เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 6 เจ้าสาวคืนเดียว100%

บทที่ 6 เจ้าสาวคืนเดียว



ร่างโปร่งบางในชุดสีขาวตลอดทั้งร่างนั่งบีบมือตัวเองแน่นท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คนด้านนอกและเพื่อนเจ้าสาวกว่า 4 ชีวิตที่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าเจ้าสาวเสียเอง สายตาทั้งสี่คู่ลอบมองว่าที่เจ้าบ่าวของฮาน่าไม่วางตา แล้วพาหันมาซุบซิบด้วยความอิจฉา ในขณะที่เจ้าสาวอย่างเธอกลับเอาแต่หลับตาเม้มริมฝีปากแน่น ก่นด่าว่าที่เจ้าบ่าวอยู่ในใจมากว่าครึ่งชั่วโมง

ชั่วแวบหนึ่งในจิตใจเธออยากจะวิ่งหนีพิธีที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าแต่รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นคนที่จะเดือดร้อนมากที่สุดก็คือท่านตาของเธอ

“ข้าเห็นเขาแวบๆ ก่อนเข้ามาที่นี่ เห็นแล้วได้แต่อิจฉาในวาสนาของเจ้าจริงๆ นะฮาน่า ขนาดเห็นในระยะไกลยังรู้เลยว่าเขาแข็งแกร่งไปทั้งเนื้อทั้งตัว คืนนี้เจ้าคงต้องรับศึกหนักแล้วล่ะ อุ๊ย เจ้าอย่าโกรธข้านะ” หนึ่งในสี่ของเพื่อนเจ้าสาวที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายพูดพลางหัวเราะคิกคักก่อนที่คนอื่นๆ จะพลอยอมยิ้มแก้มแดงมองมาที่เจ้าสาวเป็นตาเดียวด้วยความตื่นเต้นระคนอิจฉา แต่มีหนึ่งในสี่นี้เช่นกันที่มองด้วยความริษยาและคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับบุรุษรูปงามที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แพรวพราวเช่นนั้น ร่างสะองในชุดสีเหลืองนวลลอบเบ้ปากก่อนจะทำทีเป็นเอ่ยตักเตือนเหล่าบรรดาเพื่อนเจ้าสาวปากไว

“พวกเจ้าเป็นสาวเป็นนาง ทำไมถึงได้พูดจาน่าเกลียดนัก เกรงใจเจ้าสาวอย่างฮาน่าบ้างเถอะ”

“ช่างเถอะ ข้าไม่ถือหรอก” คำพูดราวกับไม่สนใจของหญิงสาวยิ่งทำให้คนที่อิจฉาเป็นทุนเดิมมองแล้วหมั่นไส้ยิ่งขึ้น


ใจกว้างเสียจริง ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าความใจกว้างของเจ้ามันมีขนาดเท่าไหร่กันเชียว

“เห็นไหมล่ะ ขนาดเจ้าสาวเองยังไม่เดือนร้อนเลย เจ้าก็ไม่น่าจะคิดมากเลยนะเนปาตี”

เนปาตีหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ถูกเพื่อนเจ้าสาวด้วยกันย้อน หล่อนกระแทกเท้าเดินออกไปด้านนอกทันที

“อ้าวจะไปไหนล่ะ อีกเดี๋ยวพิธีก็เริ่มแล้วนะ” หนึ่งในสามเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะคล้ายพึงพอใจที่เห็นอาการของเนปาตี

“เจ้าทำไมถึงไปพูดอย่างนั่นเล่า” ฮาน่าส่ายหน้าอย่างเอือมๆ

“โธ่ เจ้าไม่รู้อะไร นางหวงเจ้าบ่าวของเจ้าอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าสาว ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำพวกข้าพูดอะไร ดูจะขัดหูนางไปหมด ทั้งที่เจ้าสาวแท้ๆ ยังไม่อะไรกับคำพูดของพวกข้าเลย”

“นางก็แค่ไม่อยากให้ใครมาได้ยินพวกเจ้าเอ่ยถึงผู้ชายในแง่ไม่สำรวมมากกว่า”

ตามธรรมเนียมของเผ่านากาสาวแรกรุ่นที่ยังอายุไม่ครบ 18 ปีดีนั้นไม่ถูกอนุญาตให้เอ่ยถึงบุรุษในแง่ชู้สาว หากใครเผลอพูดให้ผู้ใหญ่ในเผ่าได้ยินจะถูกลงโทษด้วยการตัดผมซึ่งเป็นสิ่งที่สาวแรกรุ่นหวงแหนที่สุด เหตุที่มีกฎเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้เด็กสาวสำรวมกิริยาไว้จนกว่าจะถึงเวลาออกเรือน แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปบทลงโทษก็ใช้ไม่ค่อยได้ผลนักเพราะเด็กสาวก็ยังคงแอบพูดจาสนุกปากกันลับหลังผู้ใหญ่อยู่ดี

“ฮึ แล้วแต่เจ้าเถอะ สำหรับพวกข้าเนปาตีไม่ใช่คนเคร่งระเบียบอะไรขนาดนั้นหรอก” หนึ่งในสามสาวพึมพำในลำคอ ในขณะที่ทุกคนให้ความสนใจชายหนุ่มของเธอเจ้าสาวกลับดูไม่ตื่นเต้นออกไปทางเฉยชาเสียด้วยซ้ำ

“พวกเจ้ามีใครเห็นฟารีดาบ้างรึเปล่า” ฮาน่าที่นั่งเงียบใช้ความคิดถามขึ้นเพื่อต้องการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่ชักจะไปกันใหญ่

“ข้าเห็นเดินๆ เตรียมพิธีช่วยแม่หมออยู่ด้านนอกน่ะ เจ้าจะให้ข้าไปเรียกไหม” เพื่อนเจ้าสาวที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่มอาสา

ฮาน่าพยักหน้าก่อนเอ่ยขอบคุณ ไม่นานฟารีดาก็ถูกตามตัวเข้ามาที่กระโจมที่พักของเธอ ฮาน่ากันไปมองบรรดาเพื่อนเจ้าสาวที่อยู่ในวัยกำดัดทุกคนล้วนอายุมากกว่าเธอ หญิงสาวขอเวลาพูดคุยกับเพื่อนรักเป็นการส่วนตัวสักครู่ ซึ่งบรรดาสาวๆ ก็ให้ความร่วมมือโดยการออกไปยืนรอหน้ากระโจม

“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว” ว่าที่เจ้าสาวตัดพ้อหน้าม่อย

“เจ้าก็รู้ว่าหากมีงานพิธีข้าเองก็ยุ่งไม่แพ้แม่หมอ” คนถูกตัดพ้อยิ้มบางๆ วางมืออุ่นลงบนมือเย็นชืดของเพื่อนรัก

“ฟารีดาข้ารู้ความหมายที่เจ้าพูดกับข้าในวันนั้นแล้ว” ฮาน่าเอ่ยพร้อมเงยหน้าสบตากับอนาคตแม่หมอคนต่อไป พลางนึกถึงคำพูดที่นางได้พูดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน

“เอาเป็นว่าเจ้าคอยดูแลเขาให้ดีแล้วกัน การที่เจ้าไปพบเขากลางทะเลทรายร้อนระอุขนาดนั้นในสภาพที่ยังหายใจ ย่อมหมายความว่าเขายังมีโชค”

คำตอบที่ได้รับอดไม่ได้ที่จะทำให้คนใจดีอย่างฮาน่ารำพึงปากยื่น “หวังว่าโชคที่เจ้าพูดถึงจะไม่ใช่ข้าหรอกนะ”

“บางทีลางสังหรณ์ของเจ้าก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามนะฮาน่า”

“เจ้ารู้แต่แรกใช่หรือไม่ว่าจะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นกับข้า”

ฟารีดาส่ายหน้ายิ้มให้อย่างจริงใจที่สุด แม้จะไม่อยากเชื่อแต่ฮาน่าไม่ก็เห็นร่องรอยการล้อเล่นหรือโป้ปดจากสีหน้าของเพื่อนรัก

“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ แล้วทำไมถึงได้พูดจาแสดงความนัยอย่างนั้น”

“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับเจ้าและเขา ไม่คิดด้วยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ข้าไม่ได้เก่งขนาดจะเห็นอนาคตล่วงหน้าได้เหมือนแม่เฒ่าและแม่หมอนะ สิ่งที่ข้าเห็นตอนนั้นแค่อนาคตของเจ้ากับเขาในช่วงสั้นๆ เท่านั้น” แม่เฒ่าที่ฟารีดาเอ่ยถึงคืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาทำนายอนาคตและพิธีกรรมภายในเผ่าให้กับเหล่าแม่หมอมาหลายรุ่นจวบจนปัจจุบันอายุกว่า 80 ปี แม้จะออกจาตำแหน่งมากว่า 50 ปีแล้วก็ยังคงเป็นที่เคารพยำเกรงของคนในเผ่า

คิ้วสวยขมวดทันที “เจ้าเห็นอะไรฟารีดา”

น้ำเสียงตื่นเต้นของเพื่อนทำเอาฟารีดาอมยิ้มก่อนจะมองว่าที่เจ้าสาวอย่างมีเลศนัย ดวงตาสีม่วงอมเทาหรี่ลงเล็กน้อย “เจ้าอยากรู้จริงๆ น่ะหรือ”

“เจ้านี่ อย่าแกล้งข้าสิ” น้ำเสียงเง้างอดถูกปล่อยอออกมาทันทีเมื่อเห็นแววตาสนุกสนานของเพื่อนรัก

“ข้าจะบอกดีไหมนะ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยเสียด้วยสิ”

“ฟารีดา!”

เสียงหัวเราะครื้นเครงสนุกสนานลอดออกมาจากริมฝีปากบางของว่าที่แม่หมอ ยิ่งเพื่อนหน้างอเธอยิ่งชอบใจ

“เอาล่ะบอกก็ได้ ข้าเห็นเจ้ากับชายผู้หนึ่งในฝัน ก่อนวันที่ข้าจะไปหาเจ้าที่กระโจมพยาบาลวันนั้นไงล่ะ พอไปถึงข้าก็พบเขา ผู้ชายคนเดียวกับที่ข้าฝันเห็น เจ้าก็รู้ว่านานๆ ข้าจะฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าอะไรเช่นนี้”

“แล้วในฝันของเจ้าเกิดอะไรขึ้น หากเจ้าบอกว่าไม่ได้ฝันถึงการแต่งงานของข้ากับเขา เจ้าฝันเห็นอะไรฟารีดา นี่! เจ้าอย่าเอาแต่ยิ้มซี่”

ฟารีดาหัวเราะเบาๆ ยั่วเพื่อนรักที่แทบจะเข้ามาเขย่าร่างเธอเพราะเธอเอาแต่ชักช้าลีลาไม่ยอมบอก

“ฟารีดาแม่หมอเรียกหาเจ้าแล้วนะ” เสียงเพื่อนเจ้าสาวหน้ากระโจมตะโกนบอก ฟารีดาจึงรีบก้มลงกระซิบบอกความฝันที่เธอเคยฝันถึงให้ฮาน่าฟังก่อนจะรีบออกไปโดยไม่ลืมหันกลับมามองสีหน้าแดงก่ำของเพื่อนด้วยความเอ็นดู

“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก” ฮาน่าตอบกลับปากยื่น




“แล้วแต่เจ้าเถอะ เพราะหากเกิดขึ้นจริงข้าก็ไม่คิดจะไปแอบดูพวกเจ้าหรอก” ฟารีดายิ้มทะเล้นส่งท้ายก่อนจะผลุบหายออกไปจากกระโจมโดยเร็ว

“ฮาน่าไม่สบายเหรอ ทำไมหน้าถึงได้แดงขนาดนั้น ไหวรึเปล่า” เพื่อนเจ้าสาวที่เดินเข้ากระโจมมาคนแรกทักขึ้น คนถูกทักอึกๆ อักๆ ส่ายหน้าจนหางเปียที่ถักไว้สะบัด

“ข้าไม่เป็นไร”

“แน่นะ งั้นเรามาเตรียมตัวกันเถอะ ไหนเจ้าลุกขึ้นสิข้าจะดูชุดให้ว่าเรียบร้อยดีหรือยัง”

คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงัก จะให้บอกได้อย่างไรเล่าว่าฟารีดาเอ่ยสิ่งใดกับเธอ ขืนบอกได้นางได้โดนล้อเป็นแน่

‘ข้าเห็นเจ้าโอบกอดกับชายแปลกหน้าอยู่ที่ริมบึง แน่นอนว่าชายแปลกหน้าที่ข้าเห็นคือเขานั่นแหละ’

ร่างบางลุกขึ้นยืนให้เพื่อนช่วยดูความเรียบร้อย ร่างเพรียวในชุดผ้าขาวบางคล้ายเสื้อคลุมแขนกุดตัวยาวที่มีซับด้านในสีชมพูอ่อนเวลาสะท้อนแสงไฟทำให้ดูชมพูนวลไปทั้งตัว สะโพกผายที่รับกับกระโปรงพลิ้วสีขาวที่รอบเอวถูกประดับด้วยขนนกสีขาวแสดงถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของผู้เป็นเจ้าสาว แขนสีน้ำผึ้งที่ดูกระจ่างเนียนกว่าคนในเผ่าพันธุ์เพราะมีเลือดของชาวเอเชียอยู่ครึ่งหนึ่งทำให้วันนี้ฮาน่าดูผุดผาดกว่าทุกวัน ผมยาวถูกถักเปียรวบเอาไว้คาดด้วยหนังถักสีน้ำตาลที่ตกแต่งด้วยหินหลากสีซึ่งประดับด้วยขนนกสีขาวอีกชั้นหนึ่ง

“เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรต้องห่วง วันนี้เจ้าเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเลยนะ ข้ายินดีด้วยจริงๆ แม้มันจะปุบปับแต่ก็ขอให้เจ้ามีความสุขนะฮาน่า” เพื่อนเจ้าสาวเอ่ยแสดงความยินดีก่อนจะจูงมือหญิงสาวออกไปตรงลานพิธีที่มีบรรดาผู้อาวุโสของเผ่านั่งรออยู่

เพื่อนเจ้าสาวของฮาน่าไม่ได้เอ่ยชมเกินจริงเลยแม้แต้น้อยเมื่อเจ้าสาวออกมาจากระโจมชุดสีขาวนวลตาใต้ภาพสะท้อนแสงไฟสีส้มทำให้ทุกคนชื่นชมผ่านทางสายตา ร่างระหงที่ซ่อนรูปภายใต้เสื้อผ้ามะใดมะแมงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันบัดนี้ได้เผยส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างอิสตรีที่เป็นสาวเต็มตัวต่อหน้าคนทั้งเผ่ารวมถึงเจ้าบ่าวในคืนนี้ด้วย

แวบแรกที่สายตาคมกล้ามองเห็นเจ้าสาวของตนเดินเข้ามาในลานพิธี เขายอมรับว่ารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่มองเห็นหญิงสาวที่ไม่ใช่เด็กสาวอย่างที่เขาเคยปรามาส

ชุดสีขาวลออตาที่ซ่อนสีชมพูจางๆ ทำให้เธอดูเปล่งประกายราวกับนางฟ้าประกอบกับขนนกสีขาวที่ดูนุ่มฟูสะบัดพลิ้วไปตามแรงลมชวนให้เอามือไปลูบสัมผัสความนุ่มของมัน ไม่รู้ว่าระหว่างขนนกกับผิวนวลเนียนนั่นอะไรจะนุ่มกว่ากัน ความคิดที่ว่านี้ทำให้เขาเผลอยิ้มให้กับตัวเอง

“วันนี้เด็กน้อยฮาน่าโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ช่างเป็นเจ้าสาวที่สวยเหลือกเกิน สวยเหมือนแม่ของเจ้าไม่มีผิด” คำกล่าวลอยๆ ของบาบาลีทำให้อัลนีดาชะงักงันเหลือบสายตาขึ้นมองหัวหน้าเผ่าด้วยแววตาเห็นใจ

บาบาลีเห็นสีหน้าแววตาของฮาน่าที่มีแต่ความสับสนไม่แน่ใจก้าวเดินเข้ามาแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ในใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการไปขอร้องให้บุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยพละกำลังยับยั้งชั่งใจไม่ให้ล่วงเกินหญิงสาวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักมาก

ข้าขอโทษที่ต้องให้ลูกสาวของเจ้าเสียสละถึงเพียงนี้ฌีลา

(ต่อ)

ดวงหน้านวลที่เงยขึ้นถึงกับตาพร่าเพราะแสงจากกองไฟที่ลุกช่วงโชติ ดวงตาสีเทาเข้มหรี่ลงเล็กน้อยกวาดสายตามองหาเพื่อนร่วมพิธี

เตมีนั่งหน้างอไม่สบอารมณ์อยู่ด้านข้างบิดาถัดไปด้านซ้ายเป็นท่านตาของเธอที่นั่งส่งยิ้มมาให้ ฟารีดายืนอยู่ด้านหลังแม่หมอที่เริ่มเข้าสู่พิธี ข้างๆ แม่หมอคือร่างสูงที่อยู่ในชุดสีเดียวกันกับเธอ

เจ้าบ่าวกะทันหันของเธอยืนหันหลังให้เธออยู่ด้านหน้ากองไฟเพื่อรอให้หญิงสาวเดินเข้าไปยืนเคียงข้าง แม่หมอที่เป็นพี่สาวของฟารีดามองมาที่เธอ ดวงตาเรียวรึจ้องเขม็งรอว่าเมื่อไหร่เจ้าสาวจะเดินเข้ามา ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันทางสายตาทุกคู่ในพิธีที่มองมาที่ตนเอง เท้าเล็กๆ แทบไม่อยากขยับเมื่อนึกได้ว่าหากเธอไปยืนอยู่ตรงนั้น ชีวิตเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

แต่เธอก็ไม่มีเวลาคิดนานเมื่อรู้สึกถึงแรงผลักจากด้านหลังมือเรียวของเหล่าเพื่อนเจ้าสาว ฮาน่าสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าไปยืนเคียงข้างร่างสูงของเจ้าบ่าว

ใบหน้าเจ้าบ่าวที่วันนี้เกลี้ยงเกลาเป็นพิเศษไม่มีหนวดให้เห็นสักเส้นหันมายิ้มให้กับบรรดาเพื่อนเจ้าสาว นัยน์ตาคู่คมกระตุกหัวใจสาวๆ เกือบครึ่งเผ่าเหลือบสายตามามองเธอครู่หนึ่ง หากเธอไม่ได้ตาฝาดหญิงสาวคิดว่าตนเองมองเห็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูไม่น่าไว้ใจของเขา

“ไม่คิดว่าข้าจะได้พบนางฟ้าตกสวรรค์ที่นี่” น้ำเสียงหยอกเย้าของเขาทำเอาเธอรู้สึกขัดเขินอย่างช่วยไม่ได้ การที่จู่ๆ ถูกผู้ชายเจ้าเล่ห์กวนประสาทเอ่ยชมซึ่งๆ หน้าทำเอาคนปากกล้าถึงกับไปไม่เป็น

“ข้า ข้าไม่กลงกลเจ้าหรอกนะ” แล้วทำไมข้าต้องพูดตะกุกตะกักด้วยนะ ฮาน่าชักจะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่อาจเรียบเรียงถ้อยคำไปสู้กับอีกฝ่ายได้

“ดูเจ้าสิ” ไม่พูดเปล่าสายตาวิบวับยังกวาดไปทั่วร่างชนิดที่เธอยืนอยู่เฉยๆ ยังรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองตรงไหนบ้าง “สลัดคราบเด็กกะโปโลเสียจนข้าชักไม่แน่ใจแล้วว่าคืนนี้ข้าจะทำอย่างที่เจ้าขอได้หรือไม่” เสียงทุ้มต่ำกับอาการลดใบหน้าลงมากระซิบข้างหูทำให้ใบหน้าเธอซับสีเลือด ดวงตากลมตวัดขึ้นมองเขาอย่างตกใจ

“ถ้าเจ้ายังไม่หยุดพูดอะไรบ้าๆ กับข้าอีก เจ้าเจ็บตัวแน่”

ริมฝีปากหยักอมยิ้มแก้มตุ่ยไม่สนใจคำขู่ของเธอ

“มีอะไรเก็บไว้คุยกันคืนนี้ได้หรือไม่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ขอข้าทำพิธีก่อนเถิด”

แม่หมอเตือนขึ้นเบาๆ ก่อนจะเริ่มแต้มผงทองลงกลางหน้าผากของบ่าวสาวคนละจุด แล้วเปลี่ยนมาแต้มผงสีแดงที่ริมฝีปากของเจ้าสาวแล้วสั่งให้ทำในสิ่งที่ทำให้เจ้าสาวถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว

“บัดนี้ได้เวลาแล้วที่เจ้าสาวต้องแตะริมฝีปากเจ้าบ่าวด้วยตัวของเจ้าเอง เพื่อยืนยันว่าได้มอบชีวิตให้อีกฝ่ายด้วยความจงรักภักดี”

ดวงตาตื่นตระหนกมองหน้าเจ้าของคำสั่งสลับกับใบหน้ายียวนของเจ้าบ่าว ก่อนจะเอ่ยถามซ้ำเผื่อความแน่ใจ

“ฮะ? ให้ข้าแตะริมฝีปากกับเขาเหรอ” เดิมทีเธอก็พอจะรู้มาบ้างว่าต้องมีพิธีกรรมนี้ แต่เธอคิดว่าสำหรับครั้งนี้จะมีข้อยกเว้นก็ในเมื่อเธอและเขาไม่ได้จะแต่งงานกันจริงๆ เสียหน่อย แววตาขอความช่วยเหลือถูกส่งไปหาอัลนีดาก่อนจะไปจบที่บาบาลีซึ่งนั่งมองด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

“ใช่น่ะสิ แต้มสีแดงลงบนปากเขาถือว่าเจ้าสองคนเป็นหนึ่งเดียวกันก็เป็นอันเสร็จพิธี หากไม่ทำพิธีก็ไม่เสร็จสมบูรณ์ หรือเจ้าอยากยืนขาแข็งอยู่กลางลานพิธีไปจนเช้ารึไง” แม่หมอเอ็ดเสียงเข้มไม่สนใจสีหน้าใกล้ตายของเจ้าสาวเลยแม้แต่น้อย

‘ข้ายอมยืนขาแข็งไปยันเช้าเสียยังดีกว่า แง’ ตั้งใจจะบอกแม่หมอตามที่ใจคิดก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นสายตาตำหนิของแม่หมอที่มองมาราวกับหากเธอไม่ทำท่านจะสาปแช่งเธอเสียเดียวนั้น

นั่นหมายถึงว่าเธอต้องเอาสีแดงที่ติดอยู่ที่ปากตัวเองไปแปะเข้ากับริมฝีปากหยักที่ยิ้มรออยู่ตรงหน้าให้ได้สินะ

“รออะไรอยู่เล่า เร็วเข้าสิ”

“เอ่อ เอางี้ข้าว่าให้ฮาน่าใช้นิ้วแตะลงที่ริมฝีปากแทนแล้วกัน” บาบาลีออกหน้าช่วย แต่โชคไม่เข้าข้างฮาน่าเสียเลยเมื่อแม่หมอยื่นคำขาดไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องทำตามตำราและพิธีที่สืบทอดกันมายาวนาน

ใบหน้าสิ้นหวังเหมือนคนจะร้องไห้ของเจ้าสาวยิ่งทำให้ผู้ที่รู้ความจริงของเรื่องทั้งหมดรู้สึกสงสาร ยกเว้นเจ้าบ่าวที่นอกจากจะไม่สงสารแล้วยังนึกสนุกอีกด้วย

ร่างสูงเลิกคิ้วยียวนเมื่อเห็นว่าเจ้าสาวกำลังโดนกดดันจากผู้ใหญ่ในพิธี อดไม่ได้ที่จะแหย่ด้วยการพูดบางประโยคออกไปแบบไร้ซุ่มเสียง

‘ขี้ขลาด’

ฮาน่าอ่านปากของอีกฝ่ายเข้าใจถึงกับตาลุกวาว แต่ก็ยังคงยื้อเวลาออกไปจนคนในงานเริ่มมองอย่างสงสัยหันไปกระซิบกระซาบถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น

“ต่อให้เจ้าอยากจะยืนยันเช้า แต่ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ” เสียงทุ้มกระซิบออกมาเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน ขณะที่หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้าก่นด่าเขา

เมื่อเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรหากเธอจะเอาแต่ก้มหน้าอยู่อย่างนี้ ใบหน้าเนียนที่ดูผุดผาดกว่าทุกวันเงยขึ้นมา พอดีกับที่เจ้าบ่าวโน้มใบหน้าลงมาเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากบางแนบแน่นราวกับกลัวว่าสีแดงจะไม่ติดริมฝีปากตัวเอง มือแข็งราวคีมเหล็กตวัดเอวบางของเธอเข้าหาทำให้ร่างกายส่วนล่างแนบชิดจนร่างนุ่มสัมผัสได้ถึงความกระด้างของบุรุษ

มือบางยกขึ้นผลักอกเขาในทันทีแต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้วจึงยึดเอาไว้ได้ทันซ้ำยังกดริมฝีปากแรงขึ้นกว่าเดิมเหมือนสั่งสอนเธอที่พยศใส่เขา ดวงตาสีเทาเบิกกว้างจ้องกลับนัยน์ตาสีอ่อนที่กุมชัยชนะในครั้งนี้ด้วยความเดือดดาล การจุมพิตในพิธีครั้งนี้กินเวลานานกว่าคู่แต่งงานของเผ่าเคยกระทำ คนที่นั่งชมอยู่ไกลๆ ไม่รู้เรื่องอันใดก็ได้แต่ยิ้มขวยเขิน บ้างก็อิจฉาความหนุ่มแน่นของคู่แต่งงานใหม่ แต่ใครเลยจะรู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้หวานชื่นอย่างที่คิดเท่ากับตัวบ่าวสาวเอง

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมไอจากท่านผู้นำเผ่าดังขึ้นทำให้มูซาจำต้องยอมละทิ้งความนุ่นนวลตรงหน้า “ข้าว่าได้เวลาฉลองแล้วล่ะ เอ้า! ทุกคนยกสุราขึ้นมาร่วมแสดงความยินดีกับบ่าวสาวได้แล้ว” สายตาบาบาลีจ้องมายังเจ้าบ่าวที่ยักไหล่ตอบกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หน้าตาเฉย

กิริยาอาการของบาบาลีที่คอยจับจ้องเจ้าคนแปลกหน้าที่กำลังมาเป็นหลานเขยด้วยความกังวลใจนั้นตกอยู่ในสายตาของเตมีโดยตลอดตั้งแต่เริ่มงาน

หรือบางทีมันยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อีก

นัยน์ตาคมมองไปกลางลานพิธีเผลอไปสบเข้ากับดวงตาสีม่วงอมเทาที่สะกดเขาเอาไว้ได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ฟารีดาเป็นฝ่ายเมินหน้าหนีอีกเช่นเคย ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจกระดกเหล้าในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้วและตามมาในอีกหลายๆ แก้วตลอดค่ำคืนนั้น



หลังเสร็จสิ้นพิธีการบ่าวสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ซึ่งก็คือกระโจมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือเจ้าบ่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาโดยมีทำเลไม่ห่างจากกระโจมพยาบาลมากนัก

“เอาล่ะ ข้าขอให้เจ้าทั้งสองมีความสุข รักและให้อภัยในข้อผิดพลาดของกันและกัน และหากวันใดวันหนึ่งมีเรื่องไม่คาดฝันก็ขอให้นึกถึงความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันให้อภัยกัน” บาบาลีเหลือบสายตาไปทางใบหน้าอ่อนหวานของเจ้าสาวกล่าวอวยพรปิดท้ายก่อนจะหันไปให้สัญญาณอัลนีดาให้รีบพูดอวยพรบ่าวสาวต่อจากเขา

คำพูดของหัวหน้าเผ่านากาอาจดูเป็นคำอวยพรบ่าวสาวธรรมดา แต่มูซาสัมผัสได้ถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูด เพียงแต่ไม่เข้าใจว่ามีอะไรที่จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นระหว่างเขาและฮาน่า ในเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรก็คงไม่มีผลกระทบอะไรกับใจของทั้งคู่ เพราะการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรักเสียหน่อย

ช่างเถอะไหนๆ ก็ไม่รักกันอยู่แล้วจะสนใจไปทำไม

ผิดกับฮาน่าที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเจ้าบ่าวตรงๆ เธอเอาแต่ก้มหน้าซ่อนสีหน้ากระอักกระอ่วนใจต่อคำอวยพรของผู้ใหญ่ เอาเข้าจริงหญิงสาวเองไม่แน่ใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำได้อย่างที่บาบาลีขอหรือไม่หากในวันข้างหน้าเขารู้ว่าพวกเธอกำลังทำอะไร และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ฮาน่าต้องยอมจำนนที่จะแต่งงานกับเขาทั้งที่ค้านหัวชนฝามาตลอด

“ฮาน่า หลานรู้ใช่ไหมว่าตารักหลานที่สุด ส่วนเจ้ามูซาข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาหลานสาวของข้า หากมีอะไรที่นางทำให้เจ้าไม่พอใจก็ได้โปรดอภัยให้นางด้วย” อัลนีดาสบนัยน์ตาเข้มอีกครั้งจ้องลึกเข้าไปในนั้นราวกับจะขอคำมั่นสัญญา เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเขาจึงยอมเดินจากมา

เมื่อบ่าวสาวออกมาส่งผู้ใหญ่ที่หน้ากระโจมเป็นการล่ำลา มือบางดันลืมตัวคว้าเอาชายเสื้อของผู้เป็นตาเอาไว้เมื่อเห็นท่านทำท่าจะหันหลังให้เดินจากไป กิริยาดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของมูซา เขาไม่เอ่ยขัดเพียงแต่รอดูว่าตาหลานคู่นี้จะทำอย่างไร

“ฮาน่า” เสียงเรียกชื่ออย่างอ่อนโยนของอัลนีดาทำให้มือเรียวจำต้องยอมปล่อยชายเสื้อทั้งที่น้ำตาปริ่ม เธอเคยถูกท่านตาทิ้งให้อยู่คนเดียวมาแล้วหลายครั้งเมื่อท่านต้องออกไปช่วยเหลือคนป่วยหรือไม่เก็บยา แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งเท่าครั้งนี้

มือเหี่ยวแต่อบอุ่นเสมอวางลงบนหลังมือเล็กบีบกระชับเบาๆ ดึงร่างของหลานสาวเข้ามากอดและกระซิบบางอย่างแล้วผละออกมาลูบหัวหลานรักเบาๆ ส่งยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะออกไปโดยไม่ยอมหันหลังกลับมาอีก

“ความเสียสละของหลานในวันนี้เป็นสิ่งที่ตาภูมิใจที่สุด” นั่นคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของฮาน่าที่มองแผ่นหลังญาติเพียงคนเดียวไกลออกไปเรื่อยๆ

หลังมือขาวถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่รื่นขึ้นมาก่อนจะสูดน้ำมูกกลับเข้าไปรวบรวมกำลังใจที่มีเผชิญหน้ากับบุคคลที่อันตรายที่สุดในสายตาเธอ

หลังจากทุกอย่างเงียบสงบปราศจากบุคคลที่สามบรรยากาศชวนอึดอัดก็เริ่มต้นขึ้นทันที เจ้าสาวมือใหม่กวาดสายตามองเข้ามาในกระโจม กระโจมนี้ดูแข็งแรงดีที่เดียวมีแจกันกระบองเพชรที่ออกดอกเล็กๆ วางอยู่ที่โต๊ะเตี้ยๆ ตัวหนึ่งคล้ายโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อดวงตาสีเทาเข้มไปจบอยู่ที่ร่างสูงในชุดสีเดียวกันกับตัวเองฮาน่ามีหน้าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ร่างสูงมองกลับยักไล่ในท่าทีสบายๆ เสียจนน่าหมั่นไส้ซ้ำยังกรอกตาขึ้นฟ้าราวระอาเธอเสียเต็มประดา

มูซาเดินส่ายศีรษะตรงไปที่ทางเข้ากระโจมมือหนาสะบัดผ้าขึ้น หันมาพยักพเยิดให้เธอตามมา เมื่อเห็นสีหน้างงงวยและเท้าที่ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตามของเจ้าสาวจากที่นิ่งเฉยก็เริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว

“เจ้าจะยืนอยู่อีกนานไหม ข้าเมื่อยแขนจะแย่แล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงห้วนขณะแหวกผ้าเข้ามุมกระโจมเพื่อเปิดทางให้เธอผ่านเข้าไปด้านใน

“แล้วเจ้าไปยืนทำอะไรของเจ้าตรงนั่นเล่า”

“ก็เปิดทางให้เจ้าสาวของข้าเดินเข้ามาในเรือนหอของเราน่ะสิ มันเป็นธรรมเนียมของพวกเจ้าไม่ใช่หรือที่ข้าต้องเปิดประตูต้อนรับเจ้าสาวให้ก้าวข้ามเข้ามาในเรือนหอ”

ฮาน่ารู้สึกขัดใจที่อีกฝ่ายพูคำว่าเจ้าสาวออกมาได้ถนัดปากราวกับท่องจำมาตั้งแต่เกิด

หน็อย คล่องปากเกินไปแล้วนะ ไม่มีใครบอกเขาหรือไงว่าระหว่างเธอกับเขาคือคนแปลกหน้าที่จับพลัดจับพลูมาแต่งงานกันเพราะอุบัติเหตุและความจำเป็นบางอย่าง

ใบหน้าเจ้าสาวที่มูซาเปรียบเอาไว้ว่างามราวนางฟ้าเมื่อช่วงค่ำเริ่มบูดบึ้งกลับมาเป็นหญิงสาวเจ้าอารมณ์ดังเดิมแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่ามองอยู่ดี สงสัยเพราะเครื่องแต่งกายแน่ๆ ที่แวบหนึ่งในหัวทำให้เขาเห็นนางเป็นนางฟ้า

“ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนั้น ยังไงเสียการแต่งงานนี่มันก็เหลือลอกลวงทั้งเพ” พูดจบฮาน่าก็ไม่ได้สนใจสีหน้าของอีกฝ่าย เธอจึงไม่รู้เลยว่าแววตาคมฉายแววไม่พอใจขึ้นมาวูบหนึ่งแต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

เพราะความหมั่นไส้ส่วนตัวบวกกับต้องการแกล้งอีกฝ่ายเธอจึงยึกยักท่ามากไม่ยอมเดินเข้าไปเสียที เมื่อคนรอเริ่มเมื่อยขึ้นมาจริงๆ และแน่ใจว่าเจ้าสาวของเขาเล่นลูกไม้ มือที่จับผ้าอยู่ปล่อยลงทันทีพร้อมสาวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวหญิงสาวโดยที่เจ้าตัวไม่มีเวลาแม้แต่จะตกใจเมื่ออ้อมแขนแข็งแรงช้อนเข้าที่ข้อพับอีกข้างกระชับเข้าที่ไหล่บางอุ้มเจ้าสาวตัวน้อยขึ้นแนบอกเดินผ่านผ้าเข้าไปอย่างง่ายดาย

“ชอบแบบฝรั่งก็ไม่บอก” เสียงต่ำกระซิบอยู่ข้างหูขณะที่ร่างสูงก้าวตรงไปยังเตียงนอนร่างเล็กก็ขยับทันที

“นี่ๆ เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ”

“ไม่มีใครบอกเจ้าหรือไงว่าเวลาขอร้องใคร พูดจาให้มันอ่อนหวานน่าฟังหน่อย”

“ปล่อยข้านะ!” เหมือนสิ่งที่มูซาบอกจะไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลย ซึ่งก็จริงเพราะตอนนี้ในหูของฮาน่ามีเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวเมื่อกายสาวต้องมาใกล้ชิดสนิทสนมกับร่างกายบุรุษแบบไม่ทันตั้งตัว

กับเตมีที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กยังไม่ได้เข้าใกล้เธอขนาดนี้มาก่อน ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ฮาน่าประหม่า

แก้มร้อนผ่าวที่แนบอยู่บนอกตึงแน่นจนแทบระเบิด ยิ่งเธอดิ้นเข้ายิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าแรงเสียดสีของผิวเนื้ออ่อนบางกับกล้ามเนื้อทำให้ใจเธอเป็นไม่เป็นส่ำ สุดท้ายฮาน่าจึงตัดสินใจที่จะเงียบไม่ต่อสู้อะไรกับคนร่างยักษ์อีก

“ว่าง่ายๆ อย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย”

นัยน์ตาคมก้มลงมองด้วยแววพราวระยับถูกใจ คนถูกชมหาได้ปลื้มไปกับเขาเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังประชดตน

มูซาค่อยๆ วางร่างบางลงบนเตียงอย่างระวัง ทันทีที่ร่างแตะฟูกเจ้าสาวก็ตั้งท่าจะหนีทันที แต่มีหรือคนอย่างมูซาจะรู้ไม่ทัน มือหนาตะครุบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเดียวก่อนจะผลักร่างเล็กให้นอนหงายโดยยึดข้อมือทั้งสองไว้เหนือศีรษะ

ชัยชนะที่มาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้คนที่ตกเป็นเบี้ยล่างถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง นัยน์ตาสีเทาเข้มมีรอยตระหนกซ่อนอยู่ แต่ก็ยังฝืนทำเป็นใจดีสู้เสือ

“เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่าข้าจะทำอะไรสินะ” น้ำเสียงที่ผิดไปจากปกติของเจ้าบ่าวของฮาน่าทำเอาเธอเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ

“ข้า ข้าไม่อยากรู้แล้ว”

เมื่อได้มองเจ้าสาวของตัวเองใกล้ๆ มูซาเพิ่งสังเกตว่านัยน์ตาสีเทาเข้มมีแรงดึงดูดที่ชวนให้มองแล้วมองอีก สีตาเข้มของอีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงสีของท้องฟ้าก่อนฝนตกที่ให้ความรู้สึกเหงาเศร้า มองทีไรแล้วนึกอยากจะปลอบอยู่ตลอด

“ทำไมละ ข้ากำลังจะแสดงคำตอบให้เจ้าเห็นแท้ๆ”

“ไม่ๆ ข้าไม่อยากรู้แล้วจริงๆ” น้ำเสียงเริ่มสั่นเมื่อเห็นแววตาสนุกสนานของเจ้าบ่าว ฮาน่าไม่รู้ว่าชายคนนี้มีลูกบ้าอะไรซ่อนอยู่ เขาอาจจะไม่รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะไม่ล่วงเกินเธอก็ได้ คิดได้อย่างนี้ฮาน่าก็เริ่มอยากจะร้องไห้บ้างแล้ว

“แต่ข้าอยากบอกนี่”

“เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ” ไม่ห้ามเปล่าร่างบางยังพยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมของคนร่างยักษ์ แต่ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไร ถีบแรงแค่ไหน ร่างตระหง่านที่อยู่เหนือร่างบอบบางของเธอก็ไม่ไหวติง เป็นฮาน่าต่างหากที่เหนื่อยหอบหมดแรงสู้

ใบหน้าเนียนแดงก่ำมีเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าแต่นัยน์ตาเข้มยังคงแววดื้อดึงไม่ยอมคน มูซาหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะใช้ปลายนิ้วค่อยๆ แตะไปตามกรอบหน้าตามรอยเหงื่อตรงขมับของคนไม่มีทางสู้ไหล่ลงมา โชคร้ายเหลือเกินที่หยาดเหงื่อไม่ได้หยุดที่ปลายคางหรือข้างแก้ม มันยังคงไหล่ลงมาตามลำคอขาวผ่องที่กลืนน้ำลายก้อนใหญ่เมื่อนิ้วแกร่งลากตามลงมา

ฮาน่าแทบลืมหายใจเมื่อปลายทางของเหงื่อเพียงไม่กี่หยดหายเข้าไปในร่องอกเบียดชิดที่ดุนดันชุดเจ้าสาวสีขาวที่บัดนี้แทบจะกลายเป็นผิวหนังอีกชั้นเพราะชื้นเหงื่อ

ริมฝีปากสีส้มสั่นระริกเอ่ยประท้วงเมื่อนิ้วร้อนๆ ของเขาทำท่าว่าจะตามเข้าไปสำรวจความอวบอิ่มนั้น

“หยุดนะ! จะ เจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะหยุดมือของเจ้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้า ข้าจะฆ่าเจ้าแน่ๆ” ทั้งห้ามทั้งขู่แต่คนร่างยักษ์กลับทำแค่ยักคิ้วยิ้มมุมปากไม่สนใจคำพูดเธอราวกับเป็นคนหูหนวก

“เจ้ากับข้าล้วนผ่านพิธีแต่งงานมาแล้วมีอะไรที่ข้าจะทำไม่ได้เล่า หืม ฮาน่า” เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้ยินเขาเรียกชื่อเธอเต็มสองหู น้ำเสียงทุ้มต่ำ ริมฝีปากหยักที่พูดจากวนประสาทอยู่เสมอ เอ่ยชื่อของเธอออกมาได้ชวนปั่นป่วนใจแปลกๆ

ฮาน่าไม่คิดว่าการที่ผู้ชายสักคนเรียกชื่อตนเองจะทำให้เธอรู้สึกประหลาดได้ถึงเพียงนี้ ความแตกต่างของน้ำเสียงที่เตมีเรียกเธอกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้มันทำให้เธอสูญเสียสมาธิ

“เจ้าก็รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มันก็แค่เรื่องของผลประโยชน์” ฮาน่าไม่รู้ว่าตัวเองพูดออกไปด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดถึงได้รู้สึกคันยิบๆ ที่ใจหลังจากพูดจบ แต่ดูเหมือนไม่ใช่แค่เธอที่มีปฏิกิริยากับรูปประโยคนี้

มูซาไม่เถียงในสิ่งที่อีกฝ่ายพู แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อเจ้าสาวของเขาเอาแต่ย้ำถึงเรื่องวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการแต่งงาน แม้จะรู้ดีว่าระหว่างเขากับเธอมันก็แค่ผลประโยชน์ เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ชอบเมื่อได้ยินมันออกมาจากปากของเธอ ซ้ำยังพูดมันออกมาด้วยท่าทีเหมือนกับว่าหากไม่มีเรื่องนี้เธอกับเขาก็ไม่มีวันได้ลงเอยกัน

“นั่นสิ มันก็แค่เรื่องผลประโยชน์ ข้าสามารถเป็นคนสืบทอดช่วยเหลือตาเจ้าได้ ขณะเดียวกันข้าเองก็ต้องมีสิทธิ์ในตัวเจ้าสินะ ถึงจะเรียกผลประโยชน์ต่างตอบแทน ข้าเข้าใจถูกใช่ไหมฮาน่า”



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2557, 22:20:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2557, 22:20:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1869





<< บทที่ 5 ตามล่า   บทที่ 7 ผลประโยชน์ต่างตอบแทน 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account