มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 7
คุลิกาถอนใจยาวเมื่อก้าวออกจากลิฟท์พร้อมกับกลุ่มเพื่อนพนักงานที่นัดกันไปรับประทานอาหารเย็นแล้วพบกับเจ้าของใบหน้าที่เพิ่งได้เห็นกันเมื่อตอนพักเที่ยง ยิ่งเพื่อนสาวคนที่เคยพบหน้าชายหนุ่มมาแล้วลอบยิ้มเหมือนจะยั่วล้อยิ่งทำให้หญิงสาวเกิดอาการร้อนผ่าวขึ้นมาบนใบหน้า ก่อนที่ความหวิวไหวในอกจะเป็นแรงกระตุ้นให้เธอก้าวไปยืนประชิดกับพงศ์พลินส่งเสียงลอดไรฟัน
“มาทำไมอีกล่ะคุณ ยังไม่มีเรื่องอะไรสักหน่อย”
“ก็...ผมเป็นห่วงคุณ”
คำตอบบวกกับท่าทีและน้ำเสียงจริงใจนั้นทำให้หญิงสาวกรอกตาขึ้นมองเพดาน ถอนใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรขึ้นกว่าประโยคแรก
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก แล้วเราก็มีเบอร์โทร.กันแล้ว คุณโทร.มาหาฉันก็ได้ เล่นเทียวเที่ยงเทียวเย็นแบบนี้ คนก็ได้เอาไปพูดกันสนุกปากพอดี”
“ขอโทษ...ผมลืมนึกไป” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ “พอดีวันนี้โดดงานเปิดตัวโครงการใหม่มาแล้ว ก็เลยว่างทั้งวันไม่รู้จะไปไหนดี”
“ก็ไปเดินห้างฯ ไปเข้าฟิตเนส ดูหนัง อะไรก็ได้”
“เรื่องพวกนั้นผมไม่นึกถึงเลยแฮะ”
ประโยคพูดนั้นฟังดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญอะไรหากบางสิ่งในดวงตาของพงศ์พลินทำให้คุลิกาต้องหลบสายตา ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง
“เอาอย่างนี้นะ คราวหลังถ้าคุณจะเป็นห่วงจนมาดักรอ หรืออะไรก็ตาม ช่วยโทร.แจ้งด้วย ฉันไม่อยากเจอเซอร์ไพรส์ แล้วก็ไม่อยากให้ใครเอาไปลือกันผิด ๆ ว่าคุณมาตามจีบฉัน”
“เอ่อ...ผม”
“ฉันจะไปทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ นะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว” คุลิกาสูดลมหายใจยาวคลี่ยิ้มให้พงศ์พลิน “แล้วอย่าลืมที่ฉันบอกเมื่อกี้ด้วย”
หญิงสาวเดินผละจากชายหนุ่มไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนพนักงานที่ยืนรออยู่ ทำไม่สนใจกับปฏิกิริยาของแต่ละคนที่สะกิดกันให้พิจารณาอาการระหว่างเธอกับพงศ์พลิน หากเมื่อเดินพ้นจากบริเวณโถงลิฟท์ คุลิกาก็อดที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้
เขาส่งยิ้มโบกมือให้เธอโดยไม่สนใจว่าคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณโถงลิฟท์นั้น หญิงสาวต้องรีบหันหลังกลับหวังว่าจะไม่มีใครรู้ว่าคนที่ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือให้นั้นคือตัวเธอเอง
เฮ้อ...อีชาวเวทไร้พลัง ช่างต่างกับคุณป๊อบ...ดารุทัยที่สุภาพ ดูดีมีมาดลิบลับจริง ๆ
คุลิกาสังสรรค์มื้อเย็นกับกลุ่มเพื่อนพนักงานอย่างสนุกสนาน เธอทิ้งความคิดวุ่นวายเกี่ยวกับ “ภารกิจ” ไปได้ชั่วคราว คิตตี้ไม่ปรากฏตัวหรือส่งเสียงพูดอะไรให้เธอต้องหัวเสีย หญิงสาวจึงกลับถึงบ้านด้วยอารมณ์แจ่มใส จิตราที่ออกมายืนรอลูกสาวอยู่หน้าตัวบ้านเห็นแล้วอดทักขึ้นไม่ได้
“วันนี้ลูกสาวแม่อารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ ไปเจออะไรดี ๆ มารึเปล่าจ๊ะ”
“เปล่าหรอกค่ะแม่ ไม่ได้เจออะไรดี ๆ มา” หญิงสาวมองไปรอบตัวบ้าน เอ่ยอย่างตั้งใจจะบอกไปยังแมวบางตัว หรือจะพูดให้ถูกคือภูตินำทางบางตน “แค่เย็นนี้ไม่เจออะไรกวนใจแค่นั้นเอง”
เมี๊ยว....
เสียงร้องราวกับจะประท้วงของแมวสีขาวดังขึ้นจากบนชั้นสองบริเวณห้องนอนของคุลิกาทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง แมวสีขาวกำลังตะปบหน้าต่างกระจกอย่างจะบอกให้รู้ว่าได้ยินสิ่งที่เธอพูด
หายไปครึ่งค่อนวัน ก็นึกว่าจะไปแล้วไปลับซะแล้ว ยังอยู่อีกเหรอยะ
เมี๊ยว...
คราวนี้เสียงของแมวน้อยเหมือนจะบอกว่า ก็ต้องอยู่สิ
หญิงสาวได้แกล้งยั่วประสาทภูตินำทางที่ปกติคอยแต่จะกวนใจเธอแล้วยิ่งอารมณ์ดี ก้าวเข้าบ้านได้ชวนมารดาพูดคุยอยู่พักใหญ่ก่อนจะแตะจมูกลงบนแก้มของจิตราเอ่ยขอตัวขึ้นห้องอาบน้ำนอนพักผ่อน
คุลิกาถึงกับหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเด็กหญิงนั่งกอดอกหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงนอน
“หายไปดินแดนเวทมนต์ครึ่งวัน แค่นี้ก็ต้องมาประชดกันด้วย คิดถึงใช่มั้ยล่ะ”
“โอ๊ย...เงียบสงบมาตลอดบ่าย ไม่คิดถึงหรอก” หญิงสาวโต้แล้วนึกอะไรขึ้นได้ ทำตาโตก่อนขยับเข้าไปหาคิตตี้ “ว่าแต่ที่ว่าไปดินแดนเวทมนต์ไปทำอะไรมา มีความคืบหน้าอะไรจากทางนั้นรึเปล่า”
“ก็โดนสมาคมภูติเรียกไปเตือน ว่าต้องเร่งให้พี่ฝึกควบคุมเวทมนต์ของตัวเองให้ได้ เพราะถ้าคิดแต่จะใช้ในสถานการณ์คับขัน บางทีพี่อาจจะไม่รอดก็ได้...โดนพวกเวทมืดจัดหนักเข้าล่ะก็ตายหยั่งเขียดแน่ ๆ ”
“นี่...สมาคมอะไรของเธอน่ะ คงไม่ได้ใช้คำพูดแบบนี้หรอกใช่มั้ย”
“แหม...ก็ต้องให้มันออกอรรถรสหน่อยสิ เล่าให้ฟังเรียบ ๆ จะไปสนุกอะไร” คิตตี้กระโดดลงจากเตียงก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “เอาล่ะ ไปอาบน้ำแล้วมาฝึกใช้เวทมนต์ได้แล้ว”
“กล้าสั่งเหรอ”
“แล้วถ้าไม่กล้าจะสั่งมั้ยล่ะพี่ก็” เด็กหญิงย้อนแล้วรีบกระโดดถอยหลังเมื่อคุลิกาทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ “อ๊ะ ๆ อย่านะ ทำร้ายภูตินำทางแล้วใครจะคอยช่วยฝึกให้ล่ะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะยายตัวดี”
คุลิกาคาดโทษ หากคิตตี้ทำลอยหน้าเหมือนไม่เกรงกลัว คนที่ควรจะเป็นเจ้านายจึงได้แต่ถอนฉุน เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำอาบท่าเพื่อรับการฝึกจากภูตินำทางจอมป่วน
หญิงสาวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสื้อกางเกงตัวเก่ง ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเรือนผมจนหมาดก่อนจะแขวนผ้าเช็ดตัวไว้กับราวตากแล้วหันไปหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำ
แกร่ก ๆ ๆ
เสียงลูกบิดหมุนค้างไปมาดังขึ้น หากเธอไม่สามารถผลักบานประตูห้องน้ำออกไปได้
เฮ้ย! ประตูห้องน้ำเสียหรือไงเนี่ย ซวยแล้วเรา
“ประตูไม่ได้เสีย”
คุลิกาหันขวับไปมองที่โถชักโครก เด็กหญิงคิตตี้กำลังนั่งเท้าค้างมองเธอตาใส
“ไม่ได้เสียยังไง ก็เปิดไม่ออกอยู่เนี่ย”
“ประตูโดนมนต์”
“มนต์!” คุลิกาทวนคำอย่างตระหนก “นี่อย่าบอกนะว่าพวกเวมมืดเล่นงานเข้าให้แล้ว”
“โดยการขังไว้ในห้องน้ำเนี่ยนะพี่สาวคนสวย” เด็กหญิงทำหน้าเอือม “นี่เป็นมนต์ที่ทางดินแดนเวทมอบให้มา เป็นการทดสอบการใช้เวทมนต์ของพี่แคทคนสวยไงคะ”
หญิงสาวมองเหมือนคิตตี้กำลังพูดเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดในโลก คราวนี้เด็กหญิงถอนใจหนักก่อนจะลุกขึ้นมายืนข้างคุลิกากอดอกลอยหน้าเอ่ยปากอธิบาย
“ปกติน่ะ ภูตินำทางไม่มีเวทมนต์หรอก แต่ชาวเวทที่เป็นนักประดิษฐ์ได้คิดค้นขวดใส่เวทมนต์ขึ้นมา ชาวเวทสามารถบรรจุเวทมนต์ง่าย ๆ ลงไปได้” คิตตี้รีบขยายความต่อทันทีเมื่อเห็นสีหน้าข้องใจของหญิงสาว “ขวดใส่เวทมนต์น่ะ มีข้อจำกัด ใส่เวทมนต์ที่มีพลังมาก ๆ ไม่ได้มันจะแตก ที่ได้มาหนนี้ เป็นเวทมนต์ที่ใช้สำหรับการขัง พอเอามาใช้กับประตู มันก็เลยเปิดไม่ออกแบบนี้แหละ”
“โอ๊ย! ยายคิตตี้ตัวแสบ แล้วจะมาขังฉันไว้ในห้องน้ำเนี่ยนะ ถ้าออกไปไม่ได้จะทำยังไง แล้วเวทมนต์น่ะฉันไม่เคยเรียนท่องเลยสักคำเดียว จะให้เปิดล็อกประตูตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
คิตตี้ส่ายหน้ากรอกตาขึ้นฟ้า
“เฮ้อ...เวทมนต์ของชาวเวทน่ะ เป็นการรวบรวมพลังความคิด ไม่ได้ต้องใช้คาถาหรอก”
“ก็จะไปรู้เหรอ เห็นในหนังต้องมีเรียนท่องคาถา มีไม้เท้านี่นา”
“บางเรื่องก็ไม่มี” เด็กหญิงโต้ทันควัน
“เคยดูด้วยเหรอ”
“แหม...จะมาเป็นภูตินำทางให้กับทายาทชาวเวทที่มีเชื้อสายมนุษย์ผสม ก็ต้องหัดเรียนรู้เรื่องมนุษย์บ้างสิคะ ไม่อย่างนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง”
คุลิกาขยับจะแย้งแล้วได้แต่ส่ายหน้า...นี่ขนาดเด็กหญิงบอกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วยังขนาดนี้ ถ้าหากคุยกันไม่รู้เรื่องเธอก็ไม่รู้ว่าจะปวดประสาทกว่านี้มากแค่ไหน
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ร่างกายที่เพิ่งจะได้รับการชำระล้างและเช็ดจนแห้งแล้วของคุลิกา ตอนนี้กลับเปียกชุ่ม ชุดนอนลายหมีชื้นไปด้วยเหงื่อ
คุลิกายกมือขึ้นหันฝ่ามือไปทางประตูห้องน้ำ
เปิดสิ เปิด ๆ ๆ ๆ
หญิงสาวก้าวไปคว้าลูกบิดประตูขยับหมุนไปมา
แกร่ก ๆ ๆ
ความพยายามครั้งล่าสุดไม่สัมฤทธิ์ผล จากที่นับจำนวนครั้งที่ตัวเองยกมือขึ้นตั้งใจคลายมนต์สะกดซึ่งขังเธอเอาไว้ในห้องน้ำ ตอนนี้เธอไม่นับแล้วว่าทำมาแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง
“มันไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จ ๆ ได้ยินมั้ยยายคิตตี้ มันเร็วเกินไปที่จะให้ฉันทำได้ในวันนี้ แล้วทำไมก่อนจะทำไม่ปรึกษากันก่อน นึกจะขังก็ขังกันไว้ในห้องน้ำแบบไม่บอกไม่กล่าวเนี่ยนะ”
“ถ้าไม่หัดแล้วจะทำได้ตอนไหนล่ะ” เด็กหญิงดูจริงจังกว่าทุกครั้ง “ยังไงก็ต้องฝึกให้สำเร็จ ควบคุมพลังเวทของตัวเองให้ได้ รอตอนคับขันถึงจะมีพลังพอที่จะร่ายมนต์ได้ มันไม่พอนะพี่แคท”
ท่าทางหนักแน่นของเด็กหญิงทำให้คุลิกาชะงักไปเล็กน้อย พยักหน้ารับในเหตุผลนั้น หันกลับไปให้ความสนใจกับประตูที่ปิดอยู่ ยกมือขึ้นแล้วนึกซ้ำไปซ้ำมาในใจ
เปิดล็อกเดี๋ยวนี้ เปิด เปิด เปิด เปิด...
ฝ่ามือของหญิงสาวเหมือนมีแสงสีมุกแว่บออกมาชั่วขณะก่อนจะมีเสียงคลิกสั้นแค่ชั่วเสี้ยววินาทีดังขึ้นจากลูกบิดประตู คุลิกาเบิกตาโพลง รีบเอื้อมมือไปคว้าลูกบิดเปิดประตูทันที หากไม่สามารถที่จะหมุนเปิดได้เช่นที่เคยทดลองมาแล้วก่อนหน้านี้
“รีบเกินไป”
“รีบอะไรกัน ก็ได้ยินอยู่ว่ามันมีเสียง”
“เวทมนต์ยังไม่แข็งแรงพอที่จะคลายมนต์สะกดที่ปิดผนึกประตูเอาไว้น่ะสิ พอได้ยินเสียงคลิกนิดเดียวก็ตื่นเต้นจนลืมไปหมดว่าต้องมีสมาธิถึงจะทำสำเร็จ” เด็กหญิงทำหน้าเหมือนหมดหวัง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนจะดูหมิ่นคนฟังเล็กน้อย “แค่เปิดประตูแค่นี้ยังไม่ไหว อย่างนี้ถ้าโดนพวกเวทมืดเล่นงานขึ้นมา ไม่ซี้แหงแก๋เหรอเนี่ย”
หนอย...ดูถูกนักใช่มั้ยยายคิตตี้ คอยดูเถอะ ฉันต้องทำให้ได้
คุลิกาลองยกมือขึ้นจ่อไปที่ลูกบิดประตู
เปิดสิ เปิด....เปิดเดี๋ยวนี้
หญิงสาวเกือบจะถอดใจเมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับประตูห้องน้ำบานนั้น หากชั่วขณะที่เธอนึกภาพบานประตูที่เปิดออก แสงสีมุกเหลือบรุ้งก็ปรากฏที่ฝ่ามือ ครั้งนี้ยาวนานกระทั่งมีเสียงคลิกที่ลูกบิดประตูดังอย่างชัดเจนกว่าครั้งก่อนหน้า
คุลิกายังไม่แน่ใจนักว่าตนทำสำเร็จจึงได้แต่ยืนนิ่งมือที่ยกขึ้นจ่อไปที่ประตูยังค้างอยู่ในท่าเดิมแม้ว่าแสงสีมุกเหลืองรุ้งนั้นจะหายวับจากฝ่ามือของตนไปแล้ว
“จะนอนในห้องน้ำเหรอคะ คุณพี่แคทเจ้าขา”
“สำเร็จ...นี่ฉันทำสำเร็จแล้วใช่มั้ยคิตตี้”
แทนคำตอบ คิตตี้เดินไปหมุนลูกบิดดึงเปิดประตูห้องน้ำ แล้วหันกลับมามอง...คุลิกาอยากจะแน่ใจว่าตัวเองตาไม่ฝาด เด็กหญิงตัวแสบกำลังยิ้มให้เธอด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
สามวันหลังจากที่ปพนธีร์ได้พบกับลัลน์ลลิต หญิงสาวที่อ้างว่าเป็นญาติกับนายจ้างของหญิงชราที่เขาขับรถเฉี่ยวชน เขาได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาวเพื่อแจ้งว่าจะพาหญิงชรากลับไปรักษาตัวที่บ้าน ชายหนุ่มซึ่งรับผิดชอบเป็นเจ้าของไข้จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย
เมื่อเดินทางไปถึงปพนธีร์พบลัลน์ลลิตที่นั่งรออยู่บนเตียงเก้าอี้นวมภายในห้องพักผู้ป่วย ส่วนหญิงชรานั้นนั่งอยู่บนรถเข็น แม้สภาพร่างกายจะเป็นปกติดีแต่ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อเขายกมือไหว้และกล่าวคำทักทายแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองจากร่างบนรถเข็น ครั้นเมื่อหันไปมองหญิงสาวอย่างจะถามไถ่ความจริง ก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าและแววตาที่ดูสลดลงเล็กน้อย
“คุณยายแก้วไม่พูดค่ะ หมอเองก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม แต่หมอเห็นว่าอาการอย่างอื่นดีขึ้นแล้ว กลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ ที่บ้านคุณลุงงานยุ่งกัน ฉันทำร้านพอจะให้ลูกจ้างดูแลเจียดเวลามารับได้เลยอาสา”
“ท่ามีค่ารักษาอย่างอื่นเพิ่มเติมจากนี้...”
“คงไม่ต้องรบกวนคุณป๊อบแล้วล่ะค่ะ คุณป๊อบก็รับผิดชอบตามสมควรแล้วนะคะ ต่อไปทางเราดูแลกันเองค่ะ จะว่าไปที่บ้านฉันก็มีส่วนผิดที่ปล่อยปละละเลยจนท่านหนีออกมาประสบอุบัติเหตุแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมขับรถไปส่งคุณยายแก้วกับคุณลันที่บ้านดีมั้ยครับ”
“ลันขับรถมาค่ะ ถ้าให้คุณป๊อบไปส่งเดี๋ยวก็ต้องลำบากคุณป๊อบกลับมาส่งที่โรงพยาบาลอยู่ดี เอาเป็นว่าเราแยกกันที่นี่ก็ได้นะคะ ลันขอบคุณคุณป๊อบจริง ๆ ที่ช่วยเหลือคุณยายเอาไว้”
“มันเป็นความรับผิดชอบของผมนี่ครับ”
ลัลน์ลลิตคลี่ยิ้มบาง ปพนธีร์เห็นประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้นแล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากขณะที่ตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาวราวกับถูกมนต์สะกด
“ถ้าเย็นนี้คุณลันว่าง...ผมขอเชิญทานข้าวเย็นสักมื้อนะครับ”
“ค่ะ...ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เอาไว้ลันจัดการคุณยายแก้ว...เอ่อ...ลันหมายถึงจัดการธุระเรื่องคุณยายแก้วเสร็จแล้ว ลันจะโทร.หานะคะ เอาไว้ค่อยตกลงกันเรื่องสถานที่อีกที”
ปพนธีร์พยักหน้ารับคำพอดีกับที่มีบุรุษพยาบาลมาแสดงตัวเพื่อเข็นรถของหญิงชรา หญิงสาวขยับเดินตามพลางหันมาส่งยิ้มให้ ชายหนุ่มก้าวเท้าตามเธอไปรู้สึกเหมือนกับร่างกายเบาอย่างประหลาด
เขาเดินตามส่งลัลน์ลลิตและหญิงชราจนถึงรถตู้สีเงินที่มาจอดเทียบรอที่จุดเชื่อมระหว่างอาคารผู้ป่วยและอาคารจอดรถ คนขับรถซึ่งเป็นชายวัยกลางคนกดเปิดประตูอัตโนมัติแล้วเดินลงมายืนสังเกตการณ์ระหว่างที่บุรุษพยาบาลประคองร่างของหญิงชราเข้าไปภายในห้องโดยสาร บุรุษพยาบาลเหมือนจะเหลือบมองคนขับรถด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง หากชายหนุ่มที่จับตามองแต่เพียงหญิงสาวตรงหน้าดูจะไม่ได้สังเกตเห็น
“ลันขอตัวนะคะคุณป๊อบ หวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันอีก”
“แน่นอนครับคุณลัน”
ลัลน์ลลิตส่งยิ้มอ่อนหวานให้ก่อนจะก้าวขึ้นนั่งเคียงข้างหญิงชรา หันไปพยักหน้าให้กับคนขับรถ หนุ่มใหญ่เอ่ยรับคำก่อนจะเดินกลับขึ้นไปประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัย ประตูข้างอัตโนมัติค่อยเลื่อนปิด ก่อนที่รถตู้สีเงินจะเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งให้ปพนธีร์ยืนมองตามอยู่ครู่ใหญ่
เมื่อพาหนะคันนั้นลับจากสายตา ปพนธีร์ก็สะบัดหน้าอย่างคนที่เหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์บางอย่าง เขามองไปรอบบริเวณแล้วค่อยนึกได้ว่าตนมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยเหตุผลใดและได้พบใครก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตัดใจเดินกลับไปที่รถยนต์คู่ใจของตนเอง หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเหตุการณ์ในช่วงเวลานับตั้งแต่เขามาเจอกับลัลน์ลลิตนั้นเหมือนเขาจะไม่ค่อยรู้สึกตัวคล้ายกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงความฝัน
ในห้องโดยสารของพาหนะหรู คนขับรถวัยกลางคนละสายตาจากถนนมอง ‘นาย’ ผ่านกระจกมองหลัง ภาพสะท้อนของหนุ่มใหญ่บนกระจกบานเดียวกันนั้นเผยให้เห็นรอยแผลจากการถูกกรีด ยาวจากกลางหน้าผากตัดผ่านดวงตาข้างซ้ายมาจนถึงช่วงกลางของแก้ม ดวงตาข้างนั้นมีสีขาวมัว
“นายหญิง...เราจะทำยังไงกับร่างนี้ดีขอรับ”
‘นายหญิง’ เชิดหน้าเหลือบมองร่างของหญิงชราข้างตัวแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“มนต์สลับร่างนี้ข้าเรียนมาจากพวกมนุษย์ พวกมนุษย์ที่ฝึกมนต์ดำบอกข้าว่าการสลับร่างจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผ่านเวลา 100 วันไปแล้ว...ยังไงก็ต้องเก็บร่างนี้ไว้ก่อน ครอบครัวนี้มีโกดังร้างอยู่ย่านชานเมือง เจ้าขับรถพาข้าไปที่นั่นก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
หนุ่มใหญ่มองร่างที่แท้จริงของนายหญิงที่ตนมองเห็นผ่านกระจกอีกครั้ง ร่างนั้นคือหญิงวัยกลางคน อายุราวห้าสิบปี โคนผมมีหงอกแซมเกือบทั้งศีรษะ ดวงตาคมนั้นดุดันเอาจริงเอาจัง จมูกยาวงุ้มงอ หญิงกลางคนแสยะยิ้มให้กับผู้ที่นั่งอยู่เคียงข้าง
เจ้าของใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นและดวงตาข้างซ้ายสีขุ่นต้องละสายตาจากกระจกมองหลังเมื่อนายหญิงของเขาเหมือนจะรับรู้ว่าถูกจับตามองอยู่ มือย่นเอื้อมไปจับกระจกมองหลัง เสขยับมันเล็กน้อยก่อนที่จะมองไปยังใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้วย
ในสายตาคนอื่นอาจมองเห็นว่าใครคนนั้นคือหญิงชรา หากสายตาของเขากลับมองเห็นเป็นหญิงสาวที่กำลังมองผ่านกระจกมองหลังมาด้วยสายตาวิงวอนและสีหน้า แววตานั้นก็ทำให้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยต้องเบือนหน้าหนี หันไปให้ความสนใจกับการนำพาหนะคันหรูแล่นไปตามท้องถนนแทน
พาหนะสีเงินขับไปถามถนนที่รถราวิ่งขวักไขว่เรื่อยไปกระทั่งออกสู่บริเวณชานเมือง ยวดยานบนท้องถนนเริ่มบางตาลงทุกขณะกระทั่งรถยนต์สีเงินแล่นเข้าสู่ถนนสายที่นำไปสู่โกดังรกร้าง
หญิงชราที่นั่งอยู่รถยนต์เริ่มส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ราวกับว่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปาก ขณะหันไปมองร่างของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาคู่นั้นมีแววระคนระหว่างตื่นตระหนกและไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ใบหน้าย่นส่ายไปมาอย่างจะปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้างกันมองเธอแล้วแสยะยิ้ม ยกนิ้วชี้มือขวาขึ้นมาจนเกือบจะจรดหน้าผากเหี่ยวย่น คนที่พยายามจะส่งเสียงท้วงเงียบไปแทบจะทันที ไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้ กระทั่งเมื่อประตูอัตโนมัติของรถตู้คันงามเปิดออกก็ต้องขยับก้าวตามร่างนั้นไป
ร่าง...ร่างของเธอ
ลัลน์ลลิตก้มลงมองมือเหี่ยวย่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างของตนเองที่เดินนำไปทางประตูโกดังที่ถูกคล้องโซ่ใส่กุญแจเอาไว้แน่นหนา เพียงแค่ร่างหญิงสาวยกสองมือขึ้นระดับอกหันฝ่ามือไปทางประตูโกดังแล้วค่อย ๆ เลื่อนมือทั้งสองข้างออกจากกัน โซ่ที่คล้องอยู่ก็ขาด เสียงโลหะกระทบกับพื้นดังลั่น และสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์น่าหวาดหวั่นมาตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมาอย่างลัลน์ลลิตด้วยแล้ว เสียงนั้นราวกับจะบ่งบอกว่าตนกำลังจะประสบชะตากรรมร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หญิงสาวนึกทบทวนเหตุการณ์หลังจากวันที่เกิดเหตุไฟดับภายในลิฟท์ ความฝันประหลาด ก่อนที่ตนจะตื่นขึ้นมาภายในห้องพักของโรงพยาบาล พบเห็นร่างของตนเองขณะที่พูดคุยกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง และรับรู้สภาพว่าตนกำลังอยู่ในร่างของหญิงชรา หากเมื่อพยายามจะขยับเอ่ยปากพูดอะไรก็ไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับถูกอำนาจลึกลับบางอย่างปิดปากเอาไว้ กระทั่งเมื่อนั่งมาภายในห้องโดยสารของรถตู้สีเงิน เธอจึงค่อยขยับอ้าปากได้แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้
‘ร่างของเธอ’ โบกมือไปรอบโกดังร้าง หยากไย่ที่เกาะอยู่ตามผนังและเพดานก็หายวับไปกับตา สภาพโครงสร้างและสีคร่ำคร่ากลับดูเหมือนใหม่ บนพื้นกลางโกดังปรากฏแท่นปูด้วยผ้าสีขาว และเมื่อลัลน์ลลิตมองเห็นว่าร่างของเธอเองยกมือขึ้นแล้วหมุนนิ้วมือไล่จากนิ้วก้อยไปจนถึงนิ้วชี้ เธอก็รู้สึกเพียงว่าร่างชราที่ตนอาศัยอยู่นั้นค่อยขยับเดินไปนั่งที่แท่น
นี่มันเรื่องอะไรกัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครที่อยู่ในร่างของฉัน เอาร่างของฉันคืนมานะ นางบ้า!!!
‘นางบ้า’ หันขวับมามองจ้องเธอด้วยสายตาดุดัน เป็นครั้งแรกที่ลัลน์ลลิตได้เห็นตัวตนจริงที่อยู่ในร่างของเธอ หญิงวัยกลางคนหน้าตาหน้ากลัว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทำท่าเหมือนกำลังบีบอะไรบางอย่าง
สิ่งที่บีบนั้นคือลำคอของร่างที่ลัลน์ลลิตอาศัยอยู่ เธอต้องยกมือขึ้นกำลำคอเหี่ยวย่นนั้นเมื่อรู้สึกว่าตนกำลังหายใจไม่ออก ชายเพียงคนเดียวในที่นั้นขยับเข้ามายืนอยู่ระหว่างทั้งสองเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
“นายหญิงราตรีขอรับ หากเจ้าของร่างมีอันเป็นไปก่อนครบกำหนด 100 วัน การสลับร่างกันก็จะไม่เป็นผลนะขอรับ”
หญิงวัยกลางคนค่อยคลายจากอารมณ์โกรธเกรี้ยวมือที่ทำท่าบีบเหมือนคีมนั้นค่อยคลายออก ลัลน์ลลิตได้ยินเสียงตนกระแอมหากเสียงนั้นแหบพร่าเหมือนเสียงของหญิงชรา
“ถือว่าเจ้ายังโชคดีที่ข้าต้องรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ เวทมนต์ของพวกมนุษย์นี่มีกฎเกณฑ์ยุ่งยากเหลือเกิน หากพวกชาวเวทเรียนรู้ที่จะใช้มนต์ที่มีข้าคงไม่ต้องรอถึง 100 วันกว่าที่ร่างของเจ้าจะเป็นของข้าโดยสมบูรณ์”
ราตรี...เวทนรีมืด ยิ้มเมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกจากหญิงชรา ร่างที่เธอทนอยู่มานานกว่าจะได้ร่างที่เหมาะสมกับการที่จะได้ครอบครองหัวใจและสืบทายาทกับดารุทัย เปิดผนึกที่กั้นเธอกับเพื่อนพ้องชาวเวทมืดมานานแสนนาน
“เจ้าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์สมบัติจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าเจ้าคบหาผู้ชายมามากหน้าจนอาจจะทำให้ครอบครัวของดารุทัยไม่ชอบใจนัก...แต่ข้าว่าข้าจัดการเรื่องนั้นได้ ตอนนี้เจ้าทำใจให้สบายก็แล้วกัน ตอนนี้ข้ายังไม่กำจัดเจ้าแน่...เมื่อไหร่ที่ครบกำหนด 100 วัน ข้าจะดูอีกทีว่าจะปล่อยให้เจ้าตายอยู่กับร่างที่ใกล้หมดอายุขัยนี่ หรือว่าปล่อยให้เจ้าไปสบายไม่ต้องทรมานอีกต่อไป”
เสียงครวญครางโหยหวนดังไม่ได้ศัพท์ออกจากลำคอของหญิงชรา ดวงตามีแววหวาดหวั่นอย่างหนัก
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงคนในครอบครัวเจ้าหรอก เพียงแค่ต้องมนต์สะกดของข้าก็ไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว เมื่อสถานะของข้าไม่เป็นที่สงสัยก็ไม่มีใครเป็นอันตรายทั้งสิ้น...จนวันที่ข้ามีทายาทกับดารุทัย เมื่อนั้นที่ชาวเวทมืดจะได้รวมตัวกันอีกครั้ง ครอบครองดินแดนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยพวกอ่อนแออย่างเจ้า”
ราตรีหัวเราะอย่างสมใจก่อนหันไปเอ่ยกับคนขับรถหนุ่มใหญ่
“ดูแลนางให้ดี อย่าให้เป็นอะไรไปโดยเด็ดขาด”
เวทนรีมืดที่อยู่ในร่างอวบอิ่มของหญิงสาวเดินกรีดกรายไปที่หน้าประตูโกดัง เมื่อพ้นจากประตูไปบานเหล็กก็เลื่อนปิดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาดึง
“มาทำไมอีกล่ะคุณ ยังไม่มีเรื่องอะไรสักหน่อย”
“ก็...ผมเป็นห่วงคุณ”
คำตอบบวกกับท่าทีและน้ำเสียงจริงใจนั้นทำให้หญิงสาวกรอกตาขึ้นมองเพดาน ถอนใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรขึ้นกว่าประโยคแรก
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก แล้วเราก็มีเบอร์โทร.กันแล้ว คุณโทร.มาหาฉันก็ได้ เล่นเทียวเที่ยงเทียวเย็นแบบนี้ คนก็ได้เอาไปพูดกันสนุกปากพอดี”
“ขอโทษ...ผมลืมนึกไป” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ “พอดีวันนี้โดดงานเปิดตัวโครงการใหม่มาแล้ว ก็เลยว่างทั้งวันไม่รู้จะไปไหนดี”
“ก็ไปเดินห้างฯ ไปเข้าฟิตเนส ดูหนัง อะไรก็ได้”
“เรื่องพวกนั้นผมไม่นึกถึงเลยแฮะ”
ประโยคพูดนั้นฟังดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญอะไรหากบางสิ่งในดวงตาของพงศ์พลินทำให้คุลิกาต้องหลบสายตา ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง
“เอาอย่างนี้นะ คราวหลังถ้าคุณจะเป็นห่วงจนมาดักรอ หรืออะไรก็ตาม ช่วยโทร.แจ้งด้วย ฉันไม่อยากเจอเซอร์ไพรส์ แล้วก็ไม่อยากให้ใครเอาไปลือกันผิด ๆ ว่าคุณมาตามจีบฉัน”
“เอ่อ...ผม”
“ฉันจะไปทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ นะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว” คุลิกาสูดลมหายใจยาวคลี่ยิ้มให้พงศ์พลิน “แล้วอย่าลืมที่ฉันบอกเมื่อกี้ด้วย”
หญิงสาวเดินผละจากชายหนุ่มไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนพนักงานที่ยืนรออยู่ ทำไม่สนใจกับปฏิกิริยาของแต่ละคนที่สะกิดกันให้พิจารณาอาการระหว่างเธอกับพงศ์พลิน หากเมื่อเดินพ้นจากบริเวณโถงลิฟท์ คุลิกาก็อดที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้
เขาส่งยิ้มโบกมือให้เธอโดยไม่สนใจว่าคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณโถงลิฟท์นั้น หญิงสาวต้องรีบหันหลังกลับหวังว่าจะไม่มีใครรู้ว่าคนที่ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือให้นั้นคือตัวเธอเอง
เฮ้อ...อีชาวเวทไร้พลัง ช่างต่างกับคุณป๊อบ...ดารุทัยที่สุภาพ ดูดีมีมาดลิบลับจริง ๆ
คุลิกาสังสรรค์มื้อเย็นกับกลุ่มเพื่อนพนักงานอย่างสนุกสนาน เธอทิ้งความคิดวุ่นวายเกี่ยวกับ “ภารกิจ” ไปได้ชั่วคราว คิตตี้ไม่ปรากฏตัวหรือส่งเสียงพูดอะไรให้เธอต้องหัวเสีย หญิงสาวจึงกลับถึงบ้านด้วยอารมณ์แจ่มใส จิตราที่ออกมายืนรอลูกสาวอยู่หน้าตัวบ้านเห็นแล้วอดทักขึ้นไม่ได้
“วันนี้ลูกสาวแม่อารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ ไปเจออะไรดี ๆ มารึเปล่าจ๊ะ”
“เปล่าหรอกค่ะแม่ ไม่ได้เจออะไรดี ๆ มา” หญิงสาวมองไปรอบตัวบ้าน เอ่ยอย่างตั้งใจจะบอกไปยังแมวบางตัว หรือจะพูดให้ถูกคือภูตินำทางบางตน “แค่เย็นนี้ไม่เจออะไรกวนใจแค่นั้นเอง”
เมี๊ยว....
เสียงร้องราวกับจะประท้วงของแมวสีขาวดังขึ้นจากบนชั้นสองบริเวณห้องนอนของคุลิกาทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง แมวสีขาวกำลังตะปบหน้าต่างกระจกอย่างจะบอกให้รู้ว่าได้ยินสิ่งที่เธอพูด
หายไปครึ่งค่อนวัน ก็นึกว่าจะไปแล้วไปลับซะแล้ว ยังอยู่อีกเหรอยะ
เมี๊ยว...
คราวนี้เสียงของแมวน้อยเหมือนจะบอกว่า ก็ต้องอยู่สิ
หญิงสาวได้แกล้งยั่วประสาทภูตินำทางที่ปกติคอยแต่จะกวนใจเธอแล้วยิ่งอารมณ์ดี ก้าวเข้าบ้านได้ชวนมารดาพูดคุยอยู่พักใหญ่ก่อนจะแตะจมูกลงบนแก้มของจิตราเอ่ยขอตัวขึ้นห้องอาบน้ำนอนพักผ่อน
คุลิกาถึงกับหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเด็กหญิงนั่งกอดอกหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงนอน
“หายไปดินแดนเวทมนต์ครึ่งวัน แค่นี้ก็ต้องมาประชดกันด้วย คิดถึงใช่มั้ยล่ะ”
“โอ๊ย...เงียบสงบมาตลอดบ่าย ไม่คิดถึงหรอก” หญิงสาวโต้แล้วนึกอะไรขึ้นได้ ทำตาโตก่อนขยับเข้าไปหาคิตตี้ “ว่าแต่ที่ว่าไปดินแดนเวทมนต์ไปทำอะไรมา มีความคืบหน้าอะไรจากทางนั้นรึเปล่า”
“ก็โดนสมาคมภูติเรียกไปเตือน ว่าต้องเร่งให้พี่ฝึกควบคุมเวทมนต์ของตัวเองให้ได้ เพราะถ้าคิดแต่จะใช้ในสถานการณ์คับขัน บางทีพี่อาจจะไม่รอดก็ได้...โดนพวกเวทมืดจัดหนักเข้าล่ะก็ตายหยั่งเขียดแน่ ๆ ”
“นี่...สมาคมอะไรของเธอน่ะ คงไม่ได้ใช้คำพูดแบบนี้หรอกใช่มั้ย”
“แหม...ก็ต้องให้มันออกอรรถรสหน่อยสิ เล่าให้ฟังเรียบ ๆ จะไปสนุกอะไร” คิตตี้กระโดดลงจากเตียงก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “เอาล่ะ ไปอาบน้ำแล้วมาฝึกใช้เวทมนต์ได้แล้ว”
“กล้าสั่งเหรอ”
“แล้วถ้าไม่กล้าจะสั่งมั้ยล่ะพี่ก็” เด็กหญิงย้อนแล้วรีบกระโดดถอยหลังเมื่อคุลิกาทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ “อ๊ะ ๆ อย่านะ ทำร้ายภูตินำทางแล้วใครจะคอยช่วยฝึกให้ล่ะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะยายตัวดี”
คุลิกาคาดโทษ หากคิตตี้ทำลอยหน้าเหมือนไม่เกรงกลัว คนที่ควรจะเป็นเจ้านายจึงได้แต่ถอนฉุน เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำอาบท่าเพื่อรับการฝึกจากภูตินำทางจอมป่วน
หญิงสาวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสื้อกางเกงตัวเก่ง ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเรือนผมจนหมาดก่อนจะแขวนผ้าเช็ดตัวไว้กับราวตากแล้วหันไปหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำ
แกร่ก ๆ ๆ
เสียงลูกบิดหมุนค้างไปมาดังขึ้น หากเธอไม่สามารถผลักบานประตูห้องน้ำออกไปได้
เฮ้ย! ประตูห้องน้ำเสียหรือไงเนี่ย ซวยแล้วเรา
“ประตูไม่ได้เสีย”
คุลิกาหันขวับไปมองที่โถชักโครก เด็กหญิงคิตตี้กำลังนั่งเท้าค้างมองเธอตาใส
“ไม่ได้เสียยังไง ก็เปิดไม่ออกอยู่เนี่ย”
“ประตูโดนมนต์”
“มนต์!” คุลิกาทวนคำอย่างตระหนก “นี่อย่าบอกนะว่าพวกเวมมืดเล่นงานเข้าให้แล้ว”
“โดยการขังไว้ในห้องน้ำเนี่ยนะพี่สาวคนสวย” เด็กหญิงทำหน้าเอือม “นี่เป็นมนต์ที่ทางดินแดนเวทมอบให้มา เป็นการทดสอบการใช้เวทมนต์ของพี่แคทคนสวยไงคะ”
หญิงสาวมองเหมือนคิตตี้กำลังพูดเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดในโลก คราวนี้เด็กหญิงถอนใจหนักก่อนจะลุกขึ้นมายืนข้างคุลิกากอดอกลอยหน้าเอ่ยปากอธิบาย
“ปกติน่ะ ภูตินำทางไม่มีเวทมนต์หรอก แต่ชาวเวทที่เป็นนักประดิษฐ์ได้คิดค้นขวดใส่เวทมนต์ขึ้นมา ชาวเวทสามารถบรรจุเวทมนต์ง่าย ๆ ลงไปได้” คิตตี้รีบขยายความต่อทันทีเมื่อเห็นสีหน้าข้องใจของหญิงสาว “ขวดใส่เวทมนต์น่ะ มีข้อจำกัด ใส่เวทมนต์ที่มีพลังมาก ๆ ไม่ได้มันจะแตก ที่ได้มาหนนี้ เป็นเวทมนต์ที่ใช้สำหรับการขัง พอเอามาใช้กับประตู มันก็เลยเปิดไม่ออกแบบนี้แหละ”
“โอ๊ย! ยายคิตตี้ตัวแสบ แล้วจะมาขังฉันไว้ในห้องน้ำเนี่ยนะ ถ้าออกไปไม่ได้จะทำยังไง แล้วเวทมนต์น่ะฉันไม่เคยเรียนท่องเลยสักคำเดียว จะให้เปิดล็อกประตูตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
คิตตี้ส่ายหน้ากรอกตาขึ้นฟ้า
“เฮ้อ...เวทมนต์ของชาวเวทน่ะ เป็นการรวบรวมพลังความคิด ไม่ได้ต้องใช้คาถาหรอก”
“ก็จะไปรู้เหรอ เห็นในหนังต้องมีเรียนท่องคาถา มีไม้เท้านี่นา”
“บางเรื่องก็ไม่มี” เด็กหญิงโต้ทันควัน
“เคยดูด้วยเหรอ”
“แหม...จะมาเป็นภูตินำทางให้กับทายาทชาวเวทที่มีเชื้อสายมนุษย์ผสม ก็ต้องหัดเรียนรู้เรื่องมนุษย์บ้างสิคะ ไม่อย่างนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง”
คุลิกาขยับจะแย้งแล้วได้แต่ส่ายหน้า...นี่ขนาดเด็กหญิงบอกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วยังขนาดนี้ ถ้าหากคุยกันไม่รู้เรื่องเธอก็ไม่รู้ว่าจะปวดประสาทกว่านี้มากแค่ไหน
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ร่างกายที่เพิ่งจะได้รับการชำระล้างและเช็ดจนแห้งแล้วของคุลิกา ตอนนี้กลับเปียกชุ่ม ชุดนอนลายหมีชื้นไปด้วยเหงื่อ
คุลิกายกมือขึ้นหันฝ่ามือไปทางประตูห้องน้ำ
เปิดสิ เปิด ๆ ๆ ๆ
หญิงสาวก้าวไปคว้าลูกบิดประตูขยับหมุนไปมา
แกร่ก ๆ ๆ
ความพยายามครั้งล่าสุดไม่สัมฤทธิ์ผล จากที่นับจำนวนครั้งที่ตัวเองยกมือขึ้นตั้งใจคลายมนต์สะกดซึ่งขังเธอเอาไว้ในห้องน้ำ ตอนนี้เธอไม่นับแล้วว่าทำมาแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง
“มันไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จ ๆ ได้ยินมั้ยยายคิตตี้ มันเร็วเกินไปที่จะให้ฉันทำได้ในวันนี้ แล้วทำไมก่อนจะทำไม่ปรึกษากันก่อน นึกจะขังก็ขังกันไว้ในห้องน้ำแบบไม่บอกไม่กล่าวเนี่ยนะ”
“ถ้าไม่หัดแล้วจะทำได้ตอนไหนล่ะ” เด็กหญิงดูจริงจังกว่าทุกครั้ง “ยังไงก็ต้องฝึกให้สำเร็จ ควบคุมพลังเวทของตัวเองให้ได้ รอตอนคับขันถึงจะมีพลังพอที่จะร่ายมนต์ได้ มันไม่พอนะพี่แคท”
ท่าทางหนักแน่นของเด็กหญิงทำให้คุลิกาชะงักไปเล็กน้อย พยักหน้ารับในเหตุผลนั้น หันกลับไปให้ความสนใจกับประตูที่ปิดอยู่ ยกมือขึ้นแล้วนึกซ้ำไปซ้ำมาในใจ
เปิดล็อกเดี๋ยวนี้ เปิด เปิด เปิด เปิด...
ฝ่ามือของหญิงสาวเหมือนมีแสงสีมุกแว่บออกมาชั่วขณะก่อนจะมีเสียงคลิกสั้นแค่ชั่วเสี้ยววินาทีดังขึ้นจากลูกบิดประตู คุลิกาเบิกตาโพลง รีบเอื้อมมือไปคว้าลูกบิดเปิดประตูทันที หากไม่สามารถที่จะหมุนเปิดได้เช่นที่เคยทดลองมาแล้วก่อนหน้านี้
“รีบเกินไป”
“รีบอะไรกัน ก็ได้ยินอยู่ว่ามันมีเสียง”
“เวทมนต์ยังไม่แข็งแรงพอที่จะคลายมนต์สะกดที่ปิดผนึกประตูเอาไว้น่ะสิ พอได้ยินเสียงคลิกนิดเดียวก็ตื่นเต้นจนลืมไปหมดว่าต้องมีสมาธิถึงจะทำสำเร็จ” เด็กหญิงทำหน้าเหมือนหมดหวัง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนจะดูหมิ่นคนฟังเล็กน้อย “แค่เปิดประตูแค่นี้ยังไม่ไหว อย่างนี้ถ้าโดนพวกเวทมืดเล่นงานขึ้นมา ไม่ซี้แหงแก๋เหรอเนี่ย”
หนอย...ดูถูกนักใช่มั้ยยายคิตตี้ คอยดูเถอะ ฉันต้องทำให้ได้
คุลิกาลองยกมือขึ้นจ่อไปที่ลูกบิดประตู
เปิดสิ เปิด....เปิดเดี๋ยวนี้
หญิงสาวเกือบจะถอดใจเมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับประตูห้องน้ำบานนั้น หากชั่วขณะที่เธอนึกภาพบานประตูที่เปิดออก แสงสีมุกเหลือบรุ้งก็ปรากฏที่ฝ่ามือ ครั้งนี้ยาวนานกระทั่งมีเสียงคลิกที่ลูกบิดประตูดังอย่างชัดเจนกว่าครั้งก่อนหน้า
คุลิกายังไม่แน่ใจนักว่าตนทำสำเร็จจึงได้แต่ยืนนิ่งมือที่ยกขึ้นจ่อไปที่ประตูยังค้างอยู่ในท่าเดิมแม้ว่าแสงสีมุกเหลืองรุ้งนั้นจะหายวับจากฝ่ามือของตนไปแล้ว
“จะนอนในห้องน้ำเหรอคะ คุณพี่แคทเจ้าขา”
“สำเร็จ...นี่ฉันทำสำเร็จแล้วใช่มั้ยคิตตี้”
แทนคำตอบ คิตตี้เดินไปหมุนลูกบิดดึงเปิดประตูห้องน้ำ แล้วหันกลับมามอง...คุลิกาอยากจะแน่ใจว่าตัวเองตาไม่ฝาด เด็กหญิงตัวแสบกำลังยิ้มให้เธอด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
สามวันหลังจากที่ปพนธีร์ได้พบกับลัลน์ลลิต หญิงสาวที่อ้างว่าเป็นญาติกับนายจ้างของหญิงชราที่เขาขับรถเฉี่ยวชน เขาได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาวเพื่อแจ้งว่าจะพาหญิงชรากลับไปรักษาตัวที่บ้าน ชายหนุ่มซึ่งรับผิดชอบเป็นเจ้าของไข้จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย
เมื่อเดินทางไปถึงปพนธีร์พบลัลน์ลลิตที่นั่งรออยู่บนเตียงเก้าอี้นวมภายในห้องพักผู้ป่วย ส่วนหญิงชรานั้นนั่งอยู่บนรถเข็น แม้สภาพร่างกายจะเป็นปกติดีแต่ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อเขายกมือไหว้และกล่าวคำทักทายแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองจากร่างบนรถเข็น ครั้นเมื่อหันไปมองหญิงสาวอย่างจะถามไถ่ความจริง ก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าและแววตาที่ดูสลดลงเล็กน้อย
“คุณยายแก้วไม่พูดค่ะ หมอเองก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม แต่หมอเห็นว่าอาการอย่างอื่นดีขึ้นแล้ว กลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ ที่บ้านคุณลุงงานยุ่งกัน ฉันทำร้านพอจะให้ลูกจ้างดูแลเจียดเวลามารับได้เลยอาสา”
“ท่ามีค่ารักษาอย่างอื่นเพิ่มเติมจากนี้...”
“คงไม่ต้องรบกวนคุณป๊อบแล้วล่ะค่ะ คุณป๊อบก็รับผิดชอบตามสมควรแล้วนะคะ ต่อไปทางเราดูแลกันเองค่ะ จะว่าไปที่บ้านฉันก็มีส่วนผิดที่ปล่อยปละละเลยจนท่านหนีออกมาประสบอุบัติเหตุแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมขับรถไปส่งคุณยายแก้วกับคุณลันที่บ้านดีมั้ยครับ”
“ลันขับรถมาค่ะ ถ้าให้คุณป๊อบไปส่งเดี๋ยวก็ต้องลำบากคุณป๊อบกลับมาส่งที่โรงพยาบาลอยู่ดี เอาเป็นว่าเราแยกกันที่นี่ก็ได้นะคะ ลันขอบคุณคุณป๊อบจริง ๆ ที่ช่วยเหลือคุณยายเอาไว้”
“มันเป็นความรับผิดชอบของผมนี่ครับ”
ลัลน์ลลิตคลี่ยิ้มบาง ปพนธีร์เห็นประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้นแล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากขณะที่ตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาวราวกับถูกมนต์สะกด
“ถ้าเย็นนี้คุณลันว่าง...ผมขอเชิญทานข้าวเย็นสักมื้อนะครับ”
“ค่ะ...ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เอาไว้ลันจัดการคุณยายแก้ว...เอ่อ...ลันหมายถึงจัดการธุระเรื่องคุณยายแก้วเสร็จแล้ว ลันจะโทร.หานะคะ เอาไว้ค่อยตกลงกันเรื่องสถานที่อีกที”
ปพนธีร์พยักหน้ารับคำพอดีกับที่มีบุรุษพยาบาลมาแสดงตัวเพื่อเข็นรถของหญิงชรา หญิงสาวขยับเดินตามพลางหันมาส่งยิ้มให้ ชายหนุ่มก้าวเท้าตามเธอไปรู้สึกเหมือนกับร่างกายเบาอย่างประหลาด
เขาเดินตามส่งลัลน์ลลิตและหญิงชราจนถึงรถตู้สีเงินที่มาจอดเทียบรอที่จุดเชื่อมระหว่างอาคารผู้ป่วยและอาคารจอดรถ คนขับรถซึ่งเป็นชายวัยกลางคนกดเปิดประตูอัตโนมัติแล้วเดินลงมายืนสังเกตการณ์ระหว่างที่บุรุษพยาบาลประคองร่างของหญิงชราเข้าไปภายในห้องโดยสาร บุรุษพยาบาลเหมือนจะเหลือบมองคนขับรถด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง หากชายหนุ่มที่จับตามองแต่เพียงหญิงสาวตรงหน้าดูจะไม่ได้สังเกตเห็น
“ลันขอตัวนะคะคุณป๊อบ หวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันอีก”
“แน่นอนครับคุณลัน”
ลัลน์ลลิตส่งยิ้มอ่อนหวานให้ก่อนจะก้าวขึ้นนั่งเคียงข้างหญิงชรา หันไปพยักหน้าให้กับคนขับรถ หนุ่มใหญ่เอ่ยรับคำก่อนจะเดินกลับขึ้นไปประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัย ประตูข้างอัตโนมัติค่อยเลื่อนปิด ก่อนที่รถตู้สีเงินจะเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งให้ปพนธีร์ยืนมองตามอยู่ครู่ใหญ่
เมื่อพาหนะคันนั้นลับจากสายตา ปพนธีร์ก็สะบัดหน้าอย่างคนที่เหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์บางอย่าง เขามองไปรอบบริเวณแล้วค่อยนึกได้ว่าตนมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยเหตุผลใดและได้พบใครก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตัดใจเดินกลับไปที่รถยนต์คู่ใจของตนเอง หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเหตุการณ์ในช่วงเวลานับตั้งแต่เขามาเจอกับลัลน์ลลิตนั้นเหมือนเขาจะไม่ค่อยรู้สึกตัวคล้ายกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงความฝัน
ในห้องโดยสารของพาหนะหรู คนขับรถวัยกลางคนละสายตาจากถนนมอง ‘นาย’ ผ่านกระจกมองหลัง ภาพสะท้อนของหนุ่มใหญ่บนกระจกบานเดียวกันนั้นเผยให้เห็นรอยแผลจากการถูกกรีด ยาวจากกลางหน้าผากตัดผ่านดวงตาข้างซ้ายมาจนถึงช่วงกลางของแก้ม ดวงตาข้างนั้นมีสีขาวมัว
“นายหญิง...เราจะทำยังไงกับร่างนี้ดีขอรับ”
‘นายหญิง’ เชิดหน้าเหลือบมองร่างของหญิงชราข้างตัวแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“มนต์สลับร่างนี้ข้าเรียนมาจากพวกมนุษย์ พวกมนุษย์ที่ฝึกมนต์ดำบอกข้าว่าการสลับร่างจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผ่านเวลา 100 วันไปแล้ว...ยังไงก็ต้องเก็บร่างนี้ไว้ก่อน ครอบครัวนี้มีโกดังร้างอยู่ย่านชานเมือง เจ้าขับรถพาข้าไปที่นั่นก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
หนุ่มใหญ่มองร่างที่แท้จริงของนายหญิงที่ตนมองเห็นผ่านกระจกอีกครั้ง ร่างนั้นคือหญิงวัยกลางคน อายุราวห้าสิบปี โคนผมมีหงอกแซมเกือบทั้งศีรษะ ดวงตาคมนั้นดุดันเอาจริงเอาจัง จมูกยาวงุ้มงอ หญิงกลางคนแสยะยิ้มให้กับผู้ที่นั่งอยู่เคียงข้าง
เจ้าของใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นและดวงตาข้างซ้ายสีขุ่นต้องละสายตาจากกระจกมองหลังเมื่อนายหญิงของเขาเหมือนจะรับรู้ว่าถูกจับตามองอยู่ มือย่นเอื้อมไปจับกระจกมองหลัง เสขยับมันเล็กน้อยก่อนที่จะมองไปยังใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้วย
ในสายตาคนอื่นอาจมองเห็นว่าใครคนนั้นคือหญิงชรา หากสายตาของเขากลับมองเห็นเป็นหญิงสาวที่กำลังมองผ่านกระจกมองหลังมาด้วยสายตาวิงวอนและสีหน้า แววตานั้นก็ทำให้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยต้องเบือนหน้าหนี หันไปให้ความสนใจกับการนำพาหนะคันหรูแล่นไปตามท้องถนนแทน
พาหนะสีเงินขับไปถามถนนที่รถราวิ่งขวักไขว่เรื่อยไปกระทั่งออกสู่บริเวณชานเมือง ยวดยานบนท้องถนนเริ่มบางตาลงทุกขณะกระทั่งรถยนต์สีเงินแล่นเข้าสู่ถนนสายที่นำไปสู่โกดังรกร้าง
หญิงชราที่นั่งอยู่รถยนต์เริ่มส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ราวกับว่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปาก ขณะหันไปมองร่างของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาคู่นั้นมีแววระคนระหว่างตื่นตระหนกและไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ใบหน้าย่นส่ายไปมาอย่างจะปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้างกันมองเธอแล้วแสยะยิ้ม ยกนิ้วชี้มือขวาขึ้นมาจนเกือบจะจรดหน้าผากเหี่ยวย่น คนที่พยายามจะส่งเสียงท้วงเงียบไปแทบจะทันที ไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้ กระทั่งเมื่อประตูอัตโนมัติของรถตู้คันงามเปิดออกก็ต้องขยับก้าวตามร่างนั้นไป
ร่าง...ร่างของเธอ
ลัลน์ลลิตก้มลงมองมือเหี่ยวย่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างของตนเองที่เดินนำไปทางประตูโกดังที่ถูกคล้องโซ่ใส่กุญแจเอาไว้แน่นหนา เพียงแค่ร่างหญิงสาวยกสองมือขึ้นระดับอกหันฝ่ามือไปทางประตูโกดังแล้วค่อย ๆ เลื่อนมือทั้งสองข้างออกจากกัน โซ่ที่คล้องอยู่ก็ขาด เสียงโลหะกระทบกับพื้นดังลั่น และสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์น่าหวาดหวั่นมาตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมาอย่างลัลน์ลลิตด้วยแล้ว เสียงนั้นราวกับจะบ่งบอกว่าตนกำลังจะประสบชะตากรรมร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หญิงสาวนึกทบทวนเหตุการณ์หลังจากวันที่เกิดเหตุไฟดับภายในลิฟท์ ความฝันประหลาด ก่อนที่ตนจะตื่นขึ้นมาภายในห้องพักของโรงพยาบาล พบเห็นร่างของตนเองขณะที่พูดคุยกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง และรับรู้สภาพว่าตนกำลังอยู่ในร่างของหญิงชรา หากเมื่อพยายามจะขยับเอ่ยปากพูดอะไรก็ไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับถูกอำนาจลึกลับบางอย่างปิดปากเอาไว้ กระทั่งเมื่อนั่งมาภายในห้องโดยสารของรถตู้สีเงิน เธอจึงค่อยขยับอ้าปากได้แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้
‘ร่างของเธอ’ โบกมือไปรอบโกดังร้าง หยากไย่ที่เกาะอยู่ตามผนังและเพดานก็หายวับไปกับตา สภาพโครงสร้างและสีคร่ำคร่ากลับดูเหมือนใหม่ บนพื้นกลางโกดังปรากฏแท่นปูด้วยผ้าสีขาว และเมื่อลัลน์ลลิตมองเห็นว่าร่างของเธอเองยกมือขึ้นแล้วหมุนนิ้วมือไล่จากนิ้วก้อยไปจนถึงนิ้วชี้ เธอก็รู้สึกเพียงว่าร่างชราที่ตนอาศัยอยู่นั้นค่อยขยับเดินไปนั่งที่แท่น
นี่มันเรื่องอะไรกัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครที่อยู่ในร่างของฉัน เอาร่างของฉันคืนมานะ นางบ้า!!!
‘นางบ้า’ หันขวับมามองจ้องเธอด้วยสายตาดุดัน เป็นครั้งแรกที่ลัลน์ลลิตได้เห็นตัวตนจริงที่อยู่ในร่างของเธอ หญิงวัยกลางคนหน้าตาหน้ากลัว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทำท่าเหมือนกำลังบีบอะไรบางอย่าง
สิ่งที่บีบนั้นคือลำคอของร่างที่ลัลน์ลลิตอาศัยอยู่ เธอต้องยกมือขึ้นกำลำคอเหี่ยวย่นนั้นเมื่อรู้สึกว่าตนกำลังหายใจไม่ออก ชายเพียงคนเดียวในที่นั้นขยับเข้ามายืนอยู่ระหว่างทั้งสองเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
“นายหญิงราตรีขอรับ หากเจ้าของร่างมีอันเป็นไปก่อนครบกำหนด 100 วัน การสลับร่างกันก็จะไม่เป็นผลนะขอรับ”
หญิงวัยกลางคนค่อยคลายจากอารมณ์โกรธเกรี้ยวมือที่ทำท่าบีบเหมือนคีมนั้นค่อยคลายออก ลัลน์ลลิตได้ยินเสียงตนกระแอมหากเสียงนั้นแหบพร่าเหมือนเสียงของหญิงชรา
“ถือว่าเจ้ายังโชคดีที่ข้าต้องรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ เวทมนต์ของพวกมนุษย์นี่มีกฎเกณฑ์ยุ่งยากเหลือเกิน หากพวกชาวเวทเรียนรู้ที่จะใช้มนต์ที่มีข้าคงไม่ต้องรอถึง 100 วันกว่าที่ร่างของเจ้าจะเป็นของข้าโดยสมบูรณ์”
ราตรี...เวทนรีมืด ยิ้มเมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกจากหญิงชรา ร่างที่เธอทนอยู่มานานกว่าจะได้ร่างที่เหมาะสมกับการที่จะได้ครอบครองหัวใจและสืบทายาทกับดารุทัย เปิดผนึกที่กั้นเธอกับเพื่อนพ้องชาวเวทมืดมานานแสนนาน
“เจ้าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์สมบัติจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าเจ้าคบหาผู้ชายมามากหน้าจนอาจจะทำให้ครอบครัวของดารุทัยไม่ชอบใจนัก...แต่ข้าว่าข้าจัดการเรื่องนั้นได้ ตอนนี้เจ้าทำใจให้สบายก็แล้วกัน ตอนนี้ข้ายังไม่กำจัดเจ้าแน่...เมื่อไหร่ที่ครบกำหนด 100 วัน ข้าจะดูอีกทีว่าจะปล่อยให้เจ้าตายอยู่กับร่างที่ใกล้หมดอายุขัยนี่ หรือว่าปล่อยให้เจ้าไปสบายไม่ต้องทรมานอีกต่อไป”
เสียงครวญครางโหยหวนดังไม่ได้ศัพท์ออกจากลำคอของหญิงชรา ดวงตามีแววหวาดหวั่นอย่างหนัก
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงคนในครอบครัวเจ้าหรอก เพียงแค่ต้องมนต์สะกดของข้าก็ไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว เมื่อสถานะของข้าไม่เป็นที่สงสัยก็ไม่มีใครเป็นอันตรายทั้งสิ้น...จนวันที่ข้ามีทายาทกับดารุทัย เมื่อนั้นที่ชาวเวทมืดจะได้รวมตัวกันอีกครั้ง ครอบครองดินแดนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยพวกอ่อนแออย่างเจ้า”
ราตรีหัวเราะอย่างสมใจก่อนหันไปเอ่ยกับคนขับรถหนุ่มใหญ่
“ดูแลนางให้ดี อย่าให้เป็นอะไรไปโดยเด็ดขาด”
เวทนรีมืดที่อยู่ในร่างอวบอิ่มของหญิงสาวเดินกรีดกรายไปที่หน้าประตูโกดัง เมื่อพ้นจากประตูไปบานเหล็กก็เลื่อนปิดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาดึง
กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มิ.ย. 2557, 21:55:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มิ.ย. 2557, 21:55:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 2737
<< ตอนที่ 6 | ตอนที่ 8 >> |
กมลภัทร 30 มิ.ย. 2557, 21:58:58 น.
คำมั่นสัญญา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จะโพสต์เรื่องนี้อาทิตย์ละหนึ่งตอนครับ ขออภัยผู้อ่านด้วยนะครับ ที่ผ่านมาเหลวไหลมากจริง ๆ ^_^
yimyum >>>> ขอคำถามใหม่ได้มั้ยครับ ลืม 555
lovemuay >>>> ก็ต้องลึกลับกันนิดนึงนะครับ
Zephyr >>>> 555 ตอนนี้จะเคลียร์เรื่องหญิงแก่ กับลัลน์ลลิตครับ แต่อ่านแล้ว...งงมั้ย ขอคำชี้แนะด้วยครับ
Sukhumvit66 >>>> ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
นักอ่านเหนียวหนึบ >>>> ลองเดาเล่น ๆ นะครับ ว่าใครกันแน่ที่เป็นพระเอกตัวจริง (ไม่ใช่โฆษณา AJ นะ 555)
คำมั่นสัญญา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จะโพสต์เรื่องนี้อาทิตย์ละหนึ่งตอนครับ ขออภัยผู้อ่านด้วยนะครับ ที่ผ่านมาเหลวไหลมากจริง ๆ ^_^
yimyum >>>> ขอคำถามใหม่ได้มั้ยครับ ลืม 555
lovemuay >>>> ก็ต้องลึกลับกันนิดนึงนะครับ
Zephyr >>>> 555 ตอนนี้จะเคลียร์เรื่องหญิงแก่ กับลัลน์ลลิตครับ แต่อ่านแล้ว...งงมั้ย ขอคำชี้แนะด้วยครับ
Sukhumvit66 >>>> ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
นักอ่านเหนียวหนึบ >>>> ลองเดาเล่น ๆ นะครับ ว่าใครกันแน่ที่เป็นพระเอกตัวจริง (ไม่ใช่โฆษณา AJ นะ 555)
yimyum 30 มิ.ย. 2557, 22:52:26 น.
อ้าว ซะงั้น --" 555
คำถามตอนที่แล้วนะคะ 'ใช้อะไรหาเอ่ย?? หรือพี่เขาบอกแล้วเรามองไม่เห็นเอง??'
ดื่มไปแร้ววววววว!!?!
อ้าว ซะงั้น --" 555
คำถามตอนที่แล้วนะคะ 'ใช้อะไรหาเอ่ย?? หรือพี่เขาบอกแล้วเรามองไม่เห็นเอง??'
ดื่มไปแร้ววววววว!!?!
Zephyr 1 ก.ค. 2557, 00:11:59 น.
อ้อ สองคนนี้สลับร่างกันสินะ
ต้องการร่างสาวสวยทำให้ตาป็อปหลงนี่เอง
ว้าาาาา นางเอกจะสวยสู้ได้มั้ยนะ
อ้อ สองคนนี้สลับร่างกันสินะ
ต้องการร่างสาวสวยทำให้ตาป็อปหลงนี่เอง
ว้าาาาา นางเอกจะสวยสู้ได้มั้ยนะ
lovemuay 1 ก.ค. 2557, 06:51:45 น.
เสน่ห์ด้วยเวทย์มนตร์มันไม่จีรังหรอกนะ สู้เสน่ห์คุลิกาไม่ได้หรอก อิอิ
เสน่ห์ด้วยเวทย์มนตร์มันไม่จีรังหรอกนะ สู้เสน่ห์คุลิกาไม่ได้หรอก อิอิ
นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ก.ค. 2557, 01:48:17 น.
ดูจากทรงแล้ว ถ้าหนู คุคุ ชอบใคร คนนั้นมักจะไม่ใช่พระเอก
ส่วนลลิตนั้น พี่โชเฟอร์แกอาจจิเมตตามาช่วยพาหนีก็ได้นะ 555
ดูจากทรงแล้ว ถ้าหนู คุคุ ชอบใคร คนนั้นมักจะไม่ใช่พระเอก
ส่วนลลิตนั้น พี่โชเฟอร์แกอาจจิเมตตามาช่วยพาหนีก็ได้นะ 555