หัวใจเดิมพันรัก
หนี้สิน ฆ่าตัวตาย ชีวิตใหม่ ความรัก และอุปสรรค โชคชะตาจะนำพาไปในทิศทางใด....
Tags: หนี้สิน

ตอน: บทที่ 6

บทที่ 6

เช้าตรู่ของวันใหม่ พิจิกาตื่นก่อนเวลาและจัดการธุระส่วนตัวอย่างรีบเร่ง เพราะนี้เป็นวันแรกที่เธอต้องปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่ ต้องพึ่งตนเอง ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนตอนอยู่ที่เรือนหลังเล็กอีกแล้ว เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็ปิดบ้านพักและเริ่มออกแรงปั่นจักรยานไปทำงานเฉกเช่นใครหลายคนในสวนแห่งนี้ ระหว่างที่พาหนะสองล้อขับเคลื่อนด้วยแรงขาทะยานไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก็มีลมหนาวพัดมากระทบกายจนขนลุกซู่ ระยะทางจากบ้านพักถึงสำนักงานก็ไกลพอสมควร แต่ก็มาถึงก่อนเวลางานอยู่ดี และยังไม่มีใครเดินทางมาถึงสักคน จึงฆ่าเวลาด้วยการไปหยิบสายยางมารดน้ำต้นไม้รอบๆ สำนักงาน

“เปลี่ยนจากผู้ช่วยนายมาเป็นคนสวนเมื่อไหร่กันพาย” คนเพิ่งมาถึงถามอย่างหยอกเย้าเมื่อเดินลงจากรถมาเห็นคนสวนคนใหม่

“ก็วันนี้เองค่ะนาย ได้หรือเปล่าคะ ถ้าพายอยากเปลี่ยนมาเป็นคนสวนแทน”

“ไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่รับคนสวนรูปร่างบอบบางแบบนี้” แม้จะสะดุดกับคำเรียกขาน แต่เขาก็ยังคิดว่าเป็นการหยอกล้อของเธอ

“ทำไมไม่รออยู่ที่เรือน พี่กำลังจะไปรับ ถ้าไม่ติดว่าจะเข้ามาเอาเอกสารก็ไปรับเราเก้อพอดีสิ” ภูมิรพีต่อว่าหญิงสาวไม่จริงจังนัก

“นายไม่ต้องไปรับพายหรอกค่ะ พายขี่จักรยานมาเองก็ได้” ผู้ช่วยสาวปฏิเสธเสียงนิ่ม

“เป็นอะไร” ชายหนุ่มถาม เมื่อเห็นถึงภาวะการณ์ไม่ปกติของอีกฝ่าย

“เปล่าค่ะ นายมาเอาเอกสารไม่ใช่หรือคะ เดี๋ยวสายนะวันนี้ต้องเข้าไปที่สำนักงานในเมืองไม่ใช่หรือคะ” คนเป็นลูกน้องก็เริ่มเบี่ยงเบนประเด็น

“งอนอะไร” ผู้เป็นนายถามย้ำ

“ใครงอนคะ อ้อ !จริงสิคะ มือถือของพายตกอยู่ที่รถหรือเปล่าคะ เดี๋ยวพายขอตัวไปหาก่อนนะ” พิจิกาหาทางเลี่ยงที่จะพูดคุยด้วย จึงรีบเดินตรงไปหาของของตัวเองที่รถประจำตำแหน่งของเจ้านาย

“หนีได้หนีไป ดูสิจะหนีไปได้สักกี่น้ำ” ภูมิรพีพึมพำก่อนจะเดินเข้าไปเอาเอกสารสำคัญที่จะต้องใช้

“หาเจอหรือเปล่า” คนที่ดูเหมือนจะถือไพ่เหนือกว่าถามพร้อมยิ้มยั่ว

“ไม่เจอค่ะ เฮ้อ! หายอีกแล้ว ตังค์ยิ่งไม่ค่อยมีอยู่ด้วย”

“อยากได้คืนไหม”

“หมายความว่ายังไงคะ” มือถือเครื่องหนึ่งถูกหยิบออกจากกระเป๋าแล้วแกว่งไปมาในระดับสายตาของผู้เป็นเจ้าของ

“อ้าว! อยู่ที่นายทำไมไม่บอกคะ ปล่อยให้พายไปหาอยู่ได้ ใจร้ายจริงๆ” พิจิกาบ่นกระปอดกระแปด เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้ง

“อยากได้คืนหรือเปล่าล่ะ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ” คนต้องการข้อแลกเปลี่ยนยื่นข้อเสนอ

“อยากสิคะ ขอบคุณนะคะที่เก็บไว้ให้” หญิงสาวยื่นมือหมายจะไปหยิบมือถือในมือของชายหนุ่ม แต่อีกฝ่ายขยับหนี

“เดี๋ยวก่อนสิ รู้ข้อแลกเปลี่ยนแล้วหรือ ถึงจะเอาคืน”

“อะไรล่ะคะ” เจ้าของมือถือเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย

“เอาความจริงนะ ความจริงล้วนๆ ด้วย อย่าคิดโกหก ไม่อย่างนั้นจะโดนดี เราน่ะเป็นอะไร” ภูมิรพีป้อนคำถามตรงๆ อีกครั้ง

“เป็นอะไร คืออะไรคะ พายไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ปกติดีนี่คะ” คนมีชนักติดหลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“ยังไม่ยอมรับอีก ถ้างั้นก็ไม่ต้องเอาคืน วันนี้ไม่ต้องไปกับพี่นะ เคลียร์เอกสารบนโต๊ะพี่ให้หน่อย เดี๋ยวบ่ายๆ จะมารับไปโรงเรียนอนุบาล” คนตัวโตหย่อนมือถือของอีกฝ่ายลงไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ เมื่อไม่ได้คำตอบอย่างที่ต้องการ

“โรงเรียนอนุบาลที่ไหนคะ แล้วไปทำไม” แม้จะไม่ชอบใจที่ไม่ได้ของคืน แต่คนขยันก็ยังอดถามไม่ได้

“ก็ไปดูแลลูกๆ ของเราไง” ผู้เป็นนายสัพยอกให้ผู้ช่วยสาวค้อนขวับเข้าให้

“บ้า นายพูดอะไรน่ะ”

“อ้าว! ต้นกล้าไม่ใช่ลูกของเราหรือครับ” ภูมิรพีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อทำให้สาวเจ้าหน้าแดงจนได้

“นายนี่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนี้เป็นด้วยหรือคะ ขอมือถือคืนด้วยค่ะ”

“จำเลยยังไม่ยอมรับสารภาพไม่ให้คืนครับ” พิจิกามองตามรถที่ถอยออกไปอย่างไม่รู้จะทำยังไงดีถึงจะได้มือถือกลับคืนมา


สำนักงานที่อยู่ในเขตของพนารักษ์มีพนักงานเพียงไม่กี่คน เพราะเรื่องสำคัญต่างๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สำนักงานในตัวเมือง สำหรับที่นี่จะทำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสวนโดยตรง แล้วจะจัดส่งเอกสารที่ทำทั้งหมดไปให้ทางสำนักงานในตัวเมืองจัดการอีกที ระหว่างที่พิจิกานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเจ้านาย คนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป และทุกคนก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคน

“ฉันมาหาพี่ภูมิ” หญิงสาวที่สวยสะดุดตาแถมแต่งตัวได้เปรี้ยวจี๊ดกว่าส้มในสวนเอ่ยขึ้นลอยๆ

“นายไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่านัดเอาไว้หรือเปล่าคะ” กีรณาแจ้งกับผู้มาขอพบเจ้านาย

“ไม่ได้นัด พี่ภูมิไปไหน ในเมื่อแม่นายบอกว่าพี่ภูมิมาที่นี่”

“นายไปสำนักงานในเมืองค่ะ เที่ยงๆ ถึงจะกลับ”

“งั้นฉันจะไปนั่งรอในห้องทำงานของพี่ภูมิก็แล้วกัน” สาวเปรี้ยวจี๊ดเดินตรงไปที่ห้องทำงานของชายหนุ่ม โดยที่กีรณาห้ามไม่ทัน จึงหันไปมองเพื่อนร่วมงานอีกสามสี่คน เพียงแค่ป่านแก้วเปิดประตูเข้าไปพบใครอีกคนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานของชายหนุ่ม เสียงแหลมปี๊ดก็ดังขึ้น คนที่อยู่ภายนอกห้องต่างก็ยกมือขึ้นอุดหู

“นี่เธอเป็นใคร มาอยู่ในห้องทำงานของพี่ภูมิได้ยังไง” พิจิกาเองก็ยกมืออุดหูแทบไม่ทัน

“ดิฉันเป็นผู้ช่วยของนายค่ะ นายสั่งให้มาเคลียร์เอกสารที่โต๊ะนี้ค่ะ”

“โต๊ะของตัวเองไม่มีหรือยังไง ถึงได้สะเออะมานั่งทำงานที่โต๊ะเจ้านาย” คนมาใหม่แสยะยิ้มอย่างหมิ่นๆ

“คือไม่มีโต๊ะทำงานส่วนตัวค่ะ ตั้งแต่มาทำงานนายก็ให้ใช้โต๊ะนายทำงานค่ะ”

“กรี๊ด นี่แกย้อนฉันหรือ” ป่านแก้วกรี๊ดเสียงดังลั่น เพราะคิดว่าพิจิกาพยายามยั่วโมโห

“เปล่าค่ะ แต่ดิฉันไม่มีโต๊ะทำงานส่วนตัวจริงๆ ค่ะ คุณมาพบนายหรือคะ นายไม่อยู่หรอกค่ะ” คนไม่มีโต๊ะทำงานส่วนตัวก็ตอบหน้าซื่อ

“ฉันรู้แล้วและฉันตั้งใจจะมานั่งรอพี่ภูมิที่นี่ ถ้าไม่มาเจอเธอยั่วโมโหเสียก่อน ออกจากห้องพี่ภูมิไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” คนที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ในสถานที่แห่งนี้เต็มที่ออกปากไล่

“แต่ว่างานของดิฉันยังไม่เสร็จเลยนะคะ ถ้านายมาแล้วงานไม่เสร็จ ดิฉันก็ซวยสิคะ” คนที่มีความรับผิดชอบต่องานก็เอ่ยปฏิเสธกลายๆ

“ฉันไม่สน ฉันรู้แต่ว่าเธอต้องออกจากห้องนี้ไปเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่า ป่านแก้วชี้นิ้วไปทางหน้าประตูด้วย พิจิกาถอนหายใจแล้วเดินออกไปแต่โดยดี เธอไม่อยากฟังเสียงแหลมๆ นี้แว้ดๆ อีกแล้ว

“ใครกันน่ะณา” พิจิกาไปกระซิบถามเพื่อนร่วมงาน

“คุณป่านแก้ว ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของปางไม้พิชานันท์ แม่นายคงอยากเกี่ยวดองด้วย คนนี้คนล่าสุดเลยนะพาย คนก่อนๆ ดีกรีก็ไม่แพ้คนนี้ แต่นายไม่สนใจ คนนี้ท่าทางนายก็จะไม่เล่นด้วย นายไม่ชอบผู้หญิงเสียงแหลมปี๊ด กรี๊ดไม่หยุดแบบนี้” กีรณาได้ทีนินทาเจ้านาย คนเป็นเพื่อนก็ได้แต่หัวเราะคิก

“ถ้างั้นณาก็รับมือไปนะ เพราะพายถูกเธอไล่ออกมา ถ้านายมาบอกว่าพายไปที่แปลงแล้วนะ”

“เฮ้ย! ทิ้งกันง่ายๆ เลยหรือ”

“อยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไปช่วยพี่นางเก็บส้มดีกว่า บายนะจ๊ะสาวๆ” พิจิกาเดินออกจากสำนักงาน ตรงไปที่รถประจำตำแหน่งของตัวเอง แล้วออกแรงปั่นทันที


รถกระบะ 4 ประตู ค่อยๆ ลดความเร็วลงจนกระทั่งจอดสนิท คนขับรถเปิดประตูลงมา แล้วตะโกนเรียกผู้ช่วยของตนที่ยืนหัวเราะอยู่กับคนงานในแปลงส้มอย่างมีความสุขจนน่าหมั่นไส้

“พาย” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก แล้วรีบวิ่งไปหานายที่ยืนรออยู่

“กลับมาแล้วหรือคะ” ภูมิรพีไม่พูดอะไร นอกจากมะเหงกไปที่ศีรษะของเธอ

“บอกให้รอที่สำนักงาน มาซนอะไรแถวนี้ งานที่สั่งก็ทำไม่เสร็จ อยากถูกตัดเงินเดือนหรือยังไง” คนที่กำลังจะถูกตัดเงินเดือนลูบหัวตัวเองป้อยๆ

“ทำไมนายไม่ถามคนที่นั่งมาด้วยล่ะ อยู่ดีๆ มาเขกหัวพาย” คนถูกทำร้ายหน้าบูดสนิท เพราะความผิดที่ไม่ได้เป็นคนก่อ

“ถามอะไร หน้าที่ของเรา พี่สั่งไว้ ไม่ทำตามแล้วยังจะโทษคนอื่นอีกหรือ”

“พายเปล่านะนาย ก็แฟนนายนั่นแหละไล่พายออกมา ไม่ยอมให้พายทำงานในห้องนาย” คำพูดนั้นส่งผลให้โดนเขกหัวอีกครั้ง

“ใครบอกเราว่าเขาเป็นแฟนพี่”

“เขาก็พูดกันทั่วสวนแล้วว่าคนนี้จะมาเป็นนายหญิง” พิจิกาแก้ตัวไปเรื่อย

“ที่พูดกันทั่วน่ะใครพูด พี่จะได้จัดการไล่ออกให้หมด โทษฐานนินทาเจ้านาย แถมรู้ไม่จริงแล้วยังจะเอาไปพูดกันอีก” นั่นปากพาจนแล้วสิเรา สาวร่างเล็กหัวหด แต่ยังทำเป็นปากดี

“นายจะไล่ออกหมดสวนจริงหรือ ไม่มีคนทำงานให้นายนะ”

“คนที่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ปากไม่มีหูรูด จะทำงานด้วยกันได้ยังไง”

“โห! นายปากร้ายจังว่าพายปากไม่มีหูรูด”

“สารภาพออกมาแล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็นคนพูด” พิจิกาหัวเราะแหะๆ ยอมรับโดยดุษฎี

“ยังมีอีกคดีหนึ่งนะที่ยังไม่สะสาง ไว้เย็นนี้ค่อยมาเคลียร์กัน ไปยกจักรยานขึ้นท้ายกระบะได้แล้ว” คนมีคดีติดตัวรีบจูงจักรยานไปเปิดท้ายกระบะ พร้อมทั้งพยายามยกเจ้าสองล้อขึ้น แต่มันก็ไม่สูงพอที่จะขึ้นไปบนรถได้ ส่วนภูมิรพีก็ยืนดูอย่างไม่คิดจะช่วย

“นายช่วยพายหน่อยสิ พายยกไม่ไหว” ชายหนุ่มก็ยังยืนเฉย พิจิกาจึงขอร้องผู้เป็นนายอีกครั้ง “นายขา ช่วยพายหน่อยนะคะ พายยกไม่ไหวจริงๆ” หญิงสาวเริ่มหน้างอ เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาช่วย สุดท้ายเธอก็ต้องยอม “พี่ภูมิขา ช่วยพายยกรถหน่อยนะคะ”

“ก็แค่นั้น” ภูมิรพียิ้ม แล้วเดินมายกรถจักรยานของหญิงสาวขึ้นท้ายกระบะอย่างง่ายดาย ส่วนพิจิกาทำได้แค่ค้อนใส่แล้วเดินไปเปิดประตูเข้าไปนั่งไม่พูดไม่จา

“พี่ภูมิทำไมช้าจังคะ คุยอะไรกันหนักหนา แล้วเธอจะไปด้วยเหรอ” ป่านแก้วหันไปถามหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง ผู้ช่วยสาวก็รับคำสั้นๆ อย่างเซ็งๆ

“พี่ภูมิจะเอาเขาไปเป็นส่วนเกินทำไมคะ” ป่านแก้วหันไปถามชายหนุ่ม

“พายเป็นผู้ช่วยของผม แล้วนี่ก็เป็นเวลางาน ผมไปทำงานเธอก็ต้องไปด้วยครับคุณป่าน” ภูมิรพีตอบอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าเรียบเฉย ไม่บ่งบอกอารมณ์ ป่านแก้วก็ได้แต่นั่งหงุดหงิดทำอะไรไม่ได้ไปตลอดทาง

“พี่จืดทำไมมาอยู่ที่นี่คะ” พิจิกาถามด้วยความสงสัย เมื่อเดินเข้ามาในโรงอนุบาลต้นกล้าแล้ว

“พี่ก็อยู่ทุกที่นั่นแหละ แล้วแต่ว่าจะไปดูส่วนไหนของสวนให้นาย” จืดตอบอย่างเป็นเรื่องปกติ

“แบบนี้ก็เหนื่อยแย่สิคะ”

“มันจะเหนื่อยอะไรหนักหนา ผู้ช่วยของไอ้จืดเยอะกว่าของพี่อีก มันก็ได้แต่สั่งให้เขาทำนั่นแหละ” ป่านแก้วสะดุดกับคำแทนตัวเองของชายหนุ่มกับผู้ช่วยสาว แต่ก็ยังไม่กล้าถามอะไร

“แหมนายก็ ถึงผมจะออกคำสั่งแต่ก็ต้องใช้สมองคิดนะครับนาย” จืดแก้ตัวด้วยท่าทีทะเล้นๆ ประจำตัว

“เออ! ไอ้คุณจืด ไอ้คนฉลาด ต้นกล้าเป็นยังไงบ้าง” ภูมิรพีประชดคนสนิทด้วยความหมั่นไส้

“มีอยู่ส่วนหนึ่งมีปัญหาครับนาย ไม่รู้เป็นที่วัสดุเพาะหรือว่าเมล็ดพันธุ์ครับ ไม่ค่อยแข็งแรง ผมให้สันแยกออกมาดูแลเป็นพิเศษแล้วครับ” จืดวกกลับโหมดทำงานทันที

“ถ้าไม่แข็งแรงจริงๆ อย่าเอาลงปลูกนะ”

“ครับนาย”

“แล้วชุดที่ลงแปลงไปแล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีครับนาย”

“เดี๋ยวข้าจะเดินเข้าไปดูข้างในหน่อย เอ็งจะไปจัดการอะไรก็ไป” พูดจบชายหนุ่มก็มองหาผู้ช่วยคนเก่ง แล้วก็ต้องอมยิ้ม เมื่อเห็นพิจิกากำลังช่วยคนงานย้ายกล้าจากถาดเพาะไปอยู่ในถุงเลี้ยงกล้า “พายจะช่วยเขาย้ายกล้าหรือจะเข้าไปข้างในกับพี่”

“อยู่ตรงนี้ดีกว่าค่ะนาย กำลังสนุก”

“ตามใจ” แล้วคนเป็นนายกับคนที่พยายามจะมาเป็นนายหญิงก็เดินตรงเข้าไปในส่วนที่ลึกกว่า

“ท่าทางพี่ภูมิกับยัยผู้ช่วยนั่นสนิทสนมกันดีนะคะ” เมื่อสบโอกาสป่านแก้วก็รีบถาม เพราะไม่อยากค้างคาใจด้วยเรื่องนี้

“ครับ ก็ทำงานอยู่ด้วยกันทุกวัน”

“น่าอิจฉานะคะ กับป่านพี่ภูมิยังไม่แสดงความสนิทสนมแบบนั้นด้วยเลย” ภูมิรพีเลือกที่จะไม่ตอบ แต่หันไปคุยกับหัวหน้าคนงานแทน เขาเดินดูกล้าไม้จนทั่ว โดยมีสาวสวยที่หน้าเริ่มบูดบึ้งเพราะไม่ได้รับความสนใจเลยเดินตาม เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ภูมิรพีก็เดินออกมาด้านหน้าโรงอนุบาลต้นกล้า

“พายกลับได้แล้ว” หญิงสาวหันหน้าไปหาเจ้านายก็ได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย

“ทำไมมอมแมมอย่างนั้น” เขาชี้ไปที่ใบหน้า ทำให้พิจิกายกมือขึ้นเช็ด ปรากฏว่ามันยิ่งเปื้อนหนักเข้าไปอีก “เอาดำไปทั้งหน้าแล้ว” ภูมิรพีเดินไปนั่งลงข้างๆ

“มานี่เดี๋ยวพี่เช็ดให้” เขายกมือขึ้นปัดดินที่เปื้อนหน้าออกเบาๆ แต่คราบมันก็ยังติดอยู่ การกระทำนั้นส่งผลให้พิจิกาหน้าแดงหลบตาคนที่มองมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ไปล้างมือล้างหน้าข้างนอกไป มีก๊อกน้ำอยู่” ภูมิรพีเลิกแกล้ง เมื่อเห็นคุณผู้ช่วยหน้าแดงไปหมดแล้ว ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ก็มองภาพนั้นด้วยความไม่พอใจ

ทั้งสามคนกลับมานั่งประจำที่ มุ่งหน้าไปยังเรือนเพียงฟ้า เมื่อเห็นนายกำลังจะขับรถผ่านที่พักของตัวเอง พิจิกาก็สะกิดบอกนาย

“นายๆ เลยแล้ว”

“อะไรเลย” ภูมิรพีถามพาซื่อ

“เลยบ้านพักแล้ว นายจอดสิ พายจะได้ไม่ต้องปั่นจักรยานกลับมาอีก” ผู้ช่วยสาวรีบบอกก่อนที่มันจะเลยไปไกลกว่านี้

“ไม่ได้เลย แต่แม่นายชวนกินข้าวด้วย แก้ตัวเมื่อวานที่เราหนีกลับก่อน” นายแกล้งความเข้าใจผิดของลูกน้องสาว

“ไม่เอา พายหากินเองได้ ไม่ไปนะนาย เดี๋ยวแม่นายไม่พอใจอีก นายจอดเลยนะ” พิจิกาส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน

“พี่ภูมิคะ เขาไม่อยากไปก็จอดให้เขาลงแถวนี้สิคะ จะบังคับเขาทำไมกัน” ภูมิรพีถอนหายใจก่อนจะบอกกับผู้ช่วยของตนอีกครั้ง

“พาย แม่นายเป็นคนบอกพี่ให้พาพายไปกินข้าวเย็นด้วย พายอยากขัดคำสั่งแม่นายเหรอ”

“แต่ว่า...เมื่อวานแม่นาย” ครานี้คนไม่อยากไปเอ่ยเสียงอ่อย

“เราเข้าใจผิดไปเอง ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกินข้าวด้วยกันแค่มื้อเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง” คนขี้ขลาดทำได้เพียงพยักหน้ารับ เพราะไม่รู้จะเลี่ยงยังไงได้อีก


อาหารมือเย็นที่แสนอึดอัดจบลงด้วยดี โดยไม่มีใครถูกเฉือดเชือนด้วยคำพูดให้เก็บเอาไปน้อยอกน้อยใจอีก จากนั้นเจ้านายผู้แสนจะใจดีก็ขับรถมาส่งผู้ช่วยแสนงอนถึงหน้าเรือน พร้อมกับยกจักรยานมาจอดไว้ให้เรียบร้อย

“ขอบคุณค่ะนาย” พิจิกายกมือไหว้ แล้วหันหลังจะขึ้นเรือน

“เดี๋ยวก่อน เรามีเรื่องจะต้องคุยกัน” ภูมิรพีคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ แล้วจูงไปนั่งลงบนพื้นเรือนตรงหน้าบันได “เป็นอะไร ไหนบอกมาสิ”

“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”

“แน่ใจ ถ้าไม่สารภาพมาดีๆ ปล่อยให้พี่พูดออกมาเอง จำเลยจะโดนบทลงโทษหนักนะ งอนอะไรพี่”

“ไม่ได้งอนค่ะ แค่...”

“แค่อะไร”

“พายเป็นแค่คนงานคนหนึ่ง ทำตัวสนิทสนมกับนายแบบนั้นก็คงไม่ดี แม่นายก็คงไม่ชอบใจ แล้วคนอื่นก็คงมองไม่ดีเหมือนกัน แม่นายกับนาย พายถือว่าเป็นคนที่มีพระคุณ ให้ชีวิตใหม่กับพาย ทำให้พายมีงานทำ ทำให้พายมีเงินไปใช้หนี้เขา พายไม่อยากทำให้นายกับแม่นายไม่สบายใจ” เมื่อต้องพูดก็ขอพูดออกมาให้หมดจะได้ไม่มีอะไรต้องค้างคาใจอีก และถือเป็นการทำข้อตกลงในการปฏิบัติตัวต่อกันอย่างเป็นทางการ

“น้อยใจคำพูดของแม่นายเหรอ”

“เปล่าค่ะ”

“แม่นายเป็นคนใจดีนะ ไม่เคยคิดแบบนั้นกับพายหรอก เมื่อวานก็แค่พูดประชดพี่เท่านั้นเอง เพราะไม่ได้แจ้งท่านก่อนว่าจะพาพายไปทานข้าวด้วย แล้วสำหรับพี่ พี่ไม่เคยมองว่าพายเป็นคนงาน ไม่เคยเห็นพายเป็นคนอื่น เข้าใจหรือเปล่า” ภูมิรพียกแขนขึ้นโอบบ่าเล็กไว้ แล้วรั้งเข้ามาซบกับอกของเขา แล้วขยี้ผมเธอเบาๆ

แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่ท่าทางเอาการเอางานของเธอ ก็ทำให้เขาประทับใจได้ไม่ยาก ตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา พิจิกาไม่เคยบ่นเลยแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าแดดจะร้อน เหงื่อจะย้อยแค่ไหน เธอทำเพียงแค่ยกมือขึ้นปาดออก หลังๆ มานี่ เขาเห็นเธอพกผ้าขนหนูผืนไม่ใหญ่ติดตัวเสมอ

“แต่พายว่ามันก็ไม่ดีอยู่ดี คุณป่านแก้วจะเข้าใจผิดได้นะคะ” พิจิกายังหยิบยกเหตุผลอื่นๆ มาอ้างอีก

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ”

“ก็มีคนบอกพายว่านายแม่อยากได้คุณป่านแก้วมาเป็นภรรยาของนายไม่ใช่หรือคะ”

“ยังไม่ยอมหยุดเรียกพี่ว่านายอีกนะ” ภูมิรพีชี้หน้าคาดโทษอีกครั้ง

“แล้วคนที่จะมาเป็นนายหญิงของพี่นะ เธอต้องรักในสิ่งที่พี่รักสิ พายว่าคนอย่างคุณป่านแก้วจะมาทนอยู่ในสวนแบบนี้ได้นานแค่ไหน ถึงบ้านเธอจะทำปางไม้ แต่เธอก็ไม่เคยไปยุ่งงานส่วนนั้นเลย แล้ววันๆ พี่ก็อยู่กับต้นไม้ใบหญ้า คนที่ไม่ชอบจะมาอยู่กับพี่ได้ยังไง แล้วพี่ไม่ได้คิดจะมีเมียเพื่อประดับบารมีหรอกนะ คนที่จะมาอยู่กับพี่ก็ต้องช่วยพี่ทำงาน ต้องรักทุกสิ่งที่รวมเป็นพนารักษ์

เข้าใจไหม” ชายหนุ่มแจกแจงความต้องการและคุณสมบัติเมียที่ดีของนายแห่งพนารักษ์ให้คนคิดมากทราบ

“แล้วทำไมนาย” พูดได้แค่นั้นพิจิกาก็เห็นสายตาดุๆ ส่งมาให้ พร้อมกับเพิ่มน้ำหนักของมือที่กระชับต้นแขนของเธอไว้ “เจ็บนะ” หญิงสาวโอดโอย

“ถ้าไม่เจ็บจะจำไหม”

“พี่ภูมิก็ได้ค่ะ แล้วเมื่อไหร่พี่ภูมิจะหานายหญิงมาให้ทุกคนล่ะคะ ใครๆ ก็อยากให้พี่ภูมิแต่งงานทั้งนั้น” คนตัวเล็กกว่าถามด้วยความอยากรู้

“ก็มองหาอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะมีใครอยากมาอยู่ในสวนแบบนี้กับพี่หรือเปล่า”

“พายได้ยินพี่จืดเล่าว่าแม่นายหาสาวสวยๆ มาให้พี่ภูมิเลือกตั้งหลายคน แต่พี่ภูมิไม่ยอมเลือกเองมากกว่า พี่ภูมิก็อายุไม่น้อยแล้วนะ ทำไมถึงไม่ยอมลงจากคานสักทีละคะ” พิจิกาได้ทีกระเซ้าเย้าแหย่ บรรยากาศรอบๆ จึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา

“หึหึ” ภูมิรพีปล่อยร่างผอมบางให้เป็นอิสระ พร้อมกับเขกหัวเธอไปหนึ่งที

“โอ๊ย! ทำไมชอบเขกหัวพายเรื่อยเลย”

“ก็เรามาว่าพี่ทำไม ที่ยังไม่แต่งเพราะยังไม่เจอคนที่อยากแต่งด้วย พี่อยากให้คนที่มาอยู่กับพี่ อยู่กับพี่ตลอดชีวิตนะพาย พี่อยากให้เธอรักในสิ่งที่พี่เป็น ไม่ใช่รักพี่เพราะทรัพย์สินเงินทอง ถ้ารักในเงินของเรา แล้ววันหนึ่งเราไม่มีตรงนั้นแล้ว เขาก็จะเลิกรักเรา ไม่อยากอยู่กับเรา พายอยากแต่งงานกับคนแบบนั้นหรือ” ได้ผลหญิงสาวเงียบลงทันที จริงสินะ ก็ดูชีวิตของเธอเป็นตัวอย่างสิ ไม่มีเงินปาณชัยก็ตีตัวออกห่างทันที

“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้พายคิดถึงเรื่องเก่าๆ” เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าๆ ภูมิรพีก็แทบจะตบปากตัวเอง

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ภูมิ สิ่งที่พี่ภูมิพูดมันเป็นความจริงนี่คะ ถ้าเขารักเงินของเรา เราจะมีความสุขนานแค่ไหน พายเข้าใจสิ่งที่พี่ภูมิพูดแล้วค่ะ ไม่มีใครอยากแต่งงานหลายๆ ครั้ง หรืออยู่กับคนที่ไม่เคยรักเราหรอกจริงไหมคะ ถ้าอยู่กันด้วยผลประโยชน์ มันจะทนอยู่กันได้นานแค่ไหน” พิจิกาพยายามปรับระดับความรู้สึกของตัวเองให้คงที่

“พี่ไม่อยากให้พายปิดกั้นตัวเอง พี่ยังเชื่อว่ายังมีคนอีกมากมายที่ต้องการความรักและความเข้าใจมากกว่าเงินทองที่ฝ่ายตรงข้ามมี” คนอายุมากกว่ายกมือขึ้นโยกหัวทุยๆ อย่างเอ็นดู

“พายก็หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอเขานะคะ บางครั้งสังคมและสภาพแวดล้อม มันก็หล่อหลอมให้คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขสบายของตัวเอง มากกว่าความรักและความหวังดีที่ควรมีให้แก่กันนะคะพี่ภูมิ”

“เชื่อพี่สิว่าพายจะได้เจอเขาอย่างแน่นอน และเขาก็จะดูแลทุกความรู้สึกของพาย จะไม่ทำให้พายเป็นทุกข์อย่างที่ผ่านมาอีก” กำลังใจยังถูกส่งมาให้เรื่อยๆ จนคนรับต้องอมยิ้ม รู้สึกมีความสุข เมื่อมีใครคนหนึ่งคอยรับฟังและให้คำปรึกษา

“สาธุ ขอให้พายเจอเร็วๆ นะพี่ภูมิ” พิจิกายกมือท่วมหัว พร้อมทำหน้าทะเล้นใส่ชายหนุ่ม เปลี่ยนบรรยากาศเมื่อครู่นี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ

“ทะเล้นนะเรา” ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะโยกหัวเธอเล่นอีกครั้ง ให้เธอเป็นแบบนี้ยังดีกว่านั่งซึมเป็นไหนๆ

“พี่ภูมิไม่เหนื่อยบ้างหรือคะ พายเห็นพี่ภูมิวิ่งไปโน่นที วิ่งมานี่ที ทำงานไม่เคยมีวันหยุดเลย”

“ไม่เหนื่อยหรอก ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราทำเพราะใจเราอยากทำ ไม่ว่าเวลาไหน เราก็จะมีความสุขกับมัน เพลิดเพลินไปกับมัน บางทีพี่ยังรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วเลย”

“ก็จริงนะคะ เมื่อก่อนพายทำงานบริษัท วันๆ อยู่แต่กับเอกสาร บางวันก็คิดว่าเมื่อไหร่จะได้เวลาเลิกงานสักที บางทีงานไม่เสร็จ แต่เวลาไม่มีเหลือให้ทำแล้ว ก็อยากให้เวลามันหมุนช้าลง แต่ตั้งแต่พายมาทำงานที่นี่ ได้เห็นต้นไม้ใบหญ้า ได้อยู่กับธรรมชาติ พายมีความสุข สดชื่น แล้วไม่รู้สึกเครียดกับงานที่ทำเลยค่ะ” พิจิกายิ้มทั้งปากทั้งตาให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกอดเธอเอาไว้

“พี่ดีใจที่พายมีความสุข งานสวนงานไร่แบบนี้ถ้าใจไม่รัก ก็ทำไม่ได้นานหรอก เพราะต้องอยู่กลางแจ้ง ตากแดด ตากลม ยิ่งเป็นผู้หญิงอย่างพายด้วย ไม่ค่อยมีใครอยากทำหรอกถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่า”

“พายไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะพายน่ะขี้เหร่ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีหนุ่มๆ ที่ไหนมาสนอยู่แล้ว”

“ทำไมชอบมองตัวเองแบบนั้นเรื่อยเลยนะเรา พี่รู้เรื่องครอบครัวของพายได้ไหม” เมื่อได้จังหวะก็ถือโอกาสซักถามที่มาที่ไปของผู้ช่วยของตนสักหน่อย

“ได้สิคะ ไม่ได้มีอะไรเป็นความลับอยู่แล้ว ครอบครัวของเราเป็นคนเมืองกรุง หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันไม่นาน พ่อก็เริ่มมองหาธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง ทำโน่นทำนี่ตั้งหลายอย่าง เจ๊งบ้าง เลิกทำบ้าง จนพ่อหันมาทำธุรกิจขายส่งสินค้า ครอบครัวของเราก็อยู่กันสุขสบายขึ้น ไม่ขัดสนเหมือนเมื่อก่อน จนกระทั่งปีที่แล้ว เศรษฐกิจไม่ค่อยดี พ่อขายของได้น้อยลง จนในที่สุดร้านก็ต้องปิดลง” เสียงในตอนท้ายแฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อย ก่อนเจ้าของเรื่องจะสูดลมหายใจเข้า แล้วเล่าความเป็นไปต่อ

“ส่วนพายพอเรียนจบก็ได้ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ยังโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่บ้านไม่ต้องเช่า เงินเดือนที่ได้มาก็ไม่ได้ให้พ่อกับแม่หรอกนะคะ พายก็เก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ฝากธนาคารไว้ แต่สุดท้ายมันก็หมดเพราะเขานั่นแหละค่ะ หลังจากต้องปิดร้านพ่อก็พยายามจะหาอะไรทำอีก แต่ไม่ว่าอะไรมันก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น จนเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน เพื่อนของพ่ออีกคนก็ให้ใช้ที่ของเขามาทำเพิงขายน้ำชากาแฟ จากนั้นไม่นานพายก็ตกงาน ถูกทิ้ง เป็นหนี้อย่างที่พี่ภูมิทราบนั่นแหละค่ะ” ประวัติโดยย่อถูกบอกเล่าออกมาคร่าวๆ อย่างไมปิดบัง

“แล้วพายไปทำอะไรที่พัทยา”

“หลังจากรับโทรศัพท์จากเขา พายก็ไม่รู้จะทำยังไง พายไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ แต่ก็ทำตัวเป็นปกติไม่ได้ ก็เลยบอกท่านว่าจะไปสัมภาษณ์งานที่พัทยาสองสามวัน ตอนนั้นพายไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายหรอกนะคะ แค่อยากหลบไปทำใจสักพัก และไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง” พิจิการะลึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“แต่เราก็เกือบทำให้พ่อแม่เสียใจที่สุดเลยนะ”

“พี่ภูมิก็ช่วยให้พ่อแม่ของพายไม่ต้องเสียใจแล้วนี่คะ พายขอบคุณพี่ภูมิอีกครั้งนะคะที่ให้ชีวิตใหม่กับพาย” พิจิกายกมือไหว้ชายหนุ่ม

“ถ้างั้นพี่ก็เป็นเจ้าชีวิตของพายสินะ” ภูมิรพีแสร้งถาม เพราะอยากรู้ว่าหญิงสาวจะว่ายังไง

“จะเอาขนาดนั้นเลยหรือคะ เอาเป็นว่าพายจะตั้งใจทำงานตอบแทนพี่ภูมิก็แล้วกันนะคะ” หญิงสาวก็ตอบกลับอย่างไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง

“พักเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้จะให้พี่มารับหรือจะปั่นจักรยานไปเอง” ชายหนุ่มเห็นว่าใช้เวลาพูดคุยกันพอสมควรแล้วจึงกล่าวตัดบท

“ไปเองดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้พายจะทำแซนวิชไปให้ทานกับกาแฟนะคะ”

“แล้วจะรอชิมฝีมือเรานะ ขึ้นเรือนเถอะ พี่จะได้กลับสักที” ภูมิรพีมองหญิงสาวเดินเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินกลับมาที่รถของตัวเองถอยหลังและมุ่งตรงไปที่เรือนเคียงตะวัน คืนนี้เขาอยากพักที่เรือนเล็ก เพราะขี้เกียจไปฟังแม่นายบ่นเรื่องของป่านแก้ว



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ค. 2557, 07:08:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ค. 2557, 07:08:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1440





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
ใบบัวน่ารัก 3 พ.ค. 2557, 09:48:41 น.
ทำไมนางร้ายต้องกรี๊ดดดดด แย่งผู้ชายกันด้วยอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account