UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 5 : เกลียด (ทุเรียน)

บทที่ 5

“พ่อขุน!” เสียงร้องดังลั่นของกองพันทำให้เขียนจันทร์ต้องเพ่งมองหนึ่งในสองคนที่กำลังฟาดฟันกันในน้ำ คนหนึ่งที่ถูกแทงปล่อยเลือดไหลออกมาในสายน้ำ แต่มือก็ยังปัดป้อง และจับมือของน้ำดำน้ำอีกคนบิดจนมีดหลุดมือ แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบ ปลาช่อนอเมซอนตัวเขื่อง ไหนจะยังมีปลากินเนื้ออีกหลายชนิดก็แหวกว่ายอ้าปากมาตามล่าเจ้าของเลือด

เสียงตื่นเต้นของผู้มาร่วมงานดังอย่างสนใจใคร่รู้ แต่จากที่ได้ยินเขาพูดกันนั้นเขียนจันทร์สรุปว่าทุกคนต่างเข้าใจว่านี่คือการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดขึ้น หญิงสาวได้แต่กลั้นใจภาวนาให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแค่การแสดง และคิดในแง่ดีว่าเลือดที่ไหลออกมาจากร่างที่เธอแน่ใจว่าเป็นรักษ์ชาตินั้นเป็นเลือดปลอม หรืออาจจะเป็นฟีโรโมน อะไรก็ได้ที่ดึงดูดพวกปลาหิวกระหาย ไม่ใช่เลือดจากร่างเขาจริงๆ

สักพักร่างของนักดำน้ำอีกคนก็อ่อนปวกเปียกหลังจากถูกรัดคอ และสองร่างก็ขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบนไป เธอเห็นว่ารักษ์ชาติเตะปากปลาช่อนอเมซอนที่จะมางาบเขาไปทีหนึ่งในช่วงชุลมุน เมื่อทุกอย่างกลับสู่ปกติ ผืนน้ำเหลือเพียงแผ่นป้ายที่ใช้ลูกตุ้มผูกถ่วงไว้ให้ลอยในน้ำ และเหล่าปลานานาพันธุ์ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง ทุกคนออกปากชื่นชมการแสดงอันสมจริงกันขรม พิธีกรก็ยังทำหน้าที่ได้ดี และขอให้แขกเหรื่อชมพิพิธภัณฑ์อย่างมีความสุข

โชคดีอยู่อย่างที่กองพันไม่ได้ร้องโวยวายให้คนแตกตื่น เพียงแค่ตัวสั่น และเม้มปากไว้แน่น พอจบเรื่องก็หันมากอดเธอทั้งตัว เขียนจันทร์ต้องลูบไหล่ลูบหลังกอดปลอบ “ไม่มีอะไรแล้วนะครับน้องขุน คุณพ่อไม่เป็นอะไร”

เขียนจันทร์นับถือในความเข้มแข็งของเด็กชาย เธอพบบดินทร์ภัทรที่เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว กระซิบบอกเสียงเบา ไม่อยากให้แขกที่เริ่มกระจายตัวไปบริเวณอื่นได้ยินบทสนทนา

“ด้านบนจัดการเรียบร้อยแล้ว น้องเขียนน่าจะไปดูอาการของคุณรักษ์ชาติด้วยกัน”

“นี่คือเรื่องจริงเหรอคะ” หญิงสาวถามออกไปโง่ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ จิตใจเธอตกวูบไปอยู่แถวตาตุ่ม หากคนในนั้นเป็นเธอ ไม่ใช่รักษ์ชาติ ป่านนี้เธอคงตายกลายเป็นอาหารปลาในอควาเรี่ยมไปแล้ว เขียนจันทร์กอดร่างเล็กแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว รีบเดินตามบดินทร์ภัทรไปเข้าทางของเจ้าหน้าที่ เสียงวุ่นวายดังมา และผู้ชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงขอบบ่อ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นบาดแผลลึกตรงใต้ซี่โครงด้านขวา

บดินทร์ภัทรเดินไปถึงตัวคนเจ็บก่อน ส่วนเขียนจันทร์พยายามหันหน้าของกองพันไม่ให้เห็น แต่คนเป็นพ่อดูจะไม่ให้ความร่วมมือกันเลย

“เขียน พาลูกขุนมาหาฉันที” ชุดดำน้ำที่ถูกตัดออกไปช่วงบนเผยกล้ามเนื้อแน่นอย่างคนที่ออกกำลังกายฝึกฝนมานานเอื้อมมือมาเพื่อจะสัมผัสมือของกองพัน เขียนจันทร์อดไม่ได้ที่จะมองค้อน ยอมวางกองพันลงยืนบนพื้น ให้ไปอยู่ข้างๆ รักษ์ชาติ

เด็กชายรู้งานไม่โวยวาย แต่กลับกอดร่างหนาไว้แน่น แล้วนั่งลงบนพื้นข้างๆ จับมือรักษ์ชาติไว้ไม่ปล่อย หญิงสาวเดินมาทรุดนั่งลงไม่ไกลกัน เธอมองบาดแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหลอย่างเป็นกังวล บดินทร์ภัทรกำลังห้ามเลือดให้อยู่

“รีบไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ”

“ไปไม่ได้หรอก” รักษ์ชาติพุ่งสายตามาจ้องยังเขียนจันทร์ ไม่มองบาดแผลที่กำลังถูกปิดไว้ชั่วคราว “ฉันต้องออกไปเดินฉีกยิ้มให้แขกเหรื่อในงาน”

“อะไรนะคะ!”

“อยู่กันแค่นี้ จะพูดเสียงดังทำไม ยังไงฉันก็ไม่ตายให้เธอดีใจง่ายๆ หรอก”

เขียนจันทร์โมโหจนหาคำแก้ตัวไม่ออก ร่างบางลุกขึ้นยืน พยายามควบคุมลมหายใจให้มันสงบ แต่ก็ทำได้ยากเต็มที เห็นว่าคนอวดเก่งยังทำกล้า ทำแข็งแรง เขาจะเข้าใจอย่างไร จะคิดว่าเธอดีใจมากแค่ไหนก็เชิญตามสบาย

“คุณชายคะ เดี๋ยวฉันไปหาหม่อมยายดีกว่า อยู่ที่นี่ฉันก็ไม่มีประโยชน์ช่วยอะไรใครได้ สักพักก็ว่าจะกลับกรุงเทพฯเลย น้องขุนจะกลับกับอาไหมคะ” หญิงสาวหันไปยิ้มใจดีให้กับเด็กชายตัวน้อย แทนที่จะพูดกับคนพ่อตัวโต

“อาเขียนไม่อยู่กับพ่อขุนเหรอครับ”

“ไม่ค่ะ พ่อขุนของลูกขุนเข้มแข็ง ตายยาก อาเขียนอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าน้องขุนจะอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไรค่ะ อาเขียนไม่ได้ว่าอะไร เดี๋ยวอาค่อยไปหาที่กรุงเทพฯนะ เป็นเด็กดีเข้าใจไหม”

รักษ์ชาติได้รับเพียงสายตาเย็นชา ว่างเปล่าของอีกฝ่าย ทั้งที่เขารอว่าเธอจะแก้ตัว จะพูดดีๆ กับเขาที่เจ็บตัวสักนิดหรือก็ไม่ ยิ่งเห็นว่าก่อนไปไม่วายส่งยิ้มให้กับหมอบดินทร์ภัทรที่เพิ่งห้ามเลือด และพันผ้าปิดแผลเขาไว้แน่นเสร็จ ชายหนุ่มก็นึกขวางๆ อยากจะอาละวาดทำลายล้างให้ที่นี่พังราบสักหน่อย

เขายอมว่ายน้ำแทน ไม่ขอบคุณ แล้วยังกล้าทำเมินใส่ คนอะไรใจร้ายได้ที่หนึ่ง ตอนนั้นเขาก็เพิ่งรู้ว่ามีคนจะมาดำน้ำร่วมด้วยอีกคน เห็นคุณโชติรสบอกว่ามีเพื่อนของเขาฝากมา ใครจะคิดว่าจะเกิดสงครามเดือดในน้ำ หวิดจะฝากชีวิตเขาไว้ในทะเลจำลองนั้นแล้ว

ยังดีที่เขาเตรียมคน และเพื่อนตำรวจมารับมือที่นี่ด้วย ถึงได้แอบใช้เพื่อนแกล้งดึงบดินทร์ภัทรไปสอบปากคำโน่นนี่ ทำให้ตกเป็นผู้ตกสงสัย ที่ทำไปเขาทำไปเพราะอารมณ์หมั่นไส้ล้วนๆ เห็นคุณชายหมอมีออร่าคนดีจับจนเขารู้สึกตัวเองอยู่ในโลกมืดอับแสงอย่างไรพิกล

“อย่าเคลื่อนไหวมากนะครับ แล้วก็ไม่ควรจะเดินมาก ผมยังย้ำเหมือนที่น้องเขียนบอก คุณควรรีบไปโรงพยาบาลจะดีที่สุด”

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะหมอ” รักษ์ชาติยันกายลุกอย่างระวัง อาการเจ็บระบมตรงแผลร้าวไปถึงกระดูกทำให้ตนได้แต่กัดฟันทน ลูกน้องชุดดำเดินเข้ามาส่งเสื้อเชิ้ตดำทับสูท และกางเกงมารอให้เปลี่ยนอย่างรู้งาน

รักษ์ชาตินึกถึงสิ่งที่ตัวเองพบเจอแล้วยิ่งแค้น

“สาวไปถึงคนสั่งการให้ได้ งานนี้ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่”


หนังสือสารคดีเปิดไล่หน้าไปกว่าครึ่งเล่ม หญิงสาวเทสมาธิให้กับหนังสือมากกว่าสิ่งอื่นใด เวลานี้ขอแค่เธอลบภาพหยิ่งยโส อวดดี ปากเสียของรักษ์ชาติไปจากหัวได้เพียงแค่ดูรูปเสือ ฮิปโป หนอนชอนใบไม้เท่านี้เธอก็ใจเย็นขึ้น

“ใครมาเหรอ” เสียงสตรีวัยกลางคนถามจากประตูบ้าน เขียนจันทร์ปิดหนังสือ แล้ววางลงบนโต๊ะ เธอหันหน้ามาแทนคำตอบ ก่อนจะตรงดิ่งเพื่อกอดคุณดาวเดือนด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ

ดาวเดือนเป็นผู้หญิงตัวเล็ก หน้าพิมพ์สมัย สวยเตะตามาแต่อดีต ยายของเธอเคยบอกว่ากระไดวังไม่เคยแห้ง ลูกท่านหลานเธอเวียนมาแวะมาคุยทำความรู้จักเสมอ แต่ดาวเดือนไม่เคยถูกตาต้องใจใคร นอกจากเพื่อนสมัยมัธยมคนหนึ่ง รักฝังใจเหนียวแน่น กว่าที่วงเดือนจะทันได้คัดค้านห้ามปรามทัน วาดตะวันก็ชิงมาเกิดขึ้น ไหนจะเรื่องที่ดาวเดือนปิดบังว่าจดทะเบียนเงียบๆ กับศิลปินไปแล้วอีก

แต่ความรักอันสวยหวานเหล่านั้นช่างมีอายุสั้นไม่ถึงสิบห้าปีทุกอย่างก็พังครืน เขียนจันทร์สำรวจชุดขาวที่แม่สวมด้วยความศรัทธา ในปีๆ หนึ่งคุณดาวเดือนจะทำบุญอยู่หลายครั้ง และค่อนข้างเก็บตัวไม่ออกสื่อสังคมนัก

“ได้ข่าวว่าแม่จะกลับอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอคะ”

“พอดีคุณยายของเขียนโทรมาบอกแม่ว่าให้รีบกลับมา บอกว่ากลับมาแล้วจะรู้เอง ถ้ารู้ว่าเขียนกลับมาบ้าน แม่คงกลับมาตั้งนานแล้ว” ดวงเดือนจับลูกสาวหมุนตัว “ผอมลงจากที่เจอล่าสุดหรือเปล่า ลูกลืมกินข้าว หรือไม่มีอาหารดีๆ กิน นี่กินอะไรมาหรือยัง แม่จะทำให้”

“แม่กลับมาเหนื่อยๆ ยังไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ มื้อนี้ปล่อยให้ป้าสายเขาทำไป” ป้าสายเป็นแม่ครัวประจำวัง เป็นคนเก่าคนแก่ของครอบครัว

“ทีนี้มาอยู่กี่วัน แล้วจะไปที่ไหนอีก”

เขียนจันทร์ส่ายหน้าไปมา ปากบู้น้อยๆ เป็นเด็ก ตอนที่โอบเอวคุณแม่พาไปนั่งยังชุดรับแขกตรงห้องโถง “ตอนนี้ยังไม่มีแพลนจะไปไหนค่ะ อยากอยู่ให้ถึงวันที่พ่อเกษียณ แล้วรับพ่อมาอยู่ด้วยกัน เขียนเองก็จะได้ถือโอกาสช่วยงานแม่ด้วยดีไหมคะ เห็นหม่อมยายบ่นๆ ว่าเวลาแม่ทำงานไม่ค่อยให้ใครมาช่วยเลย”

ธุรกิจโรงแรมของครอบครัวเป็นธุรกิจหลักที่หลานทั้งสี่คนของหม่อมยายมีหุ้นส่วนอยู่ด้วยทั้งหมด แต่เขียนจันทร์จะถือมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย เพราะวงเดือนคาดหวังให้เธอเป็นคนมาสานต่อ ในช่วงนี้คุณวงเดือนจะมาดูธุรกิจบ้าง แต่จะคอยออกงานสำคัญเป็นหลัก ส่วนด้านธุรกิจคนที่ดูแลอยู่จริงๆ คือคุณดาวเดือน แม่ของเธอ

โรงแรมของจักรตรากูลนั้นมีกระจายอยู่ห้าจุดในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ๆ อีกหลายแห่งในประเทศ เป็นที่พักอย่างดีระดับห้าดาว จนถึงสามดาวครึ่ง ได้รับความไว้วางใจจากต่างชาติ นักท่องเที่ยว หรือการจัดงานประชุมสำคัญๆ ใหญ่ๆ มากมายเสมอ เป็นสมบัติตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ ต่อยอดมายาวนานถึงสามรุ่นถึงรุ่นเธอก็จะเป็นรุ่นที่สี่

เรื่องของศิลปินทำให้แววตาคนฟังไหววูบ เขียนจันทร์ไม่พลาดที่จะได้จับสังเกต แต่ไม่อยากจี้ให้มารดาหาทางออกไม่ได้ จึงเลี่ยงไปเรื่องงานจะดีกว่า

“ตอนนี้เขียนยังไม่รู้จะแบ่งเวลายังไงค่ะ อยากทำงานโรงพยาบาลสัตว์ก็อยากทำ แต่อีกใจก็อยากช่วยงานโรงแรมกับแม่ด้วย แม่ช่วยคิดหน่อยสิคะ”

“แม่เคารพการตัดสินใจของเขียน ถ้าเขียนอยากมาช่วยแม่ แม่ก็จะสอนงานให้ แต่ถ้ายังอยากเป็นสัตวแพทย์ เขียนก็ไปทำก่อนก็ได้ แม่ไม่ว่าอะไรหรอก”

เขียนจันทร์กอดมารดาไว้แน่นขึ้น เธอรู้สึกโชคดีที่พ่อแม่ต่างเข้าใจ ไม่บังคับให้ทำตามสิ่งที่ท่านต้องการ ไม่อย่างนั้นวาดตะวันคงไม่ได้โด่งดังในวงการนางแบบ เธอไม่ได้เรียนสัตวแพทย์อย่างที่ต้องการ ประกายพรึกอาจไม่ได้เป็นตำรวจ หรือน้องเล็กอย่างภาพวิจิตรคงไม่ได้เรียนวนศาสตร์ ทั้งที่คุณวงเดือนไม่เคยเห็นด้วยกับการให้ลูกผู้หญิงไปออกป่าฝ่าดง

“เขียนช่วยแม่ดีกว่า ส่วนเรื่องสัตวแพทย์ ไว้เขียนทำเรื่องลาพักร้อนสักเดือนสองเดือนออกไปหาเพื่อนที่ต่างประเทศทีเดียวก็ได้ค่ะ เขียนอยากช่วยแม่ทำงานมากกว่า เขียนเที่ยวเล่นมามากพอแล้ว”

“แม่ตามใจเขียน จริงสิ แม่เห็นกองพัสดุอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด”

“ของส่วนตัวกับของฝากจากต่างประเทศน่ะค่ะ ซื้อแล้วให้แพ็คส่งมาไทย ไม่ได้แบกขึ้นเครื่องมาด้วยเพิ่งมาถึง เดี๋ยวเขียนออกไปจัดการอีกที” เขียนจันทร์ตอบคล่อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกเบอร์ของมารดา และเบอร์ของพ่อที่เธอเพิ่งโทรหาเมื่อวานก็ดังขึ้น เขียนจันทร์เห็นว่าคุณดาวเดือนเห็นเช่นกัน

“แม่ไปข้างบนก่อนดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุยกับพ่อเสร็จเขียนก็คุยกับแม่ต่อ” เขียนจันทร์จับมือแม่ไว้ไม่ให้ไป มือกดรับโทรศัพท์ด้วยความระรื่นขึ้น

“สวัสดีค่ะพ่อ”

“พ่อมากรุงเทพฯ พรึกโทรบอกพ่อว่าคุณขุนถูกแทง กำลังมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขียนจะมาไหม”

สรรพนามที่ศิลปินใช้เรียกรักษ์ชาติทำให้คนฟังนึกย่นหน้าไม่ชอบใจ ท่านเรียกรักษ์ชาตินำหน้าด้วยคุณมาตั้งแต่เด็ก เพราะถือว่ารักษ์ชาติเป็นลูกของเจ้านาย อย่างไรก็จะให้เกียรติลูกของเจ้านายด้วย เลาที่เธอท้วงติงพ่อก็จะดุเธอ ไหนจะมีสีหน้าสะใจของเด็กบ้าคนหนึ่งที่บอกว่าเธอก็ควรจะเรียกเขาแบบนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอไม่เคยทำเลยสักครั้ง หรือพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครเรียกว่า ‘คุณขุน’ กับเขาสักคน

แต่พอมองเห็นว่าคุณดาวเดือนกำลังรอฟังอยู่ เขียนจันทร์ก็คิดว่าการเจ็บตัวของรักษ์ชาติในครั้งนี้ก็ไม่ได้สูญเปล่านักหรอก หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้เศร้า จับมือมารดาไว้พลางบีบ

“นายขุนถูกแทงค่ะ เขารับงานแทนเขียนเลยรับเคราะห์แทน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล...”

“จริงเหรอลูก!” เขียนจันทร์พยายามยิ้มเศร้า ทั้งที่อยากจะโมโหคนอวดเก่งคนนั้น “รีบไปเยี่ยมเขากัน แม่ว่าให้ป้าสายตุ๋นซุปร้อนๆ ดีไหม”

เขียนจันทร์ต้องเก็บอาการไม่ให้กลอกตาหน่าย หรือทำหน้าไม่เห็นด้วย ดูท่าแม่จะตกใจเสียยิ่งกว่าเธอตอนเห็นเขาถูกจ้วงแทงต่อหน้าอีก ร่างระหงไม่อยากเสียเวลาคิด ฉุดแม่ที่ยังอยู่ในชุดขาวขึ้นมา ล้วงกุญแจรถที่ยังไม่ได้แขวนเก็บมาควง

“ไปกันเถอะค่ะแม่ ของเยี่ยมไว้ซื้อที่โรงพยาบาลก็ได้ มีให้เลือกตั้งหลายแบบ ซุปไก่ รังนกไม่ต้องเสียเวลาตุ๋นเองให้เหนื่อยเปล่า”

ดาวเดือนส่ายหน้า มองค้อนลูกสาว “แม่รู้นะว่าเขียนไม่ชอบหน้าคุณขุน แล้วทำไมต้องใจร้ายใส่ขนาดนี้ด้วย เขาเดือดร้อนเพราะเราแท้ๆ ไว้พรุ่งนี้แม่จะตุ๋นซุป แล้วให้เขียนเอาไปเยี่ยมอีกที” เห็นลูกสาวเม้มปากแน่น เบือนไปทางอื่นก็รู้แล้วว่าสิ่งนั้นฝืนใจเขียนจันทร์มากขนาดไหน

“เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนชุดห้านาที เราก็ไปรอแม่ที่รถเลยแล้วกัน แล้วก็เล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องมันถึงร้ายแรงแบบนี้ เข้าใจไหม”

ลับร่างดาวเดือนไม่เท่าไหร่ เขียนจันทร์ที่ตรงมายังรถก็ได้รับข้อความที่เกือบทำให้เธอตัดสินใจถอยกลับเข้าไปในบ้าน และไม่ออกมา หากไม่ติดว่าพ่อเธอมา และเธอกำลังจะพาแม่ไปหา รักษ์ชาติก็แทบไม่อยู่ในสายตาเธอเลย

‘อยู่ไหน มาดูแลเด็กได้แล้ว รับผิดชอบแค่นี้คงไม่ทำให้เธอขาดใจตายหรอกใช่ไหม พ่อเธอกำลังจะกลับแล้ว คนชักช้า’


เสียงแหลมกรีดร้องยาวครั้งสุดท้ายเมื่อรถหยุดจอดตรงหน้าประตูโรงพยาบาล ความเร็วเหนือนรก ไม่กลัวยมบาลพาสองแม่ลูกมาถึงอย่างปลอดภัย แต่หวิดตายไปหลายหน

“จะพาแม่ไปหาพญายมเหรอเขียน ขากลับถ้าเรายังขับแบบนี้อีก แม่จะนั่งแท็กซี่ โหนรถเมล์กลับ”

เขียนจันทร์พนมมือไหว้ขอโทษ สีหน้ารู้สึกผิด ตอนเธอเล่าไปตามเรื่องว่าเมื่อเช้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือจะตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพราะว่าการเหยียบคันเร่งท้าผีของเธอทำให้แม่ลืมซักไซ้ไล่เรียงกับคนร้ายที่ก่อเหตุไปเสียสนิท มัวแต่ร้องว้ายตกใจกับการขับขวา หรือแอบแซงซ้ายไปสองครั้ง

“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวแม่ขึ้นไปที่ห้อง 409 เลยนะคะ เดี๋ยวเขียนตามไป ขอเอารถไปจอดก่อน”

“แม่ขึ้นไปมือเปล่าเนี่ยนะ”

“เดี๋ยวเขียนซื้อเอง แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ขึ้นไปที่ห้องเลย น้องขุนน่าจะอยู่ในห้องกับพ่อเขา”

ดาวเดือนขี้เกียจมานั่งต่อความยาวกับลูกสาวต่อ ยอมลงไปตามที่เขียนจันทร์ว่า คนขับรถชะเง้อคอยาวมองตามก่อนจะยิ้มพอใจ เคลื่อนรถไปจอดไว้ในที่จอดอย่างไม่รีบร้อน เปิดโทรศัพท์ดูพบว่าฝ่ายนั้นส่งข้อความมาจิกเธออีกหลายข้อความ มีข้อความหนึ่งทำเอาเธอโกรธจนปวดหัว

‘หิ้วสาวสวยมาฝากฉันสักคน เวลาเห็นหน้าเธอแล้วฉันอาจจะอยากอาเจียน เป็นไข้ อาการหนักกว่าเดิม เธอมันน่าเบื่อ’


หูที่แนบกับบานประตูพยายามเงี่ยฟังเต็มที่ว่าภายในสนทนากันด้วยเรื่องอะไรบ้าง แต่เธอก็พบว่ามีเพียงความเงียบกริบ นอกจากเสียงโทรทัศน์ ดวงตาส่องผ่านกระจกแนวยาวที่เผยให้เห็นภาพผู้ใหญ่สองคนนั่งอยู่ห่างกัน คนหนึ่งซึ่งก็คือพ่อเธออุ้มเด็กชายกองพันนั่งบนตักดูโทรทัศน์ และแม่ของเธอนั่งอยู่ข้างโต๊ะวางของเยี่ยม ปอกแอปเปิลใส่จาน

บรรยากาศเงียบ ยังส่งกระแสยะเยือกแปลกๆ มาทำให้ห้องดูทะมึนจนเขียนจันทร์ยืนมองต่อไปไม่ไหว ดันประตูเข้ามา สายตาสี่คู่หันมอง แสดงออกทางอารมณ์หลากหลาย และเขียนจันทร์มองสบตาบุพการีได้แค่เสี้ยววินาทีต้องรีบหลบ คล้ายกับว่าเห็นการต่อว่าอยู่ในสายตาของท่านทั้งสอง

“อะไรในมือเธอ มีกลิ่นด้วย เอาออกไปเลย”

“ทุเรียน ของเยี่ยมคุณไง ฉันอุตส่าห์ไปซื้อที่ร้านค้าผลไม้ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลมาให้” กลิ่นอบอวลลอยมาจากลูกทุเรียนโตที่มีหนามแหลมและยังไม่ได้ปอกเปลือกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เขียนจันทร์นำไปวางรวมกับกระเช้าผลไม้ แทบไม่แยแสอาการคนเจ็บ “หายดีแล้วใช่ไหม”

“ฉันเพิ่งเจ็บตอนเมื่อเช้า ช่วยเอาทุเรียนไปไกลๆ ได้ไหม เหม็น ได้กลิ่นแล้วหงุดหงิด”

เขียนจันทร์ทำหน้าตกใจอย่างเสแสร้ง มือยกถุงใส่ถุงเรียนลอยโฉบไปมาน้าคนเจ็บก่อนจะนำมาถือไว้แนบอก ไหวไหล่ไม่ถือสา “เอากลับไปกินเองก็ได้ ไม่เปลืองดี”

“เขียน ลูกทำตัวไม่ดีเลยนะ” ดาวเดือนยกมือแตะต้นแขนลูกสาวเชิงปราม

เมื่อเห็นว่าพ่อแม่นั่งรับรู้เหตุการณ์ที่เธอทำตัวแย่ๆ ใส่รักษ์ชาติ เขียนจันทร์จึงยอมอ่อนลง วางทุเรียนลงที่เดิม หันไปขอโทษรักษ์ชาติ แล้วเลยไปนั่งข้างศิลปินบนที่นอนของญาติเฝ้าไข้ นั่งเรียบร้อย ร่างเล็กของกองพันก็ไต่ลงจากตักของศิลปินมานั่งแปะบนตักของเธอ ทำหน้าอ้อน เสียงเล็กเสียงน้อย

“อาเขียนยังไม่หายโกรธพ่อขุนเหรอครับ”

“ขุน เป็นลูกผู้ชายไม่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนั้น อย่าทำอีก” คนเจ็บบนเตียงคนไข้ส่งเสียงท้วงมาอย่างหงุดหงิด

“เขาไม่ได้สำคัญพอให้อาเขียนใส่ใจนี่ครับ อาเขียนไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว ไม่เชื่อเหรอ ดูตาอาเขียนสิครับ” ศีรษะเนียนแนบไปกับศีรษะเด็กชายตัวน้อย มือจับยกร่างเล็กขึ้น พลางจี้เอวให้กองพันหัวเราะคิกคัก สดใส “เชื่อยังครับ”

“ขุนเชื่อแล้วค้าบ” เด็กชายหยุดหัวเราะ นั่งหอบบนตักเขียนจันทร์ หญิงสาวมั่นใจว่าเด็กน้อยแค่รู้ว่าเธอไม่โกรธเท่านั้นก็คงจบ ไม่ทันเรียบเรียงความหมายก่อนหน้าที่เธอว่าไปสักเท่าไหร่ ว่าไม่ได้สำคัญพอให้ใส่ใจนั้นหมายถึงอะไร

ดวงตาคมปลาบจ้องมาอย่างมาดร้าย เขียนจันทร์ยิ้มรับดวงตาคู่นั้นอย่างไร้อาการสะทกสะท้านใดๆ เสมองนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมญาติเต็มที

“พ่อคะแม่คะไปทานข้าวกันดีกว่า ปล่อยให้คนเจ็บได้พักผ่อนร่างกายดีกว่านะคะ”

“คุณขุนมีใครมาเฝ้าไข้ไหมครับ ถ้าไม่มีผมอยู่เฝ้าให้ก็ได้”

การออกปากของบิดาทำให้ลูกสาวต้องถอนหายใจเสียงดังเก็บอาการไม่พอใจไว้ไม่มิด ยิ่งเห็นว่ารักษ์ชาติกำลังยิ้มเบิกบาน อ้าปากจะตอบรับอะไรสักอย่างออกมา เขียนจันทร์ก็โพล่งออกไปก่อน พ่อเธอเป็นลูกน้องพ่อของรักษ์ชาติก็จริง แต่ไม่ใช่ลูกน้องของเขาสักหน่อย

“ถ้าเขาขาดคนเฝ้าเดี๋ยวเขียนอยู่เองก็ได้ พ่อไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”

“ก็ดีนะ น้องขุนจะได้มีคนดูแล เดี๋ยวแม่ให้แจงเอาเสื้อผ้ามาให้อีกรอบแล้วกัน” ได้รับการอนุญาตจากคุณดาวเดือน เขียนจันทร์ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ

“พ่อคะฝากไปส่งแม่ที่วังด้วยนะคะ เขียนไม่ได้ขับไปส่ง เขียนเป็นห่วง จะให้ดีกว่านี้ก็ขออาหารสักมื้อด้วยเลย แม่น่าจะหิว”

“เขียน!”

บุพการีทั้งสองร้องเรียกอย่างห้ามปราม คนเป็นลูกทำเพียงยิ้มรับ อุ้มกองพันที่กำลังหลับซบไหล่เธอไปประคองนอนบนที่นอนคนเยี่ยมไข้ ห่มผ้าให้อย่างดี ดาวเดือนเหนื่อยกับท่าทีเฉื่อยชา และแกล้งทำมึนในเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่ากำลังทำอะไร หรือจะท่าทางกระตือรือร้นต่อสิ่งที่ตัวเองต้องการแต่เพียงเท่านั้น

ดาวเดือนออกไปก่อน ทิ้งให้ศิลปินมองตามตาละห้อย เขียนจันทร์จึงรีบมาดุนหลัง สั่งกำชับให้พาแม่ของเธอไปส่งที่วังให้ได้ จึงกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หยิบนิตยสารอ่านเล่นบนโต๊ะวางของติดมือมานั่งอ่านริมหน้าต่างที่เป็นระเบียงเล็ก ให้ห่างจากคนเจ็บเกือบสิบก้าว

“อย่าเสียงดังนะคะ เดี๋ยวน้องขุนจะตื่น ตอนนี้ฉันกำลังทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก” เขียนจันทร์รู้ทันราวกับมีตาที่สามที่สี่ เหลือบขึ้นมองนิดหนึ่งแล้วกลับไปสนใจหนังสือต่อ

“เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง”

“ก็ปลาไหลมันน่าเกลียด ซดน้ำแกงให้ชุ่มปอดดีกว่าเคี้ยวก้างให้แทงเหงือกนะคะ” คำอธิบายเรียบเรื่อยไม่แยแสทำคนฟังตากระตุก เขียนจันทร์เงยหน้าขึ้นมาสบตาของรักษ์ชาติไม่เบือนหนี “จะเอาอะไรก็เรียกฉันแล้วกัน ออพชั่นเสริม บริการคนเจ็บได้นิดหน่อย แต่หน้าที่หลักของฉันคือดูแลน้องขุน ไม่ใช่คุณ”

“เอาทุเรียนไปทิ้งให้ไกล ฉันเกลียดกลิ่น นอนไม่หลับ”

“ก็ได้” ท่าทางว่าง่าย หยิบลูกทุเรียนไปไกลนั้นเกือบจะทำให้คนสั่งการยิ้ม ถ้ามันจะไม่ถูกนำออกมาจากถุง และเริ่มค้นหามีด ที่บังเอิญเหลือเกินว่าในชั้นที่เป็นส่วนเก็บจานชามและช้อนมีมีด รักษ์ชาติเริ่มเกลียดความครบครันของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ เมื่อเขียนจันทร์ใช้เวลามะรุมมะตุ้มกับลูกทุเรียนอยู่ราวยี่สิบนาที ไม่สนอาการโอกอากเบาๆ ที่เขาพยายามทำให้รู้ว่าเกลียดกลิ่นที่มันโชยแรงขึ้นยามไร้เปลือกหนามห่อหุ้ม

“เอาไปทิ้ง เหม็น”

“ทิ้งในกระเพาะฉันไง ทนๆ หน่อย ฉันจะกินให้หมดไม่เหลือ” คนบอกทิ้งทุเรียนลงกระเพาะเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอย่างต้องการยั่วประสาทคนเจ็บ จานทุเรียนถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่งซึ่งชอบเหลือเกินจะลอยร่อนไปใต้จมูกคนเจ็บให้มีอาการหน้าผะอืดผะอม เขียนจันทร์หยิบเม็ดพูใหญ่ขึ้นมากัดกินช้าๆ ยักคิ้วข้างหนึ่งท้าทาย

จานกระเบื้องที่ใส่ทุเรียนวางลงข้างจานแอปเปิลที่ดาวเดือนปอกไว้ เขียนจันทร์บิเนื้อทุเรียนจากอีกเม็ดชิ้นขนาดหนึ่งนิ้วมายื่นป้อนให้ใต้ปาก

“ร่างกายเจ็บขนาดนี้ ให้กินทุเรียนเนี่ยนะ”

“ก็เห็นทำเก่ง โดนแทงยังไม่รีบมาหาหมอก็นึกว่าแข็งแรง ไม่เอาสักหน่อยเหรอ” เขียนจันทร์กลั้วหัวเราะ รู้ว่าร่างกายของเขาก็ไม่ควรทานผลไม้อย่างทุเรียนหรอก และคนที่เกลียดทุเรียนมากอย่างรักษ์ชาติไม่มีทางบ้าจี้ตามเธอเด็ดขาด อย่างมากก็เบือนหน้าไม่ก็ปัดมือเธอออก

ไม่ใช่ก้มหน้าลงมางับทุเรียนในมือเธอ แลบลิ้นเลียนิ้วเธอให้ชักมือหนีอย่างตกใจ หน้าร้อนวูบวาบ รักษ์ชาติย่นจมูก หน้าเหยเก ปากเคี้ยวช้าๆ แต่สายตาไม่ได้บอกว่ากำลังหงุดหงิด กลับรื่นเริงผิดหูผิดตา ลิ้นจงใจเลียรอบๆ ริมฝีปากอีกรอบให้คนมองกระเถิบตัวถอยห่าง เขียนจันทร์อยากเอาจานทุเรียนมาฟาดหัวคนเจ็บให้น็อกคาเตียงไปสักที...แต่ตอนนี้แค่ไม่ให้นิ้วที่ถูกลิ้นลื่นๆ ของเขาสัมผัสสั่น เธอยังควบคุมไม่ได้

“อีกสักคำก็ได้นะ รสชาติมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ยกเว้นกลิ่น แต่กลิ่นตัวเธอก็พอกลบมันได้บ้าง”

เขียนจันทร์หลับตาไม่เต้นไปตามคำยั่วยุของรักษ์ชาติ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมือจึงมั่นคงไม่สั่น ริมฝีปากยิ้มมอบให้เขาได้อย่างไม่ถือสา เธอหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดมือ

“คนที่เกลียดกันเขาอาจจะเล่นแรงให้เจ็บตัว แค้นใจ แล้วสิ่งที่คุณทำฉันเมื่อครู่ คุณต้องการให้ฉันรู้สึกอะไร แกล้งฉัน เพื่อให้ฉัน...หวั่นไหวหรือเปล่า” เขียนจันทร์กำกระดาษทิชชู่ลงในถังขยะ เชิดหน้าขึ้น “แต่มันอาจจะได้ผล ถ้าคุณใช้วิธีนั้นกับพี่วาด ไม่ใช่ฉัน”

“ก็แค่แกล้งสนุก อย่าทำจริงจังหน่อยเลย” รักษ์ชาติเหยียดปาก อารมณ์ไม่พอใจตีรื้นในอก

“อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้คุณจำไว้อย่าง ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ ตอนที่คุณเลียนิ้วฉัน คุณอาจจะเป็นเพื่อนฉันก็ได้นะ เพราะฉันคิดถึงเจ้าพุดเดิลที่บ้าน มันชอบเลียนิ้วฉัน ให้ฉันเกาคอให้มันบ่อยๆ” ร่างบางผุดลุกไปล้างมือ ล้างแอลกอฮอล์ในห้องน้ำจนสะอาดแล้วจึงเดินออกมา เห็นคนเกลียดทุเรียนกำลังถือกัดกินหมดไปถึงสามเม็ด เป็นหลักฐานในจาน เขียนจันทร์ตรงดิ่งไปกระชากจานออกห่าง ชิงเมล็ดที่สี่ที่รักษ์ชาติกำลังเอาเข้าปากตัดหน้าจับมาหยิบใส่จาน ก่อนจะโกยมันทิ้งใส่ถุงจนหมด มัดปากถุงทิ้งใส่ถังขยะ

น้ำเปล่ารินใสแก้วนำมาจ่อปากคนที่กินทุเรียนประชดเกือบกระแทกปากให้มีเจ่อกันบ้าง ดีที่รักษ์ชาติรู้ทันจึงขยับคอหนีทัน “ดื่มเยอะๆ พวกผลไม้แป้งเยอะ หวานจัด มีไขมันอิ่มตัว พวกนี้จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น คุณร่างกายไม่ปกติไม่ควรทาน เกลียดแล้วยังจะกิน บ้าหรือไงคุณ เขามีแต่เกลียดแล้วไม่กิน เกลียดทุเรียนไม่จริงใช่ไหม”

หญิงสาวบ่นเทศนาในช่วงที่มือประคองแก้วชิดปากรักษ์ชาติให้ดื่มรวดเดียวไม่มีพัก พอเห็นว่าหมดแก้วจึงรินให้ใหม่ แค่คนปกติเวลาทานทุเรียนมากๆ ยังต้องดื่มน้ำตามากๆ เพื่อไม่ให้ร้อนใน คอแห้ง บางคนกลัวอ้วนก็มองทุเรียนเป็นของต้องห้ามไป แต่นี่ถึงขั้นเกลียด...นี่คือวิ่งที่เขาแสดงออกต่อสิ่งที่เกลียดเหรอ

เป็นการปะฉะดะต่อสิ่งที่เกลียดได้น่ากลัวจริงๆ

รักษ์ชาติคว้าแก้วไปถือไว้เอง ส่งสายตาวาววับเอาเรื่องคนที่สะบัดมือออกจากแก้วหลังจากแค่ปลายนิ้วแตะกันกับเขา นี่สิถึงจะเป็นอาการแสดงออกต่อสิ่งที่เกลียดจริง... ชายหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคอ ใช้มือข้างที่ว่าง จับรั้งข้อมือเล็กไว้ กระชากจนร่างเกยนั่งหมิ่นตรงขอบเตียง ยื่นหน้ามาพูดในสิ่งที่คนฟังแปรเปลี่ยนสายตาเป็นอ่อนแสงแทนการขึ้งโกรธ

“เธอมันก็เหมือนทุเรียน ฉันเกลียดทุเรียน และฉันก็เกลียดเธอ จะแสดงออกต่อสิ่งที่เกลียดยังไงไม่สำคัญหรอก เกลียดก็คือเกลียด”

“รู้ไหมว่าตอนที่คุณพูด สายตาคุณฉันไม่เห็นความเกลียดอยู่ในนั้นเลย นอกจากความอยากเอาชนะคะคาน ความเหงา สายตาของคนไม่รู้จักโต”

เขียนจันทร์อดทนที่จะเก็บเสียงร้องอย่างเจ็บปวดไว้ยามที่ข้อมือของเธอถูกกำไว้แน่นขึ้น และก่อนที่เธอจะทนไม่ไหวต่อความทรมานนี้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดเวลามาคุนี้เสียก่อน

ผู้ชายมาใหม่ใช้สายตาพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บดินทร์ภัทรมองหน้าซีดของเขียนจันทร์ และฝ่ามือใหญ่ของรักษ์ชาติที่เพิ่งปลดพันธนาการจากข้อมือขาวที่เป็นรอยแดงช้ำ เมื่อเขียนจันทร์ไม่ได้ร้องโวยวายอะไรเขาก็จะทำตามสิ่งที่เขียนจันทร์นำทาง

“พี่มาเยี่ยมคุณขุนค่ะ แจงฝากกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้น้องเขียนด้วย” บดินทร์ภัทรนำกระเป๋าเดินทางใบย่อมไปวางลงข้างเตียงเล็กที่กองพันจับจอง หลับสนิทไม่ได้รับรู้บรรยากาศแปลกๆ ในห้องนี้เลย

“คุณชายทานข้าวเย็นมาหรือยังคะ ถ้ายัง ไปทานเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะคะ” เขียนจันทร์แตะข้อศอกของบดินทร์ภัทรแผ่วเบา ให้เขาตามออกไปโดยไม่ได้ทักทายกับเจ้าของห้องที่กำลังจ้องมองการกระทำทุกอย่างของทั้งคู่ด้วยสายตาที่ขุ่นขวาง และขึ้งโกรธ เพียงแค่ประตูห้องปิดสนิท และมั่นใจว่าสองคนนั้นจะไม่เดินกลับมา

รักษ์ชาติก็ยกมือข้างที่กำข้อมือเล็กขึ้นมามองอย่างไม่เชื่อสายตา เขามั่นใจว่าเขาเกือบจะบีบข้อมือเล็กที่กำรอบด้วยมือข้างเดียวเกือบจะแหลกคามือ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ไม่เตือนให้เขาหยุดในช่วงเวลาที่เขาโมโหจนหน้ามืด

เขาเกลียด เขามั่นใจว่าเกลียด เกลียดที่ต้องรู้สึกโกรธต่อการกระทำอันไร้เหตุผลของตัวเอง เกลียดที่เขาต้องเต้นพล่าน เก็บทุกคำที่เขียนจันทร์พูดทิ้งไว้เสมอ หรือจะท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าเกลียดนั้น...มันทำให้เขาไม่เคยสงบหรืออยู่เฉยได้เลย

......................................................................
บทนี้เริ่มเห็นพัฒนาการอะไรกันบ้างหรือเปล่าคะ

คุณ ร้อยวจี ขอโทษที่มาช้าไปนิดนะคะ ไปโคราชกลับมาคอมเดี้ยงส่งซ่อมไปแล้วค่ะ นี่ใช้เครื่องอื่น บทนี้พระเอกก็ยังทำตัวได้น่าหมั่นไส้คงเส้นคงวา

คุณ ariesleo บทนี้ชมขุน และด่าขุนได้เต็มที่ค่ะ ขุนมือไม้หนัก น่าจะเอาทุเรียนฟาดสักที (คนเขียนก็โหดไป)

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ตอนเขียนๆ ก็นึกอย่างนั้นเลยค่ะ แอบฮาตอนตาขุนว่ายแสดงสู้ทั้งคนทั้งปลา นึกตาม ถ้าขุนไม่เคยเป็นทหารมาก่อน จะทำแบบนั้นได้ไหม -_-;

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเมนต์ที่น่ารักมากๆ ^_^ ช่วงนี้ออกไปไหนกันก็ดูแลตัวเองกันดีๆ นะคะ ใครเครียดๆ อยู่อ่านนิยายเรื่องนี้จะได้ยิ้มออก



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2557, 01:13:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2557, 01:13:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1921





<< บทที่ 4 : ถูกก่อกวน   บทที่ 6 : หน้ากากสีเทา >>
ร้อยวจี 25 พ.ค. 2557, 06:29:01 น.
เปิดขึ้นมาก็เจอฉากต่อสู้เลย ดีจังที่ได้อ่านตอนเช้า สนุกค่ะ


ปรางขวัญ 25 พ.ค. 2557, 07:16:03 น.
มีคนปองร้ายเขียนจันทร์รึเปล่าคะ


อัศวินนภา 25 พ.ค. 2557, 10:02:46 น.
แอบรักไปแล้วละซิ


ariesleo 25 พ.ค. 2557, 15:20:56 น.
ทำเขาไว้เยอะ เหอๆๆ


ameerah 25 พ.ค. 2557, 22:51:41 น.
แอบคิดอะไรกะเค้าใช่ป่ะเนี่ยพ่อขุน


ผักหวาน 13 มิ.ย. 2557, 22:46:08 น.
ไม่อยากกินทุเรียนเลย อยากเอาทุ่มอีตาขุนแทนหนูเขียนทั้งลูกเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account