ทิพย์เทวี
เธอลงมาช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้พ้นภัย แต่เรื่องดันวุ่นเพราะใช้ฤทธิ์เดชไม่ได้

นางฟ้าเคยเลิศเลอในแดนสรวงกลับไม่ต่างจากวิญญาณง่อยเปลี้ย

ไม่รู้ว่างานนี้นางฟ้าต้องช่วยมนุษย์หรือมนุษย์ต้องช่วยนางฟ้ากันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2

สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่านค่ะ ดีใจจังที่ได้แว้บกลับมาแถวนี้อีกครั้งหนึ่งค่ะ อยากจะบอกว่าคิดถึงพี่น้องนักอ่านทุกท่านจริงๆ โดยเฉพาะท่านที่ติดตามงานเขียนของอ้อยตลอดมา และยินดีต้อนรับนักอ่านใหม่ๆ ทุกท่านด้วยเช่นกันค่ะ

เนื้อหาที่นำมาลงนี้ค่อนข้างสดนะคะ เพราะฉะนั้นอาจมีบางจุดที่ติดขัดบ้าง สะกดผิดบ้าง คำสลับกันบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ จึงขอแจ้งเพื่อทราบไว้ ณ ที่นี้จ้าาา

รัก...
อ้อย/สุชาคริยา


ปล. กำหนดอัพครั้งต่อไปยังไม่มีนะคะ ช่วงนี้ยังเร่งเขียนต้นฉบับอยู่ค่ะ

----------------------------------------------------------------------



บทที่ 2

สามวันมาแล้วที่มธุรสฟื้นขึ้นมาโดยไม่มีความทรงจำติดตัว เธอเริ่มคุ้นเคยกับการมีบดินทร์คอยดูแล คุ้นเคยกับการนั่งมองเขาหยิบจับข้าวของต่างๆ เดินไปเดินมารั้งรออยู่ใกล้ตัว เคยชินกับการที่เขาง่วนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์เพื่อทำอาหาร แปลงร่างเป็นพ่อครัวแสนน่ารักควบกับหน้าที่บริกรในครัวสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวของบ้านหลังนี้

“ผมชอบเวลาคุณมองผมเพลินๆ แบบนี้ บนเก้าอี้ตัวนั้น” เขาชี้มา สีหน้าและน้ำเสียงบอกว่าอารมณ์ดีก่อนจะหมุนตัวกลับไป

มธุรสก้มมองตนเอง ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของเขาดังว่า...

“เพราะนั่นยืนยันว่าคุณยังอยู่กับผมจริงๆ”

อบอุ่นใจที่ได้ยินถ้อยคำของบดินทร์แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้เขานิดหนึ่ง บดินทร์ยักคิ้วและยิ้มเมื่อมองเธอ เขาเดินเข้ามา

ใช่... เธอเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนี้นับแต่ครั้งแรกที่เหยียบย่างถึงครัว และจากนั้นก็จองที่นั่งตรงนี้เป็นอัตโนมัติทุกครั้งอย่างคุ้นเคย ความรู้สึกส่วนลึกบอกว่าการมองเขาทุกอิริยาบถบนเก้าอี้ตัวนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีว่าความทรงจำของเธอใกล้จะกลับมาเร็ววัน

บดินทร์วางชามข้าวต้มหนึ่งในสองไว้ตรงหน้าเธอ อีกชามหนึ่งอยู่ตรงหน้าที่นั่งของเขา ลากเก้าอี้มาใกล้ๆ นั่งลงเรียบร้อยก็หันหน้ามา พูดว่า “เสียดาย...”

เธอรอฟัง

“เสียดายที่นับตั้งแต่คุณฟื้น คุณไม่เคยชวนผมคุยสักครั้งหากผมไม่เริ่มก่อน”

มธุรสยิ้มน้อยๆ กับอาการแอบงอนคนของตัวใหญ่

บดินทร์หันออกไปมองนอกหน้าต่าง พูดโดยยังเหม่อเช่นนั้น “เพราะเมื่อก่อนคุณคุยจ้อจนผมรำคาญด้วยซ้ำ” เขายิ้มและหัวเราะเมื่อก้มหน้าลง แววตาเป็นประกายสดใสเมื่อหันมามองเธอ ยื่นมือข้างหนึ่งมาทัดผมของเธอไว้ที่ใบหู เลื่อนมือข้างเดียวกันนี้ประคองแก้ม มองเธอนิ่งๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา

มธุรสสัมผัสได้ว่าเขามีบางอย่างในใจแต่ไม่เอ่ยบอก แม้มีรอยยิ้มเสมอกลับไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดที่เห็น เธอรู้ว่าเขาพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้บ่อยครั้งทั้งสีหน้าแววตา ตอนนี้ก็เช่นกัน แม้จะยิ้มกว้าง แต่อาการสูดลมหายใจเข้าลึก หันไปก้มหน้าก้มตาจัดการกินข้าวต้มของตนเองโดยไม่พูดอะไรต่อก็นับว่าเป็นกริยาที่ไม่ปกตินัก

เธอจึงลองเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อไม่ให้เขาน้อยใจไปมากกว่านี้ “คุณยายแร่มไปที่แห่งใดหรือคะพี่ดินทร์ เช้านี้ยังมิได้พบหน้าพบตาเลยค่ะ” เธอเอ่ยเรียกเขาตามสรรพนามที่เจ้าตัวบอก แนะนำว่าควรพูดเช่นไรจึงไม่ดูแตกต่างจากคนอื่นมากนัก อีกทั้งเปลี่ยนคำลงท้ายจาก ‘เจ้าข้า’ เป็น ‘คะ ค่ะ’ แทน และเปลี่ยนคำเรียกจาก ‘ท่าน’ เป็น ‘พี่’

คำอื่นๆ ก็เช่นกัน เพราะอย่างน้อยการทำตามคำแนะนำย่อมดีกว่าการดื้อดึงให้ดูผิดพวกพ้องไป ตอนนี้เธอพูดได้คล่องมากกว่าเดิม เว้นแต่สำเนียงหรือคำบางคำยังไม่คุ้นชิน หากโดยรวมก็ไม่ถือว่าแปลกแตกต่างมากนัก เพียงแค่อาจพูดช้าไปบ้างก็ถือว่าทำได้ดีกว่าคราวแรกที่ฟื้น

“ไปล่าเหยื่อเหมือนเดิมจ้ะ”

มธุรสยิ้มกับคำตอบของเขา เมื่อวานนี้งงเป็นไก่ตาแตกว่าคำตอบนี้มีความหมายอย่างไร พอบดินทร์อธิบายจึงรู้ว่ายายแร่มไปซื้อของสดที่ตลาดใกล้ๆ บ้าน เขาต้องการให้ยายแร่มได้เดินออกกำลังกาย จะช่วยให้ผู้สูงอายุสุขภาพแข็งแรงดีกว่าการนั่งอยู่บ้านเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ส่วนการเดินทางก็มีหลานชายของยายแร่มคอยดูแลอยู่จึงไม่ต้องกังวล และหลานยายแร่มยังพ่วงหน้าที่ดูแลสวนรอบบ้านนี้ด้วย

“กินอิ่มแล้วดูหนังกันนะ” เขาชวน

“ค่ะ” เมื่อไม่มีอะไรทำก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ภาพยนตร์ที่ฉายนั้นเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุและลืมเรื่องราวของตัวเองเมื่อตื่นขึ้นมาในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำให้พระเอกของเรื่องต้องสรรหาวิธีที่ต่างๆ เพื่อทำให้หล่อนตกหลุมรักเขาในทุกๆ วันแทบไม่ซ้ำกัน

มธุรสอดไม่ได้ที่จะหันไปมองบดินทร์ เขานั่งเอกเขนกพิงหมอน ขาข้างหนึ่งเหยียดยาว อีกข้างหนึ่งคู้ขึ้นมา มองทีวีขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ

เขาอาจรู้สึกว่าถูกจ้องมองนานแล้วจึงหันมามองเธอ ถามผ่านสีหน้าว่ามีอะไรหรือโดยไม่เอ่ยถ้อยคำ มธุรสบ่ายหน้าไปยังทีวีนิดหนึ่งและหันกลับมามองบดินทร์ เขาก็ยักไหล่ซึ่งมีความหมายว่าไม่มีอะไรนี่

มธุรสจึงเอ่ย “พี่ดินทร์ต้องการให้น้องทราบสิ่งใดหรือคะ” เพราะไม่อย่างนั้นก็คงถูกเจ้าตัวยียวนไม่ตอบคำถามเรื่อยไปเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา

บดินทร์ขยับนั่งหลังตรง หยุดภาพยนตร์และหันมาหาเธอ รวมมือของเธอทั้งสองมากุมเอาไว้ “แค่อยากบอกว่าผมยังโชคดี ที่อย่างน้อยคุณก็ไม่ความจำเสื่อมในรอบหนึ่งวันเหมือนนางเอกในหนังเรื่องนี้...ก็แค่นั้น” เขายิ้ม

แต่มธุรสยิ้มไม่ค่อยออก รู้สึกสงสารเขามากกว่า เพราะจากที่เห็นก็รู้ว่าพระเอกน่าสงสารมากแค่ไหนกับการที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อให้คนรักของตัวจดจำเรื่องราวระหว่างกันให้ได้ จึงเอ่ยว่า

“ถ้าเช่นนั้น...พี่ดินจักมิบอกเล่าให้น้องฟังดอกฤๅ ว่าเราสองพบกัน ณ ที่แห่งใด บัดนี้ก็ล่วงมาถึงสามวันแล้ว หากพี่ดินทร์มิแจ้งให้น้องทราบความ เนิ่นช้าย่อมมิอาจจดจำ เมื่อใดน้องได้ฟังอาจระลึก แลมิเอ่ยถ้อยคำเยี่ยงลิเกนี้ ดั่งคำหยอกของพี่นะคะ” หวังว่าคำพูดประโยคนี้จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

และน่าจะได้ผลเมื่อเขายิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นมานี่มะ” เขาขยับตัว โน้มประคองกึ่งลากเธอไปนั่งติดกัน จัดตำแหน่งหมอนอิงให้ได้ตำแหน่งพอดี ตบที่หมอนสองสามครั้งเป็นการเชื้อเชิญ

มธุรสนั่งพับเพียบเช่นเดิมแต่กึ่งอิงหมอนที่บดินทร์จัดวาง พื้นนี้มีพรมหนาปูรองจึงไม่ปวดขาหรือเป็นเหน็บ บดินทร์นั้นขยับท่านั้นเป็นขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหาเธอ เขากอดอก ทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

“คุณกับผม เราเจอกันที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งในกาญจนบุรี”

“กาญจนบุรี” มธุรสทวนคำ

บดินทร์พยักหน้า “คุณหนีการแต่งงานกับผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ส่วนผมไปอบรม”

มธุรสขมวดคิ้ว “แล้ว...น้องมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรคะ”

เขายิ้ม ยักคิ้วเล็กน้อย ดวงตานั้นเป็นประกายเมื่อระลึกถึง “ตอนอบรมก็ไม่มีอะไร แค่คุยกันถูกคอ แลกเบอร์ แลกนามบัตร ไม่กี่วันจากนั้นคุณก็หนีตามผมมา”

มธุรสตาโตเมื่อได้ฟัง ก่อนความทรงจำจะหาย เธอกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนี้เชียวหรือ

บดินทร์หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้ามธุรส “คุณทำอย่างนั้นจริงๆ” แล้วขยับตัวลงนอนตะแคง มือหนึ่งค้ำศีรษะ มือหนึ่งยื่นมาจับมือของเธอ เกลี่ยที่หลังมือเบาๆ เอ่ยทั้งที่ยังยิ้มอยู่เช่นนั้น “ผมน่ะมาถึงกรุงเทพฯ ก่อน ไม่คิดหรอกว่าคุณจะติดต่อมา เซอร์ไพรซ์มากกว่าก็ตรงที่คุณมารอผมถึงหน้าบ้านเลยนะ วันนั้น"

เธอยิ้ม พยายามคิดตาม “นั่นเป็นเหตุให้น้องสูญเสียความทรงจำในเพลาต่อมาด้วย ใช่ฤๅไม่คะ” ลองเดาแม้ไม่มีอะไรผุดขึ้นในหัวเลย

เขายิ้ม พยักหน้าเล็กน้อย “แค่ส่วนหนึ่งจ้ะ คงพูดไม่ได้เต็มปากว่าสาเหตุอาการของคุณตอนนี้เป็นเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียว แต่มันมีรายละเอียดอีกหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ”

“แล้วพ่อกับแม่ของน้องละคะ”

“คุณอยู่กับคนอื่น...รส คุณไม่มีพ่อ แม่ หรือญาติผู้ใหญ่ให้ต้องเป็นกังวลกับการตัดสินใจของคุณเมื่อมาอยู่กับผม เพียงแค่มีกติกาบางอย่างของเราเวลาอยู่ด้วยกัน อีกสาเหตุก็เพื่อซ่อนตัวจากผู้มีอิทธิพล”

มธุรสไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สงสารบดินทร์มากกว่าหากเรื่องเป็นอย่างที่เขาบอก และมธุรสเริ่มเดาบางสิ่งได้ “ด้วยเหตุนี้...เสื้อผ้าของน้องจึงมีเพียงที่เห็น หรือเพิ่งซื้อใหม่ ใช่หรือไม่คะ ด้วยว่าอาจมีเหตุให้เราสองต้องย้ายที่อยู่เป็นการด่วน หรือมีเหตุร้ายแรง แลด้วยเหตุนี้จึงทำให้เรามิได้มีภาพถ่ายคู่กัน ด้วยเกรงว่าอาจมีคนของผู้มีอิทธิพลนั้นตามพบ ใช่หรือไม่คะ”

“เก่งจังเลย แฟนใครน้อ” บดินทร์ลุกนั่ง ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มสดใส โน้มตัวมาหอมแก้มเธอฟอดหนึ่งอย่างรวดเร็ว “แต่ตอนนี้มีแล้วนี่” ยิ้มและยักคิ้วนิดหนึ่งเมื่อถอยออกไป จ้องเธอนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร

ส่วนความหมายของคำพูดคือเขาเพิ่งใช้โทรศัพท์มือถือของตนเองถ่ายรูปคู่กันกับเธอเมื่อวานนี้ ทว่ามธุรสแน่ใจว่าเห็นความเศร้าในแววตาของบดินทร์ แม้เป็นเพียงแวบเดียวก็มากพอสำหรับการรับรู้ และก่อนที่เธอจะได้คิดสงสัยอะไรไปมากกว่านั้น บดินทร์ก็โถมกายกอดโดยไม่บอกกล่าว เขาถามด้วยเสียงแผ่วเบาพอให้ได้ยินกันสองคนว่า...

“รส... ผมรู้ดีว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมจะรักษาเวลานี้ไว้ให้ดีที่สุด” เขากอดเธอแน่นขึ้นแต่เธอกลับไม่รู้สึกอึดอัด “หากวันหนึ่งเราต้องจากกัน คุณจะลืมผมไหม” เขาเงียบไป

ส่วนเธอไม่ได้ตอบ รอฟังบดินทร์เงียบๆ กระทั่งเขาพูดว่า...

“ขอให้คุณรู้ว่าผมจะตามหาคุณจนเจอ รอผมนะรส”

มธุรสไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เสียงสั่นๆ ที่ได้ยินทำให้เธอกล้ายกมือของตนเองที่วางไม่ถูกก่อนนั้นกอดบดินทร์ ลูบแผ่นหลังของเขาเชื่องช้าแผ่วเบาหวังปลอบโยน ยิ้มกับคำสารภาพโดยไม่ผลักไสหรือเอนหลบเช่นทุกครั้ง ยอมให้บดินทร์ได้รับกำลังใจจากเธอบ้างสักเล็กน้อยเพื่อตอบแทนความดีที่เขาปฏิบัติต่อเธอ แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็มากพอสำหรับการจดจำ จึงเอ่ยในท่าทางนั้นว่า...

“น้องเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แลเชื่อว่าพี่ดินทร์จะตามหาน้องจนเจอ สิ่งใดที่พี่ดินทร์ปรารถนาจงสำเร็จนะคะ”

เหมือนว่าเขากำลังสะอื้นหรืออย่างไร เนื้อตัวจึงเหมือนสั่น แรงกอดและหอมที่ศีรษะของเธอมีเนิ่นนาน อาการสูดลมหายใจเข้าลึกทั้งยังจดจมูกลงที่กระหม่อมของเธอยิ่งทำให้สงสารและสงสัย เรื่องใดกันแน่ที่เธอไม่รู้และบดินทร์ไม่ยอมเฉลย แท้จริงแล้วมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง ทว่าเธอก็ไม่พูดอยู่ดี ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเช่นนั้นเงียบๆ

กว่าครู่หนึ่งบดินทร์จึงค่อยๆ ดันตัวเองออกมา ยิ้มด้วยสีหน้าที่เก็บความรู้สึกบางอย่างแทบไม่ไหวอีกต่อไป มธุรสรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ปนมาด้วยความเจ็บปวด อ้างว้าง และหดหู่ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มกว้าง

เธอและเขาต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครพูด สำหรับเธอคงไม่มีสิ่งใดจะมอบให้บดินทร์นอกจากรอยยิ้มเพื่อเป็นให้กำลังใจเท่านั้น

เสียงโทรศัพท์มือถือของบดินทร์ดังขึ้นขัดจังหวะบอกให้รู้ว่ามีสายเรียกเข้า เขาขยับลุก หยิบมารับแต่ดวงตาก็ยังจ้องมองเธออยู่ พูดเพียง “ครับ” คำเดียวก็วางโทรศัพท์ลง เขาขยับเข้ามา บอกกับเธอว่า “คุณพ่อกำลังจะมาถึง”

พูดไม่ทันขาดคำเสียงแตรรถก็ดังทันที บดินทร์ลุกขึ้นก่อนแล้วยื่นมือให้เธอ มธุรสสอดมือของตนเองไว้ในอุ้งมือของเขา ความแข็งแรงนั้นฉุดเธอลุกขึ้นอย่างง่ายดาย มือข้างหนึ่งของบดินทร์ประคองไหล่เธอเอาไว้ในลักษณะกึ่งกอด

เขาก้มหน้าลง กระซิบว่า “ต้องกอดกันให้คุณพ่อดูด้วย เดี๋ยวจะสงสัยว่าเราสองคนไปทำอะไรมา ถึงดูห่างเหินกันจัง” น้ำเสียงนั้นหรือจะสู้รอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็รู้ว่าหยอกเย้า

มธุรสยิ้มตาม แม้เบื้องหลังรอยยิ้มสดใสของของบดินทร์ที่เธอเห็นตอนนี้จะซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้ แต่เธอก็เชื่อใจว่าเขาจะบอกให้รู้เมื่อพร้อม

“ไปกันเถอะจ้ะ” บดินทร์จับมือของเธอและเดินออกไปด้วยกัน

รถยนต์สีเข้มคันหรูจอดตรงหน้าบ้านพอดีเมื่อเธอกับบดินทร์มาถึง เขาหันมายิ้ม แยกตัวออกไปเปิดประตูด้านหลังคนขับ ก้มตัวเข้าไปข้างในเพื่อประคองชายวัยราวห้าสิบกลางๆ

นางพยาบาลที่นั่งมาในรถช่วยจัดการตั้งเสา หล่อนเอื้อมมือเข้าไปหยิบถุงน้ำเกลือออกมาห้อยไว้ เรียบร้อยแล้วจึงพากันเดินเข้ามาในบ้านซึ่งเธอยืนรออยู่

พ่อของบดินทร์ยกมือขึ้นประนมแต่ไกลจนกลายเป็นเธอยกมือขึ้นไหว้ช้ากว่า จึงได้แต่ประนมมือค้างไว้เช่นนั้นแม้ในตอนที่ทั้งสามมาถึง จึงเอ่ย

“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยิ้มค้าง ในดวงตาของเขามีน้ำตาคลอหน่วย หันไปมองบดินทร์อย่างภาคภูมิใจแล้วหันมาพยักหน้าให้เธอนิดหนึ่ง บดินทร์พาคุณพ่อของเขามุ่งตรงไปที่โซฟาของห้องรับแขกนี้

นางพยาบาลปลีกตัวออกไปทันทีเมื่อบิดาของบดินทร์นั่งลงเรียบร้อย การจ้องมองแบบตาไม่กะพริบของท่านทำให้มธุรสยิ้มอย่างเดียวเพราะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าก่อนนี้พ่อสามีและลูกสะใภ้พูดคุยกันเช่นไร จึงปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งมองด้วยแววตาชื่นชมเช่นนั้นโดยไม่พูด

กระทั่งบดินทร์ขยับมานั่งใกล้เธอ ก้มกระซิบแบบไม่ให้เป็นพิรุธว่า “คุณพ่อผมชื่อสุภาพ” เขายิ้มให้กำลังใจและถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง มือของเขายังกุมมือข้างหนึ่งของเธอเอาไว้

“ดีใจที่ปลอดภัยครับ” ท่านพูดกับเธอ

มธุรสยิ้มตอบ มองบดินทร์นิดหนึ่งเพื่อขอกำลังใจ แล้วจึงหันไปมองคุณพ่อของเขา ดูเหมือนในห้องนี้จะปกคลุมไปด้วยความเงียบที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนสามคนเพราะไม่มีใครพูด กระทั่ง...

“พ่อรู้แค่คุณไม่ค่อยสบาย เจ้าดินทร์เขาโทรไปบอก ก็ได้แต่เป็นห่วง วันนี้หมออนุญาต เลยรีบแวะมาเยี่ยมครับ”

คุณพ่อของบดินทร์พูดจาสุภาพสมชื่อ มธุรสยิ้มกว้าง ยกมือไหว้ขอบคุณ “ขอบพระคุณมากๆ ค่ะคุณพ่อ ตอนนี้สบายดีมากแล้ว เพียงแค่จำบางอย่างมิได้เท่านั้น และมิใคร่สะดวกในเรื่องเก่าก่อน หากดีขึ้น คงคุยกับคุณพ่อได้สนุกมิน้อยเทียวค่ะ”

แววตาที่พ่อลูกมองกันถึงไม่พูดออกมามธุรสก็เดาออกว่า ‘อาการของเธอหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ แต่กระนั้นท่านก็ยังยิ้มตลอด ประหนึ่งจะใช้รอยยิ้มแทนคำพูดว่าไม่เป็นไร ดีใจ และขอบคุณ

การพูดคุยสารทุกข์สุกดิบทั่วไปจึงเริ่มขึ้นนับจากนั้น ไม่มีข้อมูลว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน นอกเสียจากบอกเล่าความดีใจ ความเจ็บป่วยของท่าน และจบลงที่มาส่งท่านขึ้นรถในเวลาบ่ายใกล้เย็นเพราะหมออนุญาตเวลาได้เพียงเท่านี้

ท่านหันมาพูดกับเธอก่อนจะขึ้นรถ “พ่อกับดินทร์เคยมีปัญหากันมาตลอด ขอบคุณจากใจจริงๆ ครับที่ช่วยประสานรอยร้าวนี้ หากไม่มีคุณ...ผมกับลูกคงไม่มีโอกาสได้พูดกันตลอดชีวิตก็ได้ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ ดีใจจริงๆ ที่ได้พบคุณครับ” พูดจบก็หันหน้าไปอีกทาง

อาการแอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ เธอรู้ว่าท่านคงไม่อยากให้เห็น แต่ก็ปิดบังไม่ไหว ที่สุดท่านหันมายิ้มให้

มธุรสได้แต่มองท่านที่ขึ้นรถ รู้แน่ชัดว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไปที่ได้เห็นน้ำตาของท่านเอ่อคลอก่อนนี้ ที่แม้ท่านจะยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยเล่าเรื่องสนุกสนาน แต่ในนาทีนี้ที่ท่านกำลังจะกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยถ้อยคำมากมายโดยเฉพาะคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งจริงใจได้มอบให้เธออย่างไม่ปิดบัง

รถคันนี้ค่อยๆ เคลื่อนผ่าน ท่านก้มหน้าลงอีกครั้ง ขยับปากว่า ‘ขอบคุณครับ’ ซึ่งเธอเข้าใจ บดินทร์โบกมือลาคุณพ่อของเขาโดยมือข้างหนึ่งยังกุมมือเธอเอาไว้ มองรถคันนั้นเคลื่อนไปจนลับตา

รอยยิ้มของคุณสุภาพช่างมีความหมายสำหรับเธอเหลือเกิน รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณและเทิดทูนจนเต็มอิ่มในหัวใจที่มอบให้กับคนไร้ความทรงจำ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

เป็นอีกครั้งที่มธุรสนอนอยู่ในอ้อมแขนของบดินทร์ เขาไม่ล่วงเกินมากไปกว่าการกอดนิ่งๆ และหอมแก้มหอมศีรษะ ทุกอย่างที่เธอสัมผัสอาจไม่คุ้นเคยในตอนแรก แต่บัดนี้เริ่มคุ้นชิน หลายสิ่งที่เขาทำแม้แสนธรรมดาแต่ก็มีคุณค่าต่อเธอมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่ารักเขาหรือไม่ แต่รู้แน่ชัดว่าเต็มใจที่มีบดินทร์ดูแลแบบนี้

แสงสว่างส่องเข้ามาไม่มากบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเช้าวันใหม่ มธุรสลุกขึ้นเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำตามปกติ อดไม่ได้ที่จะนั่งมองบดินทร์ที่ยังหลับตา ในใจอบอุ่นที่รู้ว่าคนตัวโตนอนอยู่เคียงข้าง

เธอถอนหายใจ สี่วันแล้วที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มีอดีตอย่างไร เพราะทุกคนเหมือนจงใจปิดปากสนิท แกล้งทำเป็นลืม และใช้ชีวิตเหมือนมีแค่กันและกัน

มธุรสค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เดินลงมา ตรงไปยังห้องน้ำ และเมื่อยื่นมือไปจับลูกบิดประตู

“พี่ดินทร์!” เธอตะโกนเรียกบดินทร์เสียงสั่น มีบางอย่างผิดปกติไป เป็นไปได้อย่างไรที่มือของเธอนี้ทะลุผ่านจับอะไรไม่ได้เลย

มธุรสมองมือของตัวเองด้วยความสงสัยตกใจ ครั้นยื่นมือไปจับลูกบิดอีกครั้งก็ทะลุไปอีกฝั่งเช่นเดิม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

“รส!” บดินทร์แทบกระโดดเมื่อมาถึงตัวเธอนี้

เขายังกอดเธอไว้ได้ มธุรสตกใจจนตัวสั่น มือนั้นยังกวัดแกว่งไปมา และแน่ชัดว่าไม่อาจแตะต้องสิ่งใดอีกแล้วนอกจากบดินทร์ รู้ดีว่ากำลังตกใจที่สุด และยิ่งตกใจเมื่อร่างกายของเธอกำลังเลือนราง แรงสัมผัสจากอ้อมกอดของบดินทร์เริ่มหายไป เธอรู้ว่าเขากำลังพูดแต่เธอไม่ได้ยินเสียแล้ว มองร่างกายของเขาตาไม่กะพริบ วงแขนกว้างนั้นกลายเป็นกอดตัวเอง เธอแหงนมองบดินทร์ที่ยืนอยู่ระยะประชิด เธอหวังจะกอดเขา แต่กลับทะลุผ่านเช่นเดียวกับประตูเสียแล้ว

มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เมื่อกี้เขายังกอดเธอได้อยู่เลย ทำไมตอนนี้จึงกลายเป็นว่าร่างกายของเธอเริ่มเลือนราง มันดูโปร่งแสงมากขึ้นทุกที

มธุรสมองบดินทร์อย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ทว่าดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยน้ำตาขณะพยายามคว้าตัวเธอเอาไว้แต่ก็ว่างเปล่า จับต้องไม่ได้อีกแล้ว

“เกิดสิ่งใดฤๅเจ้าข้า” ไม่สามารถปรับถ้อยคำใดได้อีกในเวลานี้ เธอตื่นตระหนกเกินกว่าจะเรียบเรียงเสียแล้ว

บดินทร์ทรุดกายลง เขาคุกเข่าตรงหน้าเธอ มือทั้งสองพยายามจับเท้าของเธอบนพื้น พยายามคว้าขาของเธอแต่ก็ล้มเหลว เขาสะอื้นไห้ ในอกของเธอวูบโหวงแต่ก็เป็นห่วงบดินทร์มากกว่า จึงค่อยๆ ย่อกาย ใบหน้าของเธอกับเขาอยู่ระดับเดียวกัน

“พี่ดินทร์” แม้เหตุการณ์ตอนนี้น่าอกสั่นขวัญแขวน แต่สติของเธอกลับมั่นคงนัก เพิ่งสังเกตว่าเสียงไม่แจ่มชัดเหมือนเดิมอีก มันก้องกังวานแต่แผ่วเบาจนไม่เหมือนเสียงมนุษย์ทั่วไป

ใบหน้าหล่อเหลาของบดินทร์เงยขึ้นมองเธอ ดวงตาและจมูกของเขาแดงก่ำ ความร้าวรานเจ็บปวดไม่มีปิดบัง เขายื่นมือมาช้าๆ ประคองแก้มที่มิอาจสัมผัสได้อีก

“รอผมนะรส... รอผม ผมจะตามหาคุณจนเจอ ผมเชื่อว่าเราจะได้พบกัน” รอยยิ้มนั้นฝืดเฝื่อนรวดร้าวเหลือเกิน

ในความสับสนมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมธุรสกลับทำใจนิ่งสงบได้อย่างน่าประหลาด เธอยิ้มให้เขาอย่างสวยที่สุดและตั้งใจยิ้มให้เขามากที่สุด เอ่ยว่า...

“แม้นอดีตมิอาจจดจำ แต่เบื้องหน้าขอกุศลกำหนด ให้เป็นไป” ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเอ่ยคำนี้ออกมา ทั้งที่อดีตของเธอยังไม่มีสิ่งใดปรากฏ ไม่มีอะไรให้ระลึกถึงมากกว่าสี่วันนับแต่ฟื้นและพบเขา ยิ่งไม่รู้เลยว่าอนาคตนั้นจะเป็นไปอย่างไร รู้แค่ปัจจุบันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำใจให้สงบนิ่ง ยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดให้ดีที่สุดเท่านั้น

“นางฟ้าของผม...”

ช่างอบอุ่นและสงบเงียบในใจของเธออย่างน่าประหลาด คำพูดสั้นๆ แต่รู้สึกมั่นคงยิ่งแจ่มชัด ความสงสัยทั้งหลายปลาสนาการไปหมดสิ้น หรือตัวตนแท้จริงของเธอกำลังกลับมา มธุรสไม่หวาดกลัวสิ่งใดอีกแล้ว พร้อมเผชิญทุกอย่างกับความลับที่ถูกซ่อนไว้ในบัดนี้

และในเสี้ยววินาที... ภาพบางอย่างกำลังปรากฏให้มธุรสได้เห็น เรื่องราวใดในอดีตระหว่างเขากับเธอ เรื่องราวที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่ทำให้เกิดผลเป็นวันนี้ เวลานี้ และวินาทีนี้กำลังแจ่มชัด

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2557, 19:31:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2557, 15:46:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1552





<< บทที่ 1   บทที่ 3 (1/2) >>
สุชาคริยา 29 พ.ค. 2557, 19:49:04 น.
ตอบเม้นท์จากตอนที่แล้วจ้า >>

คุณแล่นแต๊ = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ดีใจที่ติดตามงานเขียนของอ้อยนะคะ ^^

คุณคิมหันตุ์ = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ ดีใจจัง ^^

คุณ Sukhumvit66 = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ^^

คุณแว่นใส = คิดถึงจังเลยค่ะ

คุณ Supayalak = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ คิดถึงนะคะ จุ๊บๆ

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = ขอบพระคุณมากๆ จ้า จ๊วบๆ

คุณพัชรวลี = ดีใจที่ชอบจ้า ขอบพระคุณมากๆ จ้า กอดดดด


นักอ่านเหนียวหนึบ 29 พ.ค. 2557, 21:31:05 น.
อร๊ายยยยย น่าติดตามที่สุดๆๆๆๆ
แอบน้ำตาคลอเบาๆ


omelate 29 พ.ค. 2557, 22:05:25 น.
สงสารพี่ดินจังงงง


แว่นใส 29 พ.ค. 2557, 22:23:54 น.
ร่างนางฟ้า กำลังเล่าเรื่องย้อนหลังใช่ไหมเนี่ย


สุชาคริยา 29 พ.ค. 2557, 23:27:55 น.

@คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = น้ำตาคลอออออ

@คุณ omelate = คิดถึงนะคะ // ใช่ค่ะ น่าสงสาร แต่ไม่รู้ว่าหากเจอวีรกรรมแกก่อนนี้ จะรู้สึกสงสารกันอีกหรือเปล่าเนอะ หุหุ

@คุณแว่นใส = ไม่บอกจ้า หลอกให้เดา อิอิ ^^


คิมหันตุ์ 30 พ.ค. 2557, 01:49:43 น.
โอ๊ย .....มาแล้วๆ รีบๆอัพนะคะ น่าติดตามตลอด


supayalak 30 พ.ค. 2557, 22:57:18 น.
โฮ ฮฮฮฮฮฮ อะรายกันค้า สงสารคุณบดินทร์จังเกิดอะไรกันขึ้นคะเนี่ย ทำไมคุณรสถึงหายไปได้หล่ะ รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ นะจ้าาาาตัวเอง


สุชาคริยา 26 ส.ค. 2557, 07:33:10 น.
@คุณคิมหันตุ์ = หลังจากนี้จะพยายามมาอัพบ่อยๆ ไม่ช้าแล้วจ้า
@คุณsupayalak = ขอบพระคุณมากๆ จ้า จุ๊บๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account