UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 7 : เปลี่ยนรูปแบบการก่อกวน

บทที่ 7

ร้านกาแฟขนาดเล็ก น่าอบอุ่นละแวกบ้านของรักษ์ชาติที่เธอมักนัดให้ศดาธรมารับกองพัน วันนี้ฝ่ายนั้นมาช้ากว่าที่เธอคาด เขียนจันทร์จิบกาแฟร้อนแก้วที่สองอย่างไม่เร่งรีบ ไล่มือไปบนแท็บเล็ตดูงานที่คั่งค้างไว้ สายตาคอยชำเลืองดูว่ากองพันกำลังใช้ดินสอเล่นเกมญี่ปุ่นบนหน้ากระดาษหัวคิ้วขมวดมุ่นนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

“เป็นไงครับ ได้กี่ตารางแล้ว” เขียนจันทร์นึกทึ่งกับความสามารถเด็กอายุย่างสี่ขวบที่เล่นซูโดกุได้ ถึงจะยังเป็นระดับง่ายจนถึงระดับกลาง และใช้ตัวเลขเพียงเก้าตัวคือหนึ่งถึงเก้าไม่ใช่เรียงซ้ำกันในแถวเดียวกัน แต่มันก็ยังยาก และต้องใช้ทักษะด้านการมอง ไหนจะยังด้านการบวกลบเลขยามต้องเติมเลขที่ขาด ซึ่งเด็กชายกองพันทำได้ดี หรือจะเลือกการอ่านหนังสือ กองพันอ่านได้คล่องปาก เพราะก่อนหน้านั้นกองพันก็ท่องอักษรไทยได้ครบสี่สิบสี่ตัวอยู่ก่อนแล้ว

“สี่ครับ”

“พอก่อนดีกว่านะครับ คิดจนหน้ายุ่งแล้ว” เขียนจันทร์ปลอบเด็กชายที่ทำหน้ายับยุ่งให้ผ่อนคลายขึ้น กองพันปิดหน้าสนุกอย่างว่าง่าย “กินเค้กต่อดีกว่า ยังไม่หมดเลยครับ”

“พ่อขุน อาวาด”

เขียนจันทร์หันมองตาม พบภาพชายหนุ่มหญิงสาวเกี่ยวแขนกันเดินเข้ามาภายในร้าน วาดตะวันพี่สาวที่เธอไม่พบนานถึงหนึ่งปีมีแต่สวยยิ่งขึ้น ร่างสะโอดสะองในชุดเดรสสีแดงเพลิงสุดมั่นอวดวงแขนขาว เครื่องหน้าครบครันสวยสะดุดแก่ผู้พบเห็นแต่แรกเจอยิ้มทักทายเด็กชายตัวน้อยบนเก้าอี้ด้วยการยกมือห้านิ้วกลางอากาศ และกองพันก็ยกมือเล็กไม่ถึงครึ่งฝ่ามือผู้ใหญ่ไปวางแปะเป็นการทักทาย

โต๊ะตัวเล็กที่ติดกระจกร้านเป็นแนวยาวซึ่งเป็นที่ประจำของเธอมาร่วมสองสัปดาห์นั้น บัดนี้มีแขกสองคนตัวโตมาร่วมแบ่งพื้นที่ วาดตะวันนั่งถัดจากน้องสาว และกองพันที่ย้ายก้นไปนั่งแปะยังเก้าอี้ข้างรักษ์ชาติ

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะพี่วาด”

วาดตะวันมองค้อน แต่ก็ยังเชิดคอขณะตอบ “พี่กลับมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว ไปเยี่ยมหม่อมยายมา ถามหาเธอที่บ้านก็บอกว่าไปทำงานที่บริษัท จะไปเจอกันได้ยังไง วันนี้ขุนมาหาพี่พอดี บอกว่าจะเจอเธอได้ที่นี่ก็เลยมา”

“ขอโทษนะคะที่ไม่ได้ติดต่อพี่วาดเท่าไหร่”

“แต่มีเวลาเลี้ยงลูกคนอื่นเนี่ยนะ” วาดตะวันเห็นน้องสาวหน้าเสียพอให้แกล้งสนุกจึงเข้าเรื่อง “พี่จะมาถามเรื่องแม่ ช่วงนี้เห็นบอกว่ามีเสี่ยมาติดจริงหรือเปล่า”

“รู้มาจากใครคะ” เขียนจันทร์ใช้สายตามองไปยังคนตัวโตที่ถัดจากพี่สาว เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเธอนอกจากแย่งเค้กในจานลูกชายตักเข้าปากตัวเอง เธอจึงต้องหันมาเผชิญกับพี่สาวต่อ

“จากใครไม่สำคัญ สรุปว่าจริง เสี่ยนั่นไว้ใจได้แค่ไหน เลวมากใช่ไหม”

ท่าทางร้อนใจ และการลงน้ำเสียงจำกัดความเสี่ยหลงบอกได้อย่างดีว่าวาดตะวันไม่ได้รู้จักเสี่ยหลงแค่พอผิวเผิน อาจจะรู้เท่าๆ กับที่เธอรู้ บางทีอาจจะมากกว่า ก็ข้างกายวาดตะวันมีเจ้าพ่อเส้นสายข่าววงในอยู่ข้างๆ

“เขียนยังไม่เคยเจอเขาค่ะ แต่ว่าเดี๋ยวอีกสักพักก็น่าจะได้เจอ เขียนเองก็ไม่สนับสนุนหรอกค่ะ ผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแบบนี้” ที่คนกาแฟหมุนวนในแก้วกระเบื้องใบเล็ก คนพูดไม่แสดงความรู้สึกทางสายตาให้ใครได้เห็น

“เรื่องพ่อกับแม่จะคืนดีกันไหมไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำหรับพี่แค่ไม่มีคนแย่ๆ มาวุ่นวายในชีวิตแม่ก่อนน่าจะดีกว่า”

‘เรื่องไม่สำคัญ’ ของวาดตะวันกรีดใจคนฟังให้ขาดวิ่นได้ เขียนจันทร์กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือน แต่ก็ไม่ช่วยบรรเทาความเศร้าในอกได้เลย คงมีแค่เธอที่พยายามฝันเรื่องพ่อแม่คืนดีกันไปคนเดียว และมันก็ไม่ใกล้กับความสำเร็จ ยังมีตัวแปรอื่นมาทำให้เรื่องมันแปรปรวนยิ่งขึ้น

“เขียนจะช่วยแม่ระวังให้ดีไหมคะ”

“มันไม่พอ ไม่ใช่เธอระวังให้ไปมาจะกลายเป็นเป้าหมายของเสี่ยบ้านั่นไปอีกคน” วาดตะวันที่เชี่ยวชาญด้านการอ่านคนนั้นเถียงทันควัน “เอาอย่างนี้พี่จะปล่อยข่าวว่าพี่ขุนคบอยู่กับพี่ พี่ขุนเขาอยู่คนละข้างกับเสี่ยนั่น ถ้าเราประกาศชัดแบบนี้เดี๋ยวเสี่ยแกก็ถอยไปเอง”

“ทำไมต้องปล่อยข่าวคะ คบกันจริงๆ ก็สิ้นเรื่อง เขียนว่าพี่วาดกับคุณขุนก็เหมาะสมกันดี ไว้เรื่องหม่อมยายไม่เห็นด้วยยังไงเขียนช่วยอีกแรงได้ ถ้าคุณขุนเขามีอิทธิพลพอสู้กับเสี่ยเขาได้จริง แม่เราจะได้เลิกกลัว”

คนทานเค้กเงยหน้าขึ้นจากจานเค้ก ดวงตาหงุดหงิดกับการถูกยกเข้าไปยุ่งในบทสนทนาที่ตนยังไม่ตอบรับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะเวลาที่เขียนจันทร์บรรยายออกมาเป็นฉากๆ นั้นมันทำให้เขารู้สึกอยากดัดหลังเจ้าหล่อน

“เธอยังคบเด็กหน้าอ่อนนั่นอยู่ไม่ใช่เหรอวาด”

“กำลังเบื่อๆ หาทางชิ่งอยู่” วาดตะวันลอยหน้าลอยตาตอบ “ถ้าเราคบกันเล่นๆ...”

“เงื่อนที่เธอผูกเองก็ควรแก้เอง อย่าเอาพี่ไปยุ่ง” รักษ์ชาติตอบเสียงดุ แววตาเอาจริงนั้นทำให้คนที่ชอบทำอะไรเล่นๆ ไม่จริงจังกับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนบ่อยต้องหุบปากสนิท วาดตะวันใช้ศอกกระทุ้งเขียนจันทร์ให้เปิดบทสนทนาใหม่ไม่ให้บรรยากาศมาคุ

เขียนจันทร์เห็นแววตาไม่พอใจของรักษ์ชาติก็เข้าใจว่าฝ่ายนั้นย่อมไม่พอใจ เพราะเขาจริงใจกับพี่สาวเธอมาตลอด ปุบปับจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการให้คบไปเพื่อประโยชน์หลายๆ อย่างอีก นั่นอาจจะใจร้ายกับรักษ์ชาติเกินไป

“ไว้เขียนหาทางเอง พี่วาดไม่ต้องห่วงค่ะ”

...งานนี้เธอพอคิดทางแก้ไว้บ้างแล้วเช่นกัน

เขียนจันทร์มองฟ้าเบื้องนอกที่ระบายด้วยสีกำมะหยี่เข้ม จากท้องถนนบ้านของรักษ์ชาติซึ่งห่างจากทางไปบ้านเธอคนละมุมเมืองในวันธรรมดาแบบนี้ รถคงติดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นี่ก็ราวๆ สองทุ่มกว่า เวลาอันตรายได้เคลื่อนผ่านไปบ้างแล้ว

“เขียนกลับก่อนดีกว่านะคะ”

“มือเธอหายหรือยัง” รักษ์ชาติถือวิสาสะตอนที่เธอเดินผ่านดึงมือข้างซ้ายที่เขาเคยบีบข้อมือเธอแน่นขึ้นดูอย่างเบามือ สำรวจข้อมือที่กลับมาขาวเนียน ไม่มีรอยแดง หรือใส่ปลอกแขนไว้ แม้อีกฝ่ายจะรีบดึงกลับไปข้างตัว พลางมองไปยังวาดตะวันด้วยสายตากังวล

วาดตะวันเลิกคิ้วเรียวขึ้นด้วยความประหลาดใจ มองอาการของเขียนจันทร์สลับกับรักษ์ชาติ อดออกปากเย้าทั้งที่ใจไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด

“แกล้งให้ฉันหึงเหรอพี่ขุน”

“แล้วหึงไหมล่ะ”

น้ำเสียงทอดนุ่มอย่างอ่อนโยนประดับรอยยิ้มละมุนอย่างกับคู่รักถามไถ่กันข้างๆ หูทำให้เขียนจันทร์รู้สึกตัวเองเป็นคนนอก หญิงสาวเลือกโบกมือลากองพันที่มองผู้ใหญ่เจรจาเรื่องน่าปวดหัวอยู่นานยิ้มออกจึงเอื้อมหน้ามาหอมแก้มของอาสาวลาทั้งสองข้างอย่างที่ทำมาตลอดช่วงนี้

เขียนจันทร์หอมแก้มนุ่มน่าฟัดของกองพันสองข้างกลับอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเดินออกไป ไม่แม้แต่หันมามองใบหน้าบึ้งตึงของรักษ์ชาติที่รอยยิ้มยั่วประสาทเมื่อครู่หายไป แผ่ไอยะเยือกน่ากลัวมาแทนที่

“โกรธอะไรคะพี่ขุน หรือหึงเด็ก”

“บ้าหรือไง” รักษ์ชาติบอกปัด

“เคืองที่ถูกเมิน ไม่เหลือบมามองเลยสักกะติ๊ด” วาดตะวันยกมือปิดปากตาโต แกล้งออกอาการกลัวต่อสายตาคมดุจัดของรักษ์ชาติ “ขอโทษที่พูดความจริง”

“ความจริงอะไร” โดนวาดตะวันไล่ต้อนเข้า รักษ์ชาติก็เริ่มรวน ข้อเสียของการที่เขาแสดงออกทุกอย่างให้วาดตะวันรู้มาแต่เด็ก จึงไม่เคยเลยที่วาดตะวันจะไม่รู้ว่าเขานั้นคิดหรือรู้สึกอะไร

นางแบบสาวยิ้มอมภูมิ ยื่นนิ้วชี้มาจิ้มๆ กัน พลางทำเสียงติ้กต้อกของนาฬิกา ส่ายหัวไปมาคล้ายลูกตุ้มที่เหวี่ยงเบาๆ ท่าทางอย่างคนรู้ทุกอย่างของวาดตะวันมันขัดตา และเหวี่ยงอารมณ์รักษ์ชาติให้อยากระเบิดสักครั้ง

“เลิกกวนประสาทพี่ได้แล้ววาด ถึงตอนนี้ให้พี่บอกว่าไม่เสียดายเธอที่เธอทิ้งพี่ไป เธอจะเชื่อไหม”

น้ำเสียงแหลมสูงอุทานให้ดังลั่นอย่างจงใจ ยกมือซับน้ำตามโนว่ามีอย่างมาดคนถูกทำร้ายจิตใจ “ใช่สิ มีใหม่ลืมเก่า ไม่สิฉันเรียกไม่ถูก” วาดตะวันนิ่วหน้าแก้คำ แต่ยิ่งไปขัดหูรักษ์ชาติมากขึ้น “มีอยู่กับตัวนานแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึก ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ไม่ใช่ไม่มีความรู้สึก”

รักษ์ชาติขี้เกียจถูกสายตามองทะลุความคิดทุกอย่างของเขาออก จึงอุ้มกองพันหนีออกมา มีน้ำเสียงหัวเราะสะใจไล่หลัง ยิ่งได้ฟังรักษ์ชาติยิ่งหงุดหงิด อยากจับคนที่เขาเฝ้ารักเฝ้าดูแลมานานอย่างวาดตะวันตีก้นให้หายเคือง พอเขามานั่งอยู่ในรถ สิ่งแรกที่เขาทำโดยไม่รู้ตัวก็คือจับหน้าลูกชายแก้มยุ้ยมาเต็มมือ แล้วฟัดจมูกลงไปบนแก้มสองข้าง เงยขึ้นมาพลางทำหน้าบู้ พอๆ กับที่กองพันร้องยี้ ส่ายหน้าหนี

“ไม่เห็นจะน่าหอมตรงไหนเลย” คนบอกไม่น่าหอมเผลอแอบยิ้มโดยไม่รู้ตัว แต่เมินหน้าไปทางอื่นไม่ให้เด็กชายกองพันที่กำลังยกมือปัดแก้มตัวเองไปมาอยู่นั้นได้เห็น

“สองข้างนี้ขุนให้อาเขียนคนเดียว” เด็กชายบ่น ปากยื่น ผสานสายตาที่หันขวับมามองวาววับของบิดาก็จ้องกลับอย่างท้าทาย “อาเขียนทำทุกวัน ขุนให้อาเขียนจุ๊บได้คนเดียว”

คนเป็นพ่อจับแก้มลูกบิดไปมาพร้อมกับบ่น “ไอ้เด็กขี้งก!” แล้วก็ก้มหน้ามาสูดกลิ่นหอมอ่อนของลิปสติกสีหวานที่ยังทิ้งรอยจางๆ ไว้บนแก้มนิ่ม รักษ์ชาติไม่สนเสียงโวยวายของลูกชาย

...รู้แค่ว่าทำแบบนี้แล้วอารมณ์หงุดหงิดมันค่อยๆ หายไปเอง


รักษ์ชาติทำตัวแปลก

เขียนจันทร์คิดกับตัวเอง และพยายามสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของคู่กัดคู่เกลียดของเธอนั้นก็พบว่าฝ่ายนั้นไม่ตอแยกับการที่เธอหลบเลี่ยงการพบหน้าเขา ไม่หาเรื่องมาทะเลาะก่อน จากนี้เธอก็คงไม่ต้องมารู้สึกชินชากับการกระทำไม่รักษาน้ำใจคนอื่นของเขาอีก

แต่พอรู้ว่าจะไม่เจอการกระทำโรคจิตของอีกฝ่ายตลอดไปแล้วมันรู้สึก...เหมือนบางสิ่งขาดหาย

เวลาเธอกลับจากต่างประเทศก่อนในช่วงสามปีที่เขาจะไปวุ่นวายกับธุรกิจสถานบันเทิง สมัยที่เขายังเป็นทหาร เธอกลับบ้านมาราวเดือนหนึ่งนั้น จะต้องพบเขามากกว่าสิบวัน จะมีคนมาเหน็บแนม หาเรื่องทะเลาะไม่เว้น เขาจะมาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘วาดอยู่ไหน’ พอไม่เจอแทนที่จะตามหา กลับปักหลักก่อกวนเธอแทน

วันที่เธอกลับมาไม่รู้ทำไมต้องเป็นช่วงที่รักษ์ชาติได้หยุดพักช่วงปิดเทอมพอดี เวลาปิดเทอมของโรงเรียนนายร้อยเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่เธอก็จะต้องกลับมาช่วงนั้นเสมอ กลับมาเธอก็เหมือนต้องฝึกร่างกายไว้ออกรบสงครามน้ำลายกับรักษ์ชาติเสมอ ทะเลาะทั้งที่รู้ว่าเขาคือลูกเจ้านายพ่อ

บางทีจากนี้หากเธอไม่ได้ยินสิ่งเลวร้ายที่เขาจะพ่นออกมาจากปาก ไม่ต้องเตรียมร่างกายไว้ให้เขาหักกระดูก สุขภาพกายสุขภาพจิตเธออาจจะดีขึ้น

หญิงสาวโคลงศีรษะ พยายามไล่ความคิดที่มีแต่รักษ์ชาติออกไปจากหัวเมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้าน รถแปลกตาคันหนึ่งเพิ่งถอยออกมาจากในบ้าน เขียนจันทร์รีบจอดรถหลบข้างทางใต้เงาไม้บ้านข้างๆ สายตาเพ่งมองชายร่างท้วม เอวหนา คอสวมทองหนักหลายเส้น แหวนบนนิ้วห้านิ้วจากสิบนิ้วล้วนเป็นทองคำแท้ กำลังทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่คุณดาวเดือนที่ออกมาส่ง แต่แม่ของเธอเพียงแค่ยิ้มรับตามมารยาท ยืนส่งจนรถคันนั้นแล่นจากไป เขียนจันทร์จึงพารถขับเข้าบ้านก่อนประตูจะปิดได้ทัน

ดาวเดือนมีสีหน้าตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าบุตรสาวเข้ามาในบ้านคลาดกับเสี่ยหลงไปไม่ถึงนาที เขียนจันทร์ลงจากรถ เดินแกมวิ่งมาหามารดาที่ประตูเพิ่งจะปิดด้วยรีโมท “แม่คะ เขาคือเสี่ยหลงใช่ไหม”

“เขียน แม่ว่า...”

“เขียนไม่อยากให้แม่ยุ่งกับเขา เขาไม่ใช่คนดี” เขียนจันทร์จับมือแม่ไว้ เธอรู้ว่าเรื่องของพ่อก็สร้างบาดแผลไว้ในใจแม่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ต้องการให้แม่ต้องมาเจ็บซ้ำๆ อีก “แม่ถอยออกมาได้ไหม”

“เขาอันตรายมากนะเขียน” เรื่องของเสี่ยหลงเป็นสิ่งที่ยากปฏิเสธ ฝ่ายนั้นพยายามเข้าหาว่าด้วยเรื่องธุรกิจเสมอ

“เขียนไม่กลัว ต่อให้เจอคนเลวสุดขั้วตรงหน้า ถ้าเขาพยายามมาวุ่นวายกับครอบครัวของเรา เขียนก็จะหาทางกำจัดเขาออกไปให้ได้ เราไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกนะคะ ถ้าแม่หาทางหนีจากเสี่ยหลงไม่ได้ เขียนจะช่วยแม่เอง แต่แม่ต้องยอมรับการช่วยเหลือจากเขียน ห้ามปฏิเสธ” ความมุ่งมั่น และสีหน้าเอาจริงทำให้ดาวเดือนรู้สึกซึ้งใจ แต่ความเป็นแม่ทำให้เธอยิ่งเป็นห่วงลูกสาวมากขึ้นไปอีก

เขียนจันทร์ควรจะรู้ ว่าคนเลว ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด มันก็พร้อมที่จะทำทุกทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ...แต่เธอจะยอมเชื่อลูกสาวสักครั้ง เพราะเธอก็ไม่ได้รู้สึกดีต่อข่าวที่กำลังออกตามหน้าหนังสือในยามนี้เท่าไหร่ ระหว่างเธอกับเสี่ยหลง


ศิลปินรู้สึกว่าวันนี้เขากำลังโดนลูกสาวปั่นหัวอย่างไรพิกล เขียนจันทร์มากรมทหารตั้งแต่เช้า บอกว่าวันนี้อยากแข่งขี่ม้ากับเขา เป็นอย่างนี้มานานเวลาที่เขียนจันทร์ต้องการอะไรก็จะขอหลังจากทำอะไรสักอย่างสำเร็จ ครั้งนี้ถึงกับขอแข่งขี่ม้า ทั้งที่เจ้าตัวขยาดการแข่งขี่ม้ามาตั้งแต่อายุสิบห้า เห็นความมุ่งมั่นของเขียนจันทร์แล้วเขาก็เลยยอมแข่ง เป็นระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ก็แพ้ลูกสาวไปตามระเบียบ

มารู้ตัวอีกทีก็ถูกเขียนจันทร์หิ้วติดรถที่ขับเหยียบเมฆเข้ามาในกรุงเทพฯด้วยตัวเอง ศิลปินยังไม่รู้ว่าเขียนจันทร์ต้องการอะไร แม้ตัวเองจะถูกหิ้วมาส่งยังร้านเสื้อดังกลางเมือง มีคนออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี

“ขอชุดออกงานสักชุดให้พ่อของฉันด้วยนะคะ”

หญิงสาวยิ้มให้กับพ่อแทนการตอบคำถาม เขียนจันทร์เดินไปนั่งรออยู่บริเวณที่นั่งรอลูกค้า ไม่ได้รีบเร่ง เดี๋ยวเธอค่อยกลับไปจัดการตัวเองต่อที่บ้านก็ยังไม่สาย กว่างานจะเริ่มคือตอนหนึ่งทุ่ม เธอไม่ใช่คนชอบแต่งตัวให้เยอะแยะ หรือโบ๊ะหน้าหนาอยู่แล้ว แค่ชุดเดรสยาวสักชุด เครื่องประดับสักชิ้น และแต่งหน้าไม่ให้จืดเธอก็พร้อมยิ้มรับแขก

วันนี้เขียนจันทร์ส่งแจงไปรับกองพันมาไว้ที่วัง รู้ดีว่าคนเป็นพ่อคงจะกลับบ้านดึกจึงใช้ความคิดตัวเองตัดสินให้กองพันนอนที่วังเสียเลยโดยไม่แจ้งพ่อเด็กล่วงหน้า ตอนนี้เด็กชายคงวิ่งเล่นในวังแล้ว พอหม่อมยายเธอเจอเด็กตัวเล็กๆ มาป่วน ส่งเสียงแจ้วๆ ตอนนี้หม่อมยายเธอถึงกับยอมสละงานสังคมหลายๆ งานเพื่ออยู่ทะเลาะกับเด็กเล็กๆ

ตอนนี้ใครๆ ในวังก็พานหลงเด็กฉลาดอย่างกองพันกันทั้งนั้น...ในวังจักรตรากูลเงียบเหงามานาน

“ขโมยลูกคนอื่นไปไม่มีแจ้งพ่อเขาให้รู้เลยนะ”

ความสนใจจากหน้ากระดาษหนังสือหมดลง เขียนจันทร์เงยหน้าขึ้นเผชิญกับพ่อเด็กตัวโตที่ถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ อย่างไร้คำอนุญาต ร่างระหงกระเถิบตัวให้ระยะห่างระหว่างเธอกับรักษ์ชาติเพิ่มขึ้นอีกนิด เธอพยายามไม่สนใจสายตาขุ่นมัว กับกระแสไม่พอใจจางๆ

“ช่วงนี้ไม่ค่อยเจอคุณชายของเธอเลยนะ”

“คุณชายก็มีงานมีการทำนะคะ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วฉันเพิ่งไปทานข้าวกับเขามา ไว้เจอกันอีกทีฉันจะบอกคุณชายให้ว่าคุณคิดถึง”

รักษ์ชาติย่นจมูก มองขวางใส่เขียนจันทร์ ริมฝีปากที่ขยับเอื้อนเอ่ยนี้มันช่างน่า... รักษ์ชาติรู้ตัวว่าเผลอจ้องริมฝีปากสีหวานนั้นนานไปคล้ายว่าจะโดนอะไรบางอย่างดึงดูดสติก็รีบถอนสายตากลับ หน้าเรียบนิ่งสนิท

“ฉันรู้ว่าวันนี้คุณก็น่าจะไปงานเปิดตัวเหมือนกัน เลยให้น้องขุนมานอนที่วังก่อน จะได้มีคนดูแล หม่อมยายของฉันท่านไม่ได้ไปงานวันนี้ บอกจะอยู่เลี้ยงเด็ก ปล่อยให้ฉันกับแม่ไปงานแทนค่ะ”

เขียนจันทร์ลากกลับไปเรื่องเดิม เพราะหากเป็นรักษ์ชาติในยามปกติคงต้องพ่นวาจาไม่น่าฟังมา แทนที่จะมองหน้าเธอนิ่งๆ แบบนี้

“ขอบใจ..แล้วนี่เธอมาที่นี่ พาพ่อเธอมาทำไม จะพาท่านออกงาน?”

“ออกกับแม่ฉันไงคะ เมื่อวานซืนฉันเจอเสี่ยหลงตามติดแม่ ฉันไม่อยากทน ประกาศให้เขารู้ไปเลยว่าแม่ไม่ว่าง” สำหรับแผนนี้เขียนจันทร์คิดออกตั้งแต่เห็นเสี่ยหลงอยู่หน้าบ้าน ถึงแม่กับพ่อจะไม่คิดคืนดีกัน แต่เธอก็คิดว่าการให้แม่ประกาศตัวว่ามีคนเคียงข้างอยู่แล้วน่าจะถือเป็นประโยชน์กว่า

“พ่อเธอไม่ใช่คนมีอิทธิพล เป็นนายทหารวัยเกษียณ จะไปงัดข้อกับคนอย่างนั้นได้ยังไง พ่อเธอจะถูกเก็บเปล่าๆ”

การแนะนำอย่างผู้ใหญ่แนะนำเด็กของรักษ์ชาติสร้างรอยไม่พอใจในแววตาของเขียนจันทร์ หญิงสาวบังคับกิริยาไม่ให้แสดงออกชัด “พวกเราทำธุรกิจสะอาด ไม่เคยโกง ไม่เคยเอาตัวไปพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย พ่อของฉันท่านเองก็ทำดีมาตลอดชีวิต ฉันเชื่อว่าสิ่งที่พวกเราทำดีมาตลอดจะคุ้มครองให้พวกเราอยู่รอดปลอดภัย ฉันจะไม่ใช้อำนาจมืดมาหักล้างอำนาจมืดเด็ดขาด ฉันไม่ต้องการให้ตัวเองหรือแม่ต้องแปดเปื้อน”

สายตาของเขียนจันทร์บอกและสื่อชัดเจนว่าในสายตาเธอนั้นใครคือสิ่งที่เธอไม่ต้องการให้มาแปดเปื้อน เสี่ยหลงคือหนึ่งในนั้น และรักษ์ชาติก็คืออีกหนึ่ง

“เธอก็เลยจะล้างความมืดดำไปจากตัวกองพัน ไม่ให้เหลือกลิ่นของฉันงั้นสิ”

“ฉันไม่ต้องการให้น้องขุนเป็นเหมือนคุณ ฉันรู้แค่นั้น ฉันนับถือที่คุณพยายามเลี้ยงเขามาให้ดีที่สุด แต่ถ้าเขารู้ว่าคุณทำอะไรอีก นอกจากธุรกิจที่คุณกรอกหูลูกว่า ‘บันเทิง’ ฉันก็ยังอยากรักษาความคิดดีๆ ของเขาไปให้นานที่สุด”

การต่อว่าต่อขานนั้นหากมาจากปากใครอื่นที่ไม่ใช่เขียนจันทร์เขาอาจต่อยปาก ไม่ก็โบกมือให้ลูกน้องจัดการ เขาไม่เคยใส่ใจลมปากใคร เพราะคิดเสมอว่าเขาเป็นคนเหยียบย่างเท้าลงมาในเส้นทางนี้เอง ไม่ได้มีใครบังคับเขา ถึงมันจะได้มาพ่วงแถมเพราะเขาเลือกเลี้ยงกองพันไว้ เขาก็พยายามทำมันให้ดีที่สุด สถานบันเทิงของเขาจะไร้ยาเสพติด กาสิโนจะไม่มีการค้าเนื้อสด แต่ถึงจะพยายามไปก็มักมีพวกลักลอบ หรือแอบแฝงมาเสมอ เขาก็ได้แต่ระวัง

เหนื่อยขนาดไหนนั้น เขียนจันทร์ไม่มีวันรู้ ถึงได้วิจารณ์และคิดว่าโลกสีขาวของตัวเองนั้นถูกต้องที่สุด

“คุยกันเรื่องนี้ก็มีแต่ทะเลาะเปล่าๆ เธอเหมือนเด็กน้อยในโลกใหญ่ มนุษย์เราไม่ได้ขาวบริสุทธิ์ไปหมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ดำหยั่งลึกจนมองไม่เห็นว่าอะไรถูกไม่ถูก ฉันขอเป็นสีเทา พยายามให้มันเทา ไม่ใช่สีดำ สิ่งที่ฉันทำอยู่ ต่อให้ไม่มีฉัน ก็ยังมีคนอื่นๆ มาทำ สิ่งเหล่านี้มันอยู่ได้เพราะมนุษย์เราเลือกเดินเข้าไป ฉันก็แค่นั่งอยู่กับที่”

“คุณไม่ต้องอธิบายมาให้มากมายหรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าจะมีคนอีกหลายๆ คนที่เข้าใจคุณ อย่างพี่วาด เขารับได้ไม่ว่าคุณเป็นใคร ทำอาชีพไหน” ก่อนที่หน้าตาแดงก่ำ กรามกัดแน่นของรักษ์ชาติจะระเบิดออก และเปิดศึกทะเลาะ เขียนจันทร์ที่มีความรู้สึกว่าควรพาตัวเองออกห่างโดยเร็วก็รีบลุกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานในร้านพาพ่อเธอออกมาในชุดสูท กางเกงเรียบ หน้าตาชายวัยหกสิบแสดงออกถึงความไม่มั่นใจจนเขียนจันทร์ต้องยื่นมือไปบีบกระชับไว้

“วันนี้พ่อหล่อมากๆ ค่ะ”

“เขียนยังไม่บอกพ่อเลยว่าลากมาทำไม หรือว่าเตรียมไว้งานเกษียณของพ่อ” ศิลปินหันเหสายตาไปยังร่างสูง ดูดีของรักษ์ชาติก็เกิดอาการสงสัยครามครัน “คุณขุนมาได้ยังไงครับ”

“ผมมารับชุดที่สั่งตัดครับ ร้านนี้เป็นร้านประจำผม พอดีผ่านมาพอดีเห็นรถเขียนจอดอยู่เลยแวะมาทักทาย ปกติผมจะให้ลูกน้องลงมา”

บทสนทนายืดออกไปอีกไม่กี่ประโยค ศิลปินก็เห็นสีหน้าอยากออกจากร้านเต็มแก่ของบุตรสาวจึงเอ่ยขอตัว เขียนจันทร์ตั้งใจจะเดินนำออกไป ศิลปินคล้ายว่าจะรู้เจตนาของรักษ์ชาติจึงเป็นคนเดินออกไปก่อน ปล่อยให้รักษ์ชาติได้คุยต่อ

เขียนจันทร์ถูกคว้าข้อมือกระชากเข้าหาร่างหนา ดีที่เธอตั้งหลักได้ทันจึงไม่ถลาไปซบอกเขา และยังตั้งมือกันไว้ให้มีระยะห่างได้ราวครึ่งฟุต เธอเงยหน้าสบตาหงุดหงิดของรักษ์ชาติแล้วได้แต่หลุบตาลงต่ำ ครุ่นคิดว่าเธอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีก ปกติเวลาจะยิ้มให้ทีหนึ่งนั้นก็น้อยแสนน้อยอยู่แล้ว เธอควรจะชินชา แต่ระยะใกล้ๆ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดอยู่ตรงข้างหูทำสมาธิเธอกระเจิง เกิดอาการหน้าร้อนผ่าว

“ปล่อยเถอะค่ะ อายเขา มีอะไรก็พูดมา แต่ไม่ควรใกล้ขนาดนี้” เธอเอียงคอมองว่ามีพนักงานที่ไหนแอบดูไหม แต่ทุกคนคล้ายรู้จังหวะ จึงหายเข้าหลังร้านไปหมด แต่ก็คงแอบส่องแล้วเอาไปสร้างข่าวแน่ๆ

คนหนึ่งคนรู้ โลกย่อมรู้...เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น

“ระวังอะไรนักหนา ยิ่งเธอแสดงท่าทางเกลียด ขยะแขยงฉัน ฉันจะยิ่งทำให้เธอต้องจมลงไปในความเกลียดมากขึ้น ฉันจะแพร่เชื้อไวรัสน่ารังเกียจไปติดในตัวเธอให้หมด”

เขียนจันทร์เบือนหน้าหนีสุดกำลัง ยามที่รักษ์ชาติพูดจงใจให้ลมหายใจมาใกล้ผิวแก้มของเธอมากขึ้น หญิงสาวพยายามใช้มือดันร่างหนาออกไปสุดกำลังแรงเกิด แต่ยิ่งกลายเป็นกระตุ้นให้เอวของเธอถูกรัดไว้แน่นขึ้นด้วยแขนมีกล้ามของรักษ์ชาติ กระดิกกระเดี้ยวตัวเกือบไม่ได้ ไม่อย่างนั้นระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิดกับอกหนาที่กระเพื่อมอยู่ตรงหน้าจะชิดกับร่างเธอ

“ฉันไม่ชอบในสิ่งที่คุณทำ เกลียดก็ควรจะอยู่ห่างๆ กันไม่ใช่เหรอคะ จะมาระรานกันทำไม ฉันพยายามอยู่ห่างๆ คุณ ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องทะเลาะแล้วแท้ๆ หรือคุณจะเป็นเพื่อนฉันก็ได้ไม่ว่า ฉันใจกว้างมากพอ สิ่งที่คุณเคยทำฉันไม่เคยโกรธ ไม่ถือสาด้วย เพราะฉันชินกับการกระทำของคุณ แต่พักนี้ฉันรู้สึกว่าคุณแปลกไป ฉันเริ่มไม่ชิน อย่างตอนนี้...เป็นต้น”

หน้าตาหล่อเหลาเครียดเขม็งกับการอธิบายอย่างไม่แยแสของอีกฝ่าย การใจกว้างหรือ เขียนจันทร์คิดว่าเขาต้องการเป็นเพื่อนกับเธอหรือไง รักษ์ชาติดันร่างในอ้อมแขนออกเบาๆ ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงอีก ต่อให้รุนแรงจนกระดูกในร่างเขียนจันทร์จวนจะแหลก อีกฝ่ายก็จะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ หรือร้องโอดโอยให้เขาได้ยิน

ร่างระหงเป็นอิสระก็ถอยกรูดไปให้ระยะห่างเพิ่มอีกสามก้าว สายตาระแวดระวังตื่นตัวดังกวางระวังภัย มันทำให้รักษ์ชาติไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้น อยากจะกระชากมากอดให้ตัวสั่นในร่างเขาเสียรอมร่อ

“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาที่คุณนึกจะกอด จะบีบบังคับอะไรก็ได้ ฉันเป็นคน และเราสองคนเคยญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันขอร้อง คุณเลิกทำตัวผีเข้าตลอดเวลาได้ไหม ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังทำ โกรธอะไรก็บอกกันตรงๆ หรือเคืองที่ฉันแสดงท่าว่าไม่ชอบหน้าคุณชัดไป” เห็นอาการสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ หน้าตาถมึงทึงหนักขึ้น เขียนจันทร์รีบถอยห่างอีกก้าว ยกมือระวังตั้งการ์ด “คราวหน้าฉันจะระวังไม่ให้มันแสดงออกมามากเกินไป มันเป็นไปเอง ฉันไม่ค่อยคุ้นกับการถึงเนื้อถึงตัว ตบหัว ผลักให้ล้ม หรือตั้งท่าบีบคอ ฉันยังรู้สึกว่ามันเป็นคุณมากกว่า ตอนเด็กๆ คุณก็ออกจะทำบ่อยนี่”

รักษ์ชาติยกมือปัดไล่ เหนื่อยกับการต้องทนเห็นสภาพตั้งแง่รังเกียจของอีกฝ่าย ในสี่พี่น้องบ้านจักรตรากูล คนที่ออกอาการเกลียดเขาหนักสุดเห็นจะเป็นเขียนจันทร์ ส่วนคนที่จะตอบโต้แรงๆ ให้มีเจ็บจะเป็นภาพวิจิตร รายนั้นฝังใจตอนเขาใช้ให้ไปเก็บฟุตบอลแล้วเกือบจมน้ำ หลังจากนั้นก็หาทางเอาคืน หนักสุดก็คือโดนไม้เบสบอลตีหัวแตกตอนสมัยมัธยมต้น ตั้งใจเล่นเบสบอล แต่หัวเขาคงไปใหญ่เท่าลูกกลมๆ นั่น สุดท้ายคนที่แตกตื่นสุดเห็นจะเป็นเขียนจันทร์ เธอบอกว่าให้เขาให้อภัยภาพวิจิตร ส่วนตัวเองแบกเขาขึ้นหลังพาวิ่งไปเป็นกิโลเมตรเพื่อพาไปขึ้นรถออกไปโรงพยาบาลทั้งที่เขาบอกว่าเดินเองไหว

เรื่องทำร้ายร่างกายอย่างผลักหัว ผลักตัว นั่นมันก็สมัยนมนาน เวลาเด็กๆ พอเธอไปเรียนต่างประเทศก็เหลือแค่วาจาเท่านั้น กับการกระชากแขนนิดหน่อยอย่างอดไม่อยู่ แต่ตอนนี้เขาเกิดบ้าอะไรถึงได้อยากจะรัดร่างตรงหน้าเสียเฉยๆ

...เขาต้องบ้าไปแล้ว

“เธอควรจะขอความช่วยเหลือฉันเรื่องแม่ ถ้าไม่อยากให้พ่อของเธออยู่ในอันตราย สิ่งที่เสี่ยหลงต้องการไม่ใช่ร่างกายแม่เธอ เขาหาที่เอ๊าะกว่า สาวกว่าได้ แต่ที่เป็นแม่เธอก็เรื่องเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ เรื่องนี้ถ้ามีอะไรมาขวางทาง เสี่ยหลงก็จะทำเหมือนที่อควาเรี่ยมนั่นไง”

เขียนจันทร์แทบไม่รู้สึกตัวว่าถูกดึงมือไปกุมไว้ เสียงเข้มลอยอยู่เหนือศีรษะยามเริ่มทำการสั่นประสาทลูกกวางน้อยให้หวาดกลัว “ฉันช่วยเธอได้ แค่เธอขอ และทำตามสิ่งที่ฉันวางอย่างเคร่งครัด พ่อกับแม่ของเธอก็เป็นคนที่ฉันเคารพ ฉันมองอยู่เฉยอย่างคนที่ช่วยได้แล้วไม่ช่วยไม่ได้หรอกนะ”

“ถ้าคุณรู้ตัวว่าทนดูเฉยๆ ไม่ได้ก็ช่วยสิคะ ไม่เห็นต้องขอ”

อดีตนายทหารหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ยื่นหน้ามาใกล้เพื่อจ้องดวงตากลมสวย ขนตางอนยาว ลมหายใจเป่ารดพวงแก้มให้ขึ้นสีน่ามอง รักษ์ชาติสำรวจความลงตัวของใบหน้าละมุนจนพอใจจึงกลับมาจ้องดวงตาที่กำลังปรากฏรอยตื่นกลัว และเริ่มถอยหนี หากว่าเขาไม่ฉลาดพอจะเลือกมองแทนการรัดเธอไว้ให้อึดอัด แม่กวางน้อยได้วิ่งเตลิดหายไปอีกแน่

“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ แต่ในเมื่อเธออนุญาต ฉันก็จะเริ่ม” มือหนายกขึ้นมาวางแปะไปบนแก้มเนียน ปิดบังสายตาที่คล้ายเปลวไฟในดวงตาไม่ได้ยามทอดมอง สัมผัสละเอียดใต้ฝ่ามือทำให้รักษ์ชาติอยากทำบางอย่างที่มากกว่านั้น แต่ต้องห้ามใจหยุด ใบหน้าตื่นตะลึงของเขียนจันทร์กำลังตาโตเบิกกว้างตกใจสุดขีด คล้ายเจอผีตอนกลางวัน

การที่เขาทำแบบนี้มันทำให้กลัวขนาดนี้เลยหรือไง...

“อ่อนระทวยเชียวนะ ฉันแกล้งเธอแค่นี้ โตขึ้นการก่อกวนก็ควรจะเปลี่ยนรูปแบบตาม จริงไหม”

มือหนาโดนปัดออกด้วยหลังมือของเขียนจันทร์ ดวงหน้าตื่นตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นสายตาคาดโทษ แต่ก็โล่งใจระคนกัน เขียนจันทร์ส่ายหน้าไม่ถือสา “ถ้าเป็นอย่างอื่นฉันอาจหัวใจวาย คุณเกือบทำให้ฉันนึกว่าคุณเลิกชอบพี่วาดมาชอบฉันแทนเลยนะคะ แค่นึกก็กลัวฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือนเลย แต่เป็นอย่างนี้ก็ดี” เขียนจันทร์เดินถอยหลังหนีเป้าหมายไปยังประตู “พ่อฉันรอนานแล้ว ขอตัวนะคะ”

หันหลังเดินออกมานอกร้าน สัมผัสไอแดดยามบ่ายจัดจ้า หน้าของเขียนจันทร์ก็ต้องเม้มแน่นไว้ไม่ให้มันหงิกงอด้วยความแค้นใจ เธอโดนรักษ์ชาติปั่นหัวด้วยการแกล้งแบบใหม่นี้มาตลอด นี่สิคำตอบของการเปลี่ยนไปของเขา เคยถามไหมว่าเธอเต็มใจเปลี่ยนวิธีเล่นไปกับเขาด้วยหรือเปล่า

จะไม่มีการแกล้งแบบนี้เกิดขึ้นอีก...เธอไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด


..................................................
คุณ mhengjhy เสี่ยประกาศศึกชัดเจนค่ะ แต่รอดูว่าเสี่ยจะทำอะไรบ้างนะค้า

คุณ ร้อยวจี เจ้าขุนแกล้งเขียนมาตั้งแต่เกิด ปัจจุบันยังทำซึนอีก ฮา เป็นหนุ่มวัยทองจอมหงุดหงิดไปแล้ว

คุณ ameerah เจ้าขุนน่าหมั่นไส้มากค่ะ เป็นพระเอกที่เขียนไปคนเขียนก็หมั่นไส้ไป

คุณ อัศวินนภา นั่นน่ะสิคะ ง้างปากเจ้าขุนไม่ออกสักที

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2557, 05:50:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2557, 05:50:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2130





<< บทที่ 6 : หน้ากากสีเทา   บทที่ 8 : สร้างข่าว >>
ร้อยวจี 27 พ.ค. 2557, 07:39:45 น.
เปลี่ยนวิธีจริงด้วย แบบว่าหวานเป็นลมขมเป็นยาหรือเปล่า


ใบบัวน่ารัก 27 พ.ค. 2557, 07:52:24 น.
ลูกขุนไปโรงเรียนหรือยังคับ
พ่อเจ้าขุนรักอาเขียนตอนไหนอะ
แกล้งอาเขียนตลอดๆๆ เบาๆมือบ้างนะช้ำหมด


ameerah 27 พ.ค. 2557, 21:51:15 น.
ตอนนี้แอบกรี๊ดให้กับเจ้าขุนค่ะ แอบน่ารักอ่ะ >_<


ผักหวาน 13 มิ.ย. 2557, 23:10:35 น.
จะจีบสาวหรือจะฆ่าสาวกันเนี่ยคุณเจ้าขุน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account