ร้อยรักพรางตะวัน (Just To Love You)
ชีวิตและจิตใจของฉันเหมือนดั่ง..ตุ๊กตาแก้ว..
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)

‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)

‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)

‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)

Tags: ร้อยรักพรางตะวัน,รักซึ้งๆ,รักโรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 8 ชั่วโมงต้องมนต์...1

เกือบตีสี่แล้วแต่อรณียังนั่งรอน้องชายอย่างกระวนกระวายใจภายในห้องพัก เพราะได้รับการติดต่อจากอธิปว่าจะพาน้องชายเจ้าปัญหามาส่งให้ที่คอนโดแทนที่จะนัดกันที่สถานีตำรวจเพราะเกรงว่าเรื่องของอนลจะทำให้ชื่อเสียงนางเอกดังอย่างอรณีต้องมัวหมองไปด้วย

ช่วงเวลาแห่งการรอคอย แต่ท่าทางไม่สบายใจผุดลุกผุดนั่งของหญิงสาวในห้องรับแขก ทำให้ภาณุที่ง่วนกับการทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัวที่อยู่แยกสัดส่วนไปอีกฝั่งติดริมระเบียงห้อง ต้องเหลือบมองอย่างเป็นห่วงอดไม่ได้ที่จะชวนพูดคุยให้หายกังวล

“หิวมั๊ยอร รอเดี๋ยว..ณุชงโกโก้ร้อนให้อยู่”

ภาณุเอ่ยทำลายความเงียบทำให้คนที่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูห้องชะงักฝีเท้าลง

“อืม..พรุ่งนี้ณุไปไซด์งานช่วงเช้าไม่ใช่เหรอ กลับไปพักผ่อนเถอะ อรอยู่ได้”

เสียงใสที่ตอนนี้ติดจะเศร้าหมองกว่าที่เคยเอ่ยตอบพร้อมพาตัวเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมของโกโก้ร้อนที่กำลังถูกคนคละเคล้ากันในถ้วยชาสีงาช้าง “หอมจัง ซื้อมาเมื่อไหร่เนี่ย อรไม่ยักรู้”

“แล้วรู้อะไรในห้องตัวเองบ้าง น่ะ..หืม”

ภาณุเอ่ยยิ้มๆ อย่างเบาใจ เมื่อหญิงสาวมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยและมานั่งรออยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวด้านหน้า สีหน้าฉงนมองหลังจากได้ยินคำถามเมื่อครู่ จนเขาอดขันไม่ได้ จึงยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้พร้อมสำทับ

“นี่น่ะ ซื้อมาเมื่อตอนไปห้างเมื่อาทิตย์ก่อน เห็นบอกกินนมเสาะท้อง น้ำเต้าหู้บ่อยๆก็กลัวจะเบื่อ ณุก็เลยซื้อโกโก้มาให้อรชงเวลาหิว..ก็จัดการได้เลยไงไม่ยุ่งยาก”

“จัดการไม่เป็น..กินเป็นอย่างเดียว แล้วก็จะดีมากกว่านี้เยอะๆ ถ้าณุเป็นคนทำให้” คำพูดป่วนกวนใจเขากลับมาอีกระลอก คำพูดที่ทำเอาใจคนฟังเต้นไม่เป็นส่ำภายใต้ท่าทีเฉยเมย

“เผื่อณุไม่อยู่ อรจะได้ทำเองเป็น มานี่จะสอนให้”

“ไม่เอา..ณุไม่อยู่ อรก็แค่ไม่กินแค่นั้น จะได้ลดความอ้วนไปในตัวไง..ว่าแต่จะไปไหนพูดแบบนี้”

ภาณุถอนหายใจพรืดแล้วกวักมือเรียกคนนั่งจิบโกโก้อย่างสบายอารมณ์ให้ลุกมาดู แต่กิริยาเชื่องช้าไม่ทันใจทำให้ชายหนุ่มต้องเดินอ้อมมาคว้าแขนคนที่นั่งอยู่ให้ลุกมายืนหลังเคาน์เตอร์ด้วยกัน ท่าทางอิดออดปิดปากหาวหวอดทำให้เขาอดที่จะแขวะไม่ได้

“ที่จะสอนณุก็แค่พูดเผื่อไว้ ผู้หญิงไม่เก่งการเรือนผู้ชายที่ไหนจะชอบ เอาแต่ทำงานนอกบ้านงกๆ เงินถมตัวตายไปไม่มีประโยชน์ หาความสุขในครอบครัวไม่ได้”

“ที่ไหนกันเดี๋ยวนี้ใครๆก็แม่บ้านแกงถุงกันทั้งนั้น ผู้หญิงสมัยนี้ที่เก่งๆ แสดงว่าคงโดนเงินถมตัวตายกันหมดโลกแล้วล่ะ.. พูดมากอยู่ได้กะอีแค่โกโก้แค่ตักใส่ๆ แล้วก็ใส่น้ำร้อนไม่เห็นจะยากซะหน่อย ที่จริงอยากได้อะไรกระดิกนิ้วสั่งเดี๋ยวก็มีคนหาให้หมดแหละ พวกเดลิเวอรี่อะไรเยอะแยะไม่เห็นต้องทำเองเลย”

“ก็คิดงี้ เรื่องง่ายๆไม่ทำ ดีแต่จะพึ่งคนอื่นถึงต้องคอยห่วงบ่อยๆ” ภาณุถอนหายใจ

“งั้นสงสัยต้องหาสามีรวยๆ จะได้มีแม่บ้านเป็นสิบให้ชี้นิ้วสั่ง”

คำพูดบางคำที่ไม่ทันคิดของคนข้างกายทำให้ชายหนุ่มชะงักไปได้เหมือนกัน เรื่องจริงในสังคมจอมปลอมที่สะท้อนผ่านจิตใจผู้พูด คงจะดีกว่านี้ถ้าคนพูดไม่ใช่คนเดียวในโลกที่คิดว่าเข้าใจเขาที่สุด

อย่างที่วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์เคยว่าไว้..

อย่าเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น..

เพราะต่อให้คุณชนะ..

คุณก็อาจจะเสียใครคนนั้นไป..ตลอดกาล...



เขาตระหนักเสมอว่าการแข่งขันในทุกย่างก้าวของชีวิต..อุดมการณ์ แก่งแย่งชิงดีให้ได้มา..และการพังพาบของผู้แพ้ที่สูญสลายบนคราบน้ำตา..คนที่มีโอกาสดีย่อมได้รับสิ่งที่ดีกว่า แล้วคนที่ด้อยค่าอย่างเขา...จะมีสิ่งใดคู่ควร..

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป อรณีชักจะหน้าเสียเมื่อรู้ตัวว่าพลาดและเผลอพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควร “ณุ..ณุ ทำไมเงียบไป อรขอโทษไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น”

“ไม่มีใครชอบคนที่ด้อยกว่าตัวเองหรอก ณุเข้าใจไม่ใช่เรื่องแปลก” ภาณุยักไหล่หันมายิ้มบางให้หญิงสาวที่ดวงตาเริ่มคลอระริกเพราะรู้ตัวว่าสะกิดใจเขาอย่างจัง

“ไม่จริง..ไม่เหมือนกันทุกคน สำหรับอรไม่สำคัญเลยว่าคนนั้นจะมีหรือจน ถ้าอรรัก..หรือถ้ารู้ว่าใครคนนั้นก็รักอร..อรจะ..”

“ช่างเถอะอรรักใครก็ไม่เกี่ยวกับณุนี่..มาดูนี่ดีกว่า แล้วจำวิธีทำเอาไว้เผื่อไว้ทำเองได้”

ท่าทางเงียบขรึมไปของอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตาสอนวิชาชงโกโก้ร้อนให้โดยไม่พูดอะไรอีก อรณีได้แต่ลอบมองอย่างน้อยใจ

แน่ล่ะ..หล่อนรักใคร..ก็ไม่สำคัญสำหรับเขาอยู่แล้ว สุดท้ายก็ได้แต่เก็บงำคำพูดที่เกือบจะหลุดปากออกไปเก็บกลับเข้าไปไว้ในซอกใจที่ลึกที่สุดตามเดิม



อธิปยืนกอดอกหน้าเครียดมองคนอ่อนวัยกว่าที่ใบหน้าบวมปูดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำอย่างอิดหนาระอาใจแกมหมั่นไส้เล็กๆ อนลยืนพิงผนังลิฟท์พร้อมคลำแผลที่แปะด้วยผ้าก๊อซปิดแผลอย่างดีไว้เรียบร้อยด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ยิ่งพาลให้เขาหงุดหงิด ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวโพล่งออกมาน้ำเสียงห้วน

“เมื่อไหร่จะเลิกก่อเรื่องซะที”

“ผมไม่ได้หาเรื่องมันนี่ พวกมันหรอกหาเรื่องผมก่อน” อนลแสยะยิ้มเหลือบสายตายียวนมองสบหลังจากพ่นคำพูดป่วนประสาท

“ขยันสร้างเรื่องให้พี่สาวนายจริงๆ เอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่ามั๊งเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านไม่รู้จักเรียนอีกหน่อยทำมาหากินอะไรได้” เงียบกริบคือคำตอบจากคนที่ยืนพิงผนังลิฟท์หลับตาพริ้มแต่รอยยิ้มมุมปากถือดีช่างกวนอารมณ์นัก

“ได้ยินมั๊ย ผู้ใหญ่พูดหัดมีสัมมาคารวะมั่งสินายน่ะ”

ไม่มีคำตอบกลับมาอีกเช่นเคย อธิปได้แต่ส่ายหน้าขัดใจที่เด็กหนุ่มทำหูทวนลม พอประตูลิฟท์เปิดตามชั้นที่หมาย อนลก็รีบก้าวออกไปทันทีไม่สนใจแม้แต่จะขอบคุณเขาที่อุตส่าห์ไปช่วยออกมาเลยสักนิด

เสียงเคาะประตูดังสนั่นไม่เกรงใจใคร บ่งบอกให้รู้ว่ายามวิกาลเช่นนี้จะมีใครไปได้นอกจากอนล อรณีผุดลุกขึ้นอย่างเหน็ดหนื่อยเมื่อรู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับน้องชายตัวแสบที่แต่ละครั้งนำความปวดหัวมาให้ไม่หยุดหย่อน

“ไม่ต้องหรอกอร ณุเปิดให้เอง”

ภาณุกดไหล่อรณีให้นั่งลงกับเก้าอี้บาร์ตามเดิม หญิงสาวพยักหน้าดวงตาสั่นระริกอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ “ขอบใจนะณุ”

“อืม..”

ทันทีที่ประตูเปิดออกตัวปัญหาก็เดินส่ายอาดๆผ่านหน้าภาณุที่เบี่ยงตัวหลบเพราะเด็กไม่มีสัมมาคารวะเดินเบียดจนหลังเขาแทบจะติดผนัง อธิปเงื้อมือหมายจะซัดเข้าศีรษะทุยของคนข้างหน้า ถ้าไม่ติดที่เพื่อนรักส่ายหน้าห้ามปรามเอาไว้ จึงเปลี่ยนเป็นถามถึงอรณีแทน

“อรเป็นไงมั่งวะ”

“ท่าทางเครียดว่ะ สงสัยมีปัญหาเรื่องงานแล้วมาเจอเรื่องนลอีก ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเลย”

ภาณุส่ายหน้าพร้อมกระซิบกระซาบกับเพื่อนรักเบาๆ อธิปพยักหน้าเป็นอันรู้กันเรื่องลับประจำบ้านของอรณี ที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้นอกจากเพื่อนสนิทอย่าง ภาณุ อธิป และมินตรา

“มินเป็นไงมั่ง กลับบ้านรึยัง ไปเยี่ยมวันก่อนแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย ยุ่งๆ” ภาณุถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพื่อนรัก ปล่อยให้อนลและอรณีเผชิญหน้ากันตามลำพังก่อน

“ก็โอเค..แต่ตัวเล็กโยเยทั้งวัน นี่สองวันมาแล้วที่ฉันไม่ได้หลับได้นอน สงสารเมีย”

“เออดีว่ะ ไอ้คุณพ่อ” สองหนุ่มหัวเราะให้แก่กันแต่แล้วก็ต้องชะงักไปทั้งคู่เมื่อเสียงที่เล็ดลอดมาจากภายในทำให้ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอนลโวยลั่น

“พี่ไล่ผมกลับบ้านได้ไง!! กลับไปไม่แคล้วแม่ด่าอีก รำคาญจะตาย ผมจะนอนที่นี่แหละ”

“ถ้าจะนอนก็นอนที่โซฟานี่ ไม่มีห้องว่างแล้ว ห้องนั้นพี่ยกให้เจ้แสงไปแล้ว”

อรณีเอ่ยอย่างใจเย็น ดวงตาขุ่นมัวมองน้องชายที่เหยียดยาวอย่างไม่มีมารยาทบนโซฟาราคาแพงแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ “เอาขาลง..ไร้มารยาท แขกก็อยู่ทำตัวดีๆหน่อย”

“อ๋อ ต้องมีมารยาทกับพวกมดแดงที่แอบย่องมาหาพี่สาวผมด้วยเหรอไง”

“ไอ้เด็กบ้า!!..แกนี่มัน!!”

อรณีตวาดเสียงเขียว เดือดร้อนภาณุต้องมาคั่นกลางห้ามทัพสองพี่น้องที่กำลังยื้อยุดกัน อนลทำตัวแข็งขัดขืนไม่ยอมลุกตามแรงดึง จนภาณุล้วงกระเป๋ากางเกงควานหากุญแจห้องยื่นให้ตัวแสบ “ไปนอนห้องพี่ ลงไปก่อนไป เดี๋ยวพี่ตามลงไป”

“โอเค..ก็ได้ ใครจะอยากอยู่กับพี่สาวขี้วีน อ้อ..ขอเตือนไว้เลยนะพี่ณุ ถ้าจะจีบรีบๆเข้า เดี๋ยวพี่สาวผมแก่ไปจะทำตัวน่ารำคาญกว่านี้อีก”

“ไอ้นล!!”

อรณีถลาเข้าหาทันทีที่จบคำพูดของอนล แต่ไม่ทันเมื่อภาณุคว้ามือนุ่มไว้ได้ก่อน “เอาน่า เดี๋ยวณุคุยให้ อรพักผ่อนเถอะ”

“อืม.. ฝากด้วยนะ เหลือขอจริงๆเด็กนั่น..ขอโทษนะณุ”

อรณีถอนหายใจ สีหน้าวิตกจ้องมองคนที่ยังจับมือไว้อย่างลืมตัว จนอธิปต้องกระแอมหลังจากเงียบแอบสังเกตุการณ์อยู่นาน

“คุณเพื่อนครับ..ผมไม่อยากขัดจังหวะ แต่ว่าจะขอตัวกลับไปหาเมียก่อนนะ”

คำพูดของอธิปเรียกสติสองหนุ่มสาวให้ปล่อยมือจากกัน อรณีแก้เก้อด้วยการเรียกอธิปไว้ก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป “เดี๋ยวโอม..ฉันฝากของไปให้มินหน่อย ไปฝรั่งเศสมาอาทิตย์ก่อนซื้อน้ำหอมมาฝากยังไม่ได้ให้เลย”

“โอเค..อ้าวนายจะไปไหน ณุ”

“กลับห้องไปดูนล ไปก่อนนะ..จะเช้าแล้วพรุ่งนี้ต้องถึงไซด์งานก่อนเก้าโมงด้วย มีปัญหานิดหน่อยว่ะต้องเคลียร์”

“เออ..ไว้เจอ..นัดสังสรรค์กัน”

อธิปมองตามเพื่อนรักจนลับสายตา ก่อนจะนั่งรออรณีที่หายเข้าห้องนอนไปอย่างใจเย็น ก่อนจะคว้านิตยสารขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา สักพักก็ได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือจากที่ไหนสักแห่ง ชายหนุ่มวางนิตยสารพร้อมทั้งลุกขึ้นมองหาที่มาของเสียงจนพบว่ามันอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มที่อรณีเพิ่งลุกไปเมื่อสักครู่ใหญ่

ชายหนุ่มจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างสนใจเมื่อปรากฏชื่อคนโทรมา แต่ไม่คิดจะกดรับสายแต่อย่างใด

“ได้ยังอร..ง่วงแล้วจะกลับบ้าน”

“เดี๋ยว!! ไม่รู้อยู่กระเป๋าไหนเยอะแยะไปหมด หาอยู่..แป๊บนึง”

ในที่สุดอธิปก็อดรนทนไม่ได้เมื่อสัญญาณสั่นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มตัดสินใจกดรับทันทีด้วยความอยากรู้ “สวัสดีครับ”

เงียบไปชั่วอึดใจ กว่าที่คนปลายสายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้ม


“คุณเป็นใคร?”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“คุณเป็นใคร”

น้ำเสียงเข้มติดจะตะคอกที่กรอกมาตามสาย อธิปอดพึมพำออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ใครวะ”

ดีที่ยังมีมรรยาทพูดหลังจากผละออกห่างจากโทรศัพท์ แล้วแนบหูฟังใหม่เมื่อได้ยินเสียงแว่วๆ จากปลายสาย เป็นเสียงที่ทรงอำนาจที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคย “บอกอรณีมารับสายหน่อย”

“อ่อ...รอสักครู่ เธอกำลังทำธุระอยู่”

อธิปตอบคำกำกวม ตะโกนเรียกหญิงสาวที่หายไปทำธุระในห้องนอนอยู่นานสองนาน “อร!! เฮ้!! เสร็จยัง ฉันจะไปแล้วนะ ง่วง”

“นี่!! ผมถามว่าคุณเป็นใคร? ทำไมถึงรับโทรศัพท์เธอได้ นี่มันจะตีห้าแล้วทำไมคุณถึงอยู่กับเธอ”

“แล้วคุณเป็นใครไม่ทราบ ถามอย่างกับเป็นญาติฝ่ายไหนของอร ทำไมผมต้องรายงานคุณว่าใครอะไรยังไง”

อธิปตอบกวนประสาทตามประสาคนขี้แกล้ง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำเสียงฮึดฮัดผ่านมาทางสายโทรศัพท์เขายิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยากจะแกล้งคนปลายสายต่ออีกนิดให้สมกับความร้อนรุ่มในน้ำเสียง ถ้าอรณีไม่ส่งเสียงมาก่อนตัว

“นี่ นายว่ากลิ่นนี้หรือกลิ่นนี้ดี ฉันเลือกให้มินไม่ถูกเลย”

อธิปรีบกดปุ่มตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนเบาะนุ่มของโซฟาทันทีอย่างแนบเนียน ก่อนจะรับน้ำหอมสีสวยสดในขวดแก้วทรงหรูมาดอมดมกลิ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ว่าไง..กลิ่นไหน ที่จริงฉันกับมินน่ะ รสนิยมเดียวกันอยู่แล้ว แต่อยากให้นายช่วยเลือกอยากรู้ว่าจะรู้ใจยัยมินแค่ไหน”

“อืม..หอมทั้งคู่ ว่าแต่ไม่มีกลิ่นแบบเย้ายวนหน่อยเหรอ พวกดิออร์อะไรพวกนี้ฉันชอบ” อธิปตอบกวนๆ ยังคงสูดดมกลิ่นหอมอย่างตัดสินใจไม่ได้

“ไอ้บ้า ซื้อชาแนลจะเอาดิออร์ มีให้เลือกสองแบบจะมาเอาแบบเย้ายวนอะไรแถวนี้ มานี่ๆ ไม่ต้องเลือกแล้ว เอ้านี่เอาชาแนลนัมเบอร์ไฟฟ์ ไปละกัน ฉันชอบ นี่ตัดใจให้เพื่อนรักเลยนะ..เชอะ” นางเอกสาวค้อนเข้าให้ อธิปได้แต่หัวเราะร่วนลืมง่วงเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะลากลับ

แต่ก่อนจะกลับเหมือนนึกอะไรได้กะจะบอกเรื่องที่เมื่อครู่มีคนโทรมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเนือยๆ ของนางเอกสาวทำให้เขาเปลี่ยนใจพูดเรื่องอื่นแทน

“ขอบใจนะ..ได้ของฟรีไปง้อเมีย โทษฐานหายไปข้ามคืน คอคงไม่ขาดมั๊ง..ฉันน่ะ”


“อืม..วันนี้ขอบใจนายด้วยนะ อุตส่าห์เป็นธุระให้ ไม่ได้นายแย่เลย ณุก็ติดต่อไม่ได้”


เสียงเนือยของเพื่อนสาวคนสนิททำให้อธิปที่กำลังเปิดประตูห้องกำลังจะก้าวออกไปต้องหันมาหาคนที่เดินตามมาส่งพร้อมทั้งขยี้ผมหล่อนแรงๆที่กลางศีรษะ อรณีถึงกับหน้ามุ่ยโวย


“ไอ้บ้า!! ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ”


“อ้าว สิบสองปีที่คบกันมานี่ไม่ใช่เพื่อนเล่นหรอกเหรอ..ฮ่าๆๆ ค่อยสมกับเป็นยัยอ้วนม้าดีดกะโหลกตัวจริงหน่อย ..อย่าคิดอะไรมาก เรื่องเล็กน้อย เพื่อนน่ะ...มีไว้ทำไมถ้าไม่ใช่เอาไว้แบ่งปันทุกข์สุขร่วมกัน ฉันกับมินไม่เดือดร้อน เธอก็ไม่ต้องคิดมาก ไอ้ณุมันเป็นห่วงเธอจะตายรู้มั๊ย”

ฟังคำพูดของเพื่อนรักจบ อรณีถึงกับน้ำตาซึมพยักหน้ารับรู้..

จริงสิ..เพื่อนแท้มักจะเห็นใจกันยามยาก..ทุกเรื่องราวสารพัดปัญหาตลอดสิบสองปีตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ทุกปัญหามีทางออกเสมอจากเพื่อนรัก
หล่อนรู้..ไม่ใช่ไม่รู้...แค่ไม่เคยแสดงความรู้สึก..ไม่แม้แต่จะปริปากให้ใครรับรู้ว่าซึ้งใจแค่ไหน ไม่เคยบอกขอบคุณแม้แต่มินตราเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน..


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


กิริยาน่ารำคาญของร่างสูงโปร่งคนอ่อนวัยกว่าทำให้ภาณุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจทันทีที่กลับเข้าห้อง อนลไม่ใส่ใจที่จะเกรงใจเจ้าของห้องที่หยุดยืนมอง ยังคงนั่งเอาขาพาดบนโต๊ะชุดรับแขกอย่างสบายอารมณ์ ในมือเล่นโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดราคาแพงที่ไถเงินพี่สาวมาซื้อ มีเพียงสายตาที่เหลือบชำเลืองมองเจ้าของห้องด้วยสายตาท้าทายเป็นระยะ ไม่กี่อึดใจก็เป็นตัวเองที่ทนไม่ไหวพูดกวนประสาทเจ้าของห้อง

“มีอะไรกินมั่งพี่ณุ..ผมหิวจัง” พูดไม่พูดเปล่า ยกมือลูบท้องทำหน้าปุเลี่ยน
“ช่วยเหลือตัวเองสิ โตแล้ว..หาเอาในตู้เย็นก็แล้วกัน พี่จะนอนสักงีบ ต้องรีบไปไซด์งานเช้านี้” ภาณุตอบนิ่งแล้วผละเดินเข้าห้อง และได้ยินเพียงคำตอบรับดังมาจากภายนอกห้องโดยที่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก “โอ..เค..หลับให้สบายนะคร๊าบ..ว่าที่...”

คำว่า "พี่เขย" หายไปกับสายลมอย่างจงใจ เสียงตอบล้อเลียนของเด็กบ้าช่างน่าระคายหู แต่เพราะร่างกายอ่อนล้าต้องการการผักผ่อนจนต้องเอนกายลงบนที่นอนทั้งชุดเดิมเมื่อวานทำให้ภาณุไม่ได้สนใจคนข้างนอกห้องอีกเลยจวบจนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เพราะเสียงนาฬิกาปลุกหัวเตียงทำให้เขารู้สึกตัว

“เฮ๊ย!! แย่แล้วเกือบเจ็ดโมงแล้วเหรอเนี่ย..ซวยแล้ว!!” ภาณูสบถลุกพรวดพราดทั้งเสื้อผ้ายับย่น คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปอย่างเร่งรีบ

วันนี้เขาต้องรีบไปไซด์งานเพื่อเคลียร์เริ่องค้างคาจากเมื่อบ่ายวาน แต่ติดที่ตัวปัญหาที่เริ่มจะสงสัยว่ามีส่วนรู้เห็นอะไรบางอย่างในการนี้เป็นแน่แท้

ธิเบต..ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนร่ำรวย ครอบครัวธรรมดาติดจะฐานะยากจน หนำซ้ำยังใช้เงินมือเติบ ที่สำคัญข่าวไม่ค่อยดีหนาหูถึงเรื่องที่ทำงานเก่ากรณียักยอกทำให้เบาใจไม่ได้ นึกไปถึงเมื่อคืนที่คุยหลักการแนวคิดกันยิ่งน่าห่วง

“ร้านก็โอเคนะ ถ้าคุณจะแต่งสไตล์เรโทรเรโทรไปเลย ผมว่ามันธรรมดาไปหน่อย ไม่ดึงดูด อย่าลืมสิแถวนี้ย่านคนรวย คนนิยมความหรูหรา เพอร์เฟค การจะตกแต่งสไตล์โบราณ เปิดเพลงยุคฟิฟตี้ ซิกซ์ตี้ มันไม่ได้คนรุ่นใหม่ คุณอาจจะได้คนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ คุณปู่ คุณย่า ที่ชอบหาความสำราญจากการเต้นลีลาศ ถ้าคุณชอบแนวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งของในร้านไปเลยสักอย่าง เพียงแค่เปิดบางมุมไว้สำหรับแกรนด์เปียโน แล้วทำฟลอร์เต้นรำก็น่าจะโอเค แหวกแนวไปเลย”

“นั่นสิ..ผมชอบเรโทร..ถึงอยากได้ร้านนี้ แต่นี่มันก็เก่าเกิน อยากได้แนวๆไฮบริดน่ะ ผสมผสาน คงสไตล์ความเก๋า แต่เพิ่มชีวิตชีวาแห่งโลกอนาคตเข้าไป มีมุมสำหรับเทพนิยายเก๋ๆ สักเรื่อง หรือไม่ก็ แนวอวกาศ แนวแบคทูเดอะฟิวเจอร์อะไรทำนองนี้ล่ะ คุณว่าดีมั๊ย”

“ก็โอเคนะ น่าสนใจ แต่คงหมดเงินไปอีกไม่น้อย ไหนจะค่าเซ้งร้าน อินทีเรีย เฟอร์นิเจอร์ เบาะๆแล้วผมว่าไม่น่าต่ำกว่าสามล้านอัพ”

ธิเบตกวาดตามองไปรอบๆ ร้านอีกครั้ง พร้อมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยักไหล่อย่างเห็นเป็นเรื่องเล็ก “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ปกติผมไม่ชอบปรึกษาใครเท่าไหร่ อย่างว่าแหละ มันทำให้ไขว้เขวได้ เอาเป็นว่า เรื่องเงินไม่มีปัญหา ไม่กี่บาท..ผมสามารถอยู่แล้ว”

ภาณุที่ให้ความเห็นอย่างผู้เชี่ยวชาญ อดสะดุดกับคำพูดของธิเบต

นอกจากงานวิศวกร เขายังมีเซนต์ด้านสถาปนิกและตกแต่งภายในครบครัน ข้อดีด้านนี้ของเขาเป็นที่ประจักษ์หลายต่อหลายโครงการ ทำให้น่านฟ้าชื่นชมและไว้ใจการทำงานของภาณุไม่น้อย

แต่ธิเบต..ไม่ใช่ เขายังใหม่ด้านนี้ เพียงแต่ความสามารถด้านการตลาดน่าชื่นชม

ผู้ชายคนนี้มีรูปเป็นทรัพย์..ติดต่อค้าขายงานไม่ค่อยพลาด ถ้าเพียงแต่จะไม่คดบ้างเอียงบ้าง กินนอกกินในบ้างอย่างที่ได้ยินได้ฟังมา คงดี...

“กี่โมงแล้วเนี่ย..นาฬิกาหายไปไหนวะ” ภาณุสบถ หลังจากแต่งตัวเสร็จอย่างลวกๆ แข่งกับเวลา ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาวกางเกงสแล็คสีดำ พาดเน็คไทด์ไว้หลวมๆ ผูกไป สำรวจหานาฬิกาข้อมือเรือนโปรดไป

จำได้ว่าเมื่อค่อนรุ่งถอดทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะงีบหลับไป ..แต่ดันหาไม่เจอ แล้วความจริงก็ประจักษ์เมื่อพบโน้ตสั้นๆ ลายมือขยุกขยิก เขียนแบบรีบร้อน

..พี่ณุ..ผมยืมคาร์เทียของพี่ไปต่อทุนก่อนนะ...

“เด็กเลว!!”

ภาณุสบถหัวเสีย นาฬิกาเรือนโปรดอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยและคงไม่กลับมาถึงเขาอีกแล้วเป็นแน่แท้ หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เขาต้องทนไม่ปริปากสักคำ “ซวยแล้วจะตอบคำถามอรยังไง..ไอ้เด็กบ้านี่สร้างเรื่องไม่หยุดจริงๆ”

ภาณุทิ้งความคิดไม่พอใจไว้แค่นั้นก่อนจะคว้านาฬิกาข้อมือเรือนเก่าที่เคยใช้เป็นประจำ และเขาก็รักมันไม่น้อยก่อนที่จะได้คาร์เทียเรือนหรูราคาลิบลิ่วมาแทนที่


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



แสงสุรีย์คร่ำเคร่งกับการจัดคิวงานให้อรณีอย่างขะมักเขม้นระหว่างรอ กระเป๋าของใช้ส่วนตัวสำหรับพักค้างคืนสองสามวันถูกลำเลียงมาใส่รถตู้สีดำติดฟิล์มดำสนิทคันประจำจอดยังที่ประจำอย่างจับจอง เกือบครึ่งชั่วโมงที่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยที่ไม่ได้เร่งร้อนมากนัก แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะสมาธิของแสงสุรีย์เสียได้

“เป็นยังไงบ้าง..รับอรณีเรียบร้อยรึยัง ไม่มีปัญหาใช่มั๊ย”

เสียงเข้มวางอำนาจส่งมาตามสาย ผู้จัดการสาวแว่นนิ่วหน้าอย่างเซ็งสุดขีด เหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนบางของตนก่อนเอ่ย “เรียบร้อยค่ะ..ว่าแต่วันนี้ท่านประธานมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ โทรมาแต่เช้า”

“จับตาดูหน่อย ว่ามีใครอยู่กับสินค้าของผมที่ห้องรึเปล่า เมื่อตอนรุ่งสางผมโทรหาอรณีมีผู้ชายรับสาย” ปราณ..สั่งน้ำเสียงวางอำนาจ

“ไม่มีนี่คะ เมื่อกี้เพิ่งขนกระเป๋าเธอลงมาเก็บที่รถก็เห็นอยู่คนเดียวนะ นี่ก็กำลังรอคุณนายเธอแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ค่ะ” แสงสุรีย์แทนสรรพนามให้อรณีเสร็จสรรพอย่างอารมณ์ดี แต่ดูเหมือนปราณจะไม่นึกขัน

“ดี..สนใจเธอให้มาก อย่าให้ริ้นไรที่ไหนมาตอมให้ตามแก้ข่าวมากนัก ผมเบื่อเต็มทนกับสินค้าใกล้หมดอายุแล้วยังไม่รู้ตัวเต็มทีแล้ว”

“ค่ะ..ท่านประธาน”

แสงสุรีย์ได้แต่รับคำ ไม่กล้าต่อความยาวเกรงจะเดือดร้อนถึงอรณี สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังไม่เข้าใจในตัวท่านประธานอยู่ดีก็คือทำไมถึงเข้มงวดกับหล่อนนัก มีอรณีดังอยู่คนเดียวในค่ายรึก็เปล่า ยังมีนักแสดงในสังกัดที่กำลังเปล่งประกายรอวันได้รับการเจียรไนอยู่อีกมากมาย

ไม่เข้าใจ..กับสิ่งที่ดูคล้ายจะหวังดี

หากแต่การกระทำ..กลับตรงข้าม..หรือนี่คือการปกครองในแบบของปราณที่หล่อนเองก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในขณะที่แสงสุรีย์กำลังรออย่างร้อนรน แต่ตัวต้นเรื่องกลับก้าวลงบันไดมายังชั้นล่างถัดกันหนึ่งชั้นอย่างกระตือรือร้น ไม่นานประตูห้องก็เปิดออกโดยที่ยังไม่แม้แต่จะกดกริ่งด้วยซ้ำ

“ฮัลโหล....ณุ”

เสียงหวานใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยืนรออยู่หน้าประตูห้อง ทันทีที่เปิดประตูห้อง ภาณุถึงกับสะดุ้งที่จู่ๆ อรณีก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าห้องเขา “อะ..อร!! ณุตกใจนะเนี่ย”
“เห็นหน้าอรตกใจเลยเหรอ..ซุกสาวไว้รึเปล่าเนี่ยไหนดูซิ” อรณีไม่พูดเปล่า ก้าวขาพาตัวหอมกรุ่นไปด้วยน้ำหอมกลิ่นดอกไม้กลิ่นเยี่ยมจากฝรั่งเศสติดตัวไปด้วย ภาณุมองตามร่างระหงที่เดินเข้าไปสำรวจนอกในห้องเขาอย่างเคยชินแล้วส่ายหน้าเอ็นดู

“มีรึเปล่าล่ะ”

“ไม่มีใครสักคน..แล้วนลล่ะ” จริงๆแล้วจุดหมายหลักของหญิงสาวตรงหน้าคงจะเป็นห่วงน้องชายจอมแสบของตนอยู่ลึกๆมากกว่า แต่ปากแข็ง

“กลับไปแล้ว..ตอนไหนก็ไม่รู้ พอดีณุงีบไปน่ะ ไม่ไหว ง่วงจัด” ภาณุสีหน้าเหนื่อยจริงจัง จนหญิงสาวอดสงสารเขาไม่ได้ “แล้วนั่นกล่องอะไร” เขาถามเมื่อเห็นกล่องถนอมอาหารในมืออรณี

“ของฝาก..เอ๊ย ไม่ใช่พอดีโอมกลับไปตอนตีห้า แปดโมงเจ้แสงจะมารับไปถ่ายแบบเซ็ตคู่ที่พัทยาแล้วเลยเข้ากองถ่ายทีมเอกับพี่ชัช คงไปสองสามวันน่ะ อรก็เลยโละของในตู้เย็นทำแซนด์วิชกิน..เอามาเผื่อณุด้วยนะ นี่ไง”

“ไหนดูก่อน กินได้รึเปล่า” ภาณุเปิดฝากล่องหอมฉุยยิ้มกริ่มกับแซนด์วิซหน้าตาธรรมดาติดจะเละเทะไปเสียด้วยซ้ำ อรณีถึงกับหน้าง้ำที่ความหวังดีถูกประเมินเพียงแค่หน้าตาของแซนด์วิซ “ เอาคืนมาไม่ต้องกิน”

“เรื่อง!! ณุจะเอาไปกินกลางทางละกัน รีบน่ะ”
“โอเค..แล้วมาบอกด้วยนะว่าอร่อยรึเปล่า”

ดวงตาสดใสทอประกายสดชื่นขึ้นทันตาเห็นเมื่อภาณุส่งยิ้มพึงพอใจ พร้อมให้กำลังใจเต็มเปี่ยม “ไม่ต้องห่วงกลับมาจะรายงานผลไม่ให้ขดตกบกพร่องเลย ว่าแต่อรจะลงไปพร้อมกันเลยมั๊ย ณุจะลงไปแล้วล่ะเดี๋ยวไม่ทัน”

“ไปสิ..เดี๋ยว..ณุ”

ภาณุถึงกับสะดุ้งมือหนารีบดึงแขนเสื้อเชิ้ตลงมาปิดนาฬิกาเรือนเก่าแทบไม่ทัน แต่ไม่ใช่เมื่ออรณีจับเขาหันมาเผชิญหน้าแล้วดึงเน็คไทด์มาผูกให้อย่างชำนาญ “รีบมากหรอไง วันนี้ไทด์เบี้ยวไม่สวยเลยนะ..ณุเนี่ย”

“ปกติก็ไม่ค่อยใส่อยู่แล้ว แต่พอดีวันนี้บ่ายมีประชุมค่อนข้างทางการน่ะ เลยรีบไปหน่อยกะจะไปไซด์งานก่อนเข้าออฟฟิศ ไม่เป็นไรน่าเดี๋ยวค่อยผูกก็ได้”

“ไม่เอา อรจะผูกให้ไม่เสียเวลาสักหนึ่งนาทีหรอกน่า..อย่าดื้อสิ”
ภาณุสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมชั้นดีจากฝรั่งเศสกลิ่นคุ้นเคยของคนตัวบางที่ใบหน้าใกล้กันเพียงลมหายใจรด อรณียังคงตั้งอกตั้งใจผูกไทด์ให้เขาอย่างบรรจง ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงหัวใจที่ดังเป็นจังหวะอยู่ภายใน
..ตึก..ตัก..

..ตึก..ตัก..

..ตึก..ตัก..

..ตึก..ตัก..


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ ^___^




lovereason
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2557, 20:46:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2557, 20:46:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1401





<< บทที่ 7 คลื่นรักพัดทราย..   ตอนที่ 9 ชั่วโมงต้องมนต์...2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account