ร้อยรักพรางตะวัน (Just To Love You)
ชีวิตและจิตใจของฉันเหมือนดั่ง..ตุ๊กตาแก้ว..
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน,รักซึ้งๆ,รักโรแมนติก
ตอน: บทที่ 7 คลื่นรักพัดทราย..
คลื่นรักพัดทราย
ห้องพักของชัชพลอยู่ชั้นเดียวและฝั่งเดียวกันกับคัคนานต์เพียงแต่ห้องของหญิงสาวอยู่โซนกลางส่วนห้องของชัชพลเป็นห้องสูทอยู่ริมสุดติดบันไดหนีไฟของตัวอาคารชายหนุ่มกดรหัสปลดล็อคประตูห้องอย่างใจเย็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าต่างไปจากที่เห็นเมื่อครู่ คัคนานต์ที่กำลังจะเข้าห้องได้แต่แอบมองอย่างสอดรู้จนเขาลับหายเข้าไปภายใน
ไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศตกกระทบผิวกายทันทีที่ประตูห้องเปิดชัชพลถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะปิดประตูแล้วเปิดไฟภายในห้องยังคงเงียบสนิทราวกับไม่มีสิ่งใด แต่บรรยากาศความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงของใครคนหนึ่งที่เขาเคยคุ้น
“กลับมาแล้วเหรอคะพี่ชัช”
อ้อมกอดอุ่นเข้าสวมกอดแผ่นหลังหนาของเขาจนถึงกับสะดุ้งแต่แล้วก็ปรับสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีที่พยายามแกะมือเรียวที่กอดรอบเอวของเขาแน่นแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อย “ปล่อยก่อน..หายใจไม่ออก”
“คิดถึงจังค่ะ..”
เสียงหวานเอ่ยเบาหวิวพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าจนชายหนุ่มต้องปล่อยมือของตนที่พยายามแกะมือบางให้ตกลงข้างตัวและยืนนิ่งให้คนที่บอกว่าคิดถึงกอดเนิ่นนานนานพอที่จะรับรู้ถึงไออุ่นเปียกชื้นบนแผ่นหลังของเขา “ขอโทษที่ขัดคำสั่ง..ขอโทษที่ทนไม่ไหวนะพี่ชัช”
“ให้ทนไม่ไหวยังไงก็ต้องทน..เธอเคยพูดเองไม่ใช่เหรอ”
“ลืมมันได้มั๊ย ฉันทนไม่ไหวแล้ววันนี้เห็นพี่เอาใจใส่คนอื่นแล้วฉันอยากร้องไห้จริงๆนะ..นะ”
น้ำเสียงหวานสั่นเครือรอยเปียกชื้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมจนชัชพลรู้สึกได้ชายหนุ่มถอนหายใจแรงก่อนจะขืนตัวออกจากอ้อมกอดโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเขาก็สามารถเป็นอิสระได้โดยง่ายดายและหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนดื้อดึง
“จะมีประโยชน์อะไร..หืม..ชลดา ในเมื่อเธอกับพี่ เราคิดต่างกันขนาดนี้ ไม่มีทางที่เราจะอยู่ด้วยกันได้หรอก”
“มีสิคะ.. ตอนนี้ชลดังแล้วชลมีชื่อเสียงแล้ว เราซื้อบ้านสวยๆ อยู่ด้วยกัน พี่ชัชชอบบ้านริมทะเลใช่มั๊ยคะที่ไหนดี..หัวหิน ภูเก็ต กระบี่ พัทยา..อืม หรือบ้านบนเขานะ”
ชัชพลจ้องมองดวงตาเรียวคมที่ประสานสายตากับเขาไม่ลดละดวงตาที่เขาเคยหลงใหลด้วยความปรารถนาแปรเปลี่ยนเป็นสมเพช เวทนาหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาก็จำไม่ค่อยได้แน่ล่ะ..ชลดารักเขา ทำไมจะไม่รู้แต่ “พี่ชอบบ้านบนเขา เธอไม่เคยจำเองต่างหาก”
“ชลแค่สับสนนิดหน่อยค่ะเราแต่งงานกันนะ ชลสามสิบสอง พี่ชัชสี่สิบแล้วได้เวลาแล้วพวกเราไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีกแล้ว รับรองแถลงข่าวเมื่อไหร่ต้องเป็นข่าวดังแน่ๆเลยค่ะ ผู้กำกับหนังร้อยล้านกับนักแสดงพิธีกรหญิงชื่อดังทุกคนจะต้องอิจฉาความรักของเรา..นะคะพี่ชัช ”
ชลดาออดอ้อน สองแขนเรียวเกี่ยวกระหวัดรอบคอชายหนุ่มที่ส่วนสูงห่างกันพอควรแล้วโน้มใบหน้าลงมาจะจูบแต่เป็นชัชพลที่เบี่ยงหน้าหนี ริมฝีปากนุ่มจึงประทับลงบนแก้มชัชพลอย่างฉิวเฉียดหญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจฉับพลันทันใดชัชพลแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะโพล่งบางคำที่ฟังแล้วเจ็บแสบ
“ช้าไปสี่ปีเลยนะชล คำพูดนี้ที่พี่เคยพูดกับเธอ นานไปนะ นานจนพี่ลืมไปแล้วว่าเคยพูดกับเธอแบบนี้เหมือนกัน”
“ชลจำได้ทุกประโยคเพียงแต่ตอนนั้นชลไม่พร้อมนี่คะชลเพิ่งเข้าวงการ พี่ชัชก็ยังไม่ดัง เกิดเปิดตัวว่าคบกันจะเอาอะไรกิน”
“ตอนนี้เธออยากแต่งงานกับพี่เพราะพี่ดังแล้วงั้นเหรอขอโทษนะ พี่ก็ไม่พร้อมเหมือนกัน เธอก็รู้ตอนนี้พี่ชอบคนอื่นแล้ว”
ชัลพลผละจากอ้อมแขนเรียวที่เลื่อนมาโอบเอวเขาพร้อมซบหน้าลงกับอกหนาของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้สีหน้าผิดหวังแกมตะลึงเมื่อถูกผลักให้ออกห่างทำให้ชลดาถึงกับตาวาวใบหน้าหวานน้ำเสียงออดอ้อนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาทันใด
“ชลไม่ยอม!! นังอรมันมาทีหลังนะ”
“มาก่อนมาหลังจะสำคัญอะไรมันสำคัญที่เธอเป็นคนปฏิเสธพี่ไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อนต่างหากหรือเธอว่าไม่จริง..ชลดา” น้ำคำรำคาญพลางเดินผละออกห่างหญิงสาวที่พยายามยื้อยุดทำให้ชลดาถึงกับนิ่งงัน
ชัชพลทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นมาเปิดดื่มอย่างรำคาญใจก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโชฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อนชลดากำหมัดแน่นมองทุกการกระทำของเขาที่ดูจะไม่แคร์ว่าหล่อนจะรู้สึกเช่นไรหญิงสาวลอบถอนหายใจนับหนึ่งถึงสิบแล้วก้าวเข้ามานั่งลงข้างเขาอย่างใจเย็น
“พรุ่งนี้พี่ชัชมีงานเช้าที่พัทยาใช่มั๊ยชลก็จะไปดูที่แถวนั้นพอดีมีคนมาเสนอขายราคาไม่แพงเลยค่ะ พี่ชัชชอบฟังเสียงคลื่น..ชลจำได้พี่ชัชบอกว่าตัวเองเปรียบเสมือนทรายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังคงจะคอยโอบอุ้มท้องทะเลกว้างใหญ่”
ชลดาเจื้อยแจ้วรำพึงถึงความหลังขณะที่เพิงไหล่ชัชพลที่เอนกายเหนื่อยล้ากับพนักโซฟาแต่ความคิดก็สะดุดหยุดลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของคนหลับตานิ่งไม่ได้สนใจใยดีมือเรียวซุกซนของหล่อนแม้แต่น้อยไม่ว่าหล่อนจะพยายามสักเท่าไหร่เขาก็ยังคงนิ่งมีเพียงคำพูดบาๆเป็นการตอบคล้ายละเมอ
“ตอนนี้พี่ก็ยังจะเป็นทรายเม็ดๆเล็กเหล่านั้นเหมือนเดิม”
“จริงเหรอคะ!!เราเหมือนเดิมได้ใช่มั๊ย ชลนึกแล้วว่าพี่ชัชคงไม่ใจร้าย..”
ชลดายิ้มหวานประกายตามีความหวังมือเรียวซุกซนกอดรอบสอบเอวหนาพร้อมซบหน้าพิงหน้าอกแกร่งของเขาอย่างยินดี..ยินดีที่ชัชพลใจอ่อน
“แต่ทรายอย่างพี่จะไม่โอบอุ้มเกลียวคลื่นที่สาดซัดไร้ทิศทางอย่างเธออีกแล้วพี่จะเป็นแค่เพียงเม็ดทรายหลายล้านเม็ดรวมกันเพียงเพื่อก่อปราสาททรายสวยงามแข็งแกร่งให้ผู้หญิงที่พี่รักอย่างสุดหัวใจก็พอแล้วเธออย่าคาดหวังอะไรในตัวพี่อีกเลย พวกเราไม่มีวันย้อนกลับไปได้”
“มีสิ!! ถ้าไม่มีนังอร ถ้านังอรเป็นปราสาททรายที่พี่ชัชอยากโอบอุ้มปกป้องมันนักหนา ชลจะเป็นเป็นคลื่นร้ายซัดปราสาททรายแสนสวยของพี่ให้มันพังลงมาต่อหน้าต่อตาไปเลยรอดูวันนั้นก็แล้วกันถ้าพี่ปฏิเสธความรักของชล รับรองนังอรจบไม่สวยแน่”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กว่าที่ภาณุจะกลับถึงที่พักก็ปาเข้าไปเกือบตีสองหลังจากพารถเข้าที่จอดรถบนชั้นประจำเรียบร้อย ชายหนุ่มหลับตาพิงเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนหมู่นี้เขามีเรื่องให้คิดเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานที่มีปัญหา เพราะใครบางคนเป็นตัวสร้างปัญหาเขาสังหรณ์ใจแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไซด์งานวันนี้
คนอย่างเขาไม่เคยพลาดแม้แต่เพื่อนร่วมงานทุกคนล้วนไว้ใจได้ก่อนที่ใครบางคนจะก้าวเข้ามาและเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่บริษัทของน่านฟ้าเพื่อนรักที่เป็นเสมือนเจ้านายจะต้องเสียหายและใครคนนั้นที่เขากำลังจับตาดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็เป็นคนใกล้ตัวอีกด้วย
ยิ่งนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อตอนค่ำที่เขาเป็นที่ปรึกษาให้ธิเบตก็ยังนึกสงสัยอยู่กลายๆเมื่อน่านฟ้าขอให้เขาช่วยออกความเห็น
“นายว่าไงเรื่องร้านนี้น่ะมีความคิดอะไรดีๆมั๊ย”น่านฟ้าถามไถ่ความเห็นโดยที่คนต้นเรื่องกลับนิ่งเฉย ภาณุได้แต่มองไปโดยรอบใช้สายตาประเมินอย่างคนแก่ประสบการณ์กว่า
“ก็ไม่เลว”
“แค่นี้เหรอวะ..อะไรกัน สายตานายมันประเมินได้แค่นี้เหรอช่วยน้องหน่อยสิวะนายออกจะเก่งนี่หว่า”
น่านฟ้ากำหมัดเบาๆแกมหยอกเข้าที่หัวไหล่หนาของเพื่อนรัก เรียกรอยยิ้มจากสาวหนี่งเดียวที่นั่งฟังอยู่นานจนอดค่อนไม่ได้
“พี่ณุนี่อมภูมิจังนะคะไหนพี่น่านเล่าสรรพคุณซะ นางกับพี่เบตรอฟังอยู่เนี่ยค่ะ” ภาณูหัวเราะแก้เก้อเบาๆยังไม่
ทันได้พูดอะไรต่อ ธิเบตก็ขัดขึ้น “ไม่ต้องหรอกครับไม่อยากรบกวนผมจัดการเองได้ “
บรรยากาศอึมครึมไปทันตา เมื่อธิเบตตัดบทสนทนาด้วยเสียงห้วนน่านฟ้าจึงแก้เก้อเบี่ยงประเด็นถามเรื่องไซด์งานแทน
“นายว่ามีเรื่องอะไรที่ไซด์งานจะคุยนะ”
“อ่อ..เปล่าค่อยคุยก็แล้วกัน”
ภาณุปฏิเสธคำถามของน่านฟ้าเพราะสายตาที่จับจ้องมองอยู่ของธิเบตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาไม่ค่อยไว้ใจคนอย่างธิเบตสักเท่าไหร่ จนถึงตอนนี้ก็ยังยืนกรานในความคิดตัวเองอยู่ถึงแม้ฐานะทางครอบครัวของธิเบตจะค่อนข้างมีอันจะกินแต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาเริ่มจับตามองโดยเฉพาะชั้นเชิงการตลาดทางธุรกิจที่จัดว่าน่ากลัว
“คุยได้..พวกพี่คุยกันก่อนเถอะเรื่องร้านผมทีหลังก็ได้”
“ใช่ค่ะ..พวกพี่คุยกันตามสบายเลยเดี๋ยวนางสั่งเครื่องดื่มให้ พวกพี่เอาอะไรดีคะ พี่น่าน พี่เบตมีแล้ว พี่ณุล่ะคะ”
“เอ่อ..เบียร์ก็แล้วกัน” ภาณุตอบแบบขอไปที
“โอเคค่ะน้องๆ เบียร์หนึ่งเหยือก” คัคนานต์ยิ้มกว้างเอาใจหลังจากเรียกบริกรมาสั่งความเรียบร้อยทั้งหมดอยู่ในสายตาพี่ชายของหล่อนและอีกคนที่มองอยู่อย่างไม่พอใจลึกๆ
“ดูท่าน้องนางกับพี่ณุจะสนิทกันนะครับรู้จักกันนานแล้วเหรอ”
ไม่รอช้าธิเบตถามยิ้มๆ แต่นัยน์ตาวาวจนภาณุที่หันมาเห็นแววตานั้นถึงกับยิ้มค้างอย่างดูออก ยังไม่ทันได้ตอบอะไรสาวน้อยหนึ่งเดียวของกลุ่มก็หัวเราะพึงพอใจก่อนจะหันมาพยักเพยิดกับเขาภาณูได้แต่ตอบแก้เก้อโดยมีน่านฟ้ายิ้มๆ รู้ทันน้องสาว
“เอ่อ...ก็เพิ่งไม่นานน่ะ”ภาณุตอบสั้นๆแต่คำตอบของคัคนานต์ต่อมาทำให้บรรยากาศแลดูอึมครึมไปทันที
“ถึงจะไม่นานแต่นางรู้สึกพิเศษกับพี่ณุม๊ากมากค่ะ”
คำพูดของหญิงสาวทีเล่นทีจริงแต่กลับทำให้เขาต้องลำบากไปส่งหล่อนไกลถึงคอนโดมิเนียมย่านบางนาเพราะธิเบตซัดเบียร์หนึ่งเหยือกเพียงลำพังไม่ยั้งจนน่านฟ้าต้องหิ้วปีกคนคออ่อนแต่ริจะเป็นเจ้าของผับไปส่งถึงที่
อะไรก็ไม่เท่าห่วงคนที่ส่งเสียงตามสายมาหาเขาน้ำเสียงไม่สู้ดีของหล่อน ชายหนุ่มฮึดขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วคนที่คุยกันค้างไว้เมื่อค่ำก็ขึ้นมานั่งที่เบาะนั่งข้างเขาจนสะดุ้ง
“อร!!ณุตกใจหมด มาไม่ให้สุ้มให้เสียง มีอะไรรึเปล่าเนี่ย”
อรณีพยักหน้าไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูดเขาก็พอจะรู้เหตุผล มีไม่กี่เรื่องที่จะทำให้สาวสวยตรงหน้าอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้และเขาก็เดาไม่ผิดแค่เอ่ยถามคำถามสั้นๆอรณีก็น้ำตาตกเสียแล้ว “เรื่องไอ้นล? อีกแล้วเหรอ?”
“นลทำเรื่องอีกแล้วอรจะทำไงดี ณุ” อรณีน้ำตาคลอหมดมาดนางเอกจอมหยิ่งใบหน้านวลแดงก่ำราวคนอดนอนและผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เขาไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดกับอรณีในวันนี้เลยเพราะเรื่องวุ่นที่ทำงานและยังมีต่อที่ผับ
“คราวนี้เรื่องอะไร”
ภาณุถามราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาอรณีกลืนก้อนสะอื้น สูดลมหายใจแรงรวบรวมคำพูด “เรื่องเดิม” คำตอบอ้อมแอ้มเช่นเคยยามที่พูดเรื่องของ‘อนล’น้องชายคนเดียวของหล่อน ชายหนุ่มข้างกายถึงกับทอดถอนใจตาม
“ณุบอกแล้วไงอย่าตามใจมัน ไอ้นลน่ะมันจะเสียเด็กแล้วเพราะอรใจอ่อนกับมันเรื่อยแล้วนี่อยู่ไหนต้องประกันตัวอีกมั๊ยเนี่ย” ภาณุสบถ สีหน้าขึงขังผิดกับตอนปกติที่เขามักจะใจเย็นเป็นนิจอรณีส่ายหน้าทันทีที่ฟังคำจบประโยค
“ไม่ต้องแล้วรอไม่ไหว นลอาละวาดใหญ่ อรออกหน้าไม่ได้เลยขอให้โอมมาช่วยจัดการประกันตัวให้แล้วล่ะ”
“อืม..ก็ดีแล้วล่ะแล้วเราเอาไงต่อทีนี้ จะไปดูมันหน่อยมั๊ย ว่าแต่พรุ่งนี้อรมีถ่ายรึเปล่า”
ภาณุถามแต่สายตามีแววกังวล จนเผลอเคาะฝ่ามือกับพวงมาลัยอย่างใช้ความคิดอรณีรู้อากัปกิริยานั้นดีเพราะความเคยชินจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ
“อรอยากไปดูไปส่งหน่อยนะ’
“โอเค...” ภาณุตอบรับก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไป เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบยามสามของเช้าวันใหม่
ยามที่คนหนึ่งร้อน..อีกคนเป็นฝ่ายเงียบเสมอ
ยามที่อีกคนกังวล..อีกคนจึงมักจะเป็นทุกข์ร้อนแทนกว่าที่ควรเป็น
เป็นอย่างนี้ประจำตั้งแต่สมัยรู้จักกันครั้งแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งและจะยังคงเป็นอยู่เรื่อยไป..ถ้าหากไม่มีสิ่งใดมาทำให้ความสัมพันธ์นั้นสั่นคลอน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ
ใกล้จะทันกับที่ลงในห้องสมุดและบล็อคแกงค์แล้ว จะได้ลงพร้อมกันทีเดียวค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่า ^_____^
ห้องพักของชัชพลอยู่ชั้นเดียวและฝั่งเดียวกันกับคัคนานต์เพียงแต่ห้องของหญิงสาวอยู่โซนกลางส่วนห้องของชัชพลเป็นห้องสูทอยู่ริมสุดติดบันไดหนีไฟของตัวอาคารชายหนุ่มกดรหัสปลดล็อคประตูห้องอย่างใจเย็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าต่างไปจากที่เห็นเมื่อครู่ คัคนานต์ที่กำลังจะเข้าห้องได้แต่แอบมองอย่างสอดรู้จนเขาลับหายเข้าไปภายใน
ไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศตกกระทบผิวกายทันทีที่ประตูห้องเปิดชัชพลถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะปิดประตูแล้วเปิดไฟภายในห้องยังคงเงียบสนิทราวกับไม่มีสิ่งใด แต่บรรยากาศความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงของใครคนหนึ่งที่เขาเคยคุ้น
“กลับมาแล้วเหรอคะพี่ชัช”
อ้อมกอดอุ่นเข้าสวมกอดแผ่นหลังหนาของเขาจนถึงกับสะดุ้งแต่แล้วก็ปรับสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีที่พยายามแกะมือเรียวที่กอดรอบเอวของเขาแน่นแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อย “ปล่อยก่อน..หายใจไม่ออก”
“คิดถึงจังค่ะ..”
เสียงหวานเอ่ยเบาหวิวพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าจนชายหนุ่มต้องปล่อยมือของตนที่พยายามแกะมือบางให้ตกลงข้างตัวและยืนนิ่งให้คนที่บอกว่าคิดถึงกอดเนิ่นนานนานพอที่จะรับรู้ถึงไออุ่นเปียกชื้นบนแผ่นหลังของเขา “ขอโทษที่ขัดคำสั่ง..ขอโทษที่ทนไม่ไหวนะพี่ชัช”
“ให้ทนไม่ไหวยังไงก็ต้องทน..เธอเคยพูดเองไม่ใช่เหรอ”
“ลืมมันได้มั๊ย ฉันทนไม่ไหวแล้ววันนี้เห็นพี่เอาใจใส่คนอื่นแล้วฉันอยากร้องไห้จริงๆนะ..นะ”
น้ำเสียงหวานสั่นเครือรอยเปียกชื้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมจนชัชพลรู้สึกได้ชายหนุ่มถอนหายใจแรงก่อนจะขืนตัวออกจากอ้อมกอดโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเขาก็สามารถเป็นอิสระได้โดยง่ายดายและหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนดื้อดึง
“จะมีประโยชน์อะไร..หืม..ชลดา ในเมื่อเธอกับพี่ เราคิดต่างกันขนาดนี้ ไม่มีทางที่เราจะอยู่ด้วยกันได้หรอก”
“มีสิคะ.. ตอนนี้ชลดังแล้วชลมีชื่อเสียงแล้ว เราซื้อบ้านสวยๆ อยู่ด้วยกัน พี่ชัชชอบบ้านริมทะเลใช่มั๊ยคะที่ไหนดี..หัวหิน ภูเก็ต กระบี่ พัทยา..อืม หรือบ้านบนเขานะ”
ชัชพลจ้องมองดวงตาเรียวคมที่ประสานสายตากับเขาไม่ลดละดวงตาที่เขาเคยหลงใหลด้วยความปรารถนาแปรเปลี่ยนเป็นสมเพช เวทนาหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาก็จำไม่ค่อยได้แน่ล่ะ..ชลดารักเขา ทำไมจะไม่รู้แต่ “พี่ชอบบ้านบนเขา เธอไม่เคยจำเองต่างหาก”
“ชลแค่สับสนนิดหน่อยค่ะเราแต่งงานกันนะ ชลสามสิบสอง พี่ชัชสี่สิบแล้วได้เวลาแล้วพวกเราไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีกแล้ว รับรองแถลงข่าวเมื่อไหร่ต้องเป็นข่าวดังแน่ๆเลยค่ะ ผู้กำกับหนังร้อยล้านกับนักแสดงพิธีกรหญิงชื่อดังทุกคนจะต้องอิจฉาความรักของเรา..นะคะพี่ชัช ”
ชลดาออดอ้อน สองแขนเรียวเกี่ยวกระหวัดรอบคอชายหนุ่มที่ส่วนสูงห่างกันพอควรแล้วโน้มใบหน้าลงมาจะจูบแต่เป็นชัชพลที่เบี่ยงหน้าหนี ริมฝีปากนุ่มจึงประทับลงบนแก้มชัชพลอย่างฉิวเฉียดหญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจฉับพลันทันใดชัชพลแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะโพล่งบางคำที่ฟังแล้วเจ็บแสบ
“ช้าไปสี่ปีเลยนะชล คำพูดนี้ที่พี่เคยพูดกับเธอ นานไปนะ นานจนพี่ลืมไปแล้วว่าเคยพูดกับเธอแบบนี้เหมือนกัน”
“ชลจำได้ทุกประโยคเพียงแต่ตอนนั้นชลไม่พร้อมนี่คะชลเพิ่งเข้าวงการ พี่ชัชก็ยังไม่ดัง เกิดเปิดตัวว่าคบกันจะเอาอะไรกิน”
“ตอนนี้เธออยากแต่งงานกับพี่เพราะพี่ดังแล้วงั้นเหรอขอโทษนะ พี่ก็ไม่พร้อมเหมือนกัน เธอก็รู้ตอนนี้พี่ชอบคนอื่นแล้ว”
ชัลพลผละจากอ้อมแขนเรียวที่เลื่อนมาโอบเอวเขาพร้อมซบหน้าลงกับอกหนาของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้สีหน้าผิดหวังแกมตะลึงเมื่อถูกผลักให้ออกห่างทำให้ชลดาถึงกับตาวาวใบหน้าหวานน้ำเสียงออดอ้อนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาทันใด
“ชลไม่ยอม!! นังอรมันมาทีหลังนะ”
“มาก่อนมาหลังจะสำคัญอะไรมันสำคัญที่เธอเป็นคนปฏิเสธพี่ไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อนต่างหากหรือเธอว่าไม่จริง..ชลดา” น้ำคำรำคาญพลางเดินผละออกห่างหญิงสาวที่พยายามยื้อยุดทำให้ชลดาถึงกับนิ่งงัน
ชัชพลทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นมาเปิดดื่มอย่างรำคาญใจก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโชฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อนชลดากำหมัดแน่นมองทุกการกระทำของเขาที่ดูจะไม่แคร์ว่าหล่อนจะรู้สึกเช่นไรหญิงสาวลอบถอนหายใจนับหนึ่งถึงสิบแล้วก้าวเข้ามานั่งลงข้างเขาอย่างใจเย็น
“พรุ่งนี้พี่ชัชมีงานเช้าที่พัทยาใช่มั๊ยชลก็จะไปดูที่แถวนั้นพอดีมีคนมาเสนอขายราคาไม่แพงเลยค่ะ พี่ชัชชอบฟังเสียงคลื่น..ชลจำได้พี่ชัชบอกว่าตัวเองเปรียบเสมือนทรายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังคงจะคอยโอบอุ้มท้องทะเลกว้างใหญ่”
ชลดาเจื้อยแจ้วรำพึงถึงความหลังขณะที่เพิงไหล่ชัชพลที่เอนกายเหนื่อยล้ากับพนักโซฟาแต่ความคิดก็สะดุดหยุดลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของคนหลับตานิ่งไม่ได้สนใจใยดีมือเรียวซุกซนของหล่อนแม้แต่น้อยไม่ว่าหล่อนจะพยายามสักเท่าไหร่เขาก็ยังคงนิ่งมีเพียงคำพูดบาๆเป็นการตอบคล้ายละเมอ
“ตอนนี้พี่ก็ยังจะเป็นทรายเม็ดๆเล็กเหล่านั้นเหมือนเดิม”
“จริงเหรอคะ!!เราเหมือนเดิมได้ใช่มั๊ย ชลนึกแล้วว่าพี่ชัชคงไม่ใจร้าย..”
ชลดายิ้มหวานประกายตามีความหวังมือเรียวซุกซนกอดรอบสอบเอวหนาพร้อมซบหน้าพิงหน้าอกแกร่งของเขาอย่างยินดี..ยินดีที่ชัชพลใจอ่อน
“แต่ทรายอย่างพี่จะไม่โอบอุ้มเกลียวคลื่นที่สาดซัดไร้ทิศทางอย่างเธออีกแล้วพี่จะเป็นแค่เพียงเม็ดทรายหลายล้านเม็ดรวมกันเพียงเพื่อก่อปราสาททรายสวยงามแข็งแกร่งให้ผู้หญิงที่พี่รักอย่างสุดหัวใจก็พอแล้วเธออย่าคาดหวังอะไรในตัวพี่อีกเลย พวกเราไม่มีวันย้อนกลับไปได้”
“มีสิ!! ถ้าไม่มีนังอร ถ้านังอรเป็นปราสาททรายที่พี่ชัชอยากโอบอุ้มปกป้องมันนักหนา ชลจะเป็นเป็นคลื่นร้ายซัดปราสาททรายแสนสวยของพี่ให้มันพังลงมาต่อหน้าต่อตาไปเลยรอดูวันนั้นก็แล้วกันถ้าพี่ปฏิเสธความรักของชล รับรองนังอรจบไม่สวยแน่”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กว่าที่ภาณุจะกลับถึงที่พักก็ปาเข้าไปเกือบตีสองหลังจากพารถเข้าที่จอดรถบนชั้นประจำเรียบร้อย ชายหนุ่มหลับตาพิงเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนหมู่นี้เขามีเรื่องให้คิดเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานที่มีปัญหา เพราะใครบางคนเป็นตัวสร้างปัญหาเขาสังหรณ์ใจแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไซด์งานวันนี้
คนอย่างเขาไม่เคยพลาดแม้แต่เพื่อนร่วมงานทุกคนล้วนไว้ใจได้ก่อนที่ใครบางคนจะก้าวเข้ามาและเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่บริษัทของน่านฟ้าเพื่อนรักที่เป็นเสมือนเจ้านายจะต้องเสียหายและใครคนนั้นที่เขากำลังจับตาดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็เป็นคนใกล้ตัวอีกด้วย
ยิ่งนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อตอนค่ำที่เขาเป็นที่ปรึกษาให้ธิเบตก็ยังนึกสงสัยอยู่กลายๆเมื่อน่านฟ้าขอให้เขาช่วยออกความเห็น
“นายว่าไงเรื่องร้านนี้น่ะมีความคิดอะไรดีๆมั๊ย”น่านฟ้าถามไถ่ความเห็นโดยที่คนต้นเรื่องกลับนิ่งเฉย ภาณุได้แต่มองไปโดยรอบใช้สายตาประเมินอย่างคนแก่ประสบการณ์กว่า
“ก็ไม่เลว”
“แค่นี้เหรอวะ..อะไรกัน สายตานายมันประเมินได้แค่นี้เหรอช่วยน้องหน่อยสิวะนายออกจะเก่งนี่หว่า”
น่านฟ้ากำหมัดเบาๆแกมหยอกเข้าที่หัวไหล่หนาของเพื่อนรัก เรียกรอยยิ้มจากสาวหนี่งเดียวที่นั่งฟังอยู่นานจนอดค่อนไม่ได้
“พี่ณุนี่อมภูมิจังนะคะไหนพี่น่านเล่าสรรพคุณซะ นางกับพี่เบตรอฟังอยู่เนี่ยค่ะ” ภาณูหัวเราะแก้เก้อเบาๆยังไม่
ทันได้พูดอะไรต่อ ธิเบตก็ขัดขึ้น “ไม่ต้องหรอกครับไม่อยากรบกวนผมจัดการเองได้ “
บรรยากาศอึมครึมไปทันตา เมื่อธิเบตตัดบทสนทนาด้วยเสียงห้วนน่านฟ้าจึงแก้เก้อเบี่ยงประเด็นถามเรื่องไซด์งานแทน
“นายว่ามีเรื่องอะไรที่ไซด์งานจะคุยนะ”
“อ่อ..เปล่าค่อยคุยก็แล้วกัน”
ภาณุปฏิเสธคำถามของน่านฟ้าเพราะสายตาที่จับจ้องมองอยู่ของธิเบตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาไม่ค่อยไว้ใจคนอย่างธิเบตสักเท่าไหร่ จนถึงตอนนี้ก็ยังยืนกรานในความคิดตัวเองอยู่ถึงแม้ฐานะทางครอบครัวของธิเบตจะค่อนข้างมีอันจะกินแต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาเริ่มจับตามองโดยเฉพาะชั้นเชิงการตลาดทางธุรกิจที่จัดว่าน่ากลัว
“คุยได้..พวกพี่คุยกันก่อนเถอะเรื่องร้านผมทีหลังก็ได้”
“ใช่ค่ะ..พวกพี่คุยกันตามสบายเลยเดี๋ยวนางสั่งเครื่องดื่มให้ พวกพี่เอาอะไรดีคะ พี่น่าน พี่เบตมีแล้ว พี่ณุล่ะคะ”
“เอ่อ..เบียร์ก็แล้วกัน” ภาณุตอบแบบขอไปที
“โอเคค่ะน้องๆ เบียร์หนึ่งเหยือก” คัคนานต์ยิ้มกว้างเอาใจหลังจากเรียกบริกรมาสั่งความเรียบร้อยทั้งหมดอยู่ในสายตาพี่ชายของหล่อนและอีกคนที่มองอยู่อย่างไม่พอใจลึกๆ
“ดูท่าน้องนางกับพี่ณุจะสนิทกันนะครับรู้จักกันนานแล้วเหรอ”
ไม่รอช้าธิเบตถามยิ้มๆ แต่นัยน์ตาวาวจนภาณุที่หันมาเห็นแววตานั้นถึงกับยิ้มค้างอย่างดูออก ยังไม่ทันได้ตอบอะไรสาวน้อยหนึ่งเดียวของกลุ่มก็หัวเราะพึงพอใจก่อนจะหันมาพยักเพยิดกับเขาภาณูได้แต่ตอบแก้เก้อโดยมีน่านฟ้ายิ้มๆ รู้ทันน้องสาว
“เอ่อ...ก็เพิ่งไม่นานน่ะ”ภาณุตอบสั้นๆแต่คำตอบของคัคนานต์ต่อมาทำให้บรรยากาศแลดูอึมครึมไปทันที
“ถึงจะไม่นานแต่นางรู้สึกพิเศษกับพี่ณุม๊ากมากค่ะ”
คำพูดของหญิงสาวทีเล่นทีจริงแต่กลับทำให้เขาต้องลำบากไปส่งหล่อนไกลถึงคอนโดมิเนียมย่านบางนาเพราะธิเบตซัดเบียร์หนึ่งเหยือกเพียงลำพังไม่ยั้งจนน่านฟ้าต้องหิ้วปีกคนคออ่อนแต่ริจะเป็นเจ้าของผับไปส่งถึงที่
อะไรก็ไม่เท่าห่วงคนที่ส่งเสียงตามสายมาหาเขาน้ำเสียงไม่สู้ดีของหล่อน ชายหนุ่มฮึดขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วคนที่คุยกันค้างไว้เมื่อค่ำก็ขึ้นมานั่งที่เบาะนั่งข้างเขาจนสะดุ้ง
“อร!!ณุตกใจหมด มาไม่ให้สุ้มให้เสียง มีอะไรรึเปล่าเนี่ย”
อรณีพยักหน้าไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูดเขาก็พอจะรู้เหตุผล มีไม่กี่เรื่องที่จะทำให้สาวสวยตรงหน้าอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้และเขาก็เดาไม่ผิดแค่เอ่ยถามคำถามสั้นๆอรณีก็น้ำตาตกเสียแล้ว “เรื่องไอ้นล? อีกแล้วเหรอ?”
“นลทำเรื่องอีกแล้วอรจะทำไงดี ณุ” อรณีน้ำตาคลอหมดมาดนางเอกจอมหยิ่งใบหน้านวลแดงก่ำราวคนอดนอนและผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เขาไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดกับอรณีในวันนี้เลยเพราะเรื่องวุ่นที่ทำงานและยังมีต่อที่ผับ
“คราวนี้เรื่องอะไร”
ภาณุถามราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาอรณีกลืนก้อนสะอื้น สูดลมหายใจแรงรวบรวมคำพูด “เรื่องเดิม” คำตอบอ้อมแอ้มเช่นเคยยามที่พูดเรื่องของ‘อนล’น้องชายคนเดียวของหล่อน ชายหนุ่มข้างกายถึงกับทอดถอนใจตาม
“ณุบอกแล้วไงอย่าตามใจมัน ไอ้นลน่ะมันจะเสียเด็กแล้วเพราะอรใจอ่อนกับมันเรื่อยแล้วนี่อยู่ไหนต้องประกันตัวอีกมั๊ยเนี่ย” ภาณุสบถ สีหน้าขึงขังผิดกับตอนปกติที่เขามักจะใจเย็นเป็นนิจอรณีส่ายหน้าทันทีที่ฟังคำจบประโยค
“ไม่ต้องแล้วรอไม่ไหว นลอาละวาดใหญ่ อรออกหน้าไม่ได้เลยขอให้โอมมาช่วยจัดการประกันตัวให้แล้วล่ะ”
“อืม..ก็ดีแล้วล่ะแล้วเราเอาไงต่อทีนี้ จะไปดูมันหน่อยมั๊ย ว่าแต่พรุ่งนี้อรมีถ่ายรึเปล่า”
ภาณุถามแต่สายตามีแววกังวล จนเผลอเคาะฝ่ามือกับพวงมาลัยอย่างใช้ความคิดอรณีรู้อากัปกิริยานั้นดีเพราะความเคยชินจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ
“อรอยากไปดูไปส่งหน่อยนะ’
“โอเค...” ภาณุตอบรับก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไป เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบยามสามของเช้าวันใหม่
ยามที่คนหนึ่งร้อน..อีกคนเป็นฝ่ายเงียบเสมอ
ยามที่อีกคนกังวล..อีกคนจึงมักจะเป็นทุกข์ร้อนแทนกว่าที่ควรเป็น
เป็นอย่างนี้ประจำตั้งแต่สมัยรู้จักกันครั้งแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งและจะยังคงเป็นอยู่เรื่อยไป..ถ้าหากไม่มีสิ่งใดมาทำให้ความสัมพันธ์นั้นสั่นคลอน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ
ใกล้จะทันกับที่ลงในห้องสมุดและบล็อคแกงค์แล้ว จะได้ลงพร้อมกันทีเดียวค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่า ^_____^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2557, 12:25:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2557, 12:25:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1528
<< บทที่ 6 สานต่อ | ตอนที่ 8 ชั่วโมงต้องมนต์...1 >> |