UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 4 : ถูกก่อกวน

บทที่ 4

ร้านอาหารริมทะเลในโต๊ะริมระเบียงที่ยื่นมารับลม และมองชายหาดโค้งยาวได้นั้น มีโต๊ะหนึ่งถูกจับจองด้วยคนสองคน เขียนจันทร์ได้รับบรรยากาศดีๆ แสงเทียน และแสงไฟจากเสาไฟที่ร้านนำมาตั้ง มีดนตรีคลาสสิกขับกล่อมนำพาความหงุดหงิดที่เธอพบเจอมาให้หายไปกับสายลมโดยง่าย

“เห็นน้องเขียนไม่เครียด พี่ก็สบายใจค่ะ เราคิดได้อีกอย่างหนึ่งคือน้องขุนเขาพูดคุยได้ปกติ นั่นก็น่ายินดี”

“คุณชายมองโลกในแง่ดีจังเลยนะคะ ถึงว่าสิคุณชายหน้าตาสดใสไม่เคยเปลี่ยน” คำชมเรียกสีเลือดบนหน้าคนถูกชมให้ระเรื่อได้


“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่แค่ไม่ชอบเก็บเรื่องทุกข์ไว้ในใจนาน ชีวิตเราก็เหมือนสายลมนะคะ มีทั้งลมร้อน ลมที่เย็น มันเป็นสิ่งที่เราไปบังคับให้มีไม่มีไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันยังไงมากกว่า”

เขียนจันทร์พยักหน้าเห็นด้วย สายตาชื่นชมคำพูด และการกระทำของบดินทร์ภัทรอย่างไม่ปิดบัง “ถ้าฉันคิดแบบคุณชายได้ ฉันคงไม่ต้องทนประสาทเสียกับพ่อของขุนเขาหรอกค่ะ เจอมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่บรรลุในเรื่องควบคุมอารมณ์สักที”


“ถ้าเราไม่ตอบโต้ เดี๋ยวเขาก็ล่าถอยไปเอง พี่ว่าอาการแบบนี้ไม่เกลียดกันมา ก็อาจจะชอบก็เลยเรียกร้องความสนใจก็ได้นะคะ”

คำวิเคราะห์ของคุณชายหมอเรียกเสียงหัวเราะจากเขียนจันทร์ได้ หญิงสาวส่ายหน้าไปมากับคำวิเคราะห์นั้น “เขาเกลียดฉันอย่างกับอะไรค่ะ คงเห็นว่าฉันไม่ยอมไปเป็นเบาะรองมือรองเท้าเหมือนแต่ก่อน เลยมาวุ่นวายหนัก ส่วนคนที่เขาชอบพี่สาวฉันโน่นค่ะ พี่สาวฉันฉลาดในการหลบหลีกคนอย่างเขามากที่สุด”

“แล้วน้องเขียนไม่คิดทำแบบพี่สาวบ้างเหรอคะ”

“ไม่ค่ะ ฉันจะต้องกลัวทำไม ขอแค่เขาไม่เปลี่ยนความคิดมาจิตพิศวาสจนน่าขนลุกอย่างที่พี่สาวฉันเจอ ก็ยังถือว่าอยู่ร่วมโลกกันได้ ถึงจะเกลียดขี้หน้ากันมาก ก็ยังดีกว่าทนขนลุกกับความรักของเขาค่ะ”

คุณหมอพยักหน้ารับ มีรอยยิ้มอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจดี “มีอะไรที่น้องเขียนลำบากก็บอกพี่ได้นะคะ พี่ยินดีช่วย”

“ขอบคุณนะคะคุณชาย” เขียนจันทร์รู้สึกว่ารอยยิ้มบนหน้าตัวเองอาจบานแฉ่งเหมือนดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือฟ้า...การได้รู้จักกับบดินทร์ภัทรสำหรับเธอเหมือนได้พบกับความสบายใจ ได้พักผ่อน


คนๆ นี้ล่ะ คือคนที่เธอเฝ้าตามหามานาน...คนที่เข้าใจโลก มนุษย์

โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ปลุกให้เขียนจันทร์ตื่นจากภวังค์หวาน เบอร์เลขาของโชติรสที่เธอเพิ่งบันทึกไว้ขึ้นหราหน้าจอ

เธอกดรับและใช้เวลาสนทนาไม่กี่ประโยคก็วางสายไป เครื่องหมายคำถามบนหน้าเธอนั้นคงชัดเจน บดินทร์ภัทรจึงต้องถามกระตุ้น


“เกิดอะไรขึ้นคะน้องเขียน”

“คุณโชติรสให้เลขาโทรมาบอกยกเลิกที่ฉันต้องไปว่ายเปิดอควาเรี่ยมพรุ่งนี้ค่ะ”

บดินทร์ภัทรยิ้มออกแทนที่จะถามให้มากไปกว่าเดิม “ดีแล้วล่ะค่ะ มันอันตราย พี่เองยังห่วงเลย ขนาดวันนี้ยังเกิดเรื่อง คุณโชติรสท่านคงหาคนมาแทนได้”

ใครล่ะ...เขียนจันทร์ได้แต่คิด และคิด


การตระเวนทำโน่นทำนี่ตลอดวันทำให้เขียนจันทร์เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังดีที่มีบดินทร์ภัทรทำให้อารมณ์เหนื่อยๆ ของเธอหายไปเกินครึ่ง เขียนจันทร์เข้ามาในห้องก็กึ่งนั่งกึ่งนอนไปบนเดย์เบดมีที่วางแขน เหยียดขายาวไปบนสตู วางมือประสานตรงช่องท้องพลางหลับตา ไม่อยากคิดสะระตะให้ปวดหัวอีก

เธอกำลังซึมซับความเป็นบดินทร์ภัทรมาไว้ในตัว ความใจเย็น สุขุม น่าหลงใหล...เปลือกตาบางเปิดขึ้นฉับพลัน เขียนจันทร์หน้าร้อนผ่าวยกมือจับแก้มตัวเองบิดไปมา

“คิดอะไรก็ไม่รู้”

“ท่าทางแบบนี้คิดเรื่องลามกแน่ๆ” น้ำเสียงขวางหูดังขึ้นจากเหนือหัว ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดหน้า เขียนจันทร์เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อใบหน้าเข้มคร้ามแดดมาอยู่ในครรลองสายตา

ร่างบางทะลึ่งพรวดลุกขึ้น แต่ไม่ทันระวัง ศีรษะจึงเขกกับสันกรามเขาเสียงดังลั่น น้ำตาเล็ด เขียนจันทร์กัดฟันกรอดข่มความเจ็บ ไม่ร้องโอดโอยเสียงดังลั่นอย่างมนุษย์เยอะที่รักษ์ชาติกำลังเป็น

“เข้ามาห้องฉันได้ยังไง” ตั้งสติได้ เขียนจันทร์ก็ออกมายืนหลังเดย์เบด เผชิญกับผู้ชายที่กำลังนอนดิ้นพล่านจับกรามตัวเองในสภาพน่าเตะเป็นที่สุด

“ให้ลูกขุนไปขอพนักงานมา ทำไม ลูกขุนจะเข้ามาห้องนี้ไม่ได้หรือไง” พอเห็นว่าการดิ้นพล่านของตัวเองมีแต่เรียกสายตาสมเพชเวทนารักษ์ชาติจึงหยุด นั่งเหยียดขายาวกับพื้น ท่าทีเอาแต่ใจตัว

“ลูกขุนน่ะได้ แต่คุณน่ะไม่ควร” เสียงหวานพูดละมุนขึ้น ความใจเย็นยามนึกถึงที่บดินทร์ภัทรทำให้เธอเห็น เขียนจันทร์เริ่มจะเรียนรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว

รักษ์ชาติหรี่ตามองท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นแค้น และเอาความใจเย็นเข้าสู้อย่างจับสังเกต “ไม่ควรไม่ได้แปลว่าไม่ได้นี่ ทำไม ถ้าฉันจะนอนตรงนี้ เธอจะสั่งคนมาลากฉันออกไปไหม ทั้งๆ ที่ลูกฉันกำลังอาบน้ำอยู่ เธอจะให้เด็กไม่กี่ขวบร้องไห้โยเยเหรอ”

“ก็ได้ คุณนอนนี่” เขียนจันทร์สรุปพร้อมหมุนตัวจากไปยังห้องนอนของเธอ

“ง่ายอย่างนี้ แปลว่าทำบ่อย กี่คนมาแล้ว รวมคนที่ฉันเจอวันนี้ด้วยไหม ขอให้รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในปลายหางตาฉันหรอก ฉันไม่สนใจเธอสักนิด”

วาจาดูถูกแสลงหูนั้นกลับไม่ได้ทำร้ายหูคนฟังเลย เขียนจันทร์สะพายเป้ขึ้นหลัง หันมาพูดพร้อมรอยยิ้มหวานหยดราวกับนางฟ้า

“ระลึกแบบนั้นให้นานๆ เถอะค่ะ ฉันจะได้รู้สึกขึ้นสวรรค์ มันคือโชคดีที่ถูกคุณเกลียด ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งอีกนะคะ” เขียนจันทร์ยักคิ้วท้าทาย เธอส่งเสียงไปยังห้องน้ำที่เปิดฝักบัวไว้อยู่ “น้องขุนครับ อาเขียนไปก่อนนะ ฝันดีนะครับ”

ร่างสูงก้าวพรวดเดียวไม่ถึงสามก้าวก็มารั้งข้อมือบางไว้ทันก่อนจะเปิดประตู เสียงดุจริงจังไม่มีวี่แววล้อเล่น “จะบ้าหรือไง นี่มันกี่โมงกี่ยาม มีตาก็เบิกดูหน่อยเถอะ สามทุ่มกว่า จะไปไหน จะไปหาห้องเพิ่มก็นอนฝันกลางวันไปเถอะ โรงแรมคนจองจนเต็ม แขกที่จะมาร่วมงานเปิดตัวอควาเรี่ยมพรุ่งนี้พักกันเต็มหมด”

เขียนจันทร์รู้สึกว่าประโยคยาวเหยียดของรักษ์ชาติขยี้ทางสว่างเธอจนดับมอด หญิงสาวสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม มองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง

“คุณก็ออกไปสิ ฉันไม่อยากทนทะเลาะกับคุณทั้งคืนหรอกนะ ไมเกรนจะขึ้น สงสารน้องขุนด้วย ต้องมาทนเห็นฉากแย่ๆ”

“บอกห้องผู้ชายที่เธอทำตาเยิ้มใส่ทั้งวันนี้มาสิ ฉันจะได้ไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่”

หญิงสาวยิ้มออก ไม่สนว่ามันจะยิ่งทำให้คนออกความเห็นทำหน้าบึ้งตึง หมั่นไส้มากกว่าเดิมขนาดไหน “ขอฉันโทรไปขออนุญาตคุณชายก่อนนะ คุณก็ไปหิ้วกระเป๋าออกมารอเลย ฉันบอกเลขห้องคุณจะได้ออกไปเลย”

“ถีบหัวส่งกันจริ๊งงงแม่คุณ” รักษ์ชาติทำเสียงประชด แต่มันไม่ทำให้รอยยิ้มบนหน้าเขียนจันทร์ลดความสว่างลงได้เลย

“คนนี้คงจะใช่เลยล่ะสิ”

คนยกหูโทรศัพท์พยักหน้าขึ้นลงง่ายๆ พูดจบประโยคได้ทันก่อนปลายสายที่ต่อหาจะรับเสียอีก “แค่ดีกว่าคุณ ฉันก็ให้ผ่านแล้วล่ะ อยู่ด้วยแล้วไม่ปวดหัว ไม่เครียด สบายใจ”

เขียนจันทร์ได้ยินเสียงปังจากประตูหันไปก็ไม่เห็นร่างของรักษ์ชาติอีก เธอไม่รู้ว่าการที่เธอไม่อารมณ์เสียเต้นไปตามการปั่นหัวของเขานั้น จะทำให้รักษ์ชาติหงุดหงิดมากขนาดนี้เลยเหรอ

“สวัสดีครับ”

“คือฉันจะโทรมาถามว่าพรุ่งนี้จะเจอกันกี่โมงดีคะ”

...คงไม่ต้องขออนุญาตแล้ว เพราะรักษ์ชาติไม่อยู่รอฟัง

นัดแนะเรื่องเวลาเสร็จ บดินทร์ภัทรบอกให้เธอฝันดี เขียนจันทร์จึงวางสาย หัวใจอุ่นซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตผู้หญิง ที่ผ่านมาเธอก็เคยมีบ้างที่แอบมองหนุ่มๆ รุ่นพี่ เพื่อนไปตามประสา แต่ไม่เคยจริงจังอะไร บางคนที่เธอแอบชอบก็ยังไม่เคยรู้ตัว พอเธอมาให้เวลากับสัตว์ มันก็เหมือนนานมาแล้วที่เธอไม่รู้สึกอย่างกับกลับไปอยู่ในวัยแรกรุ่นนี้

ร่างเล็กห่อตัวออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนู เขียนจันทร์หันมองตาม ร่างนั้นก็มองมา และกวาดมองหาอีกคน “พ่อไปไหนครับอาเขียน”

เขียนจันทร์กวักมือเรียกกองพันเข้าไปใกล้ เวลานี้เธอมีสิ่งหนึ่งที่เกือบลืมไปผุดขึ้นมาในหัว คำพูดของแจงที่ว่าเกี่ยวกับรอยตามตัวของกองพัน “เช็ดตัวให้แห้ง แล้วค่อยใส่เสื้อผ้านะครับ” มือบางจัดการหยิบผ้าแห้งที่พับเรียบร้อยอีกผืนมาเช็ดให้เด็กตัวเล็ก เธอสังเกตเห็นร่องรอยตามแผ่นหลัง หรือเอว เป็นรอยช้ำอย่างที่แจงเคยบอกไว้จริง

“เจ็บไหมครับน้องขุน รอยพวกนี้ใครทำกัน” ร่างเล็กสั่นขึ้นมาทั้งที่เธอเช็ดจนแห้งแล้ว แขนเกร็ง เม้มปากไม่ตอบ เขียนจันทร์ต้องดึงเข้าไปกอดไว้ พลางลูบศีรษะไปมาอย่างทะนุถนอม “ไม่ต้องกลัวนะครับ อาเขียนจะไม่ให้ใครทำอะไรน้องขุนได้อีก พ่อขุนก็ด้วย พ่อขุนของน้องขุนแข็งแกร่งจะตายไป ยักษ์มาชนยังไม่ล้มเลยนะครับ”

“เขาบอกไม่ให้บอกพ่อ ถ้าขุนบอก เขาจะฟาดขุน”

คำบอกเล่าของเด็กชายตัวน้อยสร้างคลื่นแรงในอารมณ์ที่สงบไปแล้วให้โหมกระหน่ำอย่างขุ่นเคืองได้มาก เขียนจันทร์ปลอบเด็กชายด้วยความเข้าใจ

“ขุนไม่ได้บอกพ่อนี่ครับ ขุนบอกอา จากนี้ขุนไม่ต้องกลัวแล้วนะ อาจะปกป้องขุนเอง พี่เลี้ยงคนนั้นจะทำอะไรขุนไม่ได้อีก”

เขียนจันทร์จุ๊บหน้าผากเด็กน้อย ก่อนจะเริ่มแต่งตัวให้ พอเธอพามาส่งถึงเตียงนอน เด็กน้อยก็เริ่มงอแง “อาเขียนงอนพ่อขุนเหรอครับ หายโกรธนะครับ”

“ถ้าขุนขอมาอาไม่โกรธแล้วก็ได้ครับ ทีนี้ก็นอนซะนะ ฝันดีนะครับ” หญิงสาวต้องกอดร่างเล็กอยู่พักหนึ่ง กองพันจึงหลับไป เขียนจันทร์จึงค่อยๆ ย่องออกมาจากในห้องนอน กดโทรศัพท์ไปยังเบอร์ที่รักษ์ชาติเขียนทิ้งไว้ให้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกับกองพัน

ร่างระหงทรุดนั่งลงบนเดย์เบด ไขว่ห้างเอนหลัง เธอต้องรวบรวมพลังไว้ให้มากๆ ก่อนจะออกรบกับรักษ์ชาติเสมอ

“มีอะไร คนจะนอน” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่รับแขกดังมา เขียนจันทร์กลอกตาด้วยความระอาจัด ขนาดเขาไม่รู้ว่าเป็นเธอก็ยังใช้น้ำเสียงได้กวนบาทาอย่างเสมอต้นเสมอปลายกับทุกคน

“คุณอยู่ไหนน่ะ”

“รถ...จะมานอนด้วยกันไหมล่ะ ไฟรักจะได้ร้อนๆ”

ยิ่งได้ฟังคำพูดห่ามๆ เขียนจันทร์นึกอยากจะวางอยู่รอมร่อ แล้วทิ้งให้คนนิสัยเสียนอนจุดไฟรักไปคนเดียว “ฉันมีเรื่องลูกขุนจะคุยกับคุณ แล้วคุณก็นอนในห้องฉันนั่นแหละ ยังไงก็ไม่พ้นระเบียง กับห้องน้ำหรอก มีให้คุณเลือกอยู่สองที่เท่านั้น”

“สวยตายล่ะ ให้ดมยังไม่เอาเลย”

“หยุดปากน่ากระทืบของคุณก่อน แล้วช่วยมาเสนอหน้าให้ฉันเจรจาด้วยเดี๋ยวนี้ ถ้าทำตัวดีๆ ไม่พูดจาสุนัขได้ยินแล้วอยากขย้อนใส่ ก็จะได้นอนสบายๆ ตรงเดย์เบดนะคะ”

“แค่บอกไม่แลนี่ถึงกับของขึ้นเลยเหรอ”

เพียงแค่เสียงหัวเราะกำลังจะเริ่มดัง เขียนจันทร์ก็ตัดขาดการสนทนาได้ทันท่วงที พร้อมบีบนวดขมับด้วยความโมโหกรุ่นๆ ทั้งที่เตือนตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยจนถึงล้านแล้วว่าให้ใจเย็นๆ สงบๆ แต่พอเอาเข้าจริง เธอก็วิ่งเต้นโดนปั่นหัวง่ายๆ เสมอ

ช่วยฉลาดๆ ไม่โง่อย่างที่รักษ์ชาติชอบว่าเถอะ...

การต้องรอให้มนุษย์นิสัยเสียเดินกลับมาที่ห้องคงใช้เวลานาน เขียนจันทร์จึงหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาทำงาน นิ้วปัดไปตามอีเมลล์ที่เพื่อนส่งภาพการไปตามต่างประเทศ บางคนก็แยกย้ายกันไปตั้งแต่เรียนจบว่าตอนนี้นั้นอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร เขียนจันทร์ตอบอีเมลล์เพื่อนไปได้สองคนเสียงเคาะหน้าห้องจึงดังขึ้น

พอเธอจงใจช้าฝ่ายนั้นก็เริ่มเปลี่ยนมาเคาะเสียงปึงปัง หนวกหู เขียนจันทร์ส่ายศีรษะก่อนจะเดินมาเปิดให้ ไม่อยากให้เพื่อนร่วมชั้นเยี่ยมหน้ามาเทศนาเธอเพิ่ม

“นิสัย เรียกมาแล้วช้า”

แค่รักษ์ชาติคนเดียวก็แสลงหูพอ...เขียนจันทร์พยายามใจเย็น รวบรวมสติที่มักกระจัดกระจายให้กลับมาสิงร่างเธอโดยเร็ว นั่งยังโซฟาเล็กหลังถูกเขาครองเดย์เบด วางขานอนเหยียดยาวสบาย

“มีอะไร” มือหนุนรองศีรษะ เอียงคอมามองคล้ายไม่สบอารมณ์กับการต้องรอคอยนัก

“ฉันอยากให้คุณเลิกจ้างพี่เลี้ยงน้องขุนเขาซะ น้องขุนโดนตีตั้งเท่าไหร่คุณทำตัวเหมือนไม่เคยรู้ ตอนที่คุณไม่อยู่บ้าน พี่เลี้ยงนั่นก็ทำตัวเป็นเจ้าของบ้าน”

“พี่เลี้ยงเด็กมันหายาก ไล่คนนี้อีกก็คนที่สิบห้าแล้ว เด็กสามขวบจวนจะสี่ขวบเปลี่ยนพี่เลี้ยงเด็กบ่อยไปไหม ฉันเองก็จนปัญญา”

หญิงสาวนั่งกอดอกไขว่ห้างฟังด้วยดวงตาที่รู้ทัน ถึงอีกฝ่ายจะอ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เธอคาดว่าจะได้พบเห็น เขาควรโกรธ บ้า โมโห ให้ถึงขนาดหัวฟัดหัวเหวี่ยงพอๆ กับเวลาทะเลาะกับเธอ ไม่ใช่ไหล่ลู่ตก หลับตา เหมือนไม่อยากรับรู้แบบนี้

“ไม่ได้เรื่อง ถ้าพี่เลี้ยงเด็กมันหายากขนาดนั้นก็ส่งเขาไปเรียน แค่ตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน และรับเขากลับ ให้เขาเห็นตอนเช้าเย็น ภาระแค่นั้นมันคงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ น้องขุนเป็นคนฉลาด ฉันก็หวังว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อจะฉลาดเหมือนที่ขุนเขามีในตัว”

“ฉันไม่ว่างขนาดนั้น ฉันต้องทำงานหาเงิน น้องขุนเขาฉลาด เขาจึงเข้าใจฉัน”

เมื่อได้ฟัง เขียนจันทร์ก็รู้สึกว่าเธอกำลังสนทนาปัญหากับสิ่งใดสักสิ่งที่ไม่ใช่คน อาจจะเป็นก้อนหินก้อนโตที่ไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากความหนักของก้อนหินนั้น เธอเจาะความรู้สึกของรักษ์ชาติให้สั่นสะเทือนสำนึกไม่ได้เลย

“ถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก น้องขุนถึงฉันไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้จัก แต่ตอนนี้เขาเป็นลูกเจ้านายพ่อฉัน ฉันก็จะทำเหมือนที่เคยทำมา ยังไงฉันก็เคยเป็นเบ๊คุณ จะมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกสักหน้าที่จะเป็นไร ยังไงน้องขุนก็น่ารักกว่าเจ้าขุนทองที่เอาแต่เจื้อยแจ้วไปวันๆ ตั้งเยอะ”

“เธอยังเป็นเบ๊ฉัน หน้าที่นี้มันสลักไว้ในเลือดเธอตั้งแต่เกิด ไม่มีกฎหมายปล่อยตัว” รักษ์ชาติเอนตัวลงพิงหมอนอิงบนเดย์เบด หลับตาพูดด้วยท่าทีสบายอารมณ์ “เบ๊ยังไงก็เป็นได้แค่เบ๊ เป็นลูกไล่ตั้งแต่พ่อมาถึงลูก แต่ก็ขอบใจสำหรับหน้าที่อันทรงเกียรตินั้น ฉันเองก็ขี้เกียจหาพี่เลี้ยงเด็กใหม่”

“แต่จะเลี้ยงที่บ้านฉัน ไม่ใช่บ้านคุณ คุณคิดถึงก็ค่อยมาหาแก”

“ไม่!”

เขียนจันทร์ยกแก้วน้ำทรงสูงที่ใส่น้ำเปล่าขึ้นจิบไม่รีบร้อน ดวงตารู้ทันของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เธอขลาดกลัว หรือคิดหลบ นอกจากยกมุมปากเป็นรอยยิ้มนิดหนึ่ง

“คุณรู้ว่าฉันคิดจะทำอะไรหรือไง”

“ใช้เด็กเป็นเครื่องมือ หวังเรียกคะแนนสงสารจากหมอนั่นน่ะสิ”

ได้ฟังเขียนจันทร์ก็ไหวไหล่ไม่ปฏิเสธ ซ้ำยังเปิดรอยยิ้มบานแฉ่งให้ไปขัดลูกกะตาคนมอง “ฉันอยากช่วยน้องขุนด้วยก็หนึ่ง และคุณชายก็น่าสนใจเหมือนกัน ฉันเป็นคนไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่ค่อยฉลาดอย่างที่คุณว่า ฉันถึงต้องหาวิธีทำให้ตัวเองดูดีที่สุดในสายตาของคุณชาย คุณชายเองก็เอ็นดูน้องขุนมาก ฉันว่าเรื่องในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ฉัน น้องขุน หรือแม้แต่คุณ คุณจะไม่ต้องเสี่ยงจ้างพี่เลี้ยงเด็กสั่วๆ มาตี ขู่ ทำร้ายน้องขุนอีก งานนี้ฉันยินดีทำให้ฟรีๆ ไม่คิดเงิน”

เสียงปรบมือเปาะแปะไม่จริงใจประกอบเสียงหัวเราะหยันทำให้คนฟังหน้าร้อนผ่าว จนต้องเก็บอาการไม่พอใจไว้ในอก

“ต้องที่บ้านฉันเท่านั้น จะมีรถมารับส่ง เธอจะไปทำงานปกติที่ไหนก็ได้ แต่เวลาเช้าเย็น แล้วก็วันหยุดของเธอต้องยกให้ลูกขุน ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว ถ้ามีธุระสำคัญต้องแจ้งล่วงหน้า ส่วนเธอจะเอาลูกฉันไปออกหน้าว่าตัวเองเป็นนางฟ้าใจดีติดปีกยังไงก็ตามสบาย แต่ทุกครั้งที่ฉันต้องการเจอหน้าลูก เธอต้องพามาส่งทันที”

แก้วน้ำวางลงบนโต๊ะเล็ก มือบางเคาะลงบนแขนเรียวของตัวเอง พิจารณาข้อแลกเปลี่ยนนั้นก่อนจะพยักหน้ารับง่ายดาย “ฉันไม่มีปัญหา ถ้าน้องขุนได้ห่างๆ คุณบ้าง ไหนจะมีคุณชายเป็นแบบอย่างที่ดี โตขึ้นมาจะได้ไม่โตมาเป็นผู้ใหญ่แบบคุณ”

“ผู้ใหญ่อย่างฉันมันเป็นยังไง”

“ก็...” เขียนจันทร์ปิดบังสายตาดูเหยียดไว้ไม่มิดวูบหนึ่ง ก่อนจะเสมองไปทางอื่น บรรยายความเป็นรักษ์ชาติ “คนที่ไม่มีใครอยากรัก คนที่รักใครไม่เป็น คนที่แข็งกระด้าง ไม่น่ารัก ไม่นุ่มนวล ไม่อ่อนโยน...”

“พอ!” รักษ์ชาติพ่นลมออกมาอย่างเหลืออด ยกมือกวักเรียกร่างระหงที่นั่งห่างกันหลายเมตรด้วยมือ “มานี่หน่อย”

“ฉันไม่จับเธอปล้ำหรอก เสียประวัติฉันเปล่าๆ” อดีตทหารหนุ่มเอ่ยกระตุ้น แฝงคำดูถูกมาอีกคำโต ซึ่งหากเขียนจันทร์อายุน้อยสักสี่ห้าขวบ ตอนได้ยินเธออาจร้องไห้กับวาจาไม่ลื่นหู น้ำเสียงกระโชก แต่ตอนนี้เธอชินชา ถ้าเขาจะมาพูดจาหวานๆ คะขาแบบคุณชาย วันนั้นสิเธออาจคิดว่าเขากินยาลืมเขย่าขวด

เขียนจันทร์ลุกขึ้นยืนเขยิบเข้ามาใกล้ร่างของรักษ์ชาติที่นอนคว่ำหน้าด้วยความสงสัย พอใกล้อีกนิดร่างที่นอนเอกเขนกก็ลุกขึ้น ตบเบาะลงข้างตัวท่าทีอวดเบ่งหายไป เหลือเพียงผู้ชายหมดท่า ที่ไม่กล้าสบตา

“นั่งเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันไม่อยากนั่งคนเดียว”

“ตรงโน้นก็ได้” แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยรอให้เขียนจันทร์ได้ท้วงติง ฉุดข้อมือให้นั่งลง แล้วปล่อยแทบจะทันที ก่อนจะเปลี่ยนท่าจากท่านั่งมาวางศีรษะลงไปบนตักนุ่ม แล้วหลับตา เขียนจันทร์ยกมือห่างจากวิถีการสัมผัสตัวรักษ์ชาติ วางมือไปบนที่นั่งด้านหลังที่ยังพอเหลือที่อยู่

“อกหักแล้วหมดสภาพขนาดนี้เลยหรือไง ให้ฉันช่วยอะไรไหม อย่างช่วยคุณเปลี่ยนตัวเองให้ดูดี คู่ควรกับพี่สาวฉันขึ้นมาบ้าง” มือบางที่พยายามหนีถูกมือหยาบกร้านที่ถนัดแต่จับปืนมาวางลงบนศีรษะของเขา แล้วลูบผมสั้นของเขาไปมา จนถึงแก้ม เขียนจันทร์เกร็งมือสุดตัว ไม่เข้าใจอาการของรักษ์ชาติในตอนนี้เลย “สมองเพี้ยนหนักแล้วเหรอคุณ”

“มีแต่เธอที่ฉันจะทำแบบนี้ได้ ให้ตัวเองอยู่ในสภาพน่าทุเรศ อ่อนแอต่อเธอได้ รู้ไหมว่าเพราะอะไร...” ดวงตาดำขลับลืมตาขึ้นมามองตอบ มุมปากมีรอยยิ้มหยามหยันยามอธิบายถึงเหตุผล “คนที่เกลียดกัน ต่อให้คนที่เกลียดจะน่าทุเรศ น่าสงสารขนาดไหน เขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างมากก็จะรู้สึกสมเพชเวทนา หรือไม่ก็สะใจ ฉัน...”

นิ้วชี้เรียวยาวยื่นไปปิดปากบางที่กำลังขับขานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ให้อารมณ์ว่างเปล่า และเจ็บปวด เขียนจันทร์มั่นใจว่าเธอไม่ได้ชื่นชม หรือชอบรักษ์ชาติหรอก ออกจะเป็นคู่แค้นกันมาตั้งนานนม แต่เมื่อมาเห็นสภาพเขาในวันนี้แล้ว...เธอไม่ได้รู้สึกสะใจเลย

“คนที่เกลียดคุณที่สุด อาจจะเป็นคนที่รู้จักคุณมากที่สุดก็ได้ แล้วเวลาที่คนที่เขาไม่ชอบขี้หน้ากำลังล้ม เขาไม่เหยียบซ้ำ หรือข้ามหรอก เพราะฉันไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น มันจะสนุกอะไรถ้าชนะเพราะว่าเขาแพ้มวยมาจากข้างนอก”

“ฉันก็แค่เหนื่อย ยังไม่ได้แพ้สักหน่อย” รักษ์ชาติเอ่ยปากปฏิเสธ “อะไรหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้ควบคุมง่ายๆ ไหนจะยังถูกผู้หญิงที่ฝังใจมาทิ้งอย่างไร้เยื่อใยกันอีก พี่สาวเธอมันใจร้าย แต่ฉันกลับไม่เคยโกรธลงสักครั้ง”

เขียนจันทร์ยิ้ม ไม่ได้ใช้หางตา หรือน้ำเสียงประชดประชันตอบกลับ “ฉันอิจฉาแทนพี่วาดที่มีคนมารู้สึกกับเขาแบบนี้ แต่พอเป็นคุณ ฉันจะคิดว่านั่นคือความโชคดีของฉันที่ไม่ต้องประสบชะตากรรม อย่างกับถูกราหูอมจันทร์ตลอดชีพ”

คนเป็นราหูทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นนั่ง ทำท่าคลาน แยกเขี้ยวเหมือนเสือ ขณะทำเสียง และแยกเขี้ยว เขียนจันทร์ย่นคอมองด้วยความไม่เข้าใจ ออกจะตลกขบขันกับท่าทางตลกของอีกฝ่าย ร้อยวันพันปีพ่อปากสุนัขเมินเคยทำท่าทางแบบนี้ที่ไหน

“ไข้ขึ้นเหรอคุณ”

พอเห็นท่าทางจะกระโดดมาล็อกตัวเธอเขียนจันทร์ก็ลุกพรวดพราดขึ้น พร้อมถอยห่างไปหลายก้าว ปล่อยเสือบ้านั่งทับขาแหงนหน้าหัวเราะอย่างกับคนเสียสติ

“บ้า!”

“ก็ราหูมันอมจันทร์ ไม่ได้อมตะวันนี่”

คนฟังหน้าแดงแปร๊ด ความร้อนออรวมบริเวณผิวหน้า เขียนจันทร์เข้าใจความหมายที่รักษ์ชาติสื่อ จึงรู้สึกทั้งขันทั้งฉิวไม่รู้จะยิ้มหัวเราะด่าเขาว่าบ้าอีกครั้ง หรือตีหน้ายักษ์จริงจังว่าโกรธ ได้แต่สะบัดหน้าหัน หลุดภาพสาวมาดดีทิ้งเข้ากลีบเมฆไปอีกครา

“ลืมที่ฉันพูดไปซะ เชิญคุณบ้าไปคนเดียวเถอะ”

ประตูห้องนอนถูกปิดลง ทิ้งให้คนนั่งชันเข่าที่หัวเราะงอหายนั้นเงียบเสียงตามไป ดวงตาล้อเล่นสนุกไม่เหลือ มีเพียงแววตาดุ เครียด ร่างสูงเหยียดยาวนอนไปบนเดย์เบด ศีรษะวางไปบนเบาะโดยไร้หมอนอิง เพราะมันทำให้เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขียนจันทร์ชัดเจนกว่า รอยอุ่นที่อีกฝ่ายเพิ่งลุกไปก็ยังทิ้งไว้ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว

รักษ์ชาติหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาลูกน้องคนสนิท หลับตาฟังสัญญาณที่ดังไม่จบตื๊ดแรก อีกฝ่ายก็รับอย่างรวดเร็ว อย่างรู้ใจผู้เป็นนายดี น้ำเสียงเหี้ยมจริงจังผสมดวงตามีรอยอำมหิตนั้น ใครเห็นเป็นต้องหนี

“จัดการพี่เลี้ยงเด็กของน้องขุนให้ฉันที คนนี้ฉันขอหนักกว่าไล่ออก เอาให้จำว่าต่อไปอย่าได้แตะต้องผิวหนังของลูกชายฉัน”


ตอนออกมาจากโรงแรม เขียนจันทร์ก็เช็กเอาต์ห้องออกมาตั้งแต่เช้า มือจูงเด็กชายกองพันที่เอาแต่ชะเง้อคอมองหาว่าพ่อของตัวเองไปอยู่ที่ไหน แต่ในเมื่อกองพันไม่ถาม เขียนจันทร์ก็จะไม่หาคำตอบ ออกมาจากห้องในตอนเช้าเธอก็ไม่เห็นสมบัติอะไรที่รักษ์ชาติจะทิ้งไว้สักชิ้น จึงคิดว่าเขาคงออกไปก่อน และทิ้งกองพันไว้ให้เธอดูแลเหมือนเดิม

รถเก๋งคันเล็กจอดเข้าซองข้างๆ กับรถยุโรปคันยาวของบดินทร์ภัทรในที่จอดรถของพิพิธภัณฑ์ รถของเธอเพิ่งจอดสนิท กองพันก็รีบเปิดประตูวิ่งลงไป เขียนจันทร์เห็นว่าเด็กชายวิ่งเร็วไปหยุดยังรถที่จอดอยู่ซองตรงข้าม ที่เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันโต

“รถพ่อขุน” เด็กชายวิ่งมาจับมือบางของเขียนจันทร์เขย่าไปมา

“เดี๋ยวอยู่กับอากับอาคุณชายก่อนนะครับ แล้วค่อยเจอพ่อ”

เด็กชายรับฟังว่านอนสอนง่าย เขียนจันทร์มองท่าทีกระตือรือร้นจะเดินเข้าไปภายในของกองพันก็ได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู นั่นสินี่ถือเป็นเรื่องดีมากๆ ที่กองพันไม่พูดเพียงเพราะว่าถูกพ่อนอกไส้บังคับให้แกล้งเธอ

“เข้างานเถอะค่ะน้องเขียน” บดินทร์ภัทรเอ่ยเรียกอย่างมีน้ำใจ และนั่นก็ทำให้เขียนจันทร์รู้สึกละลายไปกับรอยยิ้มผู้ใหญ่ของเขา เธอเดินตามอีกฝ่ายไป หน้าแสร้งเก็บรอยยิ้มไว้จนเมื่อยสองแก้ม ได้แต่เฝ้าเตือนให้เก็บอาการของตัวเองไว้ให้มิดชิด

“เมื่อวานนี้เด็กที่ถูกทำร้ายพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองแล้ว ตำรวจสันนิษฐานว่าขัดกันเรื่องผลประโยชน์น่ะค่ะ” บดินทร์ภัทรเริ่มหัวข้อที่คิดว่าเขียนจันทร์น่าจะกำลังสนใจ

“เรื่องผลประโยชน์ของอะไรคะ”

“ที่นี่ค่ะ เห็นว่ามีนักธุรกิจหลายคนที่สนใจที่ดินผืนนี้กัน”

คนชุดดำเดินเพ่นพ่านเป็นนักเลงเต็มไปหมด ไหนจะตำรวจที่ขอตรวจค้นแขกที่น่าสงสัยก่อนเข้างาน เขียนจันทร์ไม่อยู่ในข่ายน่าสงสัย แต่บดินทร์ภัทร ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ชูป้ายขึ้นทำความเคารพก่อนจะขอตรวจ

“น้องเขียนเข้าไปก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป” บดินทร์ภัทรบอกย้ำอีกครั้งให้วางใจ ก่อนจะถูกตำรวจเชิญไปสอบปากคำเพิ่ม เขียนจันทร์ก้มมองสบตากับกองพันด้วยความสงสัย ยังไม่ทันได้เดินไปจากหน้าทางเข้า ร่างชุดไทยผ้าไหม สั่งตัดเย็บมานั้นก็เดินเฉิดฉายมาหยุดข้างเธอเสียก่อน พร้อมด้วยเพื่อนคุณหญิงคุณนายหลายท่าน

“เขียนจ๊ะ นี่...” ชื่อคุณหญิงคุณนายหลายท่านถูกเอ่ยปากแนะนำ หนึ่งในนั้นมีคุณโชติรสที่เธอได้พบกันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วรวมอยู่ด้วย เขียนจันทร์ยกมือไหว้ทำความเคารพทุกคนอย่างนอบน้อม ทำได้เพียงยิ้มรับยามคุณวงเดือนเริ่มโฆษณาหลานสาวตัวเองอย่างออกรสออกชาติ

บรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ที่จะเปิดอย่างเป็นทางการในเวลาไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ดูคึกคัก ด้วยจำนวนแขกเหรื่อที่ทั้งเชิญ และเปิดขายบัตรแก่ผู้สนใจร่วมงานจนหนาแน่น นักข่าวหลายสำนักเดินเก็บรูป ถ่ายรายการกันทั่วงาน เขียนจันทร์สังเกตว่าเด็กชายกองพันกำลังตาโตไปด้วยความตื่นตะลึง ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กชายทำงานอย่างเต็มที่

“หม่อมยายคะเดี๋ยวเขียนขอพาน้องขุนไปเดินดูงานก่อนนะคะ”

วงเดือนหันมาพยักพเยิดเห็นดีด้วย เขียนจันทร์จึงจูงมือเด็กชายพาเดินออกมา ได้ยินเสียงแว่วๆ ด้านหลังยามที่หม่อมยายเธอแนะนำเด็กน้อยกับเพื่อนๆ ว่า “ลูกชายเพื่อนของน้องเขียนเขาค่ะ น้องเขียนเขารักสัตว์ แล้วยังรักเด็กด้วย”

“ปลาช่อนอเมซอนครับ ดูสิ ตัวใหญ่เนอะ” เขียนจันทร์พากองพันมายังอุโมงค์ใหญ่ที่จะเป็นจุดแสดงพิธีเปิด ชี้ชวนให้ดูปลาช่อนทะเลตัวเขื่อง หัวโต น้ำหนักร่วมร้อยกิโลกรัมที่กำลังว่ายเอื่อยๆ ด้วยความสนใจ กองพันก็ไม่ยอมคลาดสายตาจากปลาตัวใหญ่นี้ ไหนจะยังมองเผื่อแผ่ไปยังส่วนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องบนจรดถึงด้านข้างอย่างตื่นตาตื่นใจ

ไฟสปอร์ตไลท์ในงานเริ่มสว่างไสว ไฟบนเพดานหรี่ให้ต่ำลง เหลือเพียงความมืดทึบ และผืนน้ำสีฟ้าที่อยู่ในอควาเรี่ยม โลกใต้ท้องทะเลอยู่ล้อมรอบตัวเธอและแขกเหรื่อในงาน เสียงพูดคุยหยุดเงียบเมื่อแท่นเปิดงานเริ่มมีพิธีกรขึ้นมาพูด เขียนจันทร์จูงเด็กชายหลบไปยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะอุ้มขึ้นแนบอก กลัวพลัดหลงด้วยจำนวนคนที่ไหลมารวมกันในบริเวณนี้ และอีกอย่างก็คือความกระตือรือร้นของกองพันดูจะสนใจท้องทะเลจำลองมากกว่าฟังคนพูดเปิดงาน

“ฉันสร้างที่นี่ด้วยความรัก ความตั้งใจ แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มาขัดขวางการกำเนิดของที่นี่พอสมควร แต่ฉันก็จะสู้ไม่ถอย ธรรมชาติได้ถูกมนุษย์ทำลายเหยียบย่ำมามากพอแล้ว แม้ที่นี่จะเป็นส่วนเล็กๆ ที่ไม่อาจทำให้ปัญหามวลรวมที่สัตว์น้ำพบเจอต้องลดลงไป แต่ฉันก็อยากจะทำ แม้มันจะทำให้คนมีจิตสำนึกเพิ่มขึ้นเพียงแค่ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ฉันอยากปลูกจิตสำนึกให้คนที่มาได้รู้จักรักษา อนุรักษ์สัตว์และธรรมชาติ ให้ความรู้แก่ผู้สนใจ ฉันคิดดีแล้ว และคิดว่าที่นี่จะเป็นประโยชน์สูงสุด ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ ขอให้ทุกๆ ท่านประสพแต่ความสุข” เสียงเพลงบรรเลงขึ้น พร้อมเสียงปรบมือที่ดังลั่น สปอร์ตไลท์ส่องสว่างเคลื่อนจากเวทีไปยังภายในอควาเรี่ยม ร่างสองร่างค่อยๆ แหวกว่ายในน้ำ ชูป้ายชื่อสถานที่ และหมุนบิดเกลียวว่ายอย่างคล่องตัว

และก่อนที่ใครจะรู้ตัว นักดำน้ำคนหนึ่งเงื้อมีดปลายแหลมขึ้นจ้วงแทงนักดำน้ำอีกคน ต่อหน้าต่อตาธารกำนัลนับร้อยชีวิต!


...................................................................

คุณ ร้อยวจี ตอนนี้นายขุนแอบดูน่ารักขึ้นมานิดนึง ฮา ส่วนใครคิดฆ่า เดี๋ยวก็รู้แล้วค่ะ เดี๋ยวตอนหน้าพาพะบู๊ใต้น้ำมาส่งค่ะ อิอิ
พรุ่งนี้จะหายไปหนึ่งวัน (คาดว่าคอมจะหาอินเตอร์เน็ทเล่นไม่ได้) จะกลับมาอัพอีกทีวันเสาร์นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ ทุกไลค์ และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2557, 09:35:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2557, 09:35:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1887





<< บทที่ 3 : จากผู้ไม่หวังดี   บทที่ 5 : เกลียด (ทุเรียน) >>
ร้อยวจี 22 พ.ค. 2557, 11:31:24 น.
โอเค ค่ะ จะรอนะคะ สนุกมากค่ะ ส่วนนายขุนถ้าไม่งี่เง่าก็มีส่วนน่ารักพอใช้ค่ะ น้องขุนน่ารักมากค่ะ


ariesleo 22 พ.ค. 2557, 12:35:24 น.
เริ่มน่ารักแล้วพ่อขุน


นักอ่านเหนียวหนึบ 22 พ.ค. 2557, 22:36:57 น.
อะ อะ อะ นี่มันสารคดีสัตว์โลก ผสม ฆาตกรรมในห้องลับป้ะ
แอบโหด ลึกๆๆ


ผักหวาน 13 มิ.ย. 2557, 22:33:26 น.
เอ๋า..แทงกันจะๆ แบบนี้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account