UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 3 : จากผู้ไม่หวังดี

บทที่ 3

เขียนจันทร์จัดการล้างหน้าสีผสมอาหารบนหน้าออกจนสะอาด ปล่อยให้แจงพากองพันไปอาบน้ำบนห้อง ส่วนเธอทำหน้าที่มารับแขกกิตติมศักดิ์ของบ้าน เมื่อบ่ายคล้อยหม่อมยายของเธอออกไปงานการกุศลกับสมาคมคุณหญิงคุณนาย ส่วนแม่เธอนั้นตอนนี้ไปถือศีลอยู่ที่วัดต่างจังหวัด อีกอาทิตย์หนึ่งถึงจะกลับ

“ลูกเพื่อนน้องเขียนเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” บดินทร์ภัทรเริ่มวินิจฉัย แค่เด็กไม่พูดก็ถือว่ามีปัญหาทางพัฒนาการค่อนข้างมากแล้ว

“น่าจะมีนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ฉันก็เพิ่งเจอน้องขุนครั้งแรกตอนเมื่อวานนี้เอง ของแบบนี้คงต้องคอยสังเกต” หญิงสาวตอบอย่างใจเย็น ทั้งที่ยิ่งเห็นปัญหาในตัวกองพันมากมาย เธอนึกอยากจะไปแล่เนื้อคนเลี้ยงมาให้จระเข้รับประทานสุดๆ แล้วก็ตาม ปัญหาคนเลี้ยงย่อมต้องมีส่วน

ถ้าเขาจะเอาเวลาวิ่งไล่พี่สาวเธอมาใส่ใจกองพันเพิ่มสักนิดก็คงจะดีกว่านี้...

“แกดูรักสัตว์นะคะ พอพูดเรื่องช้าง แกก็ดูสนใจขึ้นมาเลย”

“ตรงนี้ถือเป็นเรื่องโชคดีของฉันเลยนะคะ” เขียนจันทร์ยิ้มรับ เธอเหมือนได้เห็นเงาตัวเองในวัยเด็กซ้อนทับภาพของกองพัน แต่น่าเสียดาย ที่สิ่งหนึ่งบนหน้าเด็กน้อยคนนี้ไม่มีเหมือนเธอในวัยเด็ก ก็คงเป็นความสุข สนุกไปตามวัย

กองพันดูโต และมีความคิดเกินวัยตัวเอง เขานิ่ง และมักจะเหม่อลอย

“เอาอย่างนี้สิคะ เพื่อนพี่กำลังจะเปิดอควาเรี่ยมที่ต่างจังหวัด เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลอีกสองวัน ถ้าน้องเขียนยังว่าง ก็ลองพาน้องขุนไปดูได้นะคะ จริงสิ เพื่อนพี่เขายังหาดารามาว่ายแสดงเปิดในอคาเรี่ยมไม่ได้ เห็นบอกว่าไม่มีใครกล้าสักคน น้องเขียนอยากลองดูไหมคะ”

“อย่างนั้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่ฉันไม่ใช่ดารานี่สิคะ”

“แค่ทายาทโรงแรมห้าดาวกลางกรุงจะไปเปิดงานให้ ผู้ร่วมงาน ผู้สื่อข่าวก็จ้องตาเป็นมันแล้วค่ะ ถ้าน้องเขียนตกลง พี่จะได้โทรไปบอกเพื่อนให้” ข้อเสนอที่ยั่วใจนั้นมีหรือที่คนรักการดำน้ำ การอยู่กับสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่จะปฏิเสธ งานนี้เธอได้ประโยชน์ และเด็กชายตัวน้อยก็จะได้สัมผัสกับโลกเสมือนใต้ท้องทะเลด้วย

“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ ขอบคุณนะคะคุณชาย”

บดินทร์ภัทรกลับหลังจากนั้นไม่นาน รถยังแล่นไปเสียงยังไม่ขาดหู ประตูวังของหม่อมยายยังไม่ทันจะปิดสนิท เสียงตึงตังฝีเท้าหนักจากบนบ้านก็มาหยุดตรงหน้าเธอ แจงมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด คอยมองรอบๆ ว่ามีใครมาแอบฟังหรือไม่


“มีอะไรแจง”

“เมื่อวานตอนอาบน้ำให้น้องขุนแจงก็คิดว่าแจงอาจมองไม่ชัด เป็นรอยผด มดกัดอะไร แต่วันนี้แจงดูใหม่ชัดๆ มันไม่ใช่รอยมดกัดแล้วค่ะคุณเขียน มันเป็นรอยไม้เรียว ตามตัวที่เสื้อผ้าปิดก็มีรอยเขียวช้ำเต็มไปหมด”

หัวใจคนฟังหล่นวูบ เขียนจันทร์สงสารเด็กน้อยจับใจ เธอนึกภาพความโหดร้ายที่เด็กชายถูกกระทำมาเกือบไม่ไหว กว่าเธอจะมาทรุดลงอยู่ข้างเตียงนอนในห้องเธอได้ก็ยากลำบาก เด็กชายที่นอนหลับสนิทบนเตียงเธอนั้นดูสงบนิ่ง มือบางของเธอเอื้อมไปเลิกเสื้อนอนเด็กชายออกอย่างระวัง ไม่อยากทำให้กองพันตื่น ร่องรอยเขียวช้ำบริเวณเอวขึ้นสีม่วงชัดเป็นจ้ำตามตัว และถ้ามีรอยไม้เรียวด้วย มันก็คงไม่วายอยู่ตรงหลังหรือก้นของเด็กชาย

เขียนจันทร์น้ำตาคลอ เธอลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอมเบามือ กลัวจะไปเพิ่มความเจ็บ แม้แต่ปลายเล็บ หญิงสาวนึกโกรธ โมโหที่รักษ์ชาติปล่อยให้น้องชายตัวเองพบเจอสภาพชีวิตแบบนี้ เธอเกือบโมโหจนขาดสติยับยั้งพานเชื่อว่ารักษ์ชาติเป็นคนลงมือต่อร่างน้อยนี้ แต่เธอยังเหลือสติ และระลึกได้ รักษ์ชาติบอกว่ากองพันมีพี่เลี้ยงคอยเลี้ยงดูเขาอยู่

มือบางดึงผ้าห่มให้เด็กชายอย่างเรียบร้อย ก่อนจะจากมาด้วยย่างก้าวอันเงียบเชียบ มาหยุดยืนเกาะราวระเบียงหน้าห้อง ใช้โทรศัพท์ไร้สายของวังศุภเกียรติโทรหาน้องชายทันที

“พรึกนายออกเวรหรือยัง” เมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจ เขียนจันทร์ไม่รอช้าที่จะโยนเข้าเรื่องที่เธอตั้งไว้ “ช่วยสืบเรื่องพี่เลี้ยงของน้องขุนให้พี่ที เอาอย่างเร็วที่สุด เป็นไปได้ก็เอากล้องวงจรปิดไปติดในบ้านของนายขุนเลย”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่เขียน ผมจะโดนข้อหาบุกรุกไหม”

“ฉันมีกุญแจบ้านเขา ยังไงนายต้องช่วยพี่ เห็นแก่หลานตาดำๆ สักคน” หลังจากนั้นเขียนจันทร์จอมวางแผนก็เริ่มดำเนินการค้นหาความจริง

ไม่มีอะไรที่ไม่พอใจแล้วยังเล็ดลอดสายตา หรือไม่มีการตอกหน้าคืนเด็ดขาด ส่วนตัวพ่อ ไม่สิ พี่ชาย เธอไว้ค่อยรอให้เขากลับมา ตอนนั้นเธอคงรู้ความจริงกระจ่าง จะได้รู้ว่ารักษ์ชาติมีความผิดมากน้อยแค่ไหน จะได้เอาคืนให้เจ็บแสบเหมือนที่กองพันเคยพบเจอมา


เขียนจันทร์ได้รับรายละเอียดจากบดินทร์ภัทรที่อยากให้เธอไปซ้อมในอควาเรี่ยมในวันรุ่งขึ้นกับทางนั้นก่อน เพิ่งวางสายได้ไม่นาน โทรศัพท์วังก็กรีดเสียงร้องอีก หญิงสาวที่สวมชุดนอนผ้าบาง คลุมด้วยชุดคลุมยาวขยับตัวบนโซฟาพนักสูงเปลี่ยนท่า ตัดสินใจรับต่อ

“ผมเองนะพี่เขียน เรื่องที่พี่ให้ผมไปดูให้ไง บ้านนั้นมีคนอยู่นี่ เป็นผู้หญิง ผมลองเข้าไปถามก็ทำหน้าระแวดระวังไม่รับแขก แต่ก็เปิดเพลงซะดังเชียว”

คนฟังขมวดคิ้วฉับ “ผิดหลังหรือเปล่าพรึก นายเจ้าขุนไปตะลอนอยู่ที่อังกฤษ จะมีคนอยู่ได้ไง ถ้ามีคนอยู่ เขาจะเอาลูกขุนมาฝากกันเหรอ”

“ผมลองตะล่อมถามมาจากพวกเพื่อนบ้าน ท่าทางนิสัยพี่เลี้ยงเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดา ส่วนพี่ขุนก็ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลหรือกลับบ้าน”

ยิ่งได้ฟังหญิงสาวก็รู้สึกโกรธจนหน้ามืด เรียบเรียงเรื่องได้ทั้งหมด “พรึกทำยังไงก็ได้ พี่อยากให้มีกล้องวงจรปิดในบ้านหลังนั้น เอามันทุกจุดทุกมุม พรึกทำให้พี่ได้ไหม ภายในสามวันนี้”

“ผมจะพยายามนะพี่เขียน แล้วสรุปมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกี่ยวกับน้องขุนเหรอ”

“พี่ไม่อยากพูดเรื่องนี้ทางโทรศัพท์ เดี๋ยวพรึกมาแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง ที่แน่ๆ ถ้าตอนนี้พี่นอกไส้ของพรึกอยู่แถวนี้พี่จะจับมาหักคอจิ้มน้ำพริกแล้วโยนให้ปลาฉลามกิน”

“โยนให้หมาแมวกินก็พอมั้งพี่ แต่อาจจะยากหน่อย ระดับเสี่ยสถานบันเทิงอย่างพี่ขุนคงไม่ยอมให้พี่ไปหักคอง่ายๆ”

“เสี่ยสถานบันเทิง” มือที่ถือโทรศัพท์สั่นด้วยความโกรธ “เสี่ยนี่หมายถึงนักเที่ยว หรือเจ้าของ”

“เจ้าของสิพี่เขียน เขาไปเทกโอเวอร์สถานบันเทิงที่หนึ่งมา ยอมขายมรดกเพื่อที่นี่เลย ได้สักสามปีได้”

เขียนจันทร์ไม่แน่ใจว่าน้องชายพูดอะไรอีกก่อนวางสาย ในตอนนี้เพียงแค่นึกถึงสิ่งที่รักษ์ชาติกระทำตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ อารมณ์โกรธมากมายยิ่งปะทุ สองวันที่เธอได้มีโอกาสอยู่กับกองพัน เธอประสบกับอาการนิ่งเงียบ ไม่พูดจา และหวาดระแวงของเขา เด็กชายสามขวบต้องพบเจออะไรขนาดไหน ถึงได้ไม่ยิ้มเลยสักครั้งเดียว แล้วเขาล่ะ คนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อเคยสนใจอะไรในชีวิตของกองพันบ้าง

หญิงสาวนึกอย่างหงุดหงิด ในชีวิตผู้ชายที่ชื่อรักษ์ชาติไม่เคยทำอะไรให้เธอสบายใจมาก่อน ไม่จิกใช้ ก็อารมณ์เสีย หงุดหงิดใส่เสมอ ครั้งนี้ก็โยนภาระตัวน้อยมาให้เธอ ภาระที่เธอแกล้งทำเมินเฉยไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ แม้แต่นกที่ปีกหักเธอยังเก็บมารักษาและปล่อยมันไปหลังจากหายดี แล้วเด็กตาดำๆ ที่ต้องมีชีวิตต่อไปอีกหกสิบ เจ็ดสิบปี เธอจะให้เขาพบเจอช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้น ให้เรื่องพวกนี้เป็นแผลในใจเขาไปตลอดได้อย่างไร

เด็กก็เหมือนผ้าขาว หากผู้ใหญ่ป้ายสีดำลงไป ผ้าผืนนั้นต่อให้ซักมันก็ยากจะขาวสะอาดได้ดังเดิม แต่อย่างน้อยเธอก็อยากจะเปลี่ยนสีดำ เปลี่ยนเป็นสีที่ใสขึ้น สะอาดขึ้น เธออยากเปิดใจเด็กชายให้ได้

ร่างระหงกลับเข้ามาในห้องที่เปิดเครื่องปรับจนอุณหภูมิลดต่ำอยู่ในหลักเลขสองต้นๆ เด็กชายกองพันหลับตาสนิท แต่หัวคิ้วยังขมวด เขียนจันทร์สอดตัวไปในผ้าห่ม ดึงร่างเล็กมากอดกระชับไว้อย่างปลอบประโลม เธอรู้สึกว่าเด็กชายขืนตัว เกร็ง แต่ยังดีที่หลับตาสนิท และค่อยๆ คลายอาการเกร็งเหลือเพียงท่าตามสะดวก

บรรยากาศอบอุ่น ที่เธอเคยรับรู้มายามดอกพ่อหรือแม่หวนคืน แม้เธอจะเป็นเด็กบ้านแตก แต่ไม่ว่าเธอมีปัญหาอะไร เพียงแค่บอกพ่อหรือแม่ พวกท่านก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเสมอ แล้วเด็กคนนี้ล่ะ...เขามีใครที่พอจะรับฟังเสียงเล็กๆ ของเขาบ้างไหม

ที่แน่ๆ พ่อกำมะลอของกองพันคือบุคคลที่ไม่ได้เรื่องที่สุด


หนังสือคณิตอย่างง่ายๆ ที่เป็นเลขบวกลบ เพียงแค่ยื่นไปเบื้องหน้าเด็กชายกองพัน ดินสอไม้ที่วางเคียงกันก็ถูกมือเล็กกำไปเขียนตัวเลขคำตอบถูกต้องลงไป หรือจะหนังสือคำศัพท์อย่างคำว่า cat dog กองพันก็เติมคำที่ขาดหายไปได้อย่างครบถ้วน

“ถ้าไม่นับนิสัยหยิบอาหารเม็ดมากินอาจะชมน้องขุนมากกว่านี้นะครับ” หลังจากตอนเช้าที่เธอตื่นนอน แจงก็วิ่งเข้ามาทำหน้าตาตื่น บอกกับเธอว่าน้องขุนนั่งหยิบอาหารเม็ดสุนัขที่เลี้ยงเจ้าพุดเดิลในบ้านกินหมดไปครึ่งจาน โชคดีที่เธอมีสติมากพอจะไม่เป็นลมล้มตึงไป สั่งให้แม่บ้านห้ามเป็นการใหญ่ ตอนที่เธอลงไปเห็นเด็กชายถึงกับกำอาหารเม็ดไว้ในมือ กว่าจะจัดการให้กองพันเลิกทานอาหารสุนัขได้ก็เหนื่อยกันเป็นแถว

แล้วเธอก็ต้องขับรถไปห้างสรรพสินค้า หิ้วเด็กชาย คอยจูงไว้กลัวจะคลาดสายตา จัดการเรื่องโทรศัพท์ และไปแผนกเด็กซื้อของเล่น เสื้อผ้า หรือหนังสือเพื่อเพิ่มทักษะให้กับกองพัน จนมาถึงโรงแรมในชลบุรี เธอเฝ้ามองพัฒนาการทางสติปัญญาของกองพันแล้ว ไม่ธรรมดา เรื่องบวกลบทำได้เก่ง ภาษาอังกฤษก็ไม่ธรรมดา

“เรียนกับใครมาครับ”

กองพันเงยขึ้นมามอง แต่ไม่ตอบ วางดินสอแล้วนั่งหลังตรงเงียบๆ เหม่อไปข้างนอกแทน เขียนจันทร์ลูบศีรษะเด็กชายอย่างเห็นใจ มองตามสายตาก็เห็นว่ามองไปยังหาดทรายและท้องทะเล “อยากไปเดินเล่นไหมครับ เดี๋ยวอาเขียนพาไป”

เด็กชายกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินนำออกไป ปล่อยให้ผู้ใหญ่ยิ้มตามไล่หลัง

เสียงเคาะประตูห้องดังก่อน เด็กชายที่ส่วนสูงไม่ถึงลูกบิดถอยออกมาจากประตู ปล่อยให้เขียนจันทร์เดินขึ้นหน้าไปเปิด รอยยิ้มคุณหมอใจดีฉายออกมาหลังประตูเปิดรับ

“พี่กำลังจะมาตาม ทางนั้นเขารอน้องเขียนอยู่ค่ะ” น้ำเสียงละมุนใจดีของบดินทร์ภัทรเผื่อแผ่มายังเด็กชายตัวเล็กด้วย “ไปดูปลากันไหมครับ”

“ดีเลยค่ะ ฉันจะได้ฝากน้องขุนให้คุณชายดูแลหน่อย”

“อยากว่ายน้ำไหมครับ” คุณหมอก้มลงถามด้วยรอยยิ้มบนหน้า เพียงแค่เด็กชายพยักหน้าเขียนจันทร์ก็ตั้งท่าจะโวยวาย บดินทร์ภัทรจึงรีบเอ่ยอธิบาย “ที่โรงแรมมีสระสำหรับเด็ก เดี๋ยวพี่ดูแลให้ น้องเขียนไม่ต้องกลัวนะคะ”

“รบกวนคุณชายจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ”

เมื่อบดินทร์ภัทรไม่ว่าอะไร เขียนจันทร์จึงเดินกลับเข้ามาในห้อง หยิบถุงเสื้อผ้าสำหรับกองพัน เลือกกางเกงว่ายน้ำมาใส่ถุงกระดาษแยก ส่วนเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายหลัง ที่เก็บชุดดำน้ำที่เธอใช้ประจำอยู่ภายใน

เห็นสายตายอมรับ ไม่ต่อต้านของกองพันยามที่คุณชายหมอยอมให้ขึ้นขี่คอเดินไป เขียนจันทร์ก็รู้สึกว่าปากเธอจะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้หุบ จะว่าไปบดินทร์ภัทรก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หม่อมยายของเธอตาถึงไม่เบา

ผู้ชายที่รักเด็ก เขาว่ากันว่ามักมีจิตใจที่อ่อนโยน...เธอว่ามันคือเรื่องจริง


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทางทะเลสร้างขึ้นด้วยเงินของมหาเศรษฐีรายหนึ่งที่หลงรักทะเลเป็นชีวิตจิตใจ เขาตระเวนเก็บฟอสซิล กระดูกจากสัตว์ทะเลหายากทั่วโลกมานานหลายปี เมื่อเขาเกษียณตัวเองจากวงการธุรกิจจึงหันมาทุ่มให้กับสิ่งที่เขารัก ข้างๆ พิพิธภัณฑ์ระยะห่างถึงห้าร้อยเมตรเป็นโรงพยาบาลสัตว์น้ำซึ่งมีเจ้าของเดียวกัน

‘โชติรส’ สตรีสูงวัยรุ่นเดียวกับวงเดือนคือผู้บุกเบิกสถานที่ทั้งสองขึ้นมา รูปหน้าที่มีร่องรอยตามวัย ผมสีดอกเลา สวมเสื้อลายดอกสีสันสดใส เดินมือไพล่หลังเดินสำรวจอาณาจักรความฝันของตัวเอง โดยที่เขียนจันทร์ได้เดินตาม

“สวยไหม ฉันอยากให้ที่นี่ทำให้จิตใจมนุษย์ได้พักผ่อน แล้วเราก็ยังช่วยเหลือสัตว์ที่น่าสงสาร” โชติรสเดินนำไปยังบริเวณกลางของพิพิธภัณฑ์ที่เป็นพื้นที่กว้างโล่ง มีกระดูกของปลาวาฬสีน้ำเงินต่อกัน และลานน้ำพุใหญ่ที่มีสัตว์เล็กสัตว์น้อยแหวกว่ายภายใน “เต่ายักษ์ตัวนั้น เพื่อนของฉันซื้อต่อเรือประมงที่เผลอขับชนมัน ต้องรักษาไปตั้งมาก แต่ก็ปล่อยกลับทะเลไม่ได้เพราะเสียสมดุลในการดูทิศทาง บางตัวก็มาจากพวกเศรษฐีที่เลิกเลี้ยง สัตว์พวกนี้น่าสงสาร ถ้ามันยังรู้ว่าตัวเองสามารถบำบัดจิตใจผู้คน หรือทำให้คนมีความสุขได้ ฉันว่าสัตว์พวกนี้ก็คงมีประโยชน์มากกว่ามาเป็นอาหารในจาน”

“ดีจังเลยนะคะ ฉันรู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักที่นี่” สัตว์ที่ป่วยเมื่อถึงเวลาที่มันหายก็จะได้กลับสู่ท้องทะเลกว้าง แต่กับบางตัวนั้นพวกมันแค่ให้มีลมหายใจรอดก็ยาก ไม่ต้องพูดถึงการกลับไปท้องทะเลเลย ที่นี่จึงไม่ต่างจากที่พักฟื้น ที่อยู่ที่ไม่ทำให้สัตว์พิการหลายๆ ตัวต้องไปตายในทะเล บางตัวนั้นก็ไม่ต้องไปเป็นอาหารอันโอชะของใคร รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาที่กำลังเรียนได้อีก

“สนใจมาทำงานกับฉันไหมล่ะ ฉันรู้ว่าหนูเป็นสัตวแพทย์ ไปช่วยเหลือสัตว์มาหลายๆ ประเทศในนามชมรม ในนามกลุ่มอิสระบ้าง เพื่อนๆ ของฉันบางคนยังรู้จักหนู ฉันยังมีโรงพยาบาลสัตว์อยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าหนูสนใจฉันจะได้ให้หนูเริ่มทำงานได้เลย”

เขียนจันทร์ยิ้มขอบคุณ เธอเองอยากจะคว้าโอกาสงามๆ นี้ไว้ แต่ว่า “ได้โปรดให้ฉันได้ลองใช้ฝีมือตัวเองเพื่อเข้ามาทำงานดีกว่านะคะ ฉันไม่อยากให้เกิดการครหาในที่มาของฉัน”

“หนูนี่ชอบคิดมากไม่เข้าเรื่อง ความสามารถคนต้องดูหลังการทำงาน การสมัครมันก็แค่คัดกรองคนได้บ้างเท่านั้น แต่ช่างเถอะ ฉันเชื่อว่าหนูทำได้ ขาดเหลืออะไร หรือจะเปลี่ยนใจก็บอกกับฉัน ฉันยินดีช่วยเหลือเต็มที่ ตอบแทนเรื่องที่หนูมาช่วยงานฉัน”

ยี่สิบนาทีต่อมาเขียนจันทร์ในชุดดำน้ำก็พาตัวเองมาหยุดเหนือขอบบ่อของอควาเรี่ยม สัตว์น้ำหลายๆ ชนิดแหวกว่ายไปมา เธอได้ยินว่ามีสัตว์หลายชนิดเข้าข่ายสัตว์อันตรายในท้องทะเล แต่ถ้ารู้จักระวัง มาอย่างเป็นมิตร ไม่ไปทำท่าตกใจกลัว หรือมีท่าทีมุ่งร้าย มันก็จะไม่ทำอะไร และส่วนใหญ่สัตว์ในอควาเรี่ยมนี้ก็ค่อนข้างปลอดภัย ฉลามที่เธอแอบเห็นมาก็แก่แล้ว ซ้ำยังมีคนรายงานมาว่าฟันของมันกัดเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ไม่ค่อยเข้า แต่เธอก็ไม่อยากวางใจนักหรอก

คนดูแลสายออกซิเจนทางด้านบนส่งสัญญาณว่าพร้อมไหม เขียนจันทร์จึงใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจใต้น้ำ ขยับขาที่สวมตีนเป็ดเรียบร้อย ส่งสัญญาณมือโอเค ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงไปในบ่อใหญ่ น้ำเย็นเฉียบไหลผ่านทั่วร่าง ภาพใต้น้ำภายชัดผ่านแว่น สัตว์น้อยใหญ่สีสันสว่างสวย กับปะการังหลายพันธุ์เบื้องล่างเกือบหลอกให้เธอเชื่อว่าที่นี่คือผืนทะเลลึก ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างหากว่ากระจกเบื้องหน้าที่เธอมองเพื่อจำลองการส่งสัญญาณทักทายให้แขกเหรื่อนั้นจะไม่มีคนที่กำลังยืนกอดอก หน้ายักษ์มองตอบกลับมา

จู่ๆ อากาศที่ใช้หายใจจากท่อออกซิเจนก็ดูจะติดขัด อากาศในปอดลดฮวบจนแสบช่วงอก เขียนจันทร์ไม่มีเวลาหันไปใส่ใจรักษ์ชาติอีก เธอพยายามกลั้นหายใจ และตั้งใจเพื่อแหวกว่ายกลับไปด้านบน ปู่ปลาฉลามที่เธอเห็นแวบๆ กำลังว่ายตรงมาอย่างเร็วไม่มีหยุด หญิงสาวตาโต อาการกลัวปิดไม่มิด เธอพยายามเพิ่มความเร็วในการว่าย ในจังหวะที่ฉลามยื่นปากจะมาจู่โจม มือเธอก็พ้นน้ำ พร้อมกับลอยขึ้น เพราะถูกคนดึงขึ้นมา

เขียนจันทร์ตะเกียกตะกายถอยครูดให้ห่างจากอควาเรี่ยม ใช้มือที่เป็นอิสระแล้วถอดอุปกรณ์ดำน้ำออกด้วยอาการกอบโกยออกซิเจนเข้าปอด ใบหน้าซีดเผือดขาดเลือดจึงดูดีขึ้น

“เกือบตายแล้วไหม!” รักษ์ชาติตะคอกใส่ข้างหูเขียนจันทร์ อารมณ์หงุดหงิดเหมือนตัวเองเกือบถูกฉลามงาบเสียเอง “จะเลือกตายแบบไหน ขาดอากาศหายใจ หรือโดนฉลามฉีกทึ้งร่างฮะ”

“ขอบคุณที่ช่วย” สติมาอาการลนลานกลัวจนตัวสั่นจึงคืนสู่ภาวะปกติ เขียนจันทร์หลบสายตาดุของอดีตนายทหาร เพื่อมองหาคนดูแลออกซิเจน แต่ดันพบว่านอนเลือดอาบอยู่ตรงนั้น

“คุณทำเหรอ”

“การที่ฉันเห็นเธอเกือบจมน้ำตายแล้วรีบมาช่วยหมายถึงฉันทำร้ายเด็กนั่นด้วยหรือไง เธอนี่มันเหมือนพระจันทร์ที่สวยเวลามองจากบนโลก แต่ในความเป็นจริงมีแต่หลุมอุกกาบาต แค่แสงยังส่องเองไม่ได้” การแก้ตัวของรักษ์ชาติเพิ่มคำด่าให้คนฟังได้แต่มองตาปริบๆ เธอรู้สึกว่าเขาจะด่าเธอว่า ’โง่’ นะ

คนหวิดเสียชีพใช้มือยันพื้นเพื่อลุกขึ้น เธอเดินไปประคองร่างคนเจ็บขึ้นมา บริเวณศีรษะถูกตีด้วยวัตถุหนักจนสลบ ตอนนี้เพิ่งจะได้สติ รักษ์ชาติก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองตามเหตุการณ์ไม่ทัน มายืนคุมเชิงผสมท่าทีคุกคามค้ำศีรษะเขียนจันทร์ไว้

“จะเอาไง สอบปากคำ เค้นก่อนเลยไหม”

“ป่าเถื่อน พาเขาไปหาหมอก่อนสิ ถ้าไม่ช่วยก็หลบไป” คนสวมชุดดำน้ำรัดรูปพยายามใช้ร่างบางของตัวเองพยุงชายวัยนักศึกษาขึ้น แต่รักษ์ชาติก็กระแทกเธอให้พ้นวงโคจรด้วยร่างเขา ก่อนจะใช้หลังของตัวเองแบกร่างปวกเปียกที่เลือดโชกศีรษะไว้อย่างมั่นคง

“เห็นข้างๆ มีโรงพยาบาล เดี๋ยวก็ถึงมือหมอแล้ว ไม่ตายหรอก ส่วนเธอจะไปแบบนี้ก็ได้นะ ฉันชอบดู”

หน้าหื่นกาม แสยะยิ้มมุมปากทิ้งท้ายของรักษ์ชาติเพิ่งทำให้เขียนจันทร์รู้สึกตัวหน้าร้อนวูบ เธอรีบใช้มือปิดร่างกายที่ชุดแนบไปกับร่างเผยสัดส่วนชัดเจน นึกอยากเป็นแมว เล็บมือเล็บเท้ายาวๆ เธอจะได้ข่วนหน้ากวนประสาทของรักษ์ชาติฝากรอยแผลไว้สักสามสี่รอย


“ถ้าฉันเป็นเด็กคนนั้นพอตื่นขึ้นมาจะสาปแช่งคุณ” เขียนจันทร์ดื่มกาแฟชงร้อนที่เหล่าผู้ช่วยสัตวแพทย์นำมาให้ ตอนนั้นเธอก็ไม่ทันนึกเสียด้วยว่าโรงยาบาลข้างๆ พิพิธภัณฑ์คือโรงพยาบาลสัตว์น้ำ “ทางกายภาพของมนุษย์กับสัตว์น้ำไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย”

“ตอนนี้เขาก็ยอมรักษาให้แล้วจะบ่นอะไรอีก แค่ไม่ตายก่อน แล้วจะไปรักษาที่ไหนอีกก็เชิญ ในสงคราม หรือแค่สนามฝึกโหดๆ ไม่มีหมอให้เราเรียกหากันหรอกนะ นี่โชคดีเท่าไหร่แล้ว”

“เผอิญว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีสงครามจ่อประชิดทางทะเล หรือมีช่างมาซ่อมถนน คุณต่างหากที่แถ” หญิงสาวตอบโต้เผ็ดร้อนไม่ต่างกัน แค่เห็นหน้าเขาอารมณ์หงุดหงิดเธอยิ่งพุ่งสูง เขาเองก็มีความผิดที่เลี้ยงกองพันอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ

“ไม่เคยได้ยินเหรอ มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าปลาโลมาเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์”

แก้วพลาสติกในมือถูกบีบจนแตก เขียนจันทร์หมดความอดทนที่จะเสวนาต่อกับผู้ชายที่ยึดความคิดตัวเองถูกต้องที่สุดในโลก เธอรู้ว่ากล้าหมอที่นี่จะยอมรักษาคนให้ คงถูกรักษ์ชาติขู่สารพัดสารเพ

“จะไปไหน”

“ไปตกลงเรื่องพรุ่งนี้ คุณโชติรสยอมให้ปลาฉลามย้ายไปอยู่ตู้อื่นก่อนในตอนที่ฉันไปว่ายแสดงในอควาเรี่ยม แล้วก็จะเลือกสัตว์ที่พิการจริงๆ อย่างปลาไหลไฟฟ้าก็จะเลือกที่ปล่อยกระแสไฟออกมาไม่ได้ แทนฉลามแก่ที่ยังมีแรงอ้าปากจะงับฉันได้”

“เธอมันบ้าไปแล้ว เธอเกือบตาย ก็ยังจะเอาตัวเองไปตายอีก นี่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเลย ฉันไม่ได้จะเป็นพระเอกไปช่วยเธอได้ตลอดเวลาหรอกนะ”

เขียนจันทร์ยกมือปิดปากทำท่าคลื่นไส้ไม่ปิดบัง ย่นหน้าไม่พอใจกับอาการเป็นเดือดเป็นร้อนของเขา “ฉันไม่ได้มองคุณเป็นพระเอกเลย เลิกหลงตัวเองเถอะ คุณน่ะมันแย่กว่าตัวโกงอีก ไม่ช่วยยังจะขวางงานคนอื่น” เมื่อได้พูดคนที่มีตะกอนขุ่นก็ยิ่งอารมณ์ขวางกว่าเดิม “คุณไม่มีอะไรดีสักอย่างในสายตาของฉัน”

เห็นหน้าคนฟังอึ้งไปเขียนจันทร์จึงเพิ่งรู้สึกว่าความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของเธอพังไม่เป็นท่า หลุดอารมณ์โมโหที่เธอเป็นสมัยเด็กเวลาทะเลาะกับรักษ์ชาติเสมอออกมา ร่างระหงทิ้งแก้วกาแฟลงในถังขยะ เดินไปยังทิศทางออกทำตามสิ่งที่คิดไว้

“วาดก็คงคิดเหมือนเธอ”

น้ำเสียงอ่อนแรงของผู้ชายที่ทำเก่งมาเสมอหยุดเท้าที่กำลังมุ่งไปอีกทางให้ต้องเหลียวกลับมามองอย่างแปลกใจ เธอคาดว่าจะได้เห็นผู้ชายไหล่ลู่ตก หน้าละห้อยเศร้า เป็นพิษจากการอกหัก แต่เปล่าเลย สายตาเย้ยหยัน ใบหน้าถือดี มุมปากกระตุกยิ้มเหี้ยม ยามที่กอดอกแล้วเริ่มหัวเราะสะใจนั้นทำให้เขียนจันทร์ต้องสะกดกลั้นอาการไว้ไม่ให้ตัวเองเม้มปาก หรือแม้แต่กำมือ เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอกำลังโกรธเขา โกรธมากๆ

“เธอนี่มันหลอกง่ายไม่มีเปลี่ยน โง่เหมือนเดิมเลยนะ นึกว่าจะฉลาดขึ้นแล้ว แต่เปล่าเลย...วาดฉลาดกว่าเธอเยอะ”

ใช่สิ พี่สาวของเธอฉลาด ไม่อย่างนั้นคงได้หน้ามืดคว้าผู้ชายนิสัยเสีย ร้ายกาจอย่างรักษ์ชาติมาเป็นพี่เขยเธอ

“ฉันก็ดีใจนะคะที่พี่วาดฉลาด ฉลาดมากที่พี่วาดไม่เลือกคุณ” ดวงตาเยาะเย้ย และเกมพลิกทำให้คนฟังลุกขึ้นยืนอย่างเคืองแค้น ได้แต่ชี้นิ้วแต่หาคำด่าไม่ออก ในขณะที่หญิงสาวผู้ชนะในเกมนี้ส่งยิ้มหวานกวนประสาทกลับไป และเดินจากมาอย่างสง่างาม

คนโง่คนนี้ก็ไม่ได้แพ้คนที่คิดว่าตัวเอง...ฉลาด ละกัน


พ้นบริเวณโรงพยาบาลมาไม่เท่าไหร่ เสียงกริ๊งๆ จากกระดิ่งของจักรยานก็เรียกความสนใจของเขียนจันทร์ไปได้ หญิงสาวกะพริบตามองภาพจักรยานสามตอนที่มีคนตัวสูงจูงมา มีเด็กชายตัวเล็กนั่งอยู่บนอานหน้าด้วยความสนใจ บดินทร์ภัทรยิ้มส่งมาให้

“พี่ได้ยินเรื่องนั้นแล้ว กลัวน้องเขียนจะเครียด พี่เลยไปเช่าจักรยานมาว่าจะชวนไปขี่จักรยานเล่นกันน่ะค่ะ ถนนเลียบหาดสวยดี”

“ขอบคุณนะคะคุณชาย” เขียนจันทร์เห็นกองพันพานคิดถึงหน้าคนที่เธอเพิ่งลับฝีปากมา แต่อารมณ์โกรธไม่ได้มาลงใส่ เธอเป็นพวกแยกแยะได้ ใครทำอะไรไว้ อารมณ์เธอก็จะอยู่แค่นั้น ไม่อารมณ์เสียใส่เด็ดขาด

“น้องขุน คุณชายพาไปว่ายน้ำมาสนุกไหมครับ” เด็กน้อยผิวขาวแก้มยุ้ยพยักหน้าขึ้นลงให้คนมองยิ้มแก้มปริ “ไปขี่จักรยานเล่นกันดีกว่าเนอะ” หญิงสาวอุ้มเด็กน้อยไปนั่งบนอานกลาง ส่วนเธอจองอานที่สาม และบดินทร์ภัทรจองตำแหน่งอานที่หนึ่ง จักรยานที่ใช้สมดุลอานแรกและอานสามปั่นไปยังไม่ทันพ้นเขตโรงพยาบาล หางตาของเขียนจันทร์ก็เห็นเงาดำวูบวาบ หันไปมองก็พบร่างสูงวิ่งเลียบมา ตรงดิ่งพุ่งตรงมายังจักรยานของเธออย่างกับผีพุ่งใต้

“รีบๆ ปั่นเถอะค่ะ คุณชาย แดดมันร้อน” คนข้างหน้าทั้งสองไม่ทันเห็นบุคคลที่สามอย่างเธอ ความเร็วของจักรยานเพิ่มเร็วขึ้น และเท้าของเธอก็เพิ่มสปีตตาม จากตอนแรกที่รักษ์ชาติเกือบคว้าปลายผมเธอได้ จึงทิ้งระยะห่างเป็นช่วงตัว เขียนจันทร์อดไม่ได้ที่จะหันไปยักไหล่เยาะเย้ย ก็พบว่าเขาหยุดวิ่ง และทำท่าตกใจ ชี้นิ้วไปด้านหน้า

“ระวัง!”

เสียงร้องของรักษ์ชาติทำให้เขียนจันทร์จับเบรกมือทันที รถที่วิ่งไม่ประสานกันจึงรวน บดินทร์ภัทรจึงตัดสินใจเบรกรถให้หยุด เขียนจันทร์หันกลับมามองว่าสิ่งที่รักษ์ชาติให้ระวังคืออะไรนั้น...ถนนเลียบชายหาดก็มีเพียงความว่างเปล่า

“ฉลาดน้อยเหมือนเดิม น่าสงสารจริงๆ” มือหนาวางแปะไปบนศีรษะของเขียนจันทร์ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะโยกด้วยอารมณ์สะใจ “ลุกออกมา ไปนั่งเบาะกลาง เดี๋ยวตรงนี้ฉันขี่เอง”

ศีรษะทุยสะบัดให้หลุดจากฝ่ามือของรักษ์ชาติด้วยอาการรังเกียจ เธอพ่นลมอย่างขัดใจ แต่ในสถานการณ์ที่จักรยานถูกเขามาจับไว้ ไม่ให้ไปต่อแบบนี้ ยังไงเธอก็หนีไม่ได้

“พ่อขุน” เสียงเล็กที่เธอไม่ได้ยินมาตลอดเกือบสามวันนั้นเจื้อยแจ้วเรียกรักษ์ชาติอย่างอารมณ์ดี

“นั่งคุมป้าแกหน่อยนะขุน แกเงอะๆ งะๆ ไม่ค่อยฉลาด”

“ได้ครับ” เด็กชายตะเบ๊ะมืออย่างน่ารัก ปล่อยให้คนถูกเรียกเป็นป้าที่โง่ด้วยนั้นมองอย่างตะลึง หันขวับไปมองรักษ์ชาติแทนการถามทั้งหมด แต่เมื่อรักษ์ชาติไม่ยอมตอบนอกจากยิ้มกวนประสาท เธอจึงไปเอาเรื่องกับเด็กน้อยแทน

“อะไรกันครับขุน ทำไมพูดกับพ่อคนเดียว”

“พ่อว่าห้ามพูดกันคนแปลกหน้าครับ พ่อบอกว่าอาเขียนแปลกหน้า ให้รอจนกว่าพ่อมาแล้วค่อยพูด”

คนถูกตราหน้าว่าแปลกหน้ากัดฟันกรอด โกรธทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ วุฒิภาวะทางอารมณ์เธอกลับสู่จุดต่ำสุด ไม่เหลือสติควบคุม

“เชิญเล่นกันให้สนุกนะคะ คุณชายคะเรากลับโรงแรมกันเถอะค่ะ” ความน้อยใจ ระคนโกรธแสดงออกชัดทั้งน้ำเสียงและคำพูด บดินทร์ภัทรที่ไมได้รู้เรื่องอะไรมากนักก็ยังรู้สึกโกรธแทนไม่ได้ แต่เขาไม่ได้รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัวกับพ่อของเด็ก จึงไม่อยากจะข้องเกี่ยวนัก

“ทำเป็นใจน้อยไปได้ เธอนี่มันไม่ไหวเลยนะ”

เขียนจันทร์หันกลับมามองด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่สะทกสะท้านใดๆ กับวาจาถากถางของอีกฝ่ายอีกแล้ว

“เลว น่ารังเกียจ คุณสะกดสองคำนี้เป็นไหมคะ ถ้าคิดว่าฉลาดพอก็สะกดมัน แล้วก็ซึมซับความหมายของมันไว้ให้มากๆ คุณจะได้รู้ว่าไม่ควรทำตัวแบบนั้น ลูกของคุณจะได้ไม่มีตัวอย่างผิดๆ แบบนี้ ฉันสงสารเด็ก และสมเพชคุณ”

ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หน้าชากันเป็นแถบๆ แม้กองพันจะเด็ก แต่เป็นเด็กที่ฉลาดมากจึงรู้ว่าสิ่งที่เขียนจันทร์ว่ามานั้นคืออะไร เด็กชายหน้านิ่ง เม้มปากแน่นตอนมองแผ่นหลังของอาเขียนเดินห่าง เมื่อผู้ใหญ่สองคนจากไป เด็กชายที่เข้มแข็งมาตลอดก็ร้องไห้จ้า พานให้คนไม่ชอบปลอบเด็กต้องประคองทั้งจักรยาน และโอบเด็กไว้ทำเสียงดุ

“เป็นชายต้องห้ามร้องไห้สิเจ้าลูกขุน”

“พ่อขุนใจร้าย ทำอาเขียนเสียใจ อาเขียนเกลียดขุนด้วยใช่ไหม พ่อนิสัยไม่ดี” ยิ่งพูด น้ำตา น้ำมูกไหลผสมกันไปหมด คนแข็งกระด้างอย่างรักษ์ชาติจึงต้องอุ้มลูกขี่คอ พิงจักรยานสามตอนไว้กับต้นสน เดินไปมา

“ไอ้ลูกขุนเอ๊ย แกอย่าตอกย้ำพ่อนักสิ เป็นเด็กเป็นเล็กทำตัวรู้มาก”

“พ่อว่าขุน พ่อใจร้ายมาก ขุนจะไปหาอาเขียน อาเขียนใจดี”

เด็กสามขวบงอแงทั้งน้ำตา พานให้ผู้ใหญ่ต้องกลอกตาด้วยอารมณ์บูดบึ้ง “เออ เดี๋ยวพาไปหา แต่เราต้องหยุดร้องก่อน ไม่หยุด อด!”

เท่านั้นเสียงร้องไห้ก็เหมือนปุ่มสวิตซ์ถูกปิดฉับ เด็กชายเม้มปากแน่นไม่งอแง บอกชัดว่านาทีนี้ เด็กชายกองพันเลือกอาเขียนใจดี...มากกว่าพ่อขุนใจร้าย

“พ่อไม่ผิดนะเว้ย พ่อแกล้งแกออกจะบ่อยไป รายนั้นอ่อนไหวไม่เข้าเรื่องเอง”

แต่ไม่มีความเห็นใจจากกองพันทั้งนั้น รักษ์ชาติฮึดฮัดขัดใจกับการเสียแนวร่วมในการก่อกวนเขียนจันทร์ไปหนึ่ง ตอนเขาไม่อยู่เขียนจันทร์ได้ใส่ยามหาเสน่ห์ลงไปในกับข้าวหยูกยาอะไรหรือเปล่าเนี่ย

.....................................................................................

คุณ อัศวินภา ตอนนี้เด็กแสบอาจน่ารักน้อยลง ฮา พ่อเขาร้ายกาจกว่า

คุณ ร้อยวจี พระเอกเรื่องนี้ต้องรอดูความชัดเจนของเขาต่อไปค่ะ แรกๆ ดูทำอะไรไปไม่รู้ตัว หลังๆ ก็ หุหุ... ตอนนี้เขียนไปถึงบทที่สิบสาม พระเอกก็ เหอะๆ

คุณ ariesleo บทนี้ไม่ได้แกล้งน้องขุนนะคะ แค่อยากจะบอกว่ากินอาหารสุนัขเป็นสิ่งแปลกเกินไป

คุณ รักอ่านเหนียวหนึบ เรื่องนี้ลูกอาจจะน่ารักกว่าพ่อก็ได้นะคะ ตอนนี้ให้ขุนเสียแนวร่วมเรียบร้อย

จะไปโคราชวันพรุ่งนี้ กลับอีกทีวันเสาร์ เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ จะมาอัพเพิ่มอีกตอนให้นะคะ

ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่าน ทุกไลค์ และทุกคนที่คอมเมนต์นะคะ




ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2557, 01:51:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2557, 01:51:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 2128





<< บทที่ 2 : เผือกร้อน   บทที่ 4 : ถูกก่อกวน >>
ร้อยวจี 22 พ.ค. 2557, 06:57:21 น.
รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้จังว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก สนุกค่ะ พ่อขุนทำอาเขียนโกรธซะแล้ว


ร้อยวจี 22 พ.ค. 2557, 09:13:41 น.
ปล.ใครหนอคิดฆ่านางเอกของเราได้ ใจร้ายจัง


ปรางขวัญ 25 พ.ค. 2557, 07:09:13 น.
น่ารักมากเลยค่ะ จะติดตามรอนะคะ


ผักหวาน 13 มิ.ย. 2557, 22:20:53 น.
งงว่าทำไมนายรักษ์ชาติถึงได้จองเวรหนูเขียนอย่างนี้คะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account