UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 6 : หน้ากากสีเทา

บทที่ 6

บดินทร์ภัทรก้มหน้าก้มตาใส่ปอกรัดข้อมือไว้เพื่อดามไม่ให้ข้อมือข้างนี้เคลื่อนไหวมาก หลังจากเพิ่งถูกบีบมาจนกล้ามเนื้ออักเสบ คุณหมอหนุ่มมองท่าทีนิ่งงันไปของอีกฝ่าย ที่เอาแต่ไม่พูดจา ซ้ำยังยอมปล่อยให้เขาพาไปรักษาข้อมือก่อนจะไปทานข้าวด้วยกันอย่างไม่มีข้อบิดพลิ้ว

“นวดยาสักอาทิตย์นะคะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

เขียนจันทร์กะพริบตาเรียกสติของตัวเองให้กลับมาจดจ่อยังใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาเบื้องหน้า ยามที่มือของคุณหมอลงมือตรวจข้อมือเธอให้นั้น หญิงสาวแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด นอกจากแปลบปลาบบ้างประปรายยามเธอเองเผลอเคลื่อนไหว

ความใจดี เข้าใจ และไม่ถามบีบเค้นให้เธอลำบากใจเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอนึกขอบคุณการกระทำของบดินทร์ภัทรเสมอ เขาทำให้เธอสบายใจ และปลอดภัยได้ดีกว่าการอยู่ข้างกายรักษ์ชาติ

“สบายใจขึ้นไหม”

อาการพยักหน้ารับ และมีสติขึ้นนั้นทำให้คุณหมอวางใจ เขาไม่รู้หรอกว่าระหว่างเขียนจันทร์กับรักษ์ชาตินั้นทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร แต่คงรุนแรงมากพอ ไม่อย่างนั้นข้อมือเล็กคงไม่เจ็บหนักขนาดนี้

“คุณชายหิวไหมคะ ฉันอยากชวนน้องขุนไปกินด้วยกัน กลัวแกจะหิว” พอมีสติ เขียนจันทร์ก็เริ่มรับรู้ และคิดได้มากขึ้น เวลานี้กับรักษ์ชาติเธอแทบไม่รู้สึกอะไรอีก มันชินชา เพราะสุดท้ายหากใส่ใจในความรู้สึก เก็บทุกคำพูดของเขามาครุ่นคิดก็มีแต่จะเจ็บปวดกันเปล่าๆ เธอปล่อยวางมาได้นาน แต่ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่เธอควรจะระวังมากขึ้นก็คงเป็นปาก และการกระทำของเธอเอง รักษ์ชาติคงจะไม่โกรธ และไม่โมโหใส่อีกหากเธอไม่ตอบโต้ ไม่เยาะเย้ยถากถาง หรือจี้ใจดำ เขาไม่ใช่เธอที่จะปล่อยวางได้ง่ายๆ

รักษ์ชาติยิ่งกว่าวัตถุไวไฟ จุดติดง่าย และพลังทำลายล้างสูง...กับคนลูก ไม่มีอะไรที่เธอต้องไม่สนใจ เขียนจันทร์นึกสงสารกองพันมากขึ้นด้วยซ้ำ รักษ์ชาติเพียงคนเดียว ที่ทั้งอารมณ์ร้าย ไม่มีเวลาให้ลูก เธอไม่อยากให้ลูกขุนโตขึ้นมาเป็นเจ้าขุนจูเนียร์

“ซื้อของไปกินในห้องไหมคะ เผื่อน้องขุนจะอยากอยู่กับพ่อเขา”

“ก็ดีค่ะคุณชาย แต่คุณชายห้ามหนีกลับก่อนนะคะ”

“ถ้าไม่มีคนไล่ก่อนพี่จะยังไม่กลับนะคะ”

คำพูดทีเล่นทีจริงเรียกเสียงหัวเราะคนฟังได้ เขียนจันทร์อยากทำให้บดินทร์ภัทรยิ้ม มีความสุข และเป็นแสงสว่างอบอุ่นอย่างที่เธอรู้สึกในตอนนี้ตลอดไป เวลาเธอไปรบราในสงครามกับรักษ์ชาติขอให้รู้ว่าเธอจะประกอบร่างคืนสติได้ก็ต่อเมื่อได้พบบดินทร์ภัทร


กลิ่นสปาเกตตีที่เวฟจากร้านสะดวกซื้ออบอวลไปทั่วห้อง เขียนจันทร์เพิ่งเก็บซากกล่องว่างเปล่าใส่ถุงดำด้วยมือข้างเดียว แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง เขียนจันทร์ก็ไม่ได้ปริปากบ่น เมื่อสิบนาทีก่อนบดินทร์ภัทรถูกเรียกตัวด่วนจากทางโรงพยาบาลจึงไม่ทันอยู่ทานต่อจนเสร็จ

เขียนจันทร์รู้สึกห้องสงบน่าอยู่ขึ้นเยอะเมื่อรักษ์ชาติตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารที่ลูกน้องเอาเข้ามาให้ เธอรู้สึกดีขึ้นที่ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาจ้องจับผิดของเขา

ถุงขยะถูกมัดรวมไว้บริเวณหนึ่ง เธอตั้งใจจะเอาออกไปทิ้งหลังจากพากองพันเข้านอน เขียนจันทร์จัดชุดรอไว้ให้กองพันออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบเสร็จ วางไว้ตรงปลายเตียงนอนคนเฝ้าไข้ มองจาขนาดเตียงแล้วเขียนจันทร์ก็นึกหมาดมายไว้ในใจเงียบๆ ว่ารอให้ดึกเธอจะแวบกลับไปนอนที่บ้าน แล้วค่อยมาอีกทีตอนรุ่งสาง ให้กองพันนอนสบายๆ คนเดียวดีกว่า

“ไปเรียกคนของฉันที่อยู่หน้าห้องเข้ามาที ฉันมีเรื่องจะสั่ง” เสียงเข้มออกปากจากบนเตียง หน้าตาจดจ่ออยู่บนหน้ากระดาษโดยไม่ละสายตาขึ้นมามองคนที่เขาวานสักนิด เขียนจันทร์ลุกออกไปหน้าห้องที่มีคนตัวสูงร่างหนาสองคนวัยราวๆ สามสิบยืนนิ่งอยู่ด้านซ้ายด้านขวาของประตู เธอเห็นคนพวกนี้มายืนตั้งแต่ชั่วโมงก่อนได้ พอเธอเรียกคนหน้าห้องเสร็จจึงถอยกรูดกลับเข้ามา

“เอาขยะไปทิ้งที ที่มีอยู่สามถุงน่ะ ฉันเหม็นทุเรียน”

“ฉันตั้งใจจะเอาไปทิ้งเองอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องใช้คนของคุณเลย ขยะพวกนี้ส่วนใหญ่มาจากฉันทั้งนั้น ไม่ต้องหรอกค่ะ” เขียนจันทร์ดึงถุงสามใบมาถือไว้เอง ก่อนจะทำหน้าเจ็บปวด ปล่อยถุงหลุดมือจากข้างที่เจ็บ คนของรักษ์ชาติจึงถือโอกาสมาถือไว้เอง และเดินออกไปเงียบๆ ไม่ยอมรอฟังคำค้านจากปากเขียนจันทร์

รักษ์ชาติหัวเราะในลำคอ ปิดแฟ้มเสียงดังฉับ เอื้อมมือมารั้งข้อศอกมือข้างที่เจ็บของเขียนจันทร์อย่างเบามือ กำไว้หลวมๆ นิ้วมือเย็นเฉียบสัมผัสเพียงแค่ปลายนิ้ว ไม่กล้าเคลื่อนมาใกล้บริเวณข้อมือ ดวงตาฉายแววสำนึกผิดไม่ปิดบัง

“ขอโทษ...เธอเจ็บมากไหม”

หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่น เขียนจันทร์หรี่ตามองคนถามคล้ายไม่แน่ใจว่าหูตัวเองเฝื่อนหรือเปล่าถึงได้ยินคำว่าขอโทษจากผู้ชายอย่างรักษ์ชาติ เขียนจันทร์ใช้อีกมือปลดแขนเขาออก ก่อนจะซ่อนมันไว้ข้างหลัง ไม่ให้รักษ์ชาติแตะกายเธอได้อีก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังไม่อยากสวมเฝือกอ่อน หรือทานยากระดูกอีก

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็หาย”

“มีหมอดีถึงหายไวสิ”

ดวงตาหวาดระแวงแปรเปลี่ยนเป็นประกายสดใสเมื่อจบคำของรักษ์ชาติ หญิงสาวพยักหน้ายืนยัน “คุณชายดูแลดีมากค่ะ คุณเองเดี๋ยวก็จะหายเหมือนกัน เชื่อฉันได้เลย”

“ระริกระรี้อย่างกับปลากระดี่ได้น้ำ”

“นี่คุณดูออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะ อย่างนี้คุณชายจะดูออกไหม” เขียนจันทร์ไม่ได้ใส่ใจฟังว่าคำห้วนนั้นจะเป็นวาจาค่อนขอดไม่ใช่เปรียบเปรยธรรมดา ดวงตาเป็นประกายยิ้มยามพูด รักษ์ชาติเบะปากมอง ค่อยเอนตัวลงนอน เก็บแฟ้มไว้เหนือศีรษะ แล้วหลับตา

“บอกพยาบาลด้วยว่าถ้าเข้ามาอย่าทำให้ฉันตื่น จะกินยาอะไรก็ให้เธอปลุก ไม่ก็ฉีดเข้าสายน้ำเกลือเอา”

“ค่า...ท่านเจ้าขุน” หญิงสาวรับคำอย่างเคยตัว คนฟังมีอาการชะงักไป คำเรียกลงท้ายติดประชดนี้คนต้นคิดก็คือเขียนจันทร์ คิดตั้งแต่อายุไม่ถึงห้าขวบ เรียกตามละครพีเรียตที่ดังเปรี้ยงปร้างในอดีต เป็นช่วงเวลาที่เขียนจันทร์เพิ่งรู้ว่า ’เจ้าขุน’ ของเขามีความหมายว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของคน ไม่ใช่ ‘เจ้าขุน’ ที่มาจาก ‘เจ้าขุนทอง’ การ์ตูนดังที่ใช้ชื่อพันธุ์นกชนิดหนึ่งมาตั้ง

พาให้น้องอีกสองคนของเธอเรียกเขาตามแบบนั้นไปด้วยเวลาต้องจำใจทำตามคำสั่งของเขา

“ฉันไม่ได้ยินใครเรียกฉันแบบนี้มานานแล้ว”

หญิงสาวเงยหน้ามองคนพูดที่ยังหลับตาสนิท น้ำเสียงของเขาดูอ้างว้าง แต่ก็ไม่ได้อ้อนวอนให้ใครเห็นใจ คล้ายปรับทุกข์เสียมากกว่า

“มีแต่คนบ้าอำนาจเท่านั้นแหละค่ะ ไม่ได้ทำตัวให้น่าเรียกว่าท่านเลย”

“เธอก็เรียกแต่ปากไม่ใช่เหรอ เคยรู้สึกเคารพฉันที่อายุมากกว่าซะที่ไหน” น้ำเสียงหยันติดกลั้วหัวเราะไม่จริงจังทำคนฟังกลอกตาด้วยความระอา รักษ์ชาติควรพิจารณาด้วยตัวเองว่าตนนั้นได้แสดงออกว่าน่าเคารพตั้งแต่เมื่อไหร่

“ถ้าฉันรู้สึก ฉันจึงจะเคารพ ฉันเป็นคนไม่ชอบฝืนกับการแสดงออกที่ไม่จริงใจน่ะค่ะ”

“ปิดไฟให้ฉันด้วย” รักษ์ชาติตัดบทสนทนาน้ำเสียงห้วนจัด เขียนจันทร์ไม่อยากมานั่งทะเลาะอีกจึงทำตามที่เขาบอก กองพันออกมาห่อตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ ตัวสั่นเทา หญิงสาวยกมือแตะริมฝีปากให้เงียบ แล้วจึงเริ่มเช็ดตัวให้อย่างเบามือจนแห้ง แล้วจึงส่งเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้เด็กชายสวมใส่ เธอจัดแจงที่นอนให้กองพันนอน ห่มผ้าให้ ไม่นานเด็กชายก็ผล็อยหลับไป หญิงสาวเงยหน้าเลื่อนสายตาไปยังร่างโตบนเตียงคนไข้ เห็นว่ามีลมหายใจสม่ำเสมอ และคงไม่ลุกมาหาเรื่องเธออีก เขียนจันทร์ก็เริ่มปฏิบัติการหนีกลับบ้าน

กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ถูกถือด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บ ค่อยๆ เดินแบบไม่มีเสียงออกไปทางประตู โชคดีที่ฝีเท้าเธอยังเบา ไม่ทำให้สองพ่อลูกตื่น

“จะไปไหนครับ” คนของรักษ์ชาติถามเสียงเข้ม

“ฉันต้องกลับบ้าน พรุ่งนี้มีงานด่วนค่ะ ฉันบอกคุณขุนไว้แล้ว”

“ให้ไปส่งไหมครับ” ท่าทีที่อ่อนลง และนอบน้อมขึ้นทำให้เขียนจันทร์ต้องยิ้มขอบคุณ ลูกน้องเขาที่เธอเคยนึกว่านักเลงจ๋า เก่งแต่จับปืน คงไม่ได้โหดร้ายเหมือนเจ้านายเขานัก

“ไม่ต้องค่ะ ฉันเอารถมา”

ให้เธอถึงบ้านก่อนคนทางนี้ตื่นน่าจะดีกว่า ถึงจะต้องขับรถด้วยมือข้างเดียวก็ไม่เห็นเป็นไร จะรถหรือม้าเธอก็ขับมันได้ชำนาญทั้งคู่ทั้งนั้น


เสียงเปิดปิดประตูของนางพยาบาลปลุกให้คนที่หลับไปได้สามชั่วโมงต้องตื่น รักษ์ชาติรู้สึกแผลตึงเปรี๊ยะ เคลื่อนตัวยังรู้สึกเจ็บ ได้แต่นอนนิ่งๆ ตอนที่นางพยาบาลเข้ามาฉีดยาผ่านสายน้ำเกลือให้ กระทั่งทุกอย่างผ่านไป นางพยาบาลออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็นึกอยากจะเหวี่ยงคนที่ไม่มามีส่วนร่วมในการปลุกเขา ทั้งที่เขาเตือนแล้วหากมีนางพยาบาลเข้ามา สายตาปะทะกับร่างกองพันที่นอนขดในผ้าห่ม เต็มที่นอนเฝ้าไข้เพียงคนเดียว

หัวคิ้วเข้มผูกเป็นโบ ดวงตาวาววับยามมองหาร่องรอยของกระเป๋าเสื้อผ้า หรือแม้แต่ห้องน้ำเผื่อว่าจะเปิดไฟ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ไม่มีทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า ไม่มีไฟในห้องน้ำสว่างลอดช่องข้างใต้มาให้เห็น หรือจะร่างที่น่าจะนอนบนเตียงข้างลูกชายเขานั้นก็ไม่มีเลย

รักษ์ชาติยันกายลุกขึ้นนั่ง เจ็บแผลแต่ไม่คิดอยากจะส่งเสียงร้องขอความเห็นใจจากใคร การแสดงออกชัดเจนของเขียนจันทร์ทำให้รักษ์ชาติทั้งโมโห และรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นกำลังรังเกียจเขามาก

โทรศัพท์ถูกกดหาเบอร์ที่ช่วงนี้เขาส่งข้อความหรือโทรหาบ่อยกว่าเบอร์หุ้นส่วนทางธุรกิจ รอสัญญาณไม่นานคนปลายสายก็รับ ไม่ต้องรอให้เขียนจันทร์อ้าปากพูด รักษ์ชาติก็ระเบิดลงเสียก่อน

“จากนี้อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก อย่ามายุ่ง ส่วนลูกฉัน ฉันเลี้ยงเองได้ เธอจะไปทำอะไรกับใครต่อจากนี้ ก็อย่ามาวุ่นวายอีก”

“ฉันไม่อยากแย่งที่นอนน้องขุน ไม่อยากให้คุณตื่นขึ้นมาอารมณ์เสีย ทะเลาะกับฉัน ฉันถึงกลับบ้าน”

ถึงแม้เหตุผลของเขียนจันทร์จะน่าฟัง แต่รักษ์ชาติไม่รู้สึกอยู่ในอารมณ์รับฟังได้ “ฉันไม่อยากฟัง อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

“คุณมันไม่มีเหตุผล”

สัญญาณที่ขาดไปนั้นทำให้รักษ์ชาติได้แต่กำเครื่องสื่อสารไว้ในมือ กระแทกมันลงไปข้างเตียงจนกระเทือนถึงแผลตรงช่องท้องทำได้เพียงกัดฟันกรอด เขาไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องโกรธยามที่ถูกเขียนจันทร์เมินเฉย ปกติแต่เดิมเจ้าหล่อนก็ไม่ได้พิศวาสอะไรเขานักหรอก เขาไม่เคยสนใจ แต่ตอนนี้เขาเริ่มสนใจ ยิ่งทีท่านั้นต่อต้านแรงเท่าไหร่ รักษ์ชาติยิ่งรู้สึกอยากเอาชนะ แต่ก็ไม่เคยชนะได้สักครั้ง

อย่างในครั้งนี้ คนที่ได้แต่แค้นใจก็มีเพียงเขาคนเดียว


“ผมไม่เห็นด้วยนะครับ” บดินทร์ภัทรออกปากท้วงกับคนป่วยที่จัดการเปลี่ยนชุด ถอดสายน้ำเกลือด้วยตัวเองเสร็จสรรพ ตอนที่เขาเข้ามาตรวจ รักษ์ชาติก็สวมเชิ้ตทับสูทเรียบร้อย ราวกับปกติ ในห้องไม่มีใครป่วย พอเขาตรวจ และถามอาการเป็นครั้งสุดท้ายรักษ์ชาติก็ตอบตามจริง แต่ไม่เปลี่ยนความคิดในเรื่องที่ควรนอนโรงพยาบาลต่ออีกสักคืน

“คืนเดียวก็พอแล้วหมอ ไม่เห็นจะน่านอนเท่าไหร่ สมัยก่อนเจ็บหนักกว่านี้ยังผ่านมาได้” ทหารเก่าตอบปฏิเสธอย่างไม่แยแส

“ถ้าอย่างนั้นก็ระวังเวลาเคลื่อนไหวร่างกายด้วยนะครับ แผลอย่าถูกน้ำ คอยมาตรวจแผลเป็นระยะๆ แล้วอย่าลืมมาตัดไหมด้วยนะครับ เดี๋ยวผมบอกน้องเขียนให้เตือนคุณอีกทาง”

“ไม่ต้องหรอกหมอ อย่าไปกวนเขาเลย”

รักษ์ชาติจ้องคนเสนอตัวหวังดีด้วยความหมั่นไส้ พยายามสำรวจว่าบดินทร์ภัทรหวังดีจริงแท้แค่ไหน หรือแค่หยิบเขียนจันทร์มาเหน็บใส่เขา เรื่องเขียนจันทร์เจ็บข้อมือเมื่อวานนี้บดินทร์ภัทรก็ดูรู้ดี ซึ่งหากบดินทร์ภัทรคิดอะไรกับเขียนจันทร์ ก็ไม่น่าพูดแบบนี้

ความอยากรู้ของรักษ์ชาติจึงไม่ปล่อยให้มันค้างคา “ถามจริงเถอะหมอ คุณคิดยังไงกับเขียน”

“น้องเขียนน่ารักดีครับ ผมไม่รู้ว่าระหว่างคุณสองคนมีปัญหาอะไรกัน แต่ผมไม่อยากให้คุณลงมือแรงกับน้องเขียนแบบนั้นอีก น้องเขียนเป็นผู้หญิง คุณเป็นผู้ชาย บ้านเมืองเราต้องให้เกียรติผู้หญิงนะครับ”

การสั่งสอนของคุณหมอจากบทสนทนานั้นน่าโกรธ แต่เมื่อหลุดมาจากวาจาของบดินทร์ภัทร คำพูดนั้นก็ฟังดูลื่นหู และไม่ได้ถือโทษใส่อารมณ์แต่อย่างใด นอกจากการพูดเชิงแนะ ไม่ใช่เชิงสั่ง หรือต่อว่า ทำให้คนฟังที่อยากโกรธแทบตายได้แต่นิ่งเงียบอย่างรู้ตัวว่าเมื่อวานนี้ก็ทำรุนแรงกับเขียนจันทร์เกินไป

“ไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนนะครับ” บดินทร์ภัทรพาตัวเองออกไปทำงานต่อ ยิ้มให้เด็กน้อยที่นั่งมองการสนทนาด้วยดวงตาใสซื่อ “แล้วเจอกันใหม่นะครับน้องขุน”

เด็กชายยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างน่ารัก พาขาสั้นๆ ของตัวเองวิ่งรี่ไปกระตุกชายเสื้อหมอไว้อย่างเพิ่งนึกออก “อาหมอครับ อาเขียนไปไหน”

“ก้องมาอุ้มลูกขุนไปรอที่รถที” เด็กชายกองพันยังไม่ทราบคำตอบที่ถามไปก็ตัวลอยหวือด้วยลูกน้องของพ่ออุ้มพาเดินออกไป กองพันรู้ตัวว่าพ่อนั้นดุแค่ไหน และไม่ควรขัดใจเด็ดขาดจึงเงียบ ไม่โวยวาย

บดินทร์ภัทรมองท่าทีแข็งกร้าวของรักษ์ชาติแล้วได้แต่ปลงตก ไม่อยากยื่นมือมาเจรจาห้ามศึกกับใคร เห็นว่าเตือนไป มันคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของรักษ์ชาติอยู่ดี คนไม่คิดจะฟัง คนที่มีแต่ตัวเองที่เชื่อมั่น ให้คิดอย่างไรก็ยากที่ใครจะทำให้เชื่อฟัง

คุณหมอหนุ่มเดินออกจากห้องไปไม่ถึงนาที ห้อง 409 ก็มีแขกมาเยี่ยมอีกคน สตรีวัยหลังเกษียณเดินเข้ามานั่งรอ ขัดขวางการออกไปของคนเจ็บให้ต้องเดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อเจรจาอย่างอดทน

“เจ็บอยู่แล้วไม่เจียม บ้า มุทะลุเหมือนพ่อเธอไม่มีผิด”

“คุณมีอะไรอีก เรื่องเมื่อวานผมให้เพื่อนตำรวจจัดการให้แล้ว สรุปก็พวกเดิม ลูกน้องเสี่ยหลงก่อนถึงมือตำรวจผมก็ฝากเท้าลูกน้องสกรัมไปนิดหน่อยแล้ว”

น้อยคนในวงการจะไม่รู้จักนักธุรกิจใหม่ไฟแรงที่เพิ่งผันตัวเองมาดูแลธุรกิจสถานบันเทิง ผับ บาร์หลายแห่งในกรุงเทพฯ ถูกกว้านซื้อด้วยมูลค่าไม่น้อย แต่ใครจะรู้ว่าที่จริงแหล่งเงินทุนของรักษ์ชาติคือคนตรงหน้า โชติรส นักธุรกิจหน้านักบุญ แต่เบื้องหลังก็มาเฟียหญิงดีๆ นี่เอง ทั้งธุรกิจสถานบันเทิง ไหนจะยังมีหุ้นกาสิโนอยู่ตามชายแดน แต่ไม่เปิดเผยตัว และให้เขาก้าวเข้ามาสืบทอดต่อ แต่ก็เหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย

“หลานฉันคงตกใจกับเรื่องนี้น่าดู”

รักษ์ชาติมีสีหน้าแข็งกระด้าง ไม่ประสบอารมณ์ใด “เขาเข้มแข็งเหมือนพ่อ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้แกตกใจหรอกครับ”

“หนูคนนั้นแฟนเธอเหรอ หลานสาวคุณหญิงวงเดือนน่ะ ไม่เลวเลยนะ แต่ที่ฉันเคยได้ยินข่าวมา เหมือนจะเป็นหลานสาวคนโตไม่ใช่คนนี้นี่”

“ผมไม่มีแฟน”

โชติรสปิดปากหัวเราะอย่างมีจริต ดวงตาบอกชัดว่าไม่เชื่อ “ฉันรู้เรื่องที่เธอส่งพี่เลี้ยงเด็กคนนั้นไปที่กาสิโน คงได้แต่รองมือรองเท้าไอ้พวกเสี่ยวิตถารใช่ไหม”

“เขาเต็มใจจะไปเอง แค่พูดเรื่องเงินยั่วนิดๆ หน่อยๆ” รักษ์ชาติแสยะยิ้ม ดวงตาไม่มีความหวาดกลัวแต่อย่างใด ที่นั่นพนักงานที่ไปทำส่วนหนึ่งก็ถือเป็นพวกขายบริการ แต่มาจากความเต็มใจจะทำ และค่าจ้างก็สูงตามหน้าตา และความสามารถแต่ละคน

“ถึงมันจะเป็นธุรกิจสีเทา แต่เธอก็เก่งที่ทำให้มันไม่ดำอย่างที่ฉันเคยกังวล เธอทำให้มันสะอาดขึ้นกว่าตอนที่ฉันดูแล บางทีฉันอาจจะวางมือเร็วๆ นี้ การอยู่กับมันนานเท่าไหร่ก็เหมือนฝันร้าย” โชติรสยังจำภาพที่เด็กหนุ่มกอดเด็กทารกไว้ในงานศพพ่อตัวเอง ส่วนแม่ของกองพันก็คือลูกสาวของเธอ ถูกพวกศัตรูของเธอจับตัวไปฆ่าข่มขืน มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตที่เกิดขึ้น

เคยคิดอยากจะทิ้งสิ่งที่สามีเธอทำไปวันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ยังทำไม่เคยสำเร็จ จากความกลัวแปรเป็นความแกร่ง ยกเวลาให้กับธุรกิจสีเทานี้หมดจนไม่มีเวลามาดูแลลูกสาวที่เพิ่งไปเป็นแพทย์ทหาร หลังจากนั้นกว่าเธอจะรู้เรื่องอีกทีก็คือตอนลูกมาบอกว่าท้องกับนายทหารคนหนึ่ง โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้รู้เรื่องครอบครัวเลย เด็กมีครอบครัวทางนั้นนำไปเลี้ยง และตอนหลานเธออายุได้ไม่กี่เดือน ข่าวฉุดลูกสาวเธอไปฆ่าข่มขืนก็ทำร้ายใจเธอที่สุด ต่อมาพ่อของหลานเธอก็ประสบเคราะห์กรรมด้วยอุบัติเหตุจากอาวุธที่ไม่ได้มาตรฐาน เกิดระเบิดขึ้นตอนไปนำซ้อมรบ

รักษ์ชาติเป็นคนที่ยอมลาออกจากทหารเพื่อทุ่มเวลาให้กับกองพัน ทั้งที่เธอเคยเสนอว่าจะนำหลานกลับมาเลี้ยงเอง แต่เขาปฏิเสธ และยอมรับข้อเสนอของเธอด้วยการเข้ามาดูแลธุรกิจสีเทาที่เธอเป็นเจ้าของ เขาทำมันมาตลอดสามปีกว่า

“แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเธอจะไม่ส่งข่าวให้เพื่อนตำรวจทหารให้มาจับพวกมาเฟียหนีคดีเข้าไทยในผับบาร์ หรือกาสิโนเราบ่อยๆ ต่อไปใครจะกล้ามา”

“ไปเล่นที่อื่นผมก็ส่งข่าวให้สายได้ คุณไม่ต้องกลัวว่าผมจะลำเอียงกับเฉพาะที่ของคุณ” รักษ์ชาติหยิบสูทที่วางพาดพนักเก้าอี้มาพาดบ่า ตัดสินใจจบการสนทนาในครั้งนี้ แค่เมื่อวานที่เขาตัดสินใจเอาตัวเข้าไปเสี่ยงรับใบมีดเพื่อให้โชติรสเอาหน้าเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ก็มากพอแล้ว ซ้ำยังต้องทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินทักทายแขกเหรื่อในงานอย่างปกติ

ถ้าเขาไม่บังเอิญตามเขียนจันทร์มาตั้งแต่วันก่อนเพื่อมาหากองพัน ป่านนี้เขาอาจจะได้ไปงานศพของเขียนจันทร์แทนแล้วก็ได้ คนอย่างนั้นถูกคนอื่นนำไปใช้เป็นเครื่องมือยังไม่รู้ตัว หมอบดินทร์ภัทรที่แนะนำก็คงไม่ได้รู้ทันอะไรกับเล่ห์เหลี่ยมของแม่มดโชติรสนักหรอก

คนๆ นี้อันตราย อยู่ให้ไกลเข้าไว้ยิ่งดี...


“อาเขียน”

เด็กชายที่สวมเสื้อลายขวาง กางเกงยีนส์ขนาดเด็กโบกมือเรียกเขียนจันทร์ที่เพิ่งมาถึง และจอดรถสนิท ออกจากรถมาได้ไม่กี่ก้าวเสียงเล็กของกองพันก็เรียกความสนใจของเธอ เขียนจันทร์พบว่าเด็กชายไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของบุคคลที่ไม่อยากเจอหน้าเธอก็คลายความกังวลลง

ร่างระหงตรงไปยังชายหน้าเข้ม ผิวสีแทน โครงหน้าเรียวยาวมีรอยดุเป็นนิจอ่อนโยนขึ้นเมื่อมีเด็กชายผิวขาวสะอาดอยู่ในอ้อมแขน กองพันยื่นมือมาให้เขียนจันทร์อุ้ม แต่ด้วยมือที่ยังเจ็บไม่หายดีเขียนจันทร์จึงทำไม่ได้ ต้องหันไปเร่งหญิงร่างกลม ผูกผมแกละให้รีบเข้ามา

“แจงอุ้มน้องขุนที”

กองพันไม่ได้งอแง เพราะจำแจงได้ เขียนจันทร์จึงเริ่มทำหน้าที่เจรจากับคนตรงหน้าแทน “คุณชื่ออะไรคะ”

“ก้องครับ” ศดาธรแนะนำตัวเองอย่างว่าง่าย มองภาพที่กองพันหัวเราะกับเรื่องตลกของแจงไม่ไกลก็พลอยยิ้มตาม

“มีเบอร์โทรศัพท์ไหมคะ”

แม้คนสนิทของรักษ์ชาติจะยังรู้สึกสงสัย แต่ก็ยอมให้เบอร์โทรตนเองมาง่ายๆ และเกือบจะหน้าหงายเมื่อรู้เจตนาที่แท้จริงของเขียนจันทร์

“ฉันจะโทรเข้ามาหาคุณ ตอนเย็นๆ ไว้ถามว่าคุณขุนอยู่ไหน หรือถ้าไม่สะดวกที่จะไปส่งน้องขุนที่บ้านยังไงฉันโทรมาบอกกับคุณก้องนะคะ ฉันไม่อยากทะเลาะกับเจ้านายคุณก้องค่ะ เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง แต่ก็อยากจะช่วยดูแลน้องขุนให้ ไม่ลำบากฉันหรอก” เขียนจันทร์ยิงเบอร์ไปก่อนตัดสาย ก้มศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ

“แล้วถ้าคุณรักษ์ชาติไม่อนุญาตล่ะครับ”

“ไว้ฉันค่อยไปทะเลาะกับเขาอีกที ถ้าเขาจะว่าอะไรคุณก้อง ให้เขามาด่าว่าที่ฉันแทน งานนี้ฉันคิดฉันทำเอง บอกเจ้านายคุณก้องไปแบบนี้เลยนะคะ”

ศดาธรยิ้มแหย มองตามร่างที่มาเร็วไปเร็ว รถคันกะทัดรัดพาลูกชายเจ้านายเขาเคลื่อนตัวจากไป คนเป็นลูกน้องได้แต่ก้มหน้ายอมรับสภาพ ขืนบอกอย่างที่เขียนจันทร์ว่าไปทั้งหมดมีแต่ระเบิดจะลงหนักขึ้น ระเบิดลูกนั้นก็กำลังเดินลงมาทางนี้ หัวคิ้วขมวดฉับ ตะโกนเสียงดังลั่นไม่แคร์สายตาใคร

“ลูกฉันอยู่ที่ไหน!”

“คุณเขียนจันทร์พาไปแล้วครับ เย็นๆ จะพาไปส่งที่บ้าน”

ศดาธรและเกียรติยศ มือซ้ายขวาของรักษ์ชาติรอลุ้นปฏิกิริยาว่าระเบิดลูกย่อมนั้นจะส่งผลอานุภาพทำลายล้างแค่ไหน แต่ผิดคาดเมื่อมีเพียงสายตาขุ่นขวางของรักษ์ชาติมองกราดไปทีหนึ่ง ก่อนจะเดินนำไปที่รถ ไม่มีการทำลายล้างแต่ประการใด

“เร็วๆ” ยังมีอารมณ์มาเร่งให้ลูกน้องที่ยืนอึ้งได้สติ ไม่มีการยกเรื่องกองพันมาพูดอีกตลอดทั้งวัน หรือกระทั่งเวลาเย็นที่เขาอยู่ในบ้าน และมีกองพันเดินกลับมาหน้าอิ่มเอิบ มีของเล่นติดไม้ติดมือกลับมาในบ้าน ปีนขึ้นมานั่งบนตักเขาแล้วผล็อยหลับไปอย่างหมดแรง

รักษ์ชาติส่ายหน้ายิ้มขัน รู้สึกการประชุมงานเคร่งเครียด หรือตรวจงานก่อสร้างของสถานบันเทิงแห่งใหม่หายเป็นปลิดทิ้ง ชายหนุ่มตระกองกอดน้องชายตัวน้อยที่เขาลืมความเป็นน้องไปหมด ยามเข้านอน ขนาดหลับกองพันยังมีรอยยิ้มแต้มบนใบหน้า คงจะเป็นฝันดีที่เขาไม่เคยทำให้ลูกชายรู้สึกได้

“ฝันอะไรอยู่เจ้าลูกชาย แต่คงไม่ได้ฝันถึงพ่อเลยใช่ไหม” ปากบางเม้มเข้ากันจนบึ้ง แต่สายตากลับอ่อนโยน นึกถึงคนที่ทำให้ลูกชายของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ววางใจ ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เกลียดพ่อ แต่ดันรักลูก

...น่าตลกจริงๆ


พนักงานในบริษัทจักรตรากูลพบเห็นผู้หญิงหน้าสวย มีรอยยิ้มแต้มริมฝีปากสีเชอร์รี่เสมอเวลาที่จะทักทายพนักงาน ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน ตั้งแต่พนักงานทำความสะอาด พนักงานรักษาความปลอดภัย จนถึงเลขานุการิณีที่ตอนนี้มีสองหน้าที่ คือสอนงานผู้เป็นนายสาว เมื่อผ่านมาได้ครึ่งเดือนเขียนจันทร์ก็เข้าใจทุกระบบในบริษัทเป็นอย่างดีด้วยเรียนรู้เร็ว หน้าที่ต่อมาของเลขานุการิณีคือคอยช่วยแจงเลี้ยงกองพันในเวลาทำงานของเขียนจันทร์บ้างเป็นบางครั้ง

“งานเปิดตัวดีเอสทาวเวอร์เหรอคะ” เขียนจันทร์มองบัตรเชิญเรียบหรูดูดีเน้นสีขาวดำด้วยความสนใจ เธอเคยได้ยินว่าในวงการโรงแรมที่จักรตรากูลทำธุรกิจอยู่นั้น ยังมีของทางดีเอสเป็นเพื่อนร่วมวงการที่เก่งฉกาจ อาจจะยิ่งกว่าจักรตรากูลมี เพราะดีเอสยังไปสร้างโรงแรมถึงต่างประเทศ หัวเรือใหญ่ทางนั้นเธอรู้มาว่าคือวสุธร เป็นคนแยกธุรกิจออกมาจากดีเอสคอนสตรักชั่นที่แต่เดิมเน้นการสร้างให้คนอื่นมากกว่ามาเป็นเจ้าของเองอย่างดีเอสทาวเวอร์

“ค่ะ งานนี้งานใหญ่ค่ะ เป็นงานเปิดตัวโรงแรมที่โปรโมทว่าใหญ่และสวยที่สุดในกรุงเทพฯเลยนะคะ คนดีเอสเขาชอบอะไรใหญ่ๆ เว่อร์ๆ”

“คุณนราสนใจไปทำงานกับเขาไหมคะ โปรโมทต่อหน้ากันแบบนี้เขียนไม่กล้าไปในนามโรงแรมของเราเลย” เขียนจันทร์แสดงอาการพูดทีเล่นทีจริงใส่นรา จนเลขาคุณแม่ลูกหนึ่งหน้าซีด ตาเหลือก เขียนจันทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ โบกมือไปมาขอโทษกับมุกร้ายไม่ตลกของเธอ

“ดิฉันหัวใจกองอยู่ตาตุ่มเลยค่ะคุณเขียน” แรกพบนายสาวนั้นนราเกร็ง ไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร เพราะอีกฝ่ายวางมาดในวันแรกที่มาถึง ลอบสังเกตเก็บรายละเอียดพนักงานถึงหนึ่งวันเต็ม วันต่อมาเขียนจันทร์จึงวางท่าเป็นธรรมชาติมากขึ้น มือจูงคนตัวเล็กอย่างกองพันมาเพิ่มสีสันให้บริษัท แต่ไม่ได้รบกวนการทำงาน เนื่องจากมีห้องแยกซึ่งเป็นห้องสำหรับพักผ่อนที่หม่อมราชวงศ์วงเดือนสร้างไว้รอให้หลานๆ มาทำงานนานหลายปีแล้ว ตอนนี้ห้องนั้นจึงมีแจงกับกองพันไปอยู่ บางวันพวกตนก็จะเห็นครูสอนพิเศษเดินตามมาด้วย

ตอนนี้นราถือว่ารู้จักเขียนจันทร์มากขึ้น พูดเล่นได้ แต่หากใครทำอะไรปล่อยปละ ไม่จริงจังเขียนจันทร์ก็ไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ

“เดี๋ยวคุณนราช่วยเตรียมชุดให้ฉันด้วยนะคะ คุณนราก็ไปเป็นเพื่อนฉันด้วย ฉันคงไม่รู้จักใคร แม่ฉันจะไปไหมคะ”

“ไปค่ะ”

นราออกไปจากห้อง เขียนจันทร์ก็ยังจมอยู่กับความคิดเดิม ความสัมพันธ์หวนคืนระหว่างพ่อแม่เธอนั้นดูจะเป็นไปได้ยาก ยิ่งแม่นั้นเวลานี้มีนักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบกว่ามาติดพัน คนผู้นั้นเธอแอบให้นราไปสืบประวัติมาก็พบว่าเขามีลูกสาวอยู่หนึ่งคน แต่หย่ากับผู้หญิงมาแล้วถึงสามครั้ง ธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ก็ขาดทุนบ่อย แต่ยังดีที่รายได้ยังเป็นตัวสีเขียว ยังมีข่าวเขาเล่ากันว่าเสี่ยหลงชอบไปเล่นกาสิโน หรือทำอาชีพสีดำอีก

อาทิการค้ายา...แม้เขียนจันทร์จะพยายามไม่หูเบาเชื่อ แต่ใจเธอที่ไม่อยากให้แม่แต่งงานใหม่ก็มองภาพเสี่ยหลงติดลบไปแล้ว เธอเคยคุยกับแม่ว่าเพราะอะไรจึงไม่ปฏิเสธเสี่ยหลงไปตรงๆ ฝ่ายนั้นก็บอกว่าเสี่ยหลงเป็นคนมีอิทธิพล เขาทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ การไม่เสียอะไรเลยก็คือการนิ่งเฉยเสีย แต่ไม่ได้เห็นดีเห็นงาม

งานใหญ่งานนี้เธอก็น่าจะได้เห็นหน้าเสี่ยหลงเสียที

...............................................................

คุณ ร้อยวจี บดินทร์ภัทรตอนนี้เด่นขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกถูกรัศมีของนายขุนกลบ ฮา

คุณ ปรางขวัญ เสี่ยหลงเป็นใคร เดี๋ยวได้รู้กันค่ะ

คุณ อัศวินนภา เจ้าขุนอาจเป็นประเภทคนไม่รู้ตัวก็ได้นะคะ

คุณ ariesleo ยังมีฉากขุนน่าหมั่นไส้อีกหลายอยู่ค่ะ

คุณ ameerah ถ้าเจ้าขุนโดนถามแบบนี้อาจเดินสะบัดหน้าหนีไม่รู้ไม่ชี้ก็ได้ค่ะ ฮา

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่าค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2557, 03:31:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2557, 03:31:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2134





<< บทที่ 5 : เกลียด (ทุเรียน)   บทที่ 7 : เปลี่ยนรูปแบบการก่อกวน >>
mhengjhy 26 พ.ค. 2557, 07:05:05 น.
อาเสี่ยนี่น่าสงสัย


ร้อยวจี 26 พ.ค. 2557, 09:21:34 น.
เริ่มสงสารนายขุนซะแล้ว โดนหญิงเมิน ทำเขาไว้เยอะนิ


ameerah 26 พ.ค. 2557, 18:56:38 น.
พ่อขุนแอบน่าหมั่นไส้เหมือนกานนะเนี่ย อิอิ


อัศวินนภา 26 พ.ค. 2557, 19:52:59 น.
แหม แหม ทำเนียนให้ลูกไปเลี้ยง เห็นบอกไม่ต้องแล้วให้ไปทำไมล่ะ


ผักหวาน 13 มิ.ย. 2557, 22:57:44 น.
ตอนนี้สนุกมากๆ ค่ะ เพิ่งเห็นความสวยของหนูเขียนล่ะสินายจอมโหด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account