ร้อยรักพรางตะวัน (Just To Love You)
ชีวิตและจิตใจของฉันเหมือนดั่ง..ตุ๊กตาแก้ว..
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน,รักซึ้งๆ,รักโรแมนติก
ตอน: บทที่ 6 สานต่อ
ร้านอาหารกึ่งผับสไตล์เรโทร ยามค่ำคืนในย่านผู้คนพลุกพล่าน แต่บรรยากาศภายในร้านกลับเหงียบเหงาปราศจากนักดื่มนักกินเสียงเปียโนยังคงบรรเลงหวานแว่ว คัคนานต์มองดูผู้คนเดินผ่านไปมาผ่านกระจกใสบานใหญ่ของร้านแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างแสนเบื่อหน่ายจนน่านฟ้าและธิเบตต้องหันมาให้ความสนใจหญิงสาวคนเดียวในกลุ่ม โดยเฉพาะธิเบตที่รีบถามขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรครับน้องนางอาหารไม่อร่อยเหรอ”
“อืม นั่นสิ นั่งเขี่ยจานข้าวอยู่เป็นนานสองนานแล้วมันไปทำอะไรให้แกเซ็งรึไง”
คำถามแรกจากธิเบตที่ถามอย่างสุภาพยังไม่สะดุดหูเท่าคำพูดต่อมาที่พ่นออกจากปากพี่ชายของตัวเองหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มค้อนขวับด้วยกิริยาน่ารัก
“เมื่อไหร่พี่ณุจะมาซะทีคะไหนว่านัดกันสองทุ่มไง นี่สองทุ่มครึ่งแล้วนะคะ”
“สนิทกันเร็วไปรึเปล่าน้องสาวพี่ไม่ทันไรเรียกไอ้ณุว่าพี่แล้ว ถามมันรึยังว่าอยากมีน้องสาวอย่างแกรึเปล่า”
“พี่น่ะ..ไม่พูดด้วยแล้วกินต่อดีกว่า ฮึ”
คนเป็นพี่ถึงกับหัวเราะที่เห็นน้องสาวคนเดียวหน้าแดงแจ๋ยามเอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะในตอนนี้ธิเบตจ้องมองกิริยาน่ารักของคัคนานต์ไม่วางตาจนน่านฟ้าต้องกระแอมออกมาเบาๆชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าจึงรู้สึกตัวยิ้มมุมปากนิดๆละความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าทันที
“วันนี้ชวนมากินที่นี่มีอะไรพิเศษรึเปล่าวะปกติร้านแบบนี้ไม่ใช่แนวของนายนี่ หรืออยากนั่งร้านเงียบๆ ชิลๆ”
น่านฟ้าเปิดฉากถามไถ่ความข้องใจกับชายหนุ่มเชื้อสายจีนผิวขาวจัดนักการตลาดคนเก่งประจำบริษัท ที่พ่วงตำแหน่งรุ่นน้องคนสนิทตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยของเขา‘ธิเบต’ ส่ายหน้าอย่างครุ่นคิดเหมือนมีอะไรในใจพร้อมทั้งสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันทีทำให้หนุ่มลูกครึ่งรุ่นพี่มองตามสายตาเขาไปอย่างสนใจ
“ในสายตาพี่ร้านนี้เป็นยังไงบ้างในด้านภาพรวมทั่วไปของร้าน ผมอยากได้ความเห็นพี่ในฐานะสถาปนิกน่ะ”
“ทำไม..นายสนใจร้านนี้เหรอวะ”
“คิดว่านะ..เจ้าของร้อนเงินมาเสนอขายพร้อมอุปกรณ์ทุกอย่างสามล้านพี่คิดว่าไงช่วยออกความเห็นหน่อย”
น่านฟ้าขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจที่นักการตลาดอนาคตไกลอย่างธิเบตสนใจธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืนซึ่งต่างจากงานประจำโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มพินิจพิเคราะห์บรรยากาศโดยรอบอย่างละเอียดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆยังความสนใจให้ธิเบตและคัคนานต์ที่เพิ่งอิ่มจากอาหารจานหลักตรงหน้าพอดี
“ไม่ดีเหรอคะ..พี่”
แทนที่จะเป็นธิเบตที่ถามเอาคำตอบกลับเป็นสาวน้อยหนึ่งเดียวที่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ และธิเบตที่จดจ่อรอคำตอบก็พยักหน้าเห็นด้วยแต่น่านฟ้านิ่งไปอย่างใช้ความคิดกว่าจะหลุดคำพูดต่อมา
“ร้านก็สวยดี ทำเลก็ดี แต่ฉันว่าแถวนี้ร้านเหล้าแนวนี้มันไม่ค่อยเวิร์คว่ะแกดูสิล้อมรอบร้านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารอิตาเลียน ผับหรูๆซึ่งแต่ละร้านคนนั่งเยอะซะขนาดนั้น ฉันว่ามันไม่ใช่แนวว่ะ”
“อืม..ผมก็นึกหาเหตุผลอยู่ว่าทำไมถึงอยากขายทั้งที่ทำเลอะไรก็ดีออกถ้าเราเปลี่ยนแนวแล้วอุปกรณ์ของตกแต่งในร้านไม่เสียเปล่าเลยเรอะไงนะ” ธิเบตมองไปรอบกายแล้วเปรยอย่างครุ่นคิด
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอไอ้ณุมาก่อน แล้วให้มันช่วยดูดีกว่า พี่ก็ไม่แน่ใจว่ะไอ้ณุมันเก่ง สายตามันไม่เคยพลาดเลย อาจจะแนะนำนายได้ดีกว่าพี่ก็ได้”
“พี่ณุเก่งขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่น่าน น่าปลื้มจัง”
ท่าทางกระตือรือร้นของคัคนานต์ยามได้ฟังเรื่องของภาณุน่านฟ้าได้แต่กระแอมเบาๆอย่างรู้ทัน ในขณะเดียวกันก็เอ่ยปรามน้องสาวกลายๆไม่ให้รู้ตัว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวกลับไม่รู้และกลายเป็นอีกคนที่สนใจฟังแทน
“ปลื้มได้ มองได้ แต่อย่าชอบ”น่านฟ้าเปรยจริงจัง
“ทำไมคะ?”
“เอาเถอะน่าอยู่ห่างๆไอ้ณุไว้ ถ้าไม่อยากให้มันเดือดร้อน”
“แต่พี่คะ..” สาวน้อยแย้งด้วยความสงสัยสีหน้าแสดงความอยากรู้สุดฤทธิ์แต่ไม่ทันได้ทวงถามต่อสายตาก็พลันสบเข้ากับชายหนุ่มรุ่นน้องของพี่ชายตนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงหยุดซักไซ้ไล่เลียงเมื่อเห็นว่าไม่สมควร
“แกก็น่าจะรู้ว่าทำไม เอาเป็นว่าเลิกพูดเถอะเสียบรรยากาศหมดนั่นไงไอ้ณุมาแล้ว”
น่านฟ้าหันมาปรามน้องสาวที่ถูกขัดใจจนหน้าบูดหน้าบึ้งแล้วกวักมือเรียกคนมาใหม่ภาณุโบกมือให้แต่ยืนรีรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ายุ่งยากใจในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์ค้างอยู่
“ทำไมออกมาไม่บอกกันเลยอรตื่นมาไม่เห็นณุแล้ว”
เสียงงัวเงียติดจะงอนนิดๆอย่างคนเอาแต่ใจดังมาตามสายภาณุรีรอทั้งที่เห็นเพื่อนกวักมือเรียกอยู่ในร้านแต่เพราะอรณีโทรมาพอดีทำให้ไม่ค่อยสะดวกที่จะพูดตอบคนในสายนัก ชายหนุ่มโบกมือให้คนรอเป็นเชิงขอเวลาก่อนที่จะตอบกลับคนในสายด้วยน้ำเสียงอ่อน
“ณุเห็นอรเหนื่อย ร้องไห้จนหลับสงสารเลยไม่อยากปลุกน่ะ”
“น้ำเต้าหู้อร่อยมากเลย เจ้าไหนเหรอ”
นานกว่านาทีกว่าที่อรณีจะพูดออกมาประโยคหนึ่งก่อนจะเงียบไปอีกจนคนฟังอดใจไม่ไหวด้วยความอยากรู้ “เจ้าเดิมปากซอยนั่นแหละว่าแต่มีเรื่องอะไรล่ะ วันนี้ถึงได้ร้องไห้..บอกได้มั๊ย”
ไม่มีคำตอบใดอีกเช่นเคยภาณุรอคนปลายสายด้วยใจจดจ่อ เป็นห่วงที่ต้องทิ้งมาก่อนแต่เพราะนัดน่านฟ้าเอาไว้เพื่อจะได้ปรึกษาเรื่องวัสดุที่สั่งมาผิดพลาดเมื่อตอนบ่ายจึงทิ้งให้คาใจไม่ได้เกรงความเสียหายที่จะเกิดกับบริษัทถ้าหากไม่เคลียร์ให้จบโดยไว สักพักคนปลายสายก็ตอบกลับมาน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“อรมีเรื่องจะปรึกษา ณุกลับมาหาอรหน่อยได้มั๊ย..อรอยากจะ”
“พี่ณุ!! พี่ณุทำอะไรอยู่คะ”
ยังไม่ทันฟังความจบประโยคเสียงหวานใสก็เอ่ยเรียกชื่อเขาไม่ไกลจนภาณุถึงกับสะดุ้ง หันมองที่มาของต้นเสียงซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหญิงสาวที่เจอกันเมื่อบ่าย ‘คัคนานต์’น้องสาวเพื่อนรักและเป็นเจ้านายของเขา
“เอ่อ..แต่ว่า..แค่นี้ก่อนนะอร..ค่อยคุยกัน”
ภาณุตัดบทแล้วยิ้มให้สาวน้อยที่เดินเข้ามาหาเล็กน้อยก่อนจะกดตัดสายทิ้งทันทีสาวลูกครึ่งหน้าตาสะสวยตรงเข้ามาคว้าแขนเขาอย่างสนิทสนมจนอดแปลกใจได้แต่ยืนนิ่งงัน
“หิวรึยังคะพี่ณุ นาง พี่น่านพี่เบต มารอนานแล้วนะคะ เร็วๆเถอะค่ะ”
“เบต? นายธิเบตมาด้วยเหรอ”
ภาณุถามกลับด้วยความสงสัยสายตาคมมองไกลผ่านกระจกเข้าไปภายในทำให้เห็นเพียงน่านฟ้าที่นั่งหันหน้ามาทางเขาพอดี
“ค่ะ..พี่เบตรอปรึกษาพี่ณุอยู่ค่ะเข้าไปด้านในกันเถอะนะคะ”
ภาณุละล้าละลังใจอยากจะกลับไปหาอรณีที่ดูจะมีปัญหาหนักอึ้งบางอย่างรออยู่และอาจจะอยากต้องการพึ่งพาเขาเช่นเคยแต่ก็ไม่อาจขัดสาวน้อยที่กึ่งลากกึ่งจูงเขาราวสนิทกันมานานก็ไม่ปานอยู่ไปได้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักอกจำใจต้องเดินตามแรงจูงเข้าไปภายในร้านอย่างเสียไม่ได้...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การเดินทางกลับในค่ำคืนนี้ดูจะรวดเร็วเกินไปทำให้สาวน้อยลูกครึ่งรู้สึกขัดใจ ทันทีที่รถญี่ปุ่นสี่ประตูค่อนข้างเก่าเลี้ยวเข้ามาในซอยคอนโดมิเนียมตามคำบอกทางแทนที่จะกลับบ้านตามที่ตกลงกันไว้กับพี่ชายก่อนออกจากร้านอาหาร คัคนานต์ลอบมองดวงหน้าคร้ามคมเข้มอย่างพิศวง ภาณุดูนิ่งและเงียบกว่าใครที่เคยได้ใกล้ชิดหล่อน...อีกทั้งยังไม่มีทีท่าใดๆ ไม่ว่าหล่อนจะพยายามชวนคุยมาตลอดทาง เขาเงียบจนน่าแปลกใจ
“ใกล้ถึงแล้วค่ะ ขอบคุณพี่ณุนะคะที่อุตส่าห์สละเวลามาส่งนาง”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ผ่านทางนี้อยู่แล้ว ว่าแต่มาค้างคอนโดคนเดียวอย่างนี้จะดีเหรอ” ภาณุส่งยิ้มบางๆ ตอบ แค่รอยยิ้มของเขา คนฟังก็ถึงกับหน้าบานลืมความอึดอัดคับแคบของรถเก่าๆไปได้ชะงัดนัก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เปลี่ยนแผนนิดหน่อยเดี๋ยวนางค่อยโทรบอกแม่กับพี่น่านทีหลัง พอดีพรุ่งนี้มีงานเช้าที่พัทยาค่ะ ให้รถทีมงานมารับเลยว่าค้างที่นี่สะดวกกว่า ที่บ้านมันไกลไปหน่อยค่ะพี่ณุ..เกรงใจคนมารับค่ะ”
คัคนานต์อธิบายเสียยืดยาว โดยภาณุตั้งใจฟังพร้อมทั้งมองถนนข้างหน้าที่ซอยคับแคบลงเรื่อยๆ ด้วยการจราจรสองข้างทางคราคล่ำไปด้วยร้านค้ามากมายรายล้อมตลอดแนวถนนคล้ายตลาดย่อมๆ
“ดีนะ แถวนี้ของกินเยอะแยะ ไม่อดแน่ถึงจะเข้ามาในซอยลึกขนาดนี้ก็เถอะ”
“ใช่ค่ะ พี่น่านเลยซื้อคอนโคที่นี่ค่ะ เอาไว้มาพักผ่อน อีกอย่างนางเรียนแถวนี้บางทีมาค้างบ่อย พี่น่านกลัวว่าน้องสาวจะอดตายมั้งคะ”
“อย่างคุณนางไม่น่าอดนะครับ พี่ว่าหัวบันไดคงไม่แห้ง ขี้คร้านจะมีหนุ่มๆส่งของอร่อยมาให้”
“เอาอะไรมาพูดค่ะ นางไม่ได้มีหนุ่มๆมาติดพันอะไรขนาดนั้นซะหน่อย พี่ณุก็..”
เสียงใสเอ่ยกลั้วหัวเราะเก้อเขินภาณุอมยิ้มไปด้วยกับน้ำเสียงร่าเริงของหล่อน คัคนานต์โบกมือพัดไล่ลมร้อนที่ผะผ่าวกระทันหันบนใบหน้า โดยชายหนุ่มข้างกายได้แต่เหลือบมองกิริยาของคนนั่งข้างกันเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็เป็นหล่อนที่โพล่งทำลายความเงียบอีกเช่นเคย
“นางนึกว่าเมื่อบ่ายที่เราเจอกันนั่นเป็นรถพี่ณุซะอีก ที่ลานจอดรถน่ะค่ะ มันใหม่กว่านี้นี่นา”
“อ๋อ..นั่นเป็นรถของบริษัท พี่เอาไว้ใช้เวลาไปติดต่องานไกลๆเท่านั้น ปกติพี่ก็ใช้คันนี้รถนานหลายปี สภาพอาจจะเก่าหน่อยนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แต่เป็นน้ำพักน้ำแรงรถคันแรกของพี่เลยยังไม่คิดเปลี่ยน”
ชายหนุ่มนึกรู้เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของสาวน้อยที่มองเผินๆเหมือนยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่เขาพอจะรู้เมื่อสังเกตจากอากัปกิริยายุกยิกของหล่อนว่าคงไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าใดนัก ไหนจะแอร์รถที่ไม่เย็นฉ่ำเมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ๆฟไหนจะเสียงรถที่ดังกระหึ่มจนผู้คนหันมองไม่ใช่เพราะมองความงามของตัวรถแต่อย่างใต
“เอ่อ..ขอโทษค่ะ นางไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ก็แค่..นาง..” จู่ๆ คัคนานต์ก็รู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงอากัปกิริยาบางอย่างที่ไม่ใช่รังเกียจแต่เหมือนก็ตอบตัวเองไม่ถูกเช่นกัน
“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ..ถึงแล้วที่นี่ใช่มั๊ยครับ”
“ใช่ค่ะ...พี่ณุจะขึ้นมาดื่มอะไรหน่อยมั๊ยคะ อุตส่าห์มาส่งนางตั้งไกล”
คัคนานต์ทอดสายตาเป็นประกายเชิญชวนหากแต่ชายหนุ่มที่เธอทอดสะพานให้กลับส่ายหน้าปฏิเสธแบบแทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรครับ พี่รีบ”
“เสียดายจัง ไม่เป็นไรค่ะเอาไว้นางค่อยเลี้ยงข้าวพี่ณุเป็นการตอบแทนนะคะ”
“เอ่อ...คือ พี่”
“ถือว่าเราสัญญากันแล้วนะคะ..บายๆค่ะ”
หญิงสาวเปิดประตูรถลงไปทันทีโดยที่ไม่ฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ เท่ากับเป็นการมัดมือชกเขากลายๆ ภาณุได้แต่มองตามหลังสาวน้อยที่เดินทิ้งห่างออกไปจนถึงประตูอาคารพร้อมทั้งยิ้มหวานโบกมือให้ จึงได้แต่ยิ้มตอบรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
คัคนานต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง ความหวังที่จะสานสัมพันธ์ต่อกับชายหนุ่มที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อม มือเรียวกระชับโทรศัพท์มือถือแน่นหลังจากแอบใช้โทรศัพท์ของภาณุกดโทรเข้ามาในเครื่องตัวเองตอนที่เขาขอตัวลงไปซื้ออะไรบางอย่างในร้านสะดวกซื้อ
ระหว่างรอลิฟท์ลงมาหญิงสาวก็เปิดโทรศัพท์พร้อมทั้งบันทึกเบอร์โทรศัพท์นั้นลงในเครื่องเรียบร้อยและหัวเราะเบาๆอย่างพึงพอใจ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครก้าวเข้ามายืนขนาบข้าง จวบจบลิฟท์โดยสารส่งเสียงสัญญาณทันทีที่ประตูเปิดสาวน้อยลูกครึ่งก็รีบก้าวเท้าเข้าไปภายในอย่างไม่ลังเลทั้งที่มือยังคงกดจิ้มหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างสนใจ
“เอาแต่จ้องโทรศัพท์ จะไปชั้นไหนครับ..คุณ”
เสียงทุ้มห้วนฟังแล้วสะดุดหู ทำให้คัคนานต์ละสายตาจากโทรศัพท์ทั้งที่กำลังปลื้มอกปลื้มใจกับการเซฟข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ภาณุไว้ได้ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่ทักทายด้วยน้ำคำห้วนไม่ถูกหูนั้นคือใคร
“คุณผู้กำกับ!!”
“หืม..รู้ได้ไงว่าผมเป็นผู้กำกับ”
ชัชพลตอบรับคำทักทายด้วยสีหน้างุนงง ในขณะที่คัคนานต์รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป่าสะพายพร้อมทั้งแนะนำตัวกับเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็หนูที่ไปแคสติ้งกับคุณเมื่อเดือนก่อนไงคะ ภาคต่อของร้อยรักที่คุณอรณีเล่นไงคะ”
สาวน้อยแนะนำตัวอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นสีหน้านิ่งปนครุ่นคิดของหนุ่มใหญ่ตรงหน้าแล้วให้นึกฉุนขึ้นมานิดๆไม่ได้เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะจำได้สักนิดทั้งที่แคสหล่อนมาเองกับมือ
“โทษที ผมจำไมได้ ว่าแต่คุณแคสติ้งผ่าน?”
“โธ่!! ผ่านสิคะ ก็คุณผู้กำกับยังตั้งชื่อใหม่ในวงการให้หนูเลย คุณจำไม่ได้เหรอคะ ที่บอกว่าคัคนานต์จำยาก ให้เปลี่ยนเป็นชื่อฝรั่งเข้ากับหน้าหนู..อลิสไงคะ”
สาวน้อยท้าวความหลังด้วยสีหน้าจริงจัง ชัชพลครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงพยักหน้าพร้อมทั้งเอ่ยชื่อหนึ่งซึ่งก็คือชื่อเธอที่เขาตั้งไว้ให้
“อ่อ..อลิสในแดนมหัศจรรย์..โอเคผม เริ่มจำได้แล้ว ว่าแต่คุณจะไปชั้นไหน ผมรอคำตอบนานแล้วนะ”
“อ๊ะ..ขอโทษค่ะ ชั้นสิบสองค่ะ”
คัคนานต์รีบตอบคำอย่างรวดเร็ว ชัชพลถอนหายใจก่อนจะกดชั้นเลขหมายที่ต้องการ ร่างสูงใหญ่ที่เห็นเพียงแผ่นหลังไม่หันมาให้ความสนใจหล่อนอีกเลย สาวน้อยลูกครึ่งกลืนน้ำลายอย่างนึกหวั่นในความชาเย็นของเขาไมได้ เมื่อนึกไปถึงว่าจะได้ร่วมงานกันใจคอเริ่มจะไม่ค่อยดีไปด้วย
ตัวเลขสีแดงยังคงเลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ จู่ๆ ชัชพลก็โพล่งขึ้นมาทำเอาสาวน้อยที่ค่อยคลายจากอาการเกร็งถึงกับสะดุ้ง
“ว่าแต่ไม่ยักรู้ว่าพักที่นี่ ผมไม่เคยเห็นคุณ” คำถามลอยๆ คล้ายจะชวนคุยซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้เพราะในลิฟท์มีเพียงเธอและเขา หญิงสาวรีบตอบคำแทบจะทันที
“เฉพาะวันนี้ค่ะ ปกติพักที่บ้านแถวฝั่งธนค่ะ พอดีพรุ่งนี้เช้าต้องไปถ่ายคลื่นรักฉากแรกที่พัทยากับทีมบีค่ะ”
“อ่อ..งั้นแสดงว่าไปรถทีมงานพร้อมกัน พรุ่งนี้ผมมีคิวร้อยรักช่วงบ่าย ส่วนช่วงเช้าถ่ายใบปิดเปิดตัวให้คลื่นรัก ว่าแต่คุณแคสได้บทไหน โทษที..ผมลืม”
ชัชพลหันมาถามคนยืนตัวเกร็งอยู่หลังเขา ทันทีที่ได้รู้ว่าหนุ่มใหญ่ตรงหน้าจะมาเป็นผู้กำกับคลื่นรักลวงตะวันที่ตนได้รับบทนำเป็นครั้งแรกก็ให้นึกกริ่งเกรงบารมีขึ้นมาทั้นที หลังจากแอบเก็บข้อมูลเรื่องกิตติศัพท์ของเขามานาน
“คือ..หนู” ท่าทีอ้ำอึ้งของคัคนานต์ ชัลพลถึงกับขมวดคิ้วขัดใจอีกหน
“ช่างเถอะ..คุณยังใหม่ อย่าตื่นเต้นให้มันมาก คืนนี้เข้านอนเร็วๆหน่อย พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาหน้าตาเปล่งปลั่งไม่ต้องพึ่งช่างแต่งหน้าหนาๆเหมือนคนอื่น..อ้อ..เวลาว่างๆ หัดพูดกับตัวเองหน้ากระจกบ่อยๆ คุณยังขาดความเชื่อมั่นที่นักแสดงทั้งหลายควรมี”
“เอ่อ.ค่ะ”
ยังไม่ทันที่ชัชพลจะได้ร่ายยาวต่อ เสียงสัญญาณชั้นเป้าหมายดังขึ้นพร้อมประตูลิฟท์เปิดออกมาเป็นการยุติการสนทนา หนุ่มใหญ่กดลิฟท์ให้ค้างแล้วผายมือให้สาวน้อยเดินนำออกไป คัคนานต์ก้มหน้าค้อมตัวออกมาอย่างนึกเกรงไม่ได้สนใจว่าชัชพลก็ก้าวออกมาโดยต่างคนต่างแยกย้ายไปคนละทาง..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ
ตอนต่อไปคงอัพช้าหน่อยคะ่
คิดว่าจะอัพสลับกับเรื่องที่ค้างไว้อยุ่
ขอบคุณมากๆค่ะ ^^
“เป็นอะไรครับน้องนางอาหารไม่อร่อยเหรอ”
“อืม นั่นสิ นั่งเขี่ยจานข้าวอยู่เป็นนานสองนานแล้วมันไปทำอะไรให้แกเซ็งรึไง”
คำถามแรกจากธิเบตที่ถามอย่างสุภาพยังไม่สะดุดหูเท่าคำพูดต่อมาที่พ่นออกจากปากพี่ชายของตัวเองหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มค้อนขวับด้วยกิริยาน่ารัก
“เมื่อไหร่พี่ณุจะมาซะทีคะไหนว่านัดกันสองทุ่มไง นี่สองทุ่มครึ่งแล้วนะคะ”
“สนิทกันเร็วไปรึเปล่าน้องสาวพี่ไม่ทันไรเรียกไอ้ณุว่าพี่แล้ว ถามมันรึยังว่าอยากมีน้องสาวอย่างแกรึเปล่า”
“พี่น่ะ..ไม่พูดด้วยแล้วกินต่อดีกว่า ฮึ”
คนเป็นพี่ถึงกับหัวเราะที่เห็นน้องสาวคนเดียวหน้าแดงแจ๋ยามเอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะในตอนนี้ธิเบตจ้องมองกิริยาน่ารักของคัคนานต์ไม่วางตาจนน่านฟ้าต้องกระแอมออกมาเบาๆชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าจึงรู้สึกตัวยิ้มมุมปากนิดๆละความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าทันที
“วันนี้ชวนมากินที่นี่มีอะไรพิเศษรึเปล่าวะปกติร้านแบบนี้ไม่ใช่แนวของนายนี่ หรืออยากนั่งร้านเงียบๆ ชิลๆ”
น่านฟ้าเปิดฉากถามไถ่ความข้องใจกับชายหนุ่มเชื้อสายจีนผิวขาวจัดนักการตลาดคนเก่งประจำบริษัท ที่พ่วงตำแหน่งรุ่นน้องคนสนิทตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยของเขา‘ธิเบต’ ส่ายหน้าอย่างครุ่นคิดเหมือนมีอะไรในใจพร้อมทั้งสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันทีทำให้หนุ่มลูกครึ่งรุ่นพี่มองตามสายตาเขาไปอย่างสนใจ
“ในสายตาพี่ร้านนี้เป็นยังไงบ้างในด้านภาพรวมทั่วไปของร้าน ผมอยากได้ความเห็นพี่ในฐานะสถาปนิกน่ะ”
“ทำไม..นายสนใจร้านนี้เหรอวะ”
“คิดว่านะ..เจ้าของร้อนเงินมาเสนอขายพร้อมอุปกรณ์ทุกอย่างสามล้านพี่คิดว่าไงช่วยออกความเห็นหน่อย”
น่านฟ้าขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจที่นักการตลาดอนาคตไกลอย่างธิเบตสนใจธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืนซึ่งต่างจากงานประจำโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มพินิจพิเคราะห์บรรยากาศโดยรอบอย่างละเอียดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆยังความสนใจให้ธิเบตและคัคนานต์ที่เพิ่งอิ่มจากอาหารจานหลักตรงหน้าพอดี
“ไม่ดีเหรอคะ..พี่”
แทนที่จะเป็นธิเบตที่ถามเอาคำตอบกลับเป็นสาวน้อยหนึ่งเดียวที่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ และธิเบตที่จดจ่อรอคำตอบก็พยักหน้าเห็นด้วยแต่น่านฟ้านิ่งไปอย่างใช้ความคิดกว่าจะหลุดคำพูดต่อมา
“ร้านก็สวยดี ทำเลก็ดี แต่ฉันว่าแถวนี้ร้านเหล้าแนวนี้มันไม่ค่อยเวิร์คว่ะแกดูสิล้อมรอบร้านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารอิตาเลียน ผับหรูๆซึ่งแต่ละร้านคนนั่งเยอะซะขนาดนั้น ฉันว่ามันไม่ใช่แนวว่ะ”
“อืม..ผมก็นึกหาเหตุผลอยู่ว่าทำไมถึงอยากขายทั้งที่ทำเลอะไรก็ดีออกถ้าเราเปลี่ยนแนวแล้วอุปกรณ์ของตกแต่งในร้านไม่เสียเปล่าเลยเรอะไงนะ” ธิเบตมองไปรอบกายแล้วเปรยอย่างครุ่นคิด
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอไอ้ณุมาก่อน แล้วให้มันช่วยดูดีกว่า พี่ก็ไม่แน่ใจว่ะไอ้ณุมันเก่ง สายตามันไม่เคยพลาดเลย อาจจะแนะนำนายได้ดีกว่าพี่ก็ได้”
“พี่ณุเก่งขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่น่าน น่าปลื้มจัง”
ท่าทางกระตือรือร้นของคัคนานต์ยามได้ฟังเรื่องของภาณุน่านฟ้าได้แต่กระแอมเบาๆอย่างรู้ทัน ในขณะเดียวกันก็เอ่ยปรามน้องสาวกลายๆไม่ให้รู้ตัว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวกลับไม่รู้และกลายเป็นอีกคนที่สนใจฟังแทน
“ปลื้มได้ มองได้ แต่อย่าชอบ”น่านฟ้าเปรยจริงจัง
“ทำไมคะ?”
“เอาเถอะน่าอยู่ห่างๆไอ้ณุไว้ ถ้าไม่อยากให้มันเดือดร้อน”
“แต่พี่คะ..” สาวน้อยแย้งด้วยความสงสัยสีหน้าแสดงความอยากรู้สุดฤทธิ์แต่ไม่ทันได้ทวงถามต่อสายตาก็พลันสบเข้ากับชายหนุ่มรุ่นน้องของพี่ชายตนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงหยุดซักไซ้ไล่เลียงเมื่อเห็นว่าไม่สมควร
“แกก็น่าจะรู้ว่าทำไม เอาเป็นว่าเลิกพูดเถอะเสียบรรยากาศหมดนั่นไงไอ้ณุมาแล้ว”
น่านฟ้าหันมาปรามน้องสาวที่ถูกขัดใจจนหน้าบูดหน้าบึ้งแล้วกวักมือเรียกคนมาใหม่ภาณุโบกมือให้แต่ยืนรีรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ายุ่งยากใจในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์ค้างอยู่
“ทำไมออกมาไม่บอกกันเลยอรตื่นมาไม่เห็นณุแล้ว”
เสียงงัวเงียติดจะงอนนิดๆอย่างคนเอาแต่ใจดังมาตามสายภาณุรีรอทั้งที่เห็นเพื่อนกวักมือเรียกอยู่ในร้านแต่เพราะอรณีโทรมาพอดีทำให้ไม่ค่อยสะดวกที่จะพูดตอบคนในสายนัก ชายหนุ่มโบกมือให้คนรอเป็นเชิงขอเวลาก่อนที่จะตอบกลับคนในสายด้วยน้ำเสียงอ่อน
“ณุเห็นอรเหนื่อย ร้องไห้จนหลับสงสารเลยไม่อยากปลุกน่ะ”
“น้ำเต้าหู้อร่อยมากเลย เจ้าไหนเหรอ”
นานกว่านาทีกว่าที่อรณีจะพูดออกมาประโยคหนึ่งก่อนจะเงียบไปอีกจนคนฟังอดใจไม่ไหวด้วยความอยากรู้ “เจ้าเดิมปากซอยนั่นแหละว่าแต่มีเรื่องอะไรล่ะ วันนี้ถึงได้ร้องไห้..บอกได้มั๊ย”
ไม่มีคำตอบใดอีกเช่นเคยภาณุรอคนปลายสายด้วยใจจดจ่อ เป็นห่วงที่ต้องทิ้งมาก่อนแต่เพราะนัดน่านฟ้าเอาไว้เพื่อจะได้ปรึกษาเรื่องวัสดุที่สั่งมาผิดพลาดเมื่อตอนบ่ายจึงทิ้งให้คาใจไม่ได้เกรงความเสียหายที่จะเกิดกับบริษัทถ้าหากไม่เคลียร์ให้จบโดยไว สักพักคนปลายสายก็ตอบกลับมาน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“อรมีเรื่องจะปรึกษา ณุกลับมาหาอรหน่อยได้มั๊ย..อรอยากจะ”
“พี่ณุ!! พี่ณุทำอะไรอยู่คะ”
ยังไม่ทันฟังความจบประโยคเสียงหวานใสก็เอ่ยเรียกชื่อเขาไม่ไกลจนภาณุถึงกับสะดุ้ง หันมองที่มาของต้นเสียงซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหญิงสาวที่เจอกันเมื่อบ่าย ‘คัคนานต์’น้องสาวเพื่อนรักและเป็นเจ้านายของเขา
“เอ่อ..แต่ว่า..แค่นี้ก่อนนะอร..ค่อยคุยกัน”
ภาณุตัดบทแล้วยิ้มให้สาวน้อยที่เดินเข้ามาหาเล็กน้อยก่อนจะกดตัดสายทิ้งทันทีสาวลูกครึ่งหน้าตาสะสวยตรงเข้ามาคว้าแขนเขาอย่างสนิทสนมจนอดแปลกใจได้แต่ยืนนิ่งงัน
“หิวรึยังคะพี่ณุ นาง พี่น่านพี่เบต มารอนานแล้วนะคะ เร็วๆเถอะค่ะ”
“เบต? นายธิเบตมาด้วยเหรอ”
ภาณุถามกลับด้วยความสงสัยสายตาคมมองไกลผ่านกระจกเข้าไปภายในทำให้เห็นเพียงน่านฟ้าที่นั่งหันหน้ามาทางเขาพอดี
“ค่ะ..พี่เบตรอปรึกษาพี่ณุอยู่ค่ะเข้าไปด้านในกันเถอะนะคะ”
ภาณุละล้าละลังใจอยากจะกลับไปหาอรณีที่ดูจะมีปัญหาหนักอึ้งบางอย่างรออยู่และอาจจะอยากต้องการพึ่งพาเขาเช่นเคยแต่ก็ไม่อาจขัดสาวน้อยที่กึ่งลากกึ่งจูงเขาราวสนิทกันมานานก็ไม่ปานอยู่ไปได้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักอกจำใจต้องเดินตามแรงจูงเข้าไปภายในร้านอย่างเสียไม่ได้...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การเดินทางกลับในค่ำคืนนี้ดูจะรวดเร็วเกินไปทำให้สาวน้อยลูกครึ่งรู้สึกขัดใจ ทันทีที่รถญี่ปุ่นสี่ประตูค่อนข้างเก่าเลี้ยวเข้ามาในซอยคอนโดมิเนียมตามคำบอกทางแทนที่จะกลับบ้านตามที่ตกลงกันไว้กับพี่ชายก่อนออกจากร้านอาหาร คัคนานต์ลอบมองดวงหน้าคร้ามคมเข้มอย่างพิศวง ภาณุดูนิ่งและเงียบกว่าใครที่เคยได้ใกล้ชิดหล่อน...อีกทั้งยังไม่มีทีท่าใดๆ ไม่ว่าหล่อนจะพยายามชวนคุยมาตลอดทาง เขาเงียบจนน่าแปลกใจ
“ใกล้ถึงแล้วค่ะ ขอบคุณพี่ณุนะคะที่อุตส่าห์สละเวลามาส่งนาง”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ผ่านทางนี้อยู่แล้ว ว่าแต่มาค้างคอนโดคนเดียวอย่างนี้จะดีเหรอ” ภาณุส่งยิ้มบางๆ ตอบ แค่รอยยิ้มของเขา คนฟังก็ถึงกับหน้าบานลืมความอึดอัดคับแคบของรถเก่าๆไปได้ชะงัดนัก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เปลี่ยนแผนนิดหน่อยเดี๋ยวนางค่อยโทรบอกแม่กับพี่น่านทีหลัง พอดีพรุ่งนี้มีงานเช้าที่พัทยาค่ะ ให้รถทีมงานมารับเลยว่าค้างที่นี่สะดวกกว่า ที่บ้านมันไกลไปหน่อยค่ะพี่ณุ..เกรงใจคนมารับค่ะ”
คัคนานต์อธิบายเสียยืดยาว โดยภาณุตั้งใจฟังพร้อมทั้งมองถนนข้างหน้าที่ซอยคับแคบลงเรื่อยๆ ด้วยการจราจรสองข้างทางคราคล่ำไปด้วยร้านค้ามากมายรายล้อมตลอดแนวถนนคล้ายตลาดย่อมๆ
“ดีนะ แถวนี้ของกินเยอะแยะ ไม่อดแน่ถึงจะเข้ามาในซอยลึกขนาดนี้ก็เถอะ”
“ใช่ค่ะ พี่น่านเลยซื้อคอนโคที่นี่ค่ะ เอาไว้มาพักผ่อน อีกอย่างนางเรียนแถวนี้บางทีมาค้างบ่อย พี่น่านกลัวว่าน้องสาวจะอดตายมั้งคะ”
“อย่างคุณนางไม่น่าอดนะครับ พี่ว่าหัวบันไดคงไม่แห้ง ขี้คร้านจะมีหนุ่มๆส่งของอร่อยมาให้”
“เอาอะไรมาพูดค่ะ นางไม่ได้มีหนุ่มๆมาติดพันอะไรขนาดนั้นซะหน่อย พี่ณุก็..”
เสียงใสเอ่ยกลั้วหัวเราะเก้อเขินภาณุอมยิ้มไปด้วยกับน้ำเสียงร่าเริงของหล่อน คัคนานต์โบกมือพัดไล่ลมร้อนที่ผะผ่าวกระทันหันบนใบหน้า โดยชายหนุ่มข้างกายได้แต่เหลือบมองกิริยาของคนนั่งข้างกันเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็เป็นหล่อนที่โพล่งทำลายความเงียบอีกเช่นเคย
“นางนึกว่าเมื่อบ่ายที่เราเจอกันนั่นเป็นรถพี่ณุซะอีก ที่ลานจอดรถน่ะค่ะ มันใหม่กว่านี้นี่นา”
“อ๋อ..นั่นเป็นรถของบริษัท พี่เอาไว้ใช้เวลาไปติดต่องานไกลๆเท่านั้น ปกติพี่ก็ใช้คันนี้รถนานหลายปี สภาพอาจจะเก่าหน่อยนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แต่เป็นน้ำพักน้ำแรงรถคันแรกของพี่เลยยังไม่คิดเปลี่ยน”
ชายหนุ่มนึกรู้เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของสาวน้อยที่มองเผินๆเหมือนยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่เขาพอจะรู้เมื่อสังเกตจากอากัปกิริยายุกยิกของหล่อนว่าคงไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าใดนัก ไหนจะแอร์รถที่ไม่เย็นฉ่ำเมื่อเทียบกับรถรุ่นใหม่ๆฟไหนจะเสียงรถที่ดังกระหึ่มจนผู้คนหันมองไม่ใช่เพราะมองความงามของตัวรถแต่อย่างใต
“เอ่อ..ขอโทษค่ะ นางไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ก็แค่..นาง..” จู่ๆ คัคนานต์ก็รู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงอากัปกิริยาบางอย่างที่ไม่ใช่รังเกียจแต่เหมือนก็ตอบตัวเองไม่ถูกเช่นกัน
“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ..ถึงแล้วที่นี่ใช่มั๊ยครับ”
“ใช่ค่ะ...พี่ณุจะขึ้นมาดื่มอะไรหน่อยมั๊ยคะ อุตส่าห์มาส่งนางตั้งไกล”
คัคนานต์ทอดสายตาเป็นประกายเชิญชวนหากแต่ชายหนุ่มที่เธอทอดสะพานให้กลับส่ายหน้าปฏิเสธแบบแทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรครับ พี่รีบ”
“เสียดายจัง ไม่เป็นไรค่ะเอาไว้นางค่อยเลี้ยงข้าวพี่ณุเป็นการตอบแทนนะคะ”
“เอ่อ...คือ พี่”
“ถือว่าเราสัญญากันแล้วนะคะ..บายๆค่ะ”
หญิงสาวเปิดประตูรถลงไปทันทีโดยที่ไม่ฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ เท่ากับเป็นการมัดมือชกเขากลายๆ ภาณุได้แต่มองตามหลังสาวน้อยที่เดินทิ้งห่างออกไปจนถึงประตูอาคารพร้อมทั้งยิ้มหวานโบกมือให้ จึงได้แต่ยิ้มตอบรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
คัคนานต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง ความหวังที่จะสานสัมพันธ์ต่อกับชายหนุ่มที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อม มือเรียวกระชับโทรศัพท์มือถือแน่นหลังจากแอบใช้โทรศัพท์ของภาณุกดโทรเข้ามาในเครื่องตัวเองตอนที่เขาขอตัวลงไปซื้ออะไรบางอย่างในร้านสะดวกซื้อ
ระหว่างรอลิฟท์ลงมาหญิงสาวก็เปิดโทรศัพท์พร้อมทั้งบันทึกเบอร์โทรศัพท์นั้นลงในเครื่องเรียบร้อยและหัวเราะเบาๆอย่างพึงพอใจ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครก้าวเข้ามายืนขนาบข้าง จวบจบลิฟท์โดยสารส่งเสียงสัญญาณทันทีที่ประตูเปิดสาวน้อยลูกครึ่งก็รีบก้าวเท้าเข้าไปภายในอย่างไม่ลังเลทั้งที่มือยังคงกดจิ้มหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างสนใจ
“เอาแต่จ้องโทรศัพท์ จะไปชั้นไหนครับ..คุณ”
เสียงทุ้มห้วนฟังแล้วสะดุดหู ทำให้คัคนานต์ละสายตาจากโทรศัพท์ทั้งที่กำลังปลื้มอกปลื้มใจกับการเซฟข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ภาณุไว้ได้ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่ทักทายด้วยน้ำคำห้วนไม่ถูกหูนั้นคือใคร
“คุณผู้กำกับ!!”
“หืม..รู้ได้ไงว่าผมเป็นผู้กำกับ”
ชัชพลตอบรับคำทักทายด้วยสีหน้างุนงง ในขณะที่คัคนานต์รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป่าสะพายพร้อมทั้งแนะนำตัวกับเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็หนูที่ไปแคสติ้งกับคุณเมื่อเดือนก่อนไงคะ ภาคต่อของร้อยรักที่คุณอรณีเล่นไงคะ”
สาวน้อยแนะนำตัวอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นสีหน้านิ่งปนครุ่นคิดของหนุ่มใหญ่ตรงหน้าแล้วให้นึกฉุนขึ้นมานิดๆไม่ได้เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะจำได้สักนิดทั้งที่แคสหล่อนมาเองกับมือ
“โทษที ผมจำไมได้ ว่าแต่คุณแคสติ้งผ่าน?”
“โธ่!! ผ่านสิคะ ก็คุณผู้กำกับยังตั้งชื่อใหม่ในวงการให้หนูเลย คุณจำไม่ได้เหรอคะ ที่บอกว่าคัคนานต์จำยาก ให้เปลี่ยนเป็นชื่อฝรั่งเข้ากับหน้าหนู..อลิสไงคะ”
สาวน้อยท้าวความหลังด้วยสีหน้าจริงจัง ชัชพลครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงพยักหน้าพร้อมทั้งเอ่ยชื่อหนึ่งซึ่งก็คือชื่อเธอที่เขาตั้งไว้ให้
“อ่อ..อลิสในแดนมหัศจรรย์..โอเคผม เริ่มจำได้แล้ว ว่าแต่คุณจะไปชั้นไหน ผมรอคำตอบนานแล้วนะ”
“อ๊ะ..ขอโทษค่ะ ชั้นสิบสองค่ะ”
คัคนานต์รีบตอบคำอย่างรวดเร็ว ชัชพลถอนหายใจก่อนจะกดชั้นเลขหมายที่ต้องการ ร่างสูงใหญ่ที่เห็นเพียงแผ่นหลังไม่หันมาให้ความสนใจหล่อนอีกเลย สาวน้อยลูกครึ่งกลืนน้ำลายอย่างนึกหวั่นในความชาเย็นของเขาไมได้ เมื่อนึกไปถึงว่าจะได้ร่วมงานกันใจคอเริ่มจะไม่ค่อยดีไปด้วย
ตัวเลขสีแดงยังคงเลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ จู่ๆ ชัชพลก็โพล่งขึ้นมาทำเอาสาวน้อยที่ค่อยคลายจากอาการเกร็งถึงกับสะดุ้ง
“ว่าแต่ไม่ยักรู้ว่าพักที่นี่ ผมไม่เคยเห็นคุณ” คำถามลอยๆ คล้ายจะชวนคุยซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้เพราะในลิฟท์มีเพียงเธอและเขา หญิงสาวรีบตอบคำแทบจะทันที
“เฉพาะวันนี้ค่ะ ปกติพักที่บ้านแถวฝั่งธนค่ะ พอดีพรุ่งนี้เช้าต้องไปถ่ายคลื่นรักฉากแรกที่พัทยากับทีมบีค่ะ”
“อ่อ..งั้นแสดงว่าไปรถทีมงานพร้อมกัน พรุ่งนี้ผมมีคิวร้อยรักช่วงบ่าย ส่วนช่วงเช้าถ่ายใบปิดเปิดตัวให้คลื่นรัก ว่าแต่คุณแคสได้บทไหน โทษที..ผมลืม”
ชัชพลหันมาถามคนยืนตัวเกร็งอยู่หลังเขา ทันทีที่ได้รู้ว่าหนุ่มใหญ่ตรงหน้าจะมาเป็นผู้กำกับคลื่นรักลวงตะวันที่ตนได้รับบทนำเป็นครั้งแรกก็ให้นึกกริ่งเกรงบารมีขึ้นมาทั้นที หลังจากแอบเก็บข้อมูลเรื่องกิตติศัพท์ของเขามานาน
“คือ..หนู” ท่าทีอ้ำอึ้งของคัคนานต์ ชัลพลถึงกับขมวดคิ้วขัดใจอีกหน
“ช่างเถอะ..คุณยังใหม่ อย่าตื่นเต้นให้มันมาก คืนนี้เข้านอนเร็วๆหน่อย พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาหน้าตาเปล่งปลั่งไม่ต้องพึ่งช่างแต่งหน้าหนาๆเหมือนคนอื่น..อ้อ..เวลาว่างๆ หัดพูดกับตัวเองหน้ากระจกบ่อยๆ คุณยังขาดความเชื่อมั่นที่นักแสดงทั้งหลายควรมี”
“เอ่อ.ค่ะ”
ยังไม่ทันที่ชัชพลจะได้ร่ายยาวต่อ เสียงสัญญาณชั้นเป้าหมายดังขึ้นพร้อมประตูลิฟท์เปิดออกมาเป็นการยุติการสนทนา หนุ่มใหญ่กดลิฟท์ให้ค้างแล้วผายมือให้สาวน้อยเดินนำออกไป คัคนานต์ก้มหน้าค้อมตัวออกมาอย่างนึกเกรงไม่ได้สนใจว่าชัชพลก็ก้าวออกมาโดยต่างคนต่างแยกย้ายไปคนละทาง..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ
ตอนต่อไปคงอัพช้าหน่อยคะ่
คิดว่าจะอัพสลับกับเรื่องที่ค้างไว้อยุ่
ขอบคุณมากๆค่ะ ^^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2557, 21:00:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2557, 21:00:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 1410
<< บทที่ 5 ทางแยก | บทที่ 7 คลื่นรักพัดทราย.. >> |