ร้อยรักพรางตะวัน (Just To Love You)
ชีวิตและจิตใจของฉันเหมือนดั่ง..ตุ๊กตาแก้ว..
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน,รักซึ้งๆ,รักโรแมนติก
ตอน: บทที่ 5 ทางแยก
บทที่ 5 ทางแยก
“เจ้ว่าอะไรนะ!!”
“เสียงดังทำไม เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าพอดีหรอก”
แสงสุรีย์เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆบริเวณพร้อมส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเมื่อเห็นดวงหน้านวลภายใต้แว่นกันแดดสีชากรอบใหญ่ทำท่าทางไม่พอใจ อรณีละสายตาจากบทละครปึกใหญ่ทันทีทั้งที่กำลังซักซ้อมคิวเพื่อเตรียมตัวถ่ายฉากสำคัญในวันพรุ่งนี้กับทีมเอที่มีชัชพลเป็นผู้ดูแล
“ทำไม อยู่ในรถฟิล์มดำมืดขนาดนี้กลัวใครมาเห็นมาได้ยินหรือไงกัน”
อรณีแหวใส่อย่างไม่สะทกสะท้านกับกิริยาคุ้นชินของผู้จัดการส่วนตัวที่เอ่ยตำหนิเป็นประจำ
“แล้วอรจะโวยให้ได้อะไรขึ้นมา ก็แค่พรุ่งนี้เช้าเราออกแต่เช้าไปถ่ายแบบเซ็ตคู่รักก่อน นี่เจ้นัดเวลารุตกับทีมงานแองเจิ้ลเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าแปดโมงเราต้องถึงที่หมายห้ามเลท เพราะไม่งั้นอรจะไปไม่ทันถ่ายฉากพระอาทิตย์ตกที่พัทยานะ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบรับงานซ้อน พูดไม่รู้เรื่องรึไง แค่ต้องมาเล่นประกบเด็กนั่นก็ลำบากพอทนแล้วนะ นี่ยังให้ถ่ายแบบคู่อีก เกิดหน้าอรล้ำเกินวัยเด็กนั่นอรก็โดนถล่มเละจากพวกโลกไซเบอร์ว่าเป็นป้าอีก”
“จะคิดมากทำไม พวกเธอสมกันจะตาย ไม่เห็นดูแก่ตรงไหนนี่อร”
“ไม่มาเป็นอรจะรู้ได้ไง..ทำไมเจ้ทำแบบนี้ล่ะ ถามอรสักคำสิเรื่องรับงาน คิดว่าท่านประธานให้ท้ายอยู่หรือไงถึงมาสั่งอรอยู่ได้”
อรณีโยนบทลงกับเบาะข้างกาย บรรยากาศ ใบหน้านวลเชิดเมินมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นการตัดคำรำคาญที่จะได้ยินให้ระคายหู ในขณะที่ภายในรถตู้ระอุไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธของนางเอกสาวและผู้จัดการส่วนตัวที่ต่างอึดอัดขัดใจกับท่าทีของกันและกัน
“ไม่ใช่เด็กๆแล้ว อย่าเอาแต่ใจนักได้ไหมอร..ทำไมถึงพูดยากนัก อย่าให้เจ้ต้องลำบากใจได้ไหม เจ้เป็นคนกลางระหว่างเธอกับท่านประธาน เธออยากได้อะไรเจ้ก็พูดแทนเธอหมดแล้ว แต่ท่านไม่ยอมจะให้ทำยังไง ”
“ถ้าอยากให้พูดง่ายๆก็น่าจะเคารพกติกาของอรบ้างสิ เคยบอกแล้วนี่ว่าอรรับงานยังไ งเจ้เป็นผู้จัดการของอรก็ต้องเห็นแก่อรเป็นปากเสียงให้อรสิ ทำไมต้องมาช่วยพูดแทนท่านประธานด้วยล่ะ”
“เอาแต่อารมณ์..พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
แสงสุรีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่หันกลับมองตรงไปนอกถนนอย่างขัดใจและระงับอารมณ์ โดยมีสายตาลุงทองคอยมองทั้งสองอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง
อรณีมองเมินออกนอกหน้าต่าง การจราจรยามเย็นผู้คนขวักไขว่รถราติดยาวไม่ยอมเคลื่อนตัวจนหญิงสาวรู้สึกอึดอัดทบเท่าพันทวีที่ทุกสิ่งไม่เป็นอย่างใจ แล้วยิ่งเจอสายตาคาดโทษของแสงสุรีย์ที่เหลือบมองจากกระจกมองหลังผ่านช่องผ้าม่านสีขาวระหว่างเบาะหน้าข้างคนขับมายังหล่อนที่นั่งตอนกลางรถตู้เพียงคนเดียวยิ่งพาลให้หงุดหงิดจนต้องดึงผ้าม่านปิดเป็นการตัดการสนทนาทันที
แสงสุรีย์ลอบถอนใจอีกครั้งพร้อมทั้งมองหน้ากันกับลุงทองคนขับรถคู่ใจ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของปราณแล้วก็ได้แต่คิดหนักกลั้นใจเอ่ยมันออกมาอีกครั้ง
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้เช้าหกโมงเจ้จะโทรมาปลุก หกโมงสี่สิบห้าเตรียมตัวให้พร้อมวันอาทิตย์รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เราน่าจะทำเวลาได้ทันก่อนแปดโมงเล็กน้อย หน้าผมไปแต่งที่แองเจิ้ลเลย คิดว่าน่าจะเสร็จประมาณไม่เกินบ่ายสองแล้วเราจะได้ไปพัทยาต่อ จากแองเจิ้ลก็ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ขึ้นทางด่วนไป น่าจะทันทีมเอถ่ายเก็บฉากอื่นเสร็จแล้วล่ะ..ได้ยินไหม..อร”
“อร..อรณี!!.ได้ยินรึเปล่า”
แสงสุรีย์ปิดสมุดรับงานที่เพิ่งขีดเขียนตารางงานเมื่อครู่ด้วยความขัดใจที่อรณีไม่ตอบรับ หรือแสดงอาการว่ารับรู้อย่างเคย สาวแว่นหนาขยับแว่นเล็กน้อยด้วยนิ้วชี้ตามความเคยชินก่อนจะหันกลับไปเปิดผ้าม่านที่คั่นกลางระหว่างหล่อนและความเป็นส่วนตัวของอรณี แต่แล้วลุงทองก็ขัดขึ้น
“ไม่ต้องเปิดดูหรอกครับคุณแสง คุณอรลงรถไปเห็นหลังไวๆ โน่นแล้ว”
ทองพยักเพยิดให้แสงสุรีย์มองตามสายตาของตนผ่านกระจกมองข้าง หญิงสาวแว่นหนาถึงกับชะงักรีบจะเปิดประตูลงไปตามทันทีที่เห็นแผ่นหลังบอบบางคุ้นชินก้าวเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปภายในตัวอาคารหนึ่ง
“ อ้าว!! แล้วทำไมลุงไม่บอก นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!! ลงไปเงียบๆอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ฉันชักจะทนแม่ดาราเอาแต่ใจคนนี้ไม่ไหวแล้วนะนี่ถ้าไม่ถือว่าดูแลกันมานานเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ฉันจะทิ้งไฮยาซินตัวนี้จริงๆด้วยค่ะ”
“ใจเย็นๆครับ คุณแสง คุณอรเธอเอาแต่ใจตามประสาคนโดนสปอยล์มาแต่ไหนแต่ไร คุณแสงอย่าถือเธอเลยนะครับ”
“ค่ะ.ฉันก็พูดไปงั้นแหละ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันขอลงตรงนี้เลยละกัน พรุ่งนี้มารอสักหกโมงครึ่งนะ แล้วก็อย่าลืมให้คนไปขับรถอรที่ดรีมมาไว้ให้ที่คอนโดด้วยค่ะ”
แสงสุรีย์สั่งความทั้งที่วุ่นวายกับการเก็บสัมภาระกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเอกสารอื่นๆ อย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูรถพาตัวเองตามอรณีเข้าไปภายในตัวอาคารห้างสรรพสินค้าชื่อดังขนาดใหญ่ทันที
++++++++++++++++++++++++
บรรยากาศอึมครึมที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเมื่อครู่ใหญ่จางหายไปทันทีเมื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตามเข้ามาสมทบ น่านฟ้า..พี่ชายคนเดียวของคัคนานต์และเพิ่งรับช่วงต่อบริษัทสวรินทร์พร็อพเพอร์ตี กิจการของครอบครัวมาหมาดๆ สถาปนิกหนุ่มมาดเฉียบทุกกระเบียดนิ้วตบบ่าทักทายเพื่อนร่วมงานเคยคุ้นที่นั่งหันหลังให้ก่อนจะพาตัวลงนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกัน คั่นกลางระหว่างน้องสาวที่นั่งโซฟาเดี่ยวและภาณุที่นั่งโซฟาตัวยาวและทิ้งระยะพองาม
“ไง..ทำไมมาหาพี่ได้ล่ะเรา”
“แม่ฝากนี่มาให้พี่น่ะ”
สาวลูกครึ่งเปิดกระเป๋าถือใบหรูยี่ห้อดัง หยิบสมาร์ทโฟนเครื่องบางเฉียบรุ่นล่าออกมายื่นให้ น่านฟ้ารับมาเปิดดูอย่างตื่นเต้น
“อ้าว..อยู่ที่บ้านเองเหรอ แสดงว่าพี่เอาไปลืมไว้ตอนเมากลับบ้านวันก่อน พี่ก็นึกว่าไปวางลืมไว้ตอนไปผับกับไอ้เบตเมื่อวันก่อนซะอีก ขอบใจนะ นี่ดีนะไม่หายที่อื่น ไม่งั้นพี่แย่แน่ ข้อมูลลูกค้าเพียบ”
“ข้อมูลลูกค้าหรือเบอร์สาวๆกันแน่ที่เพียบ พี่ก็น่าจะโทรกลับเข้ามาเบอร์ตัวเองสิ จะได้รู้น่ะ แต่ถึงยังไงก็โชคดีเหมือนกันนะที่มาวันนี้ นางเลยได้เจอเพื่อนพี่ด้วย จริงไหมคะคุณณุ..คุณณุคะ”
คัคนานต์ปรายตายิ้มหวานให้ภาณุที่นั่งเหม่อฟังสองพี่น้องคุยกันเงียบๆ รอเวลาปรึกษาเรื่องงานที่เกิดปัญหา และดูเหมือนเขาจะมีเรื่องให้ขบคิดมากจนไม่ได้ยินสิ่งที่น่านฟ้าและคัคนานต์เอ่ยสักนิด
“ณุ..ไอ้ณุ.. เฮ้!! เหม่ออะไรวะ”
“เอ่อ..ปละ..เปล่า ฟังพี่น้องคุยกันเพลินน่ะ เดี๋ยวนายเสร็จธุระแล้วค่อยคุยเรื่องไซด์งานกันก็ได้”
ภาณุแก้เก้อลุกขึ้นขอตัวในขณะที่มือยังคงกำหนังสือพิมพ์หน้าข่าวบันเทิงไว้ไม่ยอมวางกลับคืนที่เดิม ในใจคิดกังวลถึงคนในข่าวอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางอึดอัดของเขาทำให้หญิงสาวที่คอยจับสังเกตุอยู่ตลอดเวลาถีงกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย นึกเสียดายโอกาสที่จะทำความรู้จักจนน่านฟ้าหรี่ตามองสงสัย
“อย่าบอกว่าหลงเสน่ห์อันน้อยนิดของไอ้ณุมันนะ”
“อะไร!! พี่น่าน..เปล่าซะหน่อย เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง.ก็แค่ผู้ชายเรียบๆ ดูดีนิดหน่อยเอง” คัคนานต์ปฏิเสธทันทีแต่สีหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกทำให้พี่ชายอดหัวเราะขันไม่ได้
“เออ..ให้มันจริง ดีแล้ว พี่จะเตือนแกไว้ อย่าสนใจมันเลย พี่ไม่เคยเห็นไอ้ณุมันมองผู้หญิงคนไหนเลย จนสาวๆในบริษัทนึกว่ามันเป็นพวกตายด้านไปแล้ว แต่หรือบางทีมันอาจจะไม่ชอบผู้หญิงก็ได้”
น่านฟ้าหัวเราะเบาๆ นึกขำความคิดตัวเอง จนคัคนานต์มองค้อนขวับพี่ชายอย่างหมั่นไส้ ดวงตากลมโตอย่างสาวลูกครี่งค่อนไปทางสแกนดิเนเวียหรี่มองแผ่นหลังชายหนุ่มในบทสนทนาไปอย่างครุ่นคิด
“แต่นางว่าไม่ใช่นะพี่..พี่ณุน่ะชอบต้องผู้หญิงแน่นอน ไม่งั้นจะเขินเหรอเมื่อกี้น่ะ นางรู้สึกได้นะ”
“ช่างเรื่องของมันเหอะ ว่าแต่แกจะไปไหนต่อถ้าไม่ไปไหนไปกินข้าวกันดีกว่าใกล้เลิกงานแล้ว”
“โอเค..ไปกัน แต่พี่ต้องชวนคุณณุไปด้วยนะ...นะคะ” คัคนานต์เกาะแขนพี่ชายเคล้าเคลียออเซาะจนน่านฟ้าอดใจอ่อนหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาชายหนุ่มที่เพิ่งเดินลับหายขึ้นไปห้องทำงานทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++
“จะเกินไปรึเปล่าอร”
น้ำเสียงเข้มดังขึ้นด้านหลังแทบไม่ต้องเดาก็รู้ อรณีถึงกับถอนหายใจอย่างรำคาญ แสงสุรีย์วางกระเป๋าใบโตที่หอบหิ้วตามมาลงบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม คอฟฟี่ช็อปคนไม่พลุกพล่านเท่าใดนักอาจะเพราะเป็นแบรนด์นอกที่ราคาค่อนข้างสูงและความทึบของกระจกร้านทำให้ดาราสาวหลบลี้ผู้คนมานั่งอยู่มุมหนึ่งในร้านได้อย่างสบายใจ
“อรณี!! ถามทำไมไม่ตอบ”
“อรหิว เลยมาหาอะไรกิน ทำไมคะ แค่หาอะไรกินก็ไม่ได้เหรอ หรือมีกฎข้อไหนในสัญญาระบุว่าเป็นดาราห้ามเดินห้างบ้างบอกหน่อยสิ”
อรณีวางแก้วน้ำส้มที่ยังไม่ทันพร่องถึงไหนลงกับพื้นโต๊ะอย่างแรงจนน้ำส้มกระฉอกเลอะผืนผ้าปูสีขาวเล็กน้อย แสงสุรีย์ส่ายหน้าอย่างจนใจที่จะเอ่ยปรามหญิงสาวที่สบตาท้าทายโดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
“เจ้ขอร้องล่ะนะอร เห็นแก่ดรีมหน่อยเถอะ ท่านประธานตกปากรับคำสินค้าตัวนี้แล้วค่าเหนื่อยงานนี้ก็ดีมากด้วย หายากนะ จะว่าไปงานเป็นแพ็คเกจนี่ก็ไม่เลวได้งานทีได้คู่เลย เงินเท่ากับเบิ้ลสองเลยนะ วินวินทั้งสองฝ่ายเลย”
อรณียังคงนิ่งเฉยเฉไฉเล่นสมาร์ทโฟนในมืออย่างไม่สนใจเสียงหรือโลกภายนอกใดๆ แสงสุรีย์ถึงกับกุมขมับไม่รู้จะสรรหาคำใดมายกแม่น้ำหลายร้อยสายให้จอมเย่อหยิ่งอย่างอรณียินยอมได้
“เอางี้ ถ้าอรเหนื่อยเสร็จงานนี้กับถ่ายหนังอีกไม่กี่ฉากที่เหลือเจ้จะขอท่านประธานให้อรพักสักสองอาทิตย์ดีไหม..อยากไปไหนดีล่ะ ญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา หรืออยากไปนิวซีแลนด์ อรอยากไปนี่นะ ใช่ๆ เจ้เพิ่งนึกได้ ดีไหม..หืม?”
“อรอยากพัก..พัก.ตลอดชีวิต”
อรณีตอบเรียบๆ น้ำเสียงไม่บ่งบอกความขุ่นข้องใจใด แต่น้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุดนั้น แสงสุรีย์รับรู้ได้ถึงความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวถึงกับหน้าเสีย เพราะรู้ถึงผลที่จะตามมาถ้าหากหญิงสาวตรงหน้าทำอย่างที่พูดจริง
“พักตลอดชีวิต? พูดเป็นเล่นไป พักแล้วจะเอาอะไรกิน เธอเคยทำมาหากินอาชิพอื่นหรือไง เคยหาเงินแบบคนธรรมดาเขาทำงานกันไหม เอาเงินแสนเงินล้านมาแลกเงินพันเงินหมื่น เธอคิดว่าจะอยู่ได้เหรอ..อรณี”
“คนอื่นยังอยู่กันได้ ทำไมอรจะอยู่ไม่ได้ ก็แค่ออกจากวงการง่ายจะตายไป”
“ก่อนจะพูดอะไรให้คิดดีๆ อย่าลืมสิอรณี..แม่และน้องชายของเธอพวกเขาจะอยู่ยังไงถ้าเธอล้มไปสักคน”
อรณีถึงกับนิ่งงันไปเมื่อฟังคำพูดจบประโยค หล่อนลืมนึกถึงเรื่องมารดาและน้องชายไปเสียสนิทใจทีเดียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทันทีที่ลิฟท์โดยสารเปิดออกเมื่อถึงเป้าหมายชั้นที่พัก หญิงสาวถึงกับพรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ความกังวลใจในเรื่องเมื่อหัวค่ำยังไม่จางหาย การทำบางสิ่งที่ขัดต่อความรู้สึกยิ่งทำให้อึดอัดขัดใจกับตัวเองยิ่งนัก
ร่างระหงอ่อนระโหยอย่างหมดสภาพนางพญาในยามที่ปราศจากผู้คน ทางเดินทอดยาวไปยังจุดหมายยังคงว่างเปล่าและเงียบเหงา ถ้าหากไม่พบเจอใครบางคนยืนกำลังไขประตูหน้าห้องพร้อมกับในมือถือถุงอะไรบางอย่าง และกำลังมองมาทางหล่อนทันทีที่ได้ยินเสียงกระทบกันของรองเท้าส้นสูงแหลมกับพื้นทางเดินแกรนิตดังใกล้เข้ามา
“มาแล้วเหรอ..อร”
น้ำเสียงอาทรและรอยยิ้มแย้มอยู่เสมอยามเมื่อพบหน้า ทำให้คนเหนื่อยกับชีวิตถึงกับยิ้มออกมาได้
“ณุ”
“เห็นหมู่นิ้อรดื่มนมก่อนนอนแล้วเสาะท้อง ณุซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากกำลังร้อนๆเลย..มาเถอะเร็วเข้า”
อรณีพยักหน้าก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามาและสวมกอดคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ทำเอาภาณุถึงกับอึ้งไปด้วยความประหลาดใจ..
++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ ^___^
“เจ้ว่าอะไรนะ!!”
“เสียงดังทำไม เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าพอดีหรอก”
แสงสุรีย์เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆบริเวณพร้อมส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเมื่อเห็นดวงหน้านวลภายใต้แว่นกันแดดสีชากรอบใหญ่ทำท่าทางไม่พอใจ อรณีละสายตาจากบทละครปึกใหญ่ทันทีทั้งที่กำลังซักซ้อมคิวเพื่อเตรียมตัวถ่ายฉากสำคัญในวันพรุ่งนี้กับทีมเอที่มีชัชพลเป็นผู้ดูแล
“ทำไม อยู่ในรถฟิล์มดำมืดขนาดนี้กลัวใครมาเห็นมาได้ยินหรือไงกัน”
อรณีแหวใส่อย่างไม่สะทกสะท้านกับกิริยาคุ้นชินของผู้จัดการส่วนตัวที่เอ่ยตำหนิเป็นประจำ
“แล้วอรจะโวยให้ได้อะไรขึ้นมา ก็แค่พรุ่งนี้เช้าเราออกแต่เช้าไปถ่ายแบบเซ็ตคู่รักก่อน นี่เจ้นัดเวลารุตกับทีมงานแองเจิ้ลเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าแปดโมงเราต้องถึงที่หมายห้ามเลท เพราะไม่งั้นอรจะไปไม่ทันถ่ายฉากพระอาทิตย์ตกที่พัทยานะ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบรับงานซ้อน พูดไม่รู้เรื่องรึไง แค่ต้องมาเล่นประกบเด็กนั่นก็ลำบากพอทนแล้วนะ นี่ยังให้ถ่ายแบบคู่อีก เกิดหน้าอรล้ำเกินวัยเด็กนั่นอรก็โดนถล่มเละจากพวกโลกไซเบอร์ว่าเป็นป้าอีก”
“จะคิดมากทำไม พวกเธอสมกันจะตาย ไม่เห็นดูแก่ตรงไหนนี่อร”
“ไม่มาเป็นอรจะรู้ได้ไง..ทำไมเจ้ทำแบบนี้ล่ะ ถามอรสักคำสิเรื่องรับงาน คิดว่าท่านประธานให้ท้ายอยู่หรือไงถึงมาสั่งอรอยู่ได้”
อรณีโยนบทลงกับเบาะข้างกาย บรรยากาศ ใบหน้านวลเชิดเมินมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นการตัดคำรำคาญที่จะได้ยินให้ระคายหู ในขณะที่ภายในรถตู้ระอุไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธของนางเอกสาวและผู้จัดการส่วนตัวที่ต่างอึดอัดขัดใจกับท่าทีของกันและกัน
“ไม่ใช่เด็กๆแล้ว อย่าเอาแต่ใจนักได้ไหมอร..ทำไมถึงพูดยากนัก อย่าให้เจ้ต้องลำบากใจได้ไหม เจ้เป็นคนกลางระหว่างเธอกับท่านประธาน เธออยากได้อะไรเจ้ก็พูดแทนเธอหมดแล้ว แต่ท่านไม่ยอมจะให้ทำยังไง ”
“ถ้าอยากให้พูดง่ายๆก็น่าจะเคารพกติกาของอรบ้างสิ เคยบอกแล้วนี่ว่าอรรับงานยังไ งเจ้เป็นผู้จัดการของอรก็ต้องเห็นแก่อรเป็นปากเสียงให้อรสิ ทำไมต้องมาช่วยพูดแทนท่านประธานด้วยล่ะ”
“เอาแต่อารมณ์..พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
แสงสุรีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่หันกลับมองตรงไปนอกถนนอย่างขัดใจและระงับอารมณ์ โดยมีสายตาลุงทองคอยมองทั้งสองอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง
อรณีมองเมินออกนอกหน้าต่าง การจราจรยามเย็นผู้คนขวักไขว่รถราติดยาวไม่ยอมเคลื่อนตัวจนหญิงสาวรู้สึกอึดอัดทบเท่าพันทวีที่ทุกสิ่งไม่เป็นอย่างใจ แล้วยิ่งเจอสายตาคาดโทษของแสงสุรีย์ที่เหลือบมองจากกระจกมองหลังผ่านช่องผ้าม่านสีขาวระหว่างเบาะหน้าข้างคนขับมายังหล่อนที่นั่งตอนกลางรถตู้เพียงคนเดียวยิ่งพาลให้หงุดหงิดจนต้องดึงผ้าม่านปิดเป็นการตัดการสนทนาทันที
แสงสุรีย์ลอบถอนใจอีกครั้งพร้อมทั้งมองหน้ากันกับลุงทองคนขับรถคู่ใจ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของปราณแล้วก็ได้แต่คิดหนักกลั้นใจเอ่ยมันออกมาอีกครั้ง
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้เช้าหกโมงเจ้จะโทรมาปลุก หกโมงสี่สิบห้าเตรียมตัวให้พร้อมวันอาทิตย์รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เราน่าจะทำเวลาได้ทันก่อนแปดโมงเล็กน้อย หน้าผมไปแต่งที่แองเจิ้ลเลย คิดว่าน่าจะเสร็จประมาณไม่เกินบ่ายสองแล้วเราจะได้ไปพัทยาต่อ จากแองเจิ้ลก็ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ขึ้นทางด่วนไป น่าจะทันทีมเอถ่ายเก็บฉากอื่นเสร็จแล้วล่ะ..ได้ยินไหม..อร”
“อร..อรณี!!.ได้ยินรึเปล่า”
แสงสุรีย์ปิดสมุดรับงานที่เพิ่งขีดเขียนตารางงานเมื่อครู่ด้วยความขัดใจที่อรณีไม่ตอบรับ หรือแสดงอาการว่ารับรู้อย่างเคย สาวแว่นหนาขยับแว่นเล็กน้อยด้วยนิ้วชี้ตามความเคยชินก่อนจะหันกลับไปเปิดผ้าม่านที่คั่นกลางระหว่างหล่อนและความเป็นส่วนตัวของอรณี แต่แล้วลุงทองก็ขัดขึ้น
“ไม่ต้องเปิดดูหรอกครับคุณแสง คุณอรลงรถไปเห็นหลังไวๆ โน่นแล้ว”
ทองพยักเพยิดให้แสงสุรีย์มองตามสายตาของตนผ่านกระจกมองข้าง หญิงสาวแว่นหนาถึงกับชะงักรีบจะเปิดประตูลงไปตามทันทีที่เห็นแผ่นหลังบอบบางคุ้นชินก้าวเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปภายในตัวอาคารหนึ่ง
“ อ้าว!! แล้วทำไมลุงไม่บอก นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!! ลงไปเงียบๆอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ฉันชักจะทนแม่ดาราเอาแต่ใจคนนี้ไม่ไหวแล้วนะนี่ถ้าไม่ถือว่าดูแลกันมานานเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ฉันจะทิ้งไฮยาซินตัวนี้จริงๆด้วยค่ะ”
“ใจเย็นๆครับ คุณแสง คุณอรเธอเอาแต่ใจตามประสาคนโดนสปอยล์มาแต่ไหนแต่ไร คุณแสงอย่าถือเธอเลยนะครับ”
“ค่ะ.ฉันก็พูดไปงั้นแหละ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันขอลงตรงนี้เลยละกัน พรุ่งนี้มารอสักหกโมงครึ่งนะ แล้วก็อย่าลืมให้คนไปขับรถอรที่ดรีมมาไว้ให้ที่คอนโดด้วยค่ะ”
แสงสุรีย์สั่งความทั้งที่วุ่นวายกับการเก็บสัมภาระกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเอกสารอื่นๆ อย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูรถพาตัวเองตามอรณีเข้าไปภายในตัวอาคารห้างสรรพสินค้าชื่อดังขนาดใหญ่ทันที
++++++++++++++++++++++++
บรรยากาศอึมครึมที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเมื่อครู่ใหญ่จางหายไปทันทีเมื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตามเข้ามาสมทบ น่านฟ้า..พี่ชายคนเดียวของคัคนานต์และเพิ่งรับช่วงต่อบริษัทสวรินทร์พร็อพเพอร์ตี กิจการของครอบครัวมาหมาดๆ สถาปนิกหนุ่มมาดเฉียบทุกกระเบียดนิ้วตบบ่าทักทายเพื่อนร่วมงานเคยคุ้นที่นั่งหันหลังให้ก่อนจะพาตัวลงนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกัน คั่นกลางระหว่างน้องสาวที่นั่งโซฟาเดี่ยวและภาณุที่นั่งโซฟาตัวยาวและทิ้งระยะพองาม
“ไง..ทำไมมาหาพี่ได้ล่ะเรา”
“แม่ฝากนี่มาให้พี่น่ะ”
สาวลูกครึ่งเปิดกระเป๋าถือใบหรูยี่ห้อดัง หยิบสมาร์ทโฟนเครื่องบางเฉียบรุ่นล่าออกมายื่นให้ น่านฟ้ารับมาเปิดดูอย่างตื่นเต้น
“อ้าว..อยู่ที่บ้านเองเหรอ แสดงว่าพี่เอาไปลืมไว้ตอนเมากลับบ้านวันก่อน พี่ก็นึกว่าไปวางลืมไว้ตอนไปผับกับไอ้เบตเมื่อวันก่อนซะอีก ขอบใจนะ นี่ดีนะไม่หายที่อื่น ไม่งั้นพี่แย่แน่ ข้อมูลลูกค้าเพียบ”
“ข้อมูลลูกค้าหรือเบอร์สาวๆกันแน่ที่เพียบ พี่ก็น่าจะโทรกลับเข้ามาเบอร์ตัวเองสิ จะได้รู้น่ะ แต่ถึงยังไงก็โชคดีเหมือนกันนะที่มาวันนี้ นางเลยได้เจอเพื่อนพี่ด้วย จริงไหมคะคุณณุ..คุณณุคะ”
คัคนานต์ปรายตายิ้มหวานให้ภาณุที่นั่งเหม่อฟังสองพี่น้องคุยกันเงียบๆ รอเวลาปรึกษาเรื่องงานที่เกิดปัญหา และดูเหมือนเขาจะมีเรื่องให้ขบคิดมากจนไม่ได้ยินสิ่งที่น่านฟ้าและคัคนานต์เอ่ยสักนิด
“ณุ..ไอ้ณุ.. เฮ้!! เหม่ออะไรวะ”
“เอ่อ..ปละ..เปล่า ฟังพี่น้องคุยกันเพลินน่ะ เดี๋ยวนายเสร็จธุระแล้วค่อยคุยเรื่องไซด์งานกันก็ได้”
ภาณุแก้เก้อลุกขึ้นขอตัวในขณะที่มือยังคงกำหนังสือพิมพ์หน้าข่าวบันเทิงไว้ไม่ยอมวางกลับคืนที่เดิม ในใจคิดกังวลถึงคนในข่าวอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางอึดอัดของเขาทำให้หญิงสาวที่คอยจับสังเกตุอยู่ตลอดเวลาถีงกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย นึกเสียดายโอกาสที่จะทำความรู้จักจนน่านฟ้าหรี่ตามองสงสัย
“อย่าบอกว่าหลงเสน่ห์อันน้อยนิดของไอ้ณุมันนะ”
“อะไร!! พี่น่าน..เปล่าซะหน่อย เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง.ก็แค่ผู้ชายเรียบๆ ดูดีนิดหน่อยเอง” คัคนานต์ปฏิเสธทันทีแต่สีหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกทำให้พี่ชายอดหัวเราะขันไม่ได้
“เออ..ให้มันจริง ดีแล้ว พี่จะเตือนแกไว้ อย่าสนใจมันเลย พี่ไม่เคยเห็นไอ้ณุมันมองผู้หญิงคนไหนเลย จนสาวๆในบริษัทนึกว่ามันเป็นพวกตายด้านไปแล้ว แต่หรือบางทีมันอาจจะไม่ชอบผู้หญิงก็ได้”
น่านฟ้าหัวเราะเบาๆ นึกขำความคิดตัวเอง จนคัคนานต์มองค้อนขวับพี่ชายอย่างหมั่นไส้ ดวงตากลมโตอย่างสาวลูกครี่งค่อนไปทางสแกนดิเนเวียหรี่มองแผ่นหลังชายหนุ่มในบทสนทนาไปอย่างครุ่นคิด
“แต่นางว่าไม่ใช่นะพี่..พี่ณุน่ะชอบต้องผู้หญิงแน่นอน ไม่งั้นจะเขินเหรอเมื่อกี้น่ะ นางรู้สึกได้นะ”
“ช่างเรื่องของมันเหอะ ว่าแต่แกจะไปไหนต่อถ้าไม่ไปไหนไปกินข้าวกันดีกว่าใกล้เลิกงานแล้ว”
“โอเค..ไปกัน แต่พี่ต้องชวนคุณณุไปด้วยนะ...นะคะ” คัคนานต์เกาะแขนพี่ชายเคล้าเคลียออเซาะจนน่านฟ้าอดใจอ่อนหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาชายหนุ่มที่เพิ่งเดินลับหายขึ้นไปห้องทำงานทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++
“จะเกินไปรึเปล่าอร”
น้ำเสียงเข้มดังขึ้นด้านหลังแทบไม่ต้องเดาก็รู้ อรณีถึงกับถอนหายใจอย่างรำคาญ แสงสุรีย์วางกระเป๋าใบโตที่หอบหิ้วตามมาลงบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม คอฟฟี่ช็อปคนไม่พลุกพล่านเท่าใดนักอาจะเพราะเป็นแบรนด์นอกที่ราคาค่อนข้างสูงและความทึบของกระจกร้านทำให้ดาราสาวหลบลี้ผู้คนมานั่งอยู่มุมหนึ่งในร้านได้อย่างสบายใจ
“อรณี!! ถามทำไมไม่ตอบ”
“อรหิว เลยมาหาอะไรกิน ทำไมคะ แค่หาอะไรกินก็ไม่ได้เหรอ หรือมีกฎข้อไหนในสัญญาระบุว่าเป็นดาราห้ามเดินห้างบ้างบอกหน่อยสิ”
อรณีวางแก้วน้ำส้มที่ยังไม่ทันพร่องถึงไหนลงกับพื้นโต๊ะอย่างแรงจนน้ำส้มกระฉอกเลอะผืนผ้าปูสีขาวเล็กน้อย แสงสุรีย์ส่ายหน้าอย่างจนใจที่จะเอ่ยปรามหญิงสาวที่สบตาท้าทายโดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
“เจ้ขอร้องล่ะนะอร เห็นแก่ดรีมหน่อยเถอะ ท่านประธานตกปากรับคำสินค้าตัวนี้แล้วค่าเหนื่อยงานนี้ก็ดีมากด้วย หายากนะ จะว่าไปงานเป็นแพ็คเกจนี่ก็ไม่เลวได้งานทีได้คู่เลย เงินเท่ากับเบิ้ลสองเลยนะ วินวินทั้งสองฝ่ายเลย”
อรณียังคงนิ่งเฉยเฉไฉเล่นสมาร์ทโฟนในมืออย่างไม่สนใจเสียงหรือโลกภายนอกใดๆ แสงสุรีย์ถึงกับกุมขมับไม่รู้จะสรรหาคำใดมายกแม่น้ำหลายร้อยสายให้จอมเย่อหยิ่งอย่างอรณียินยอมได้
“เอางี้ ถ้าอรเหนื่อยเสร็จงานนี้กับถ่ายหนังอีกไม่กี่ฉากที่เหลือเจ้จะขอท่านประธานให้อรพักสักสองอาทิตย์ดีไหม..อยากไปไหนดีล่ะ ญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา หรืออยากไปนิวซีแลนด์ อรอยากไปนี่นะ ใช่ๆ เจ้เพิ่งนึกได้ ดีไหม..หืม?”
“อรอยากพัก..พัก.ตลอดชีวิต”
อรณีตอบเรียบๆ น้ำเสียงไม่บ่งบอกความขุ่นข้องใจใด แต่น้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุดนั้น แสงสุรีย์รับรู้ได้ถึงความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวถึงกับหน้าเสีย เพราะรู้ถึงผลที่จะตามมาถ้าหากหญิงสาวตรงหน้าทำอย่างที่พูดจริง
“พักตลอดชีวิต? พูดเป็นเล่นไป พักแล้วจะเอาอะไรกิน เธอเคยทำมาหากินอาชิพอื่นหรือไง เคยหาเงินแบบคนธรรมดาเขาทำงานกันไหม เอาเงินแสนเงินล้านมาแลกเงินพันเงินหมื่น เธอคิดว่าจะอยู่ได้เหรอ..อรณี”
“คนอื่นยังอยู่กันได้ ทำไมอรจะอยู่ไม่ได้ ก็แค่ออกจากวงการง่ายจะตายไป”
“ก่อนจะพูดอะไรให้คิดดีๆ อย่าลืมสิอรณี..แม่และน้องชายของเธอพวกเขาจะอยู่ยังไงถ้าเธอล้มไปสักคน”
อรณีถึงกับนิ่งงันไปเมื่อฟังคำพูดจบประโยค หล่อนลืมนึกถึงเรื่องมารดาและน้องชายไปเสียสนิทใจทีเดียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทันทีที่ลิฟท์โดยสารเปิดออกเมื่อถึงเป้าหมายชั้นที่พัก หญิงสาวถึงกับพรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ความกังวลใจในเรื่องเมื่อหัวค่ำยังไม่จางหาย การทำบางสิ่งที่ขัดต่อความรู้สึกยิ่งทำให้อึดอัดขัดใจกับตัวเองยิ่งนัก
ร่างระหงอ่อนระโหยอย่างหมดสภาพนางพญาในยามที่ปราศจากผู้คน ทางเดินทอดยาวไปยังจุดหมายยังคงว่างเปล่าและเงียบเหงา ถ้าหากไม่พบเจอใครบางคนยืนกำลังไขประตูหน้าห้องพร้อมกับในมือถือถุงอะไรบางอย่าง และกำลังมองมาทางหล่อนทันทีที่ได้ยินเสียงกระทบกันของรองเท้าส้นสูงแหลมกับพื้นทางเดินแกรนิตดังใกล้เข้ามา
“มาแล้วเหรอ..อร”
น้ำเสียงอาทรและรอยยิ้มแย้มอยู่เสมอยามเมื่อพบหน้า ทำให้คนเหนื่อยกับชีวิตถึงกับยิ้มออกมาได้
“ณุ”
“เห็นหมู่นิ้อรดื่มนมก่อนนอนแล้วเสาะท้อง ณุซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากกำลังร้อนๆเลย..มาเถอะเร็วเข้า”
อรณีพยักหน้าก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามาและสวมกอดคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ทำเอาภาณุถึงกับอึ้งไปด้วยความประหลาดใจ..
++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ ^___^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2557, 15:01:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2557, 15:05:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1460
<< บทที่ 4 ปีกของไฮยาซินแสนสวย | บทที่ 6 สานต่อ >> |