ร้อยรักพรางตะวัน (Just To Love You)
ชีวิตและจิตใจของฉันเหมือนดั่ง..ตุ๊กตาแก้ว..
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
เปราะบาง..อ่อนแอแตกหักง่าย..
แต่มันจะยังอยู่ได้..ถ้ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง’
(อรณี)
‘หัวใจของผม..มีไว้เพื่อเธอ..
ดวงอาทิตย์เฉิดฉายที่ปลายฟ้า
ดวงนั้น..คงไม่มีวันตกลงมาถึงผม..’
(ภาณุ)
‘คนอย่างฉัน..ไม่เคยต้องง้อใคร..
ถึงจะวีน..เหวี่ยง..แรง..ร้าย..
แต่ยังไง..ฉันก็ยังรักเขา..’
(ชลดา)
‘ถ้าเลือกได้..สักครั้งในชีวิต
ผมไม่ต้องการ..อะไรเลย
นอกจากเธอ..ผู้เป็นดั่งรอยยิ้มของผม’
(ชัชพล)
Tags: ร้อยรักพรางตะวัน,รักซึ้งๆ,รักโรแมนติก
ตอน: ตอนที่ 9 ชั่วโมงต้องมนต์...2
ไอร้อนผะผ่าวตกกระทบผิวทันทีที่ประตูรถตู้ถูกเปิดออกแสงสุรีย์ละสายตาจากตารางคิวงานที่กำลังขมักเขม้นมองคนมาใหม่ที่ยืนยิ้มกริ่มให้อย่างนึกเคืองคนเจอสายตาพิฆาตดูเหมือนจะรู้ตัวรีบบอกเหตุผล
“ขอโทษนะเจ้..อรสายพอดีมัวแต่หาของอยู่ เลยช้าไปหน่อย”
“แล้วเจอมั๊ย..ของน่ะ”ผู้จัดการสาวแว่นหนาสวนถามทันทีดวงตาภายใต้แว่นสายตายังคงคมกริบมองอย่างรู้ทัน
“ก็หาไม่เจอ..แต่ช่างมันเถอะไม่สำคัญอะไรอ้อ..นี่แซนด์วิช อรทำมาเผื่อเจ้กับลุงลองชิมดูแล้ววิจารณ์ด้วยนะว่าพอไปวัดไปวากับเค้าได้รึเปล่า”
อรณียื่นกล่องถนอมอาหารสีขาวสองกล่องส่งให้แสงสุรีย์พร้อมส่งยิ้มให้ลุงทองคนขับรถที่นั่งรออยู่ที่นั่งคนขับยิ้มให้อรณี “ขอบคุณครับคุณอร”
อรณียิ้มรับคำขอบคุณอย่างอารมณ์ดีก่อนจะพาตัวขึ้นมานั่งที่นั่งหลังคนขับติดหน้าต่าง ทองกุลีกุจอลงจากรถมาปิดประตูให้เสร็จสรรพ แล้วพาตัวเองขึ้นนั่งประจำที่คนขับ
ผู้จัดการสาวแว่นเหลือบมองนาฬิกาข้อมือด้วยสีหน้ายุ่งยากใจใกล้เวลานัดเข้ามาทุกทีแต่อรณียังคงเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขึ้นรถได้ก็ทำเป็นหลับไม่สนใจอะไรจนแสงสุรีย์ถึงกับทอดถอนใจเอ่ย “เมื่อคืนดึกเหรอ..ทำอะไรอยู่ท่าทางเหนื่อยจัง”
“ไม่มีอะไรนี่..อ่านบทดึกไปหน่อยน่ะเจ้”
อรณีตอบขอไปที ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำกรอบใหญ่มีแววสลดเล็กน้อยจะให้เล่าเรื่องในครอบครัวให้คนอื่นรู้ไปก็ใช่ที่ ทางที่ดีที่สุดคือ..ความเงียบ
“มีอะไรอยากจะบอกมั๊ย ปรึกษาได้นะ”
“จะมีอะไรล่ะ..อรแค่ท่องบทดึกนอนไม่พอ ตื่นมาทำแซนด์วิซรับรองว่าไม่ทำให้ไอ้งานจับคู่วันนี้เสียแน่นอน..ถ้าไม่จำเป็น” ท้ายประโยคลงคำพูดแรงกว่าปกติจนแสงสุรีย์รู้สึกได้จึงได้แต่พูดเตือนสติกลายๆ
“ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลยนะอร..มันก็แค่งาน ทำๆ ไปแล้วก็จบ ได้เงิน ได้หน้าไม่มีอะไรต้องเสียเลย ขออย่างเดียวทำงานเสร็จเวลาให้สัมภาษณ์น่ะอย่าฟันธงว่าแค่รักโปรโมทเป็นพอเธอต้องให้ความหวังแฟนคลับเอาไปจิ้นต่อยอด”
“ตรรกะไร้สาระอีกแล้ว..ท่านประธานสั่งให้เจ้มากล่อมอรใช่มั๊ยไม่ต้องห่วง..อรไม่ทำให้งานเสียแน่ ก็บอกแล้ว..ถ้าไม่จำเป็น”
“เฮ้อ!!..พูดแล้วเหนื่อย เลิกพูดดีกว่าทำอะไรก็คิดก่อนก็แล้วกันขี้เกียจตามแก้ข่าวแล้ว..ถึงแล้วค่อยซ้อมคิวอีกทีก็แล้วกัน”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” อรณีแสดงความสนใจทันที งานภาพยนตร์เป็นงานหลักที่หล่อนต้องรับผิดชอบในช่วงนี้แต่การจะต้องพบเจอกับใครบางคนทำให้ต้องคิดหนัก
“ก็เหมือนเดิมไง..มีคิวเย็นนี้ที่พัทยาคราวนี้โลเกชั่นบนเนินเขายามเย็น กับในโรงแรมห้าดาวของสปอนเซอร์ ไม่มีฉากลำบากวิ่งหนีโจรระเบิดกระท่อม หลบกระสุนหรอก สบายใจได้ งานนี้ไม่ต้องเม้ง”
“โธ่..ถามเฉยๆแค่นี้ต้องประชดประชัน ตกลงเจ้จะเป็นผู้จัดการหรือจะเป็นแม่อรกันแน่เนี่ย” อรณีเปรยยิ้มๆ จิกกัดตามฟอร์ม
“เฮ้อ.. ขี้เกียจพูดละเอาไว้คุยกับคุณชัชเรื่องคิวเอาเองก็แล้วกัน”
แสงสุรีย์ทอดถอนใจแล้วมองเมินออกไปนอกหน้าต่าง ระหว่างรถชะลอติดไฟแดงไม่ไกลกันนั้นใครบางคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งคนขับของรถญี่ปุ่นคันเก่าใกล้ๆกันกำลังกัดกินแซนด์วิซชิ้นโตอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขผู้จัดการสาวนัยน์ตาเป็นประกายพร้อมขยับแว่นเล็กน้อยอย่างเคยชินแล้วก้มมองแซนด์วิซในมือตัวเองที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ
‘อย่างนี้รึเปล่า..ต้นเหตุการสายของเธอ..อรณี..อย่าให้รู้นะว่าเธอมีซัมติงกับเพื่อนร่วมคอนโดมีหวังท่านประธานรีบย้ายเธอออกจากที่นั่นแทบไม่ทันแน่’
แสงสุรีย์ถอนใจอีกเป็นคำรบสองนึกถึงบางสิ่งที่หนักอึ้งกำลังรออยู่อีกไม่นาน...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตึก..ตัก..ตึก..ตัก..
ตึก..ตัก..ตึก..ตัก..
เสียงหัวใจ..ที่ดังอย่างประหลาดเมื่อยามเช้าของวัน ความรู้สึกที่หวั่นไหว..ไปกับกลิ่นหอมและใบหน้านวลแสนเคยคุ้นพาลให้ความรู้สึกที่เก็บลึกมานานเริ่มจะเก็บไม่ไหวอีกต่อไป
แม่น้ำกว้างใหญ่ที่มองเห็นจากหน้าต่างวันนี้ช่างไหลเชี่ยวกรากผิดปกติเหมือนหัวใจของเขาที่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเลือดจะสูบฉีดทำงานหนักจนเหมือนมันจะออกมากองอยู่นอกอก..มันเป็น‘ความรัก’แน่แล้ว..รู้ตัวมานาน..แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อสถานะของความเป็นเพื่อนมันค้ำคอให้เขาอับจนคำพูดอยู่ทุกวันนี้
คิดจะรุก..ก็กลัว..เสียรัก..เสียเพื่อน..
กลัว..อีกฝ่ายไม่เห็นค่าไม่มีราคาในสายตา..ยิ่งเมื่ออรณีเป็นเหมือนตุ๊กตาแก้วน่าทนุถนอมในสายตาของใครต่อใครมีหรือที่คนธรรมดาอย่างเขาจะกล้าหยิบจับให้ตุ๊กตาแก้วแสนสวยตัวนั้นต้องเป็นริ้วรอย..ด้อยค่า
“คุณภาณุครับ..คุณภาณุ”
เสียงเรียกอย่างเกรงใจของอเนก..หัวหน้าช่างที่มีต่อวิศกรหนุ่มไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตัวแต่อย่างใดภาณุยังคงมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนใช้ความคิดนิ่งนานพอที่จะปล่อยความคิดคำนึงหลั่งไหลไปหาใครบางคนที่คิดถึง
“พิมพ์เขียวกับเอกสารที่ต้องการได้แล้วครับ”
อเนกเอ่ยเสียงดังขึ้นเล็กน้อยให้เขารู้ตัวภาณุถึงกับสะดุ้งก่อนจะหันมายิ้มบางพร้อมรับเอกสารไปดูเนิ่นนานด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนอเนกอดถามถึงเรื่องที่คับข้องใจไม่ได้
“หรือเพราะว่าเฟสสองนี้ต้นทุนต่ำกว่าเฟสหนึ่งครับการใช้วัสดุอย่างแกรนิตดำแอฟ ถึงถูกลดทอนไปใช้แกรนิโต้แทนผมยังข้องใจไม่หายเฟสที่แล้วงานเราเนี๊ยบมาก มาใช้ตัวนี้กับเฟสสองมันจะกลายเป็นลดระดับไปรึเปล่าครับ”
“อืม..นั่นแหละที่ผมเป็นห่วงชื่อเสียงเฟสแรกโด่งดังจนมีเฟสสองและจะมีสามตามมา แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนะอาจจะมีอะไรผิดพลาดทางเทคนิคถึงได้ขอเช็คอย่างละเอียดอีกทีแล้วจะบอกให้คุณทราบ ระหว่างนี้ช่วยทำส่วนอื่นที่ทำได้ไป เว้นส่วนที่มีแกรนิตไว้ก่อนแล้วผมจะรีบให้คำตอบ..อ้อ..อีกเรื่อง..สถาปนิกเฟสสองชื่อคุณวาปีเหรอผมจำได้ว่าคุณน่านฟ้ารับผิดชอบควบสองเฟสเลยนี่..เปลี่ยนมือตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่ยักรู้”
ภาณุรู้สึกสะดุดใจตั้งแต่เห็นรายชื่อสถาปนิกโครงการเฟสสองที่ถึงแม้เขาจะไม่มีส่วนร่วมกับโครงการนี้มาตั้งแต่ต้นแต่เมื่ออเนกนำเรื่องมาปรึกษาคนอย่างเขาจึงนิ่งเฉยอยู่ไมได้
“คุณวิศวกรใหญ่ของบริษัท..มาทำอะไรที่เฟสสองมิทราบครับผมจำได้ว่าคุณไม่ได้รับผิดชอบนี่”
คำถามยียวนติดจะหาเรื่องนิดๆลอยตามลมมากระทบโสตประสาทภาณุเข้าพอดีชายหนุ่มหันหาต้นเสียงที่ดังมาจากด้านหลังก็พบว่าไม่ใช่ใครนอกจาก..ธิเบต
“ผมมาดูความคืบหน้าโครงการร่วมนิดหน่อยน่ะแล้วคุณ?”
“ผมนัดลูกค้ามาดูห้องตัวอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ ได้ยินว่าคุณมาตรวจงานผมก็เลยอยากขึ้นมาทักทายซะหน่อยตามประสาคนรู้จัก”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดาซึ่งภาณุรับฟังอย่างขัดหูแต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากคำตอบเรียบๆเช่นเคย “ผมไม่ได้มาตรวจงานเพราะไม่มีหน้าที่พอดีเห็นชื่อสถาปนิกโครงการเป็นคุณวาปีก็เลยถามดูเท่านั้นเอง มีอะไรจะแนะนำผมรึเปล่า”
“ก็..เปล๊า..คุณวาปีถึงเธอจะยังประสบการณ์ไม่มากแต่การออกแบบของเธอได้ใจลูกค้ามาก ผมขายเฟสนี้คล่องกว่าเฟสหนึ่งของคุณตั้งเยอะเชียว”ธิเบตได้ทีคุยโอ่
“งั้นเหรอ แต่ที่รู้ๆเฟสหนึ่งขายไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะ เฟสสองขายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอเพิ่งเปิดตัวไม่นานเองนี่ ผมนึกว่ายังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ” ภาณุถามด้วยความสงสัยแต่ธิเบตกลับคิดว่าเขาจงใจรวน จึงเหน็บกลับ“คุณไม่ใช่ฝ่ายการตลาดคุณไม่รู้อะไรหรอก..อ้อ.. แต่ลืมไป คุณมันขงเบ้งในวงการวิศกรรมนี่”
“ขอบคุณที่ให้เกียรตินะ แต่ผมไม่เก่งขนาดขงเบ้งหรอกแค่คิดว่าถ้ามีอะไรน่าสงสัยผมจะไม่ปล่อยผ่านไปแน่ๆ แม้แต่เศษฝุ่นผงแค่ปลายขี้เล็บถ้าผมเห็นผมก็คงต้องทักท้วง”ชายหนุ่มตอบพร้อมสายตาท้าทายต่อคู่ตรงข้าม จนธิเบตถึงกับตาลุก
“งั้นคุณคงไม่มีวันได้เห็น”ธิเบตมองตอบท้าทาย ‘นายไม่มีวันได้เห็นแน่ๆกว่านายจะได้เห็นเรื่องคงไปไกลกว่านี้เยอะ..หึหึ’ ธิเบตพึมพำในลำคอโดยที่ภาณุไม่อาจได้ยิน
แล้วการสนทนาก็ยุติลงเมื่อใครบางคนเข้ามาพร้อมเสียงหวานๆหญิงสาวสวยเฉี่ยว ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางค่อนข้างหนาเดินเฉิดฉายเข้ามาราวกับหลุดมาจากแคทวอล์คเรียกความสนใจให้สองหนุ่มหันมองแทบจะพร้อมๆกัน
“นินทาอะไรฉันรึเปล่าคะได้ยินแว่วๆ”
“อ้าว..มาแล้วเหรอผมมีคนจะแนะนำให้รู้จักด้วยนะ..คุณวาปี”
ธิเบตเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวสวยคมพร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญให้หล่อนก้าวเข้ามาหญิงสาวสวยจ้องมองภาณุไม่วางตา “สวัสดีค่ะ..ดิฉัน.. วาปีค่ะ”
คำทักทายเป็นมิตรของหญิงสาวสวยจัดเรียกรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับภาณุที่ยังคงรักษากิริยาอย่างผู้ใหญ่กว่า“สวัสดีครับ..ผม..ภาณุ วิศวกรโครงการเฟสหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีที่รู้จักมือหนึ่งของบริษัทค่ะ ไม่คิดว่าจะหนุ่มขนาดนี้เลยนะคะเสียดายวิศวกรเฟสสองไม่ใช่คุณโอกาสหน้าคงได้ร่วมงานกันนะคะ”
“เช่นกันครับ ไม่คิดว่าคุณยังเด็กมากและที่สำคัญ..เอ่อ..สวย”
“อื้อหือ..เห็นคุณนิ่งๆแบบนี้คุณกำลังทำฉันหัวใจพองโตนะคะเนี่ย”
วาปีแสดงท่าทีขวยเขินทำความรู้จักเสียยืดยาวจนชายหนุ่มคนแนะนำถึงกับหน้าเซ็งที่ถูกลดความสำคัญเมื่อหล่อนไม่ได้ใส่ใจเขาอีกเลยจนต้องเอ่ยขัดจังหวะอย่างหมั่นไส้เล็กๆ “เดี๋ยวคุณจะไปทานข้าวพร้อมผมรึเปล่า..คุณวาปี..”
“เที่ยงพอดีไปทานข้าวด้วยกันมั๊ยคะคุณณุ”
“เอ่อ..คือผม”ภาณุอึกอักเมื่อมองสบสายตาหาเรื่องเข้าอย่างจังจากชายหนุ่มตรงข้ามที่มองมาอย่างไม่ชอบใจจึงปฏิเสธไปในทันที “ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่หิว”
จะหิวได้อย่างไรในเมื่อแซนด์วิซหน้าตาเละเทะเมื่อเช้ายังจุกอกเขาอยู่เลยยิ่งนึกไปถึงหน้าคนรอคำตอบเรื่องแซนด์วิซแล้วอดยิ้มขำออกมาไม่ได้จนวาปีและธิเบตได้แต่มองอย่างประหลาดใจ
แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาให้ภาณุได้ปฏิเสธอีกเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาพอดีจากเบอร์คุ้นเคย
“ว่าไง”ภาณุกดรับสายสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันตา“แต่ฉันมีประชุมบ่ายสามที่ออฟฟิศ..อะไรยกเลิกแล้ว? โอเคๆ ได้ งั้นเจอกัน”
ทันทีที่วางสายจึงรีบปลีกตัวออกมาสถาปนิกสาวได้แต่มองตามอย่างเสียดายจนนักการตลาดหนุ่มต้องกระแอมเรียกสติแถมวาจาดุดัน “มองตามตาเป็นมันเลยนะ..ชอบมันมากรึไง”
วาปีฟังดังนั้นถึงกับค้อนขวับวงใหญ่แต่สีหน้ายิ้มกริ่มสบตาธิเบตสายตาหวานเชื่อมก่อนจะพาตัวเข้าสวมกอดเอวเขาไว้หลวมๆ “มันเป็นเทคนิคของผู้หญิง คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“มั่นใจจังเลยนะ..อย่าลืมว่าคุณเป็นผู้หญิงของผม” ธิเบตอ้างตัวอย่างถือสิทธิ์ เป็นผลให้วาปีผละออกจากอ้อมกอดของเขาทันทีตามด้วยน้ำเสียงมั่นใจไม่ต่างกัน
“ตราบใดที่คุณยังไม่ขอฉันแต่งงาน...ฉัน..ไม่มีวันเป็นผู้หญิงของคุณ จำเอาไว้ด้วยนะ ผู้หญิงอย่างฉันไม่ใช่ของตาย..”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รถยุโรปคันหรูแล่นไปตามเส้นทางมุ่งหน้าตรงไปยังพัทยาภาณุมองข้างทางไปอย่างเงียบๆ โดยมีน่านฟ้าเป็นคนขับ นานๆจะพูดคุยกันสักครั้งเพราะน่านฟ้าเอาแต่จ้อเรื่องสัพเพเหระไม่หยุดจนน่ารำคาญ
“นายว่าไง..ไอ้ณุ”
หลังจากเล่าเสียยืดยาวก็ยังไม่ได้รับความเห็นจากคนนั่งข้าง น่านฟ้าจึงต้องถามย้ำคนใจลอยอีกครั้ง “เฮ้!!เป็นไรวะ นั่งเงียบเหม่อตลอดทาง..อย่าบอกนะว่ากำลังมีความรักถึงนั่งฝันหวานอยู่คนเดียวเนี่ย ผู้หญิงที่ไหนโชคดีฉันรู้จักรึเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกน่า..คิดเรื่องงานเรื่อยเปื่อยน่ะแล้วนี่ตกลงไปพัทยาทำไม ต้องค้างรึเปล่า ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนสักชุดนึง” ภาณุสีหน้ากังวล ปกติเขาเตรียมตัวดีเสมอการทำอะไรที่ฉุกละหุกไม่มีการตระเตรียมใดๆไม่ใช่วิสัยของเขา
“เอาน่า..แค่เสื้อผ้าชุดเดียวไปหาเอาข้างหน้า..รีบว่ะเดี๋ยวคุณหญิงแม่เปลี่ยนใจไม่ให้ขึ้นมาจะชวด ฉลู ขาล เถาะ กันพอดี”
น่านฟ้าพูดติดตลกนั่นยิ่งทำให้ภาณุงงมากยิ่งขึ้น “ให้อะไรไม่ให้อะไรงงแล้วนะเนี่ย รีบขนาดนั้นเชียว”
“เออสิวะ..คุณหญิงแม่ไม่รู้นึกครึ้มอะไรให้พานายมาหาที่โรงแรมบอกจะชวนไปดูที่ดินทำคอนโดแถวพัทยากลางมีคนมาเสนอขาย..แพงนะเว้ย..ถ้าได้ล่ะก็เงินเห็นๆ ช่วยหน่อยละกัน ไปดูเองตัดสินใจไม่ถูกว่ะ”
“อ้อ..เข้าใจๆ ได้สิแล้วพักที่ไหนกันคืนนี้” ภาณุอดที่จะถามต่อหาข้อมูลไม่ได้ ตามประสาคนรอบคอบ
“พักโรงแรมห้าดาวติดหาดของคุณหญิงแม่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวให้เปิดห้องชั้นบนสุดวิวพานอราม่าให้เลยก็ได้”
“ไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นแค่ถามเฉยๆน่า”
ภาณุรู้ดี น่านฟ้าเป็นคนคิดเร็วทำเร็วตามประสาลูกคนมีอันจะกินถ้าไม่ได้เขาช่วยตัดสินใจเพื่อนรักคนนี้มักจะโลเลและทำให้พลาดไปอย่างน่าเสียดายหลายต่อหลายครั้งเป็นผลให้ความไว้วางใจจากครอบครัวให้ดูแลกิจการใหญ่ยังไม่สามารถปล่อยมือได้ในเวลาอันใกล้
จำเป็นที่เขาจะต้องช่วยตามประสาเพื่อนที่ปรารถนาดีต่อเพื่อนรัก..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่า ^____^
“ขอโทษนะเจ้..อรสายพอดีมัวแต่หาของอยู่ เลยช้าไปหน่อย”
“แล้วเจอมั๊ย..ของน่ะ”ผู้จัดการสาวแว่นหนาสวนถามทันทีดวงตาภายใต้แว่นสายตายังคงคมกริบมองอย่างรู้ทัน
“ก็หาไม่เจอ..แต่ช่างมันเถอะไม่สำคัญอะไรอ้อ..นี่แซนด์วิช อรทำมาเผื่อเจ้กับลุงลองชิมดูแล้ววิจารณ์ด้วยนะว่าพอไปวัดไปวากับเค้าได้รึเปล่า”
อรณียื่นกล่องถนอมอาหารสีขาวสองกล่องส่งให้แสงสุรีย์พร้อมส่งยิ้มให้ลุงทองคนขับรถที่นั่งรออยู่ที่นั่งคนขับยิ้มให้อรณี “ขอบคุณครับคุณอร”
อรณียิ้มรับคำขอบคุณอย่างอารมณ์ดีก่อนจะพาตัวขึ้นมานั่งที่นั่งหลังคนขับติดหน้าต่าง ทองกุลีกุจอลงจากรถมาปิดประตูให้เสร็จสรรพ แล้วพาตัวเองขึ้นนั่งประจำที่คนขับ
ผู้จัดการสาวแว่นเหลือบมองนาฬิกาข้อมือด้วยสีหน้ายุ่งยากใจใกล้เวลานัดเข้ามาทุกทีแต่อรณียังคงเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขึ้นรถได้ก็ทำเป็นหลับไม่สนใจอะไรจนแสงสุรีย์ถึงกับทอดถอนใจเอ่ย “เมื่อคืนดึกเหรอ..ทำอะไรอยู่ท่าทางเหนื่อยจัง”
“ไม่มีอะไรนี่..อ่านบทดึกไปหน่อยน่ะเจ้”
อรณีตอบขอไปที ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำกรอบใหญ่มีแววสลดเล็กน้อยจะให้เล่าเรื่องในครอบครัวให้คนอื่นรู้ไปก็ใช่ที่ ทางที่ดีที่สุดคือ..ความเงียบ
“มีอะไรอยากจะบอกมั๊ย ปรึกษาได้นะ”
“จะมีอะไรล่ะ..อรแค่ท่องบทดึกนอนไม่พอ ตื่นมาทำแซนด์วิซรับรองว่าไม่ทำให้ไอ้งานจับคู่วันนี้เสียแน่นอน..ถ้าไม่จำเป็น” ท้ายประโยคลงคำพูดแรงกว่าปกติจนแสงสุรีย์รู้สึกได้จึงได้แต่พูดเตือนสติกลายๆ
“ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลยนะอร..มันก็แค่งาน ทำๆ ไปแล้วก็จบ ได้เงิน ได้หน้าไม่มีอะไรต้องเสียเลย ขออย่างเดียวทำงานเสร็จเวลาให้สัมภาษณ์น่ะอย่าฟันธงว่าแค่รักโปรโมทเป็นพอเธอต้องให้ความหวังแฟนคลับเอาไปจิ้นต่อยอด”
“ตรรกะไร้สาระอีกแล้ว..ท่านประธานสั่งให้เจ้มากล่อมอรใช่มั๊ยไม่ต้องห่วง..อรไม่ทำให้งานเสียแน่ ก็บอกแล้ว..ถ้าไม่จำเป็น”
“เฮ้อ!!..พูดแล้วเหนื่อย เลิกพูดดีกว่าทำอะไรก็คิดก่อนก็แล้วกันขี้เกียจตามแก้ข่าวแล้ว..ถึงแล้วค่อยซ้อมคิวอีกทีก็แล้วกัน”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” อรณีแสดงความสนใจทันที งานภาพยนตร์เป็นงานหลักที่หล่อนต้องรับผิดชอบในช่วงนี้แต่การจะต้องพบเจอกับใครบางคนทำให้ต้องคิดหนัก
“ก็เหมือนเดิมไง..มีคิวเย็นนี้ที่พัทยาคราวนี้โลเกชั่นบนเนินเขายามเย็น กับในโรงแรมห้าดาวของสปอนเซอร์ ไม่มีฉากลำบากวิ่งหนีโจรระเบิดกระท่อม หลบกระสุนหรอก สบายใจได้ งานนี้ไม่ต้องเม้ง”
“โธ่..ถามเฉยๆแค่นี้ต้องประชดประชัน ตกลงเจ้จะเป็นผู้จัดการหรือจะเป็นแม่อรกันแน่เนี่ย” อรณีเปรยยิ้มๆ จิกกัดตามฟอร์ม
“เฮ้อ.. ขี้เกียจพูดละเอาไว้คุยกับคุณชัชเรื่องคิวเอาเองก็แล้วกัน”
แสงสุรีย์ทอดถอนใจแล้วมองเมินออกไปนอกหน้าต่าง ระหว่างรถชะลอติดไฟแดงไม่ไกลกันนั้นใครบางคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งคนขับของรถญี่ปุ่นคันเก่าใกล้ๆกันกำลังกัดกินแซนด์วิซชิ้นโตอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขผู้จัดการสาวนัยน์ตาเป็นประกายพร้อมขยับแว่นเล็กน้อยอย่างเคยชินแล้วก้มมองแซนด์วิซในมือตัวเองที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ
‘อย่างนี้รึเปล่า..ต้นเหตุการสายของเธอ..อรณี..อย่าให้รู้นะว่าเธอมีซัมติงกับเพื่อนร่วมคอนโดมีหวังท่านประธานรีบย้ายเธอออกจากที่นั่นแทบไม่ทันแน่’
แสงสุรีย์ถอนใจอีกเป็นคำรบสองนึกถึงบางสิ่งที่หนักอึ้งกำลังรออยู่อีกไม่นาน...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตึก..ตัก..ตึก..ตัก..
ตึก..ตัก..ตึก..ตัก..
เสียงหัวใจ..ที่ดังอย่างประหลาดเมื่อยามเช้าของวัน ความรู้สึกที่หวั่นไหว..ไปกับกลิ่นหอมและใบหน้านวลแสนเคยคุ้นพาลให้ความรู้สึกที่เก็บลึกมานานเริ่มจะเก็บไม่ไหวอีกต่อไป
แม่น้ำกว้างใหญ่ที่มองเห็นจากหน้าต่างวันนี้ช่างไหลเชี่ยวกรากผิดปกติเหมือนหัวใจของเขาที่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเลือดจะสูบฉีดทำงานหนักจนเหมือนมันจะออกมากองอยู่นอกอก..มันเป็น‘ความรัก’แน่แล้ว..รู้ตัวมานาน..แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อสถานะของความเป็นเพื่อนมันค้ำคอให้เขาอับจนคำพูดอยู่ทุกวันนี้
คิดจะรุก..ก็กลัว..เสียรัก..เสียเพื่อน..
กลัว..อีกฝ่ายไม่เห็นค่าไม่มีราคาในสายตา..ยิ่งเมื่ออรณีเป็นเหมือนตุ๊กตาแก้วน่าทนุถนอมในสายตาของใครต่อใครมีหรือที่คนธรรมดาอย่างเขาจะกล้าหยิบจับให้ตุ๊กตาแก้วแสนสวยตัวนั้นต้องเป็นริ้วรอย..ด้อยค่า
“คุณภาณุครับ..คุณภาณุ”
เสียงเรียกอย่างเกรงใจของอเนก..หัวหน้าช่างที่มีต่อวิศกรหนุ่มไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตัวแต่อย่างใดภาณุยังคงมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนใช้ความคิดนิ่งนานพอที่จะปล่อยความคิดคำนึงหลั่งไหลไปหาใครบางคนที่คิดถึง
“พิมพ์เขียวกับเอกสารที่ต้องการได้แล้วครับ”
อเนกเอ่ยเสียงดังขึ้นเล็กน้อยให้เขารู้ตัวภาณุถึงกับสะดุ้งก่อนจะหันมายิ้มบางพร้อมรับเอกสารไปดูเนิ่นนานด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนอเนกอดถามถึงเรื่องที่คับข้องใจไม่ได้
“หรือเพราะว่าเฟสสองนี้ต้นทุนต่ำกว่าเฟสหนึ่งครับการใช้วัสดุอย่างแกรนิตดำแอฟ ถึงถูกลดทอนไปใช้แกรนิโต้แทนผมยังข้องใจไม่หายเฟสที่แล้วงานเราเนี๊ยบมาก มาใช้ตัวนี้กับเฟสสองมันจะกลายเป็นลดระดับไปรึเปล่าครับ”
“อืม..นั่นแหละที่ผมเป็นห่วงชื่อเสียงเฟสแรกโด่งดังจนมีเฟสสองและจะมีสามตามมา แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนะอาจจะมีอะไรผิดพลาดทางเทคนิคถึงได้ขอเช็คอย่างละเอียดอีกทีแล้วจะบอกให้คุณทราบ ระหว่างนี้ช่วยทำส่วนอื่นที่ทำได้ไป เว้นส่วนที่มีแกรนิตไว้ก่อนแล้วผมจะรีบให้คำตอบ..อ้อ..อีกเรื่อง..สถาปนิกเฟสสองชื่อคุณวาปีเหรอผมจำได้ว่าคุณน่านฟ้ารับผิดชอบควบสองเฟสเลยนี่..เปลี่ยนมือตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่ยักรู้”
ภาณุรู้สึกสะดุดใจตั้งแต่เห็นรายชื่อสถาปนิกโครงการเฟสสองที่ถึงแม้เขาจะไม่มีส่วนร่วมกับโครงการนี้มาตั้งแต่ต้นแต่เมื่ออเนกนำเรื่องมาปรึกษาคนอย่างเขาจึงนิ่งเฉยอยู่ไมได้
“คุณวิศวกรใหญ่ของบริษัท..มาทำอะไรที่เฟสสองมิทราบครับผมจำได้ว่าคุณไม่ได้รับผิดชอบนี่”
คำถามยียวนติดจะหาเรื่องนิดๆลอยตามลมมากระทบโสตประสาทภาณุเข้าพอดีชายหนุ่มหันหาต้นเสียงที่ดังมาจากด้านหลังก็พบว่าไม่ใช่ใครนอกจาก..ธิเบต
“ผมมาดูความคืบหน้าโครงการร่วมนิดหน่อยน่ะแล้วคุณ?”
“ผมนัดลูกค้ามาดูห้องตัวอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ ได้ยินว่าคุณมาตรวจงานผมก็เลยอยากขึ้นมาทักทายซะหน่อยตามประสาคนรู้จัก”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดาซึ่งภาณุรับฟังอย่างขัดหูแต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากคำตอบเรียบๆเช่นเคย “ผมไม่ได้มาตรวจงานเพราะไม่มีหน้าที่พอดีเห็นชื่อสถาปนิกโครงการเป็นคุณวาปีก็เลยถามดูเท่านั้นเอง มีอะไรจะแนะนำผมรึเปล่า”
“ก็..เปล๊า..คุณวาปีถึงเธอจะยังประสบการณ์ไม่มากแต่การออกแบบของเธอได้ใจลูกค้ามาก ผมขายเฟสนี้คล่องกว่าเฟสหนึ่งของคุณตั้งเยอะเชียว”ธิเบตได้ทีคุยโอ่
“งั้นเหรอ แต่ที่รู้ๆเฟสหนึ่งขายไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะ เฟสสองขายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอเพิ่งเปิดตัวไม่นานเองนี่ ผมนึกว่ายังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ” ภาณุถามด้วยความสงสัยแต่ธิเบตกลับคิดว่าเขาจงใจรวน จึงเหน็บกลับ“คุณไม่ใช่ฝ่ายการตลาดคุณไม่รู้อะไรหรอก..อ้อ.. แต่ลืมไป คุณมันขงเบ้งในวงการวิศกรรมนี่”
“ขอบคุณที่ให้เกียรตินะ แต่ผมไม่เก่งขนาดขงเบ้งหรอกแค่คิดว่าถ้ามีอะไรน่าสงสัยผมจะไม่ปล่อยผ่านไปแน่ๆ แม้แต่เศษฝุ่นผงแค่ปลายขี้เล็บถ้าผมเห็นผมก็คงต้องทักท้วง”ชายหนุ่มตอบพร้อมสายตาท้าทายต่อคู่ตรงข้าม จนธิเบตถึงกับตาลุก
“งั้นคุณคงไม่มีวันได้เห็น”ธิเบตมองตอบท้าทาย ‘นายไม่มีวันได้เห็นแน่ๆกว่านายจะได้เห็นเรื่องคงไปไกลกว่านี้เยอะ..หึหึ’ ธิเบตพึมพำในลำคอโดยที่ภาณุไม่อาจได้ยิน
แล้วการสนทนาก็ยุติลงเมื่อใครบางคนเข้ามาพร้อมเสียงหวานๆหญิงสาวสวยเฉี่ยว ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางค่อนข้างหนาเดินเฉิดฉายเข้ามาราวกับหลุดมาจากแคทวอล์คเรียกความสนใจให้สองหนุ่มหันมองแทบจะพร้อมๆกัน
“นินทาอะไรฉันรึเปล่าคะได้ยินแว่วๆ”
“อ้าว..มาแล้วเหรอผมมีคนจะแนะนำให้รู้จักด้วยนะ..คุณวาปี”
ธิเบตเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวสวยคมพร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญให้หล่อนก้าวเข้ามาหญิงสาวสวยจ้องมองภาณุไม่วางตา “สวัสดีค่ะ..ดิฉัน.. วาปีค่ะ”
คำทักทายเป็นมิตรของหญิงสาวสวยจัดเรียกรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับภาณุที่ยังคงรักษากิริยาอย่างผู้ใหญ่กว่า“สวัสดีครับ..ผม..ภาณุ วิศวกรโครงการเฟสหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีที่รู้จักมือหนึ่งของบริษัทค่ะ ไม่คิดว่าจะหนุ่มขนาดนี้เลยนะคะเสียดายวิศวกรเฟสสองไม่ใช่คุณโอกาสหน้าคงได้ร่วมงานกันนะคะ”
“เช่นกันครับ ไม่คิดว่าคุณยังเด็กมากและที่สำคัญ..เอ่อ..สวย”
“อื้อหือ..เห็นคุณนิ่งๆแบบนี้คุณกำลังทำฉันหัวใจพองโตนะคะเนี่ย”
วาปีแสดงท่าทีขวยเขินทำความรู้จักเสียยืดยาวจนชายหนุ่มคนแนะนำถึงกับหน้าเซ็งที่ถูกลดความสำคัญเมื่อหล่อนไม่ได้ใส่ใจเขาอีกเลยจนต้องเอ่ยขัดจังหวะอย่างหมั่นไส้เล็กๆ “เดี๋ยวคุณจะไปทานข้าวพร้อมผมรึเปล่า..คุณวาปี..”
“เที่ยงพอดีไปทานข้าวด้วยกันมั๊ยคะคุณณุ”
“เอ่อ..คือผม”ภาณุอึกอักเมื่อมองสบสายตาหาเรื่องเข้าอย่างจังจากชายหนุ่มตรงข้ามที่มองมาอย่างไม่ชอบใจจึงปฏิเสธไปในทันที “ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่หิว”
จะหิวได้อย่างไรในเมื่อแซนด์วิซหน้าตาเละเทะเมื่อเช้ายังจุกอกเขาอยู่เลยยิ่งนึกไปถึงหน้าคนรอคำตอบเรื่องแซนด์วิซแล้วอดยิ้มขำออกมาไม่ได้จนวาปีและธิเบตได้แต่มองอย่างประหลาดใจ
แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาให้ภาณุได้ปฏิเสธอีกเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาพอดีจากเบอร์คุ้นเคย
“ว่าไง”ภาณุกดรับสายสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันตา“แต่ฉันมีประชุมบ่ายสามที่ออฟฟิศ..อะไรยกเลิกแล้ว? โอเคๆ ได้ งั้นเจอกัน”
ทันทีที่วางสายจึงรีบปลีกตัวออกมาสถาปนิกสาวได้แต่มองตามอย่างเสียดายจนนักการตลาดหนุ่มต้องกระแอมเรียกสติแถมวาจาดุดัน “มองตามตาเป็นมันเลยนะ..ชอบมันมากรึไง”
วาปีฟังดังนั้นถึงกับค้อนขวับวงใหญ่แต่สีหน้ายิ้มกริ่มสบตาธิเบตสายตาหวานเชื่อมก่อนจะพาตัวเข้าสวมกอดเอวเขาไว้หลวมๆ “มันเป็นเทคนิคของผู้หญิง คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“มั่นใจจังเลยนะ..อย่าลืมว่าคุณเป็นผู้หญิงของผม” ธิเบตอ้างตัวอย่างถือสิทธิ์ เป็นผลให้วาปีผละออกจากอ้อมกอดของเขาทันทีตามด้วยน้ำเสียงมั่นใจไม่ต่างกัน
“ตราบใดที่คุณยังไม่ขอฉันแต่งงาน...ฉัน..ไม่มีวันเป็นผู้หญิงของคุณ จำเอาไว้ด้วยนะ ผู้หญิงอย่างฉันไม่ใช่ของตาย..”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รถยุโรปคันหรูแล่นไปตามเส้นทางมุ่งหน้าตรงไปยังพัทยาภาณุมองข้างทางไปอย่างเงียบๆ โดยมีน่านฟ้าเป็นคนขับ นานๆจะพูดคุยกันสักครั้งเพราะน่านฟ้าเอาแต่จ้อเรื่องสัพเพเหระไม่หยุดจนน่ารำคาญ
“นายว่าไง..ไอ้ณุ”
หลังจากเล่าเสียยืดยาวก็ยังไม่ได้รับความเห็นจากคนนั่งข้าง น่านฟ้าจึงต้องถามย้ำคนใจลอยอีกครั้ง “เฮ้!!เป็นไรวะ นั่งเงียบเหม่อตลอดทาง..อย่าบอกนะว่ากำลังมีความรักถึงนั่งฝันหวานอยู่คนเดียวเนี่ย ผู้หญิงที่ไหนโชคดีฉันรู้จักรึเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกน่า..คิดเรื่องงานเรื่อยเปื่อยน่ะแล้วนี่ตกลงไปพัทยาทำไม ต้องค้างรึเปล่า ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนสักชุดนึง” ภาณุสีหน้ากังวล ปกติเขาเตรียมตัวดีเสมอการทำอะไรที่ฉุกละหุกไม่มีการตระเตรียมใดๆไม่ใช่วิสัยของเขา
“เอาน่า..แค่เสื้อผ้าชุดเดียวไปหาเอาข้างหน้า..รีบว่ะเดี๋ยวคุณหญิงแม่เปลี่ยนใจไม่ให้ขึ้นมาจะชวด ฉลู ขาล เถาะ กันพอดี”
น่านฟ้าพูดติดตลกนั่นยิ่งทำให้ภาณุงงมากยิ่งขึ้น “ให้อะไรไม่ให้อะไรงงแล้วนะเนี่ย รีบขนาดนั้นเชียว”
“เออสิวะ..คุณหญิงแม่ไม่รู้นึกครึ้มอะไรให้พานายมาหาที่โรงแรมบอกจะชวนไปดูที่ดินทำคอนโดแถวพัทยากลางมีคนมาเสนอขาย..แพงนะเว้ย..ถ้าได้ล่ะก็เงินเห็นๆ ช่วยหน่อยละกัน ไปดูเองตัดสินใจไม่ถูกว่ะ”
“อ้อ..เข้าใจๆ ได้สิแล้วพักที่ไหนกันคืนนี้” ภาณุอดที่จะถามต่อหาข้อมูลไม่ได้ ตามประสาคนรอบคอบ
“พักโรงแรมห้าดาวติดหาดของคุณหญิงแม่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวให้เปิดห้องชั้นบนสุดวิวพานอราม่าให้เลยก็ได้”
“ไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นแค่ถามเฉยๆน่า”
ภาณุรู้ดี น่านฟ้าเป็นคนคิดเร็วทำเร็วตามประสาลูกคนมีอันจะกินถ้าไม่ได้เขาช่วยตัดสินใจเพื่อนรักคนนี้มักจะโลเลและทำให้พลาดไปอย่างน่าเสียดายหลายต่อหลายครั้งเป็นผลให้ความไว้วางใจจากครอบครัวให้ดูแลกิจการใหญ่ยังไม่สามารถปล่อยมือได้ในเวลาอันใกล้
จำเป็นที่เขาจะต้องช่วยตามประสาเพื่อนที่ปรารถนาดีต่อเพื่อนรัก..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่า ^____^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2557, 21:46:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2557, 21:46:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1508
<< ตอนที่ 8 ชั่วโมงต้องมนต์...1 | เรื่องบังเอิญ..ที่ไม่บังเอิญ.. >> |