ใช่ด้วยล่ะ” ฉันยังยืนยันตรรกะเดิม ฉันมีเส้นขีดกั้นของความสัมพันธ์ และไม่เคยปล่อยให้ใครข้ามเส้นนั้นมาได้

“แกไม่ให้โอกาสเขาพัฒนาความสัมพันธ์ในแบบของเขา แต่ปล่อยให้เขามีความหวังแล้วเดินมาใกล้ในแบบที่แกอยากให้เป็น แบบนี้มันเรียกว่าเห็นแก่ตัว” เพลงขึงตาดุ จ้องหน้าฉัน ยกมือชี้ปากตัวเอง “ฟังดี ๆ ชัด ๆ นะ…เห็น แก่ ตัว”

อา…เพื่อนที่รักของฉันช่างรักเพื่อนเสียเหลือเกิน นอกจากจะไม่ปลอบ ไม่ช่วยอะไรแล้ว ยายเพลงยังถีบฉันลงเหวได้หน้าตาเฉย

“ใจร้าย…” ฉันได้แต่บ่นงึมงำกับตัวเอง เมื่อยายเพื่อนตัวแสบดุเสร็จก็รีบจรลีไปแต่งตัว ระริกระรี้เตรียมหนีไปกินข้าวข้างนอก

ฉันยันตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกโหวง ๆ ประหลาดในใจ แล้วรีบแต่งตัวตามเพลงออกไปกินข้าวด้วย

คืนนั้นฉันส่งข้อความไปบอกราตรีสวัสดิ์กับเขาเหมือนที่เคยทำ

เพียงไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันกดรับสายเพื่อจะได้ยินเสียงเขาเอ่ยถามเบา ๆ “จะนอนแล้วหรือ”

“ค่ะ…”

“อย่างนั้นก็...ฝันดีนะครับ น้องน้อยของพี่”

ฉันอาจสับสนมาหลายชั่วโมง แต่ด้วยน้ำเสียงที่ทอดลงอย่างอ่อนโยนของเขา และถ้อยคำของเขาทำให้ฉันตัดสินใจได้ในที่สุด
เมื่อเขายอมรับที่จะเป็นเช่นที่ฉันอยากให้เป็น...จะต้องกังวลอะไรอีกล่ะ



เวรห้องฉุกเฉินเป็นหนึ่งในเรื่องน่าเบื่อและน่าตื่นเต้นพอ ๆ กัน เมื่อผู้ป่วยที่เข้ามามีทั้งอาการหนักจนทุกคนในห้องต้องวุ่นวายเข้ามาตรวจสอบดูแล ไปจนถึงอาการทั่วไปแต่ยังโวยวายจนน่ารำคาญ อย่างคนเมาที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่ขณะนี้

“ลืมตาก่อนนะคะ...” ฉันบอกเมื่อใช้ไฟฉายส่องดูรูม่านตาของผู้ป่วย

กู้ภัยเพิ่งนำผู้ป่วยรายนี้มาส่ง พร้อมประวัติว่าพบหมดสตคารถจักรยานยนตร์อยู่ข้างทาง จากกลิ่นละมุดเน่าที่ลอยคลุ้งและท่าทางเหมือนพร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อ ต่อให้เด็กอนุบาลมาเห็นก็คงรู้ว่าเขากำลังเมา ร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงจึงบิดตัวไปมาพลิกหนีแสงไฟ พร้อมโวยวาย

“โว้ย…อย่ายุ่ง คนจะนอน”

พยาบาลช่วยจับขนเขามัดไว้ ไม่ให้ดิ้นจนตกเตียงหรือยกมือไม้มาทำอันตรายคนรอบข้าง ฉันใช้สองนิ้วเปิดเปลือกตา ส่องไฟดูรูม่านตาอย่างรวดเร็ว แต่คนเมาฤทธิ์มาก ส่ายหน้าไปมาแล้วโวยวายจนกลิ่นละมุดลอยคลุ้งชวนปวดหัว

“โว้ย…บอกว่าอย่ามายุ่ง”

ฉันกลอกตาไปมา กลิ่นละมุดที่น่ารำคาญหรือเพราะงานที่หนักมาทั้งวันทำให้การยับยั้งชั่งใจของฉันต่ำกว่าปกติ ฉันปิดไฟฉาย เลิกใส่ใจ เดินตรงไปที่เคาท์เตอร์เขียนใบขอเอ็กซเรย์สมองแนบกับแฟ้มประวัติผู้ป่วย เพียงไม่นานพยาบาลก็เรียกพี่เปลมาเข็น ระหว่างนั้นเองที่คนเมาลุกขึ้นมาจากเตียงทั้งที่แขนยังถูกมัด แหกปากโวยวายลั่นห้อง

“โว้ย….ปล่อยกู ไอ้สัด กูจะนอน อย่ามายุ่ง” พี่เปลรีบยันผู้ป่วยให้ลงนอนตามเดิม พยาบาลหันมามองหน้าฉัน

“แวเลี่ยม 1 แอมป์ค่ะ” ฉันสั่งยานอนหลับแบบฉีดพลางถอนใจ เดินตรงไปดูอาการผู้ป่วย ฝ่ายนั้นหันมาขึงตาใส่ฉัน

“บอกว่าอย่ายุ่ง กูจะนอน”

“ก็นอนสิวะ ดิ้นทำไม...ทีหลังไม่อยากให้ยุ่งก็อย่าเมาเป๋ไปข้างทางสิวะ เกรงใจกู้ภัย เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง” ฉันหลุดปากอย่างอดไม่ไหว แล้วทุกสายตาในห้องฉุกเฉินก็เลื่อนมาหยุดที่ฉันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนเมาตัวต้นเรื่องชิงหลับไปเรียบร้อยคาเข็มยานอนหลับนั่นล่ะ

“เอ่อ…หมอโหดจัง” พี่พยาบาลคนสวยบอกพลางหัวเราะ

“ก็มันน่าไหมพี่ เขารณรงค์กันโครม ๆ ว่าเมาไม่ขับ บอกเลย...พวกเมาแล้วขับมานี่ หมอไม่ทำตัวเป็นนางฟ้าใจดีจ๊ะจ๋าหรอก ทำร้ายตัวเองกันทั้งนั้น”

“โหดจริงเว้ย...” เสียงทุ้มลอยมาจากด้านหลังทำให้ฉันชะงักปาก หันไปมอง

รุ่นพี่หมีป่าที่เคยเข้าเวรห้องผ่าตัดกับฉันยืนกอดอกมองอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นฉันมองหน้า เขาก็ยักคิ้วให้

“ไง…เวรเหรอ”

“ค่ะ…” ฉันเอ่ยรับ “พี่เวรศัลย์เหรอคะ”

“เออ…มีเคสไหม”

“ตอนนี้ยังค่ะ และขอร้องเลยว่าอย่ากวักมานะคะ วันนี้หนูยุ่งมามากพอแล้ว” ฉันบอกแล้วรีบเดินไปนั่งที่เคาท์เตอร์ เขียนคำสั่งการรักษาผู้ป่วยที่เตรียมจะรับไว้ในโรงพยาบาล

“เคสไหนนี่...”

“ฮาร์ทเฟลตรงโน้นค่ะ เข้าเมด” ฉันหมายถึงผู้ป่วยหัวใจวาย ซึ่งกำลังจะแอดมิดในวอร์ดอายุรกรรม

“ออ…เดี๋ยวพี่เขียนแอดมิดคนเมานั่นให้ ยังไงก็เอาไปนอนดูอาการสักคืนละกัน”

“ขอบคุณค่ะ” ฉันบอก ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

เพียงไม่นานห้องฉุกเฉินก็เริ่มว่าง รุ่นพี่หมีป่านั่งแกว่งขาเล่นอยู่บนเตียงเย็บแผล ขณะที่ฉันทำหน้าเบื่อโลกอยู่ที่คอมพิวเตอร์กลางห้อง

เสียงลากเก้าอี้แกรกทำให้ฉันเงยหน้ามอง รุ่นพี่หมีป่าเดินมานั่งข้าง ๆ ฉัน ท่าทางกลอกตาไปมาของเขาทำให้ฉันหรี่ตามองอย่างประหลาดใจ “พี่มีอะไรจะใช้หนูไหมคะ”

“ไปซื้อเหล้าให้หน่อยดิ” เสียงทุ้มหลุดคำทันที ทำฉันอ้าปากค้าง จ้องหน้าเขาตาเขม็ง

ก่อนที่หมีป่าตัวโตจะหลุดหัวเราะ แล้วรีบบอก “เฮ่ย…ล้อเล่น ก็เห็นถาม นึกว่าใช้ได้”

“เหอะ…ถ้าพี่ไม่กลัวหนูเอาเหล้าที่ซื้อมามาฟาดหัวพี่ จะลองใช้ดูก็ได้ค่ะ” ฉันแยกเขี้ยวขู่

รุ่นพี่หนุ่มหัวเราะ “โหดจริงวุ้ย...สมเป็นเด็กศัลยกรรม”

“หนูจะถือเป็นคำชมแล้วกันนะคะ”

“เออ…ก็ชมดิ”

ฉันถอนใจ ไม่ค่อยมั่นใจรสนิยมเรสิเดนท์ศัลยกรรม ชมผู้หญิงแบบนี้นี่ “ต้องเขินไหมคะนี่”

“อย่าเลย...มันคงดูพิลึก” ฉันหลุดปากถาม เขาก็หลุดปากตอบตามตรงเช่นกัน

เรานั่งเล่นกันอยู่ครู่ ก่อนที่ผู้ป่วยจะถูกเข็นเข้ามา เขาช่วยฉันดูเคสศัลยกรรมจนกระทั่งฉันลงเวรตอนเที่ยงคืน

ฝนตกหนักเหมือนจะแกล้งกัน ฉันยืนอยู่หน้าอาคาร มองสายฝนโปรยแล้วหาทางกลับหอพักที่จะไม่ต้องเดินกลางแจ้ง แต่ก็ไม่เห็นสักทาง ขณะกำลังตัดสินใจจะฝ่าสายฝนไป รุ่นพี่ตัวโตก็เดินมาข้าง ๆ พร้อมร่มคันใหญ่

“พี่จะกลับไปเอาของที่หอ”

“แปลว่าหนูเกาะไปด้วยได้ใช่ป่ะคะ” ฉันหันไปทำหน้าซื่อตาใสมองเขา

“ก็ตามมา” เขาถือร่มให้ฉันเดินหลบฝนไปข้าง ๆ จนถึงหอพัก รุ่นพี่หุบร่มสะบัดน้ำฝนออก ก่อนจะตากไว้ที่หน้าหอพัก ขณะที่ฉันเอ่ยขอบคุณเบา ๆ แล้วรีบวิ่งไปกดลิฟต์

ลิฟต์เปิดออก ฉันเดินเข้าไป กดปุ่มรอจนเขาเดินเข้ามา ประตูลิฟต์ปิดลง เขากดปุ่มหมายเลข 9 ขณะที่ฉันพักอยู่ชั้น 7 เราเงียบกันไปครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำ

“ได้ยินว่าพี่มิคจะแต่งงาน”

ฉันไม่ปฏิเสธว่าหัวใจกระตุกไปวูบ ก่อนจะเงยหน้ามองเขา “เหรอคะ?”

“เขาไม่ได้บอกน้องเหรอ”

ฉันหัวเราะ “ไม่ได้บอกค่ะ...สงสัยกลัวหนูล้อเรื่องพี่สะใภ้แน่ ๆ”

ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้น 7 ฉันยกมือไหว้ลาและเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากมา

เพลงยังไม่นอนเมื่อฉันไขประตูเข้าไป ในมือเพื่อนรักยังมีการ์ตูนเรื่องโปรดที่เธอยังอ่านไม่จบ ปกติฉันคงจะบ่นเบา ๆ และเตือนเพื่อนให้นอนพัก แต่นี่เป็นภาวะผิดปกติ ในหัวใจของฉันเอง

มันเป็นความผิดหวังหรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ แต่คล้ายบางอย่างที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรถามอะไร

ฉันคว้าผ้าเช็ดตัว เดินเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงออกมานอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง ก่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มา กดส่งข้อความหาพี่มิค

‘ได้ยินว่าพี่กำลังจะแต่งงาน ไม่เห็นแนะนำว่าที่พี่สะใภ้ให้หนูรู้จักเลย’ แล้วฉันก็ส่งภาพตัวการ์ตูนทำหน้างอนจัดไปให้
หน้าจอบอกว่าเขาเห็นข้อความแล้ว แต่ยังไม่มีคำตอบ

รุ่งเช้านั่นล่ะ ฉันจึงได้เห็น ว่าที่พี่สะใภ้ของฉัน

พี่มิคส่งภาพพรีเวดดิ้งที่เขาถ่ายคู่กับว่าที่เจ้าสาวของเขามาให้ในโปรแกรมสนทนา ฉันหัวเราะคล้ายคนบ้าจนเพลงหันมามองแล้วรีบวิ่งมาดู

เพลงอ้าปากค้างจนฉันต้องดันกรามเธอกลับเมื่อเห็นภาพ

“แก…จริงจัง...”

“จริงจังดิ...นี่พรีเวดดิ้งแล้วนะ” ฉันตอบกลั้วหัวเราะ “สวยเนอะ”

“แก…ไม่เป็นไรนะ” เพลงอ้าแขนกอดฉันไว้แน่น ขณะที่ฉันรีบยันเพื่อนออกห่างก่อนที่เธอจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

“เดี๋ยว ๆ แก ใจเย็น เราไม่เป็นไร” ฉันตอบได้ชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “มันสวยงามอย่างที่เราต้องการแล้วไง เพลง”

เพลงนิ่งไปครู่ ก่อนจะถอนใจเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับ “แกแน่ใจนะว่าแกต้องการแบบนี้จริง ๆ ”

ฉันยิ้มตอบ “อืม…ความรักน่ะ มันไม่สำคัญเท่าความผูกพันหรอกนะ”

“นางเอกว่ะ...” เพลงเบะปาก

“เออสิ...” ฉันหัวเราะ ค่อยรัวนิ้วกดส่งข้อความไปหาพี่ชายต่างสายเลือด

‘สวยจังค่ะ ฝากสวัสดีพี่สะใภ้หนูด้วยนะคะ’

‘…ว่าแต่...บุฟเฟต์ โต๊ะจีน หรือคอกเทลคะ หนูจะได้ล้างท้องไปถูก’

เพียงไม่นานเขาก็ตอบกลับ ‘คอกเทลครับ หนูไม่ชอบแน่เลย’

‘ใช่ค่ะ...กินไม่อิ่ม’

‘งั้นวันหลังพี่ค่อยพาไปเลี้ยงต่างหาก’

‘พาพี่สะใภ้ไปให้หนูรู้จักด้วยนะคะ’ ฉันพิมพ์ตอบไปในทันที

‘อือ…แต่อย่าลืมของขวัญวันแต่งงานพี่ล่ะ’ เขาทวงกันดื้อ ๆ

ฉันอ้าปากค้าง นิ่งไปครู่เพื่อเรียบเรียงความคิดของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง

‘งกจังเลยนะคะ พี่ชาย’

บางครั้งในความสัมพันธ์ที่ผ่านเข้ามามากมาย เรื่องราวนับร้อยพันเกิดขึ้นเพื่อจะจบลง

ผู้คนนับหมื่นแสน ผ่านมาเพื่อจะผ่านไป

แต่อาจมีบางคนที่ผ่านมา...และเราไม่อยากปล่อยให้ผ่านไป ความผูกพันค่อยถักทอผ่านเรื่องราวต่าง ๆ สร้างเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะให้คำนิยาม และบางครั้งก็ยากจะรู้ว่ามันจะไปจบลงที่ใด

เพราะอย่างนั้น ฉันจึงอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะขีดเส้นบาง ๆ มากางกั้น ไม่ให้ความสัมพันธ์บางอย่างทำร้ายตัวเองหรือใครอื่น
แต่บางครั้ง...เส้นบาง ๆ นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของความเห็นแก่ตัว

เมื่อฉันสร้างมันขึ้น...เพื่อความชอบธรรมที่จะเก็บเขาเอาไว้ ไม่ให้หล่นหายไปกับช่วงเวลาในชีวิต


ฉันไม่รู้...ว่ามันผิดหรือถูก แต่ฉันก็ยังคงทำเช่นนี้
ครั้งแล้วครั้งเล่า...

หรือบางที...มันอาจเป็นสัญชาตญาณ การยอมรับความจริง...
ว่าความรัก...ไม่เคยต้องการฉัน!!!

อย่างนั้น ฉันก็ขอเห็นแก่ตัว กอดเก็บความผูกพันเอาไว้ ไม่ว่ามันจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม

-----
สวัสดีค่ะ บทนี้...อึน...สมชื่อตอนไหมคะ ไอซ์ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ออกมาไม่หวานนัก เพราะความจริงไม่ได้หวาน แต่งดงามมากค่ะ

หลายท่านอาจตกใจว่าทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้ ไอซ์เชื่อว่า 'ฉัน' ในเรื่องเองก็ตกใจไม่ต่างกันค่ะ
บางครั้ง...ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ก็ไม่ต้องนิยามด้วยความรักเสมอไปใช่ไหมคะ

ps. สารภาพว่าเรื่องนี้ based on true story เพราะฉะนั้น...ไอซ์ไม่ได้แปลความคิด ความรู้สึก การกระทำของพี่มิค เพราะไอซ์ไม่เคยรู้ ไม่เคยถาม และไม่คิดจะหาคำตอบ แต่ไอซ์รู้แค่ว่า ทุกวันนี้... 'ฉัน' กับพี่มิค เป็นพี่น้องต่างสายเลือดที่แม้จะห่างกันแค่ไหน แต่ก็โคจรกลับมาพบกันด้วยคำว่าพี่ชาย กับน้องสาวตัวน้อยได้อยู่เสมอ

ps.2 ขอบคุณ 'ฉัน' 'พี่มิค' และรุ่นพี่หมีป่า ^^ ถ้าใครผ่านมาอ่านเจอ ก็อย่าโกรธอย่างอน อย่าเคืองกันนะคร้า...เขียนเอามันส์เพื่อความบันเทิงจริง ๆ มิได้มีเจตนาจะแกล้งใครเลยค่าาาา

-----

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ : คุณเข้มแข็งมากค่ะ แต่ 'ฉัน' เป็นคนขี้กลัวน่ะค่ะ

คุณใบบัวน่ารัก : หนูก็ไม่แน่ใจ...ว่าเขาคิดอย่างไรค่ะ

คุณ kraten : บาปจริง ๆ ด้วยค่ะ

คุณ grazioso : ขอบคุณนะคะ

คุณ pkka : แล้วบทนี้สงสารใครเอ่ย

คุณ goldensun : ฉันเป็นพวกเชื่อในความผูกพันมากกว่าความรักค่ะ

คุณ คิมหันตุ์ : โหย...เปรียบเสียไอซ์รู้สึกผิดเลยค่ะ




ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ค. 2557, 17:11:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2557, 17:11:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1933





<< ...บางตอนของความฝันอันแสนหวาน(3)...   ~เจ้าชาย...กับแม่มด(1)~ >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 5 พ.ค. 2557, 18:50:34 น.
อื้อออ ในความจริง ชีวิตมันก็คงจะไม่ชัดเจนแบบนี้แหละใช่ไหมคะ
มันถึงได้มีเรื่องราว โศกนาฏกรรมความรักกันมากมาย
เพราะเราไม่ใช่เขา เพราะเขาไม่ใช่เรา และเพราะเราห้ามความคิดของทุกคนไม่ได้
ถ้า ฉัน ว่าใจร้ายแล้ว เค้าว่า พี่มิคใจร้ายยิ่งกว่า และสิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทั้งคู่เลือกทำในสิ่งที่ตนเองสบายใจ และ ก็น่าจะเจ็บปวดในตอนท้ายด้วยเหมือนกัน
โฮๆๆๆ ขอเวิ่นแป้บ


goldensun 5 พ.ค. 2557, 21:47:14 น.
ความชอบของพี่มิคยังพัฒนาไม่ถึงที่สุด ฉันเองก็ชัดเจนในการระบุความสัมพันธ์ ไม่แปลกที่พี่มิคจะยอมรับและเปิดโอกาสใหม่ให้ตัวเอง และไม่แปลกที่ฉันจะแอบใจหาย


kraten 5 พ.ค. 2557, 23:43:30 น.
มันเจ็บๆในใจไงพิกล... จุกค่ะจุก โดนใจเต็มๆ OMG! บาปกรรมติดจรวดจริงๆค่ะ


konhin 5 พ.ค. 2557, 23:54:25 น.
อ่ะ อ่านแล้วอึ้งตอนที่พี่หมีบอกว่าพี่มิคจะแต่งงานอ่ะ ช๊อค มิน่าถึงได้ตั้งชื่อว่าความฝันนน เฮ้อ


คิมหันตุ์ 6 พ.ค. 2557, 00:00:40 น.
เศร้าก่อนนอนเลย T_____T บอกไม่ถูก อึดอัด โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวันนะคะ


grazioso 10 พ.ค. 2557, 17:11:24 น.
อ่านจบแล้ว มันหน่วงๆ ในใจยังไงก็ไม่รู้ค่ะ..
แต่,,แอบปลื้ม พี่หมอศํลย์หมีป่าอย่างบอกไม่ถูก ๕๕๕

เป็นกำลังใจให้พี่ไอซ์เสมอนะคะ :)


Setia 14 มิ.ย. 2557, 22:55:01 น.
//ซับน้ำตารัวๆ
ซาบซึ้งมากกกกกกอย่างบอกไม่ถูก ชอบค่าาาา น่าเสียดายพี่มิค
ชอบพี่หมีป่าด้วยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account