UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 10 : คำสัญญา

บทที่ 10

โชติรสกับวงเดือนคุยกันอย่างถูกคอ และต่างก็ใช้สายตาผู้ใหญ่เอ็นดูกองพันได้เป็นดวงตาเดียวกัน เขียนจันทร์รู้สึกบรรยากาศที่เริ่มวุ่นวายในตอนแรกไม่มีใครหวนนึกถึงอีก ทุกคนตั้งใจมอบความสุข ความสนุก และรอยยิ้มให้กองพันที่กลายเป็นศูนย์กลางของงานวันเกิดวันนี้ เกียรติยศ และศดาธรคนสนิทของรักษ์ชาติต้องมาเล่นละครสัตว์ เป็นยานพาหนะให้เด็กชายขี่ไม่มีการรักษามาด หรือนราที่คอยอวยนั่นนี่ เล่าเรื่องประกอบการเล่น เป็นคนทำให้บรรยากาศในงานลื่นไหลไม่ติดขัด

ตกค่ำหลังอาหารมื้อใหญ่ และขนมผ่านพ้น กองพันก็หลับปุ๋ยซบไหล่เขียนจันทร์หลับสนิท ทั้งที่ทุกคนยังคุยกันอย่างครื้นเครง หญิงสาวขอตัวขึ้นมาส่งกองพันขึ้นนอน มีรักษ์ชาติตามติดไม่สนใจสายตาห้ามปรามของวงเดือนที่มองมา ยังไงท่านก็ยังตั้งแง่กับรักชาติเช่นเดิม

ริมฝีปากสีเชอร์รี่จุ๊บเบาๆ บนหน้าผากของกองพันที่นอนจมลงไปในกองผ้าห่ม และหมอน เตียงขนาดใหญ่หลายฟุตทำให้ร่างเล็กดูเล็กขึ้นถนัดตา “มีความสุขมากๆ นะคะ มีความสุขทุกๆ วัน จากนี้จนถึงวันต่อๆ ไปด้วยนะครับ”

“คุณนอนห้องนี้ใช่ไหม” รักษ์ชาติยืนพิงขอบหน้าต่าง สายตาสำรวจห้องไปพลาง “ถ้าให้ลูกขุนนอน คุณก็ควรย้ายห้อง ไม่ก็หาห้องใหม่ให้ลูกขุน เด็กโตตั้งสี่ขวบคงไม่ติดผ้าห่ม ติดพ่อแม่แล้วล่ะ”

เขียนจันทร์ลุกจากที่นอน ยืนขึ้น มองอาการสั่งการของรักษ์ชาติแล้วได้แต่ส่ายหน้า “คุณคิด แต่ลูกขุนไม่ได้คิดแบบนั้นค่ะ ฉันจะนอนห้องนี้”

รักษ์ชาติถอนลมหายใจเสียงดัง สีหน้าหงุดหงิดยามได้ฟังคำตอบที่ไม่ตรงใจ ชูแขนมากางกั้นไว้ไม่ให้เขียนจันทร์ได้เดินออกไปยังประตู จัดการรวบร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน รัดไว้ด้วยแขนข้างเดียว พอเหลือที่เว้นไว้ให้พอหายใจหายคอบ้าง

“ทำบ้าอะไร” เขียนจันทร์กัดฟันพูด ไม่อยากให้เสียงดังจนปลุกกองพันให้ตื่น พอดิ้น เธอก็จะถูกรัดไว้แน่นขึ้น จึงได้แต่เกร็งตัวอยู่นิ่งๆ ทั้งที่ไม่เต็มใจ

“สัญญาก่อนว่าจะนอนคนละห้องกับลูกขุน” ท่าทีเอาแต่ใจ กับน้ำเสียงขวางๆ ทำให้เขียนจันทร์ขมวดคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ พลันตีความไปอีกหลายรูปแบบในหัว

“คุณหวงลูก หรือเป็นวิธีการเลี้ยงลูกแบบให้ขาดความอบอุ่น แล้วก็แข็งกระด้างน่าตบวันละหลายๆ หนแบบคุณเหรอคะ”

“จะเพราะอะไรก็ช่าง จะด่าฉันยังไงก็เชิญ แต่ฉันไม่อยากให้เธอนอนกับลูกขุน มีปัญหาไหม” รักษ์ชาติตีรวน อารมณ์ด้านมืดที่ทำให้ความยับยั้งชั่งใจน้อยจึงวางหน้าผากทาบลงไปบนผิวที่ยังแดงอ่อนๆ ไถเบาๆ ทั้งที่หลับตา เขาสัมผัสได้ว่าร่างนุ่มในอ้อมแขนเกร็งตัว และพยายามจะเอนศีรษะหนี ท่าทีต่อต้านนั้นยิ่งทำให้รักษ์ชาติสนุกกับการหาทางรั้งร่างนี้ไว้ไม่ยอมไป

“ทำอย่างนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับลูกขุนเลยนะคะ” เขียนจันทร์รู้สึกหน้าเหมือนไข้ขึ้น และหัวใจก็เต้นระรัวแปลกๆ ในชีวิตเธอเคยใกล้ชิดกับผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อหรือน้องชายขนาดนี้ที่ไหน ต่อให้เป็นพ่อหรือน้องเธอก็ไม่เคยทำขนาดนี้ หรือจะรักษ์ชาติเองก็เถอะ เธอไม่เคยใกล้ชิดกับเขาทำนองนี้ และเคยเจอมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน มันยิ่งแฝงมาด้วยความระแวง “ห้ามโขกอีกนะ มันเจ็บ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ”

เขียนจันทร์อยากยกมือที่ถูกเขารวบไว้ข้างหนึ่งมาข่วนหน้าที่กลายเป็นแมว เอาจมูกมาบี้กับจมูกส่ายหน้าไปมา ส่งเสียงงุ้งงิ้งเป็นเด็กถูกใจ ก่อนจะวางปากแปะบนหน้าผากเธอ และก่อนที่หัวใจเขียนจันทร์จะวายวอด สัมผัสเปียกชื้นก็เลียแผล็บไปบนหน้าผากเธอ แรงฮึดของเขียนจันทร์จึงกลับมา ผลักร่างหนาให้ถอยไปได้สำเร็จ พร้อมกับทำหน้าปุเลี่ยน ยกหลังมือเช็ดออกอย่างรังเกียจ ส่งเสียงยี้


“คุณมันน่ารังเกียจ สกปรก”

รักษ์ชาติหัวเราะในลำคอ ทำสุ้มเสียงเจ้าเล่ห์ “เคยได้ยินว่าน้ำลายมีสรรพคุณฆ่าเชื้อโรค ฉันก็ทำให้เธอนี่ไง จะได้หายเจ็บ เธอจะทำกลับก็ได้นะ ฉันจะไม่ว่าเธอว่าน่ารังเกียจด้วย สนไหม”


“ฉันลืมไปว่าคุณเป็นหมา ไม่ก็แมวบ้าลืมฉีดวัคซีน คุณมันไม่ใช่คนปกติ จิตวิปริต...คุณ” เขียนจันทร์หน้าแดงจัดด้วยความโกรธ ปากที่อ้ารอพ่นคำบริภาษเกิดอาการติดค้าง นึกคำไม่ออกเพราะสมองโกรธจนตื้อไปหมด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มอารมณ์รื่นเริง เขียนจันทร์อยากฟาดหลังมือใส่ซะหลายๆ ครั้ง ติดที่ว่าเธอยังกลัวผลตอบโต้กลับมาของเขาพอดู


รักษ์ชาติลากคนขี้พยศที่เริ่มตีรัวใส่มือที่เขาจับข้อมือไว้ มีทุบ มีข่วน แต่เขาก็ไม่สะเทือนนักจับมาวางนั่งบนสตู หยิบเจลเย็นที่วางบนผ้าสะอาดมาวางประคบให้บนหน้าผากเหม่ง หน้าคนได้รับการประคบเจลเย็นงุนงงไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นว่าอยู่ในสถานการณ์ปกติดีจึงวางใจ ไม่ต่อต้านอีก

แผ่นเจลเย็นนวดคลึงเบาๆ ทำให้เขียนจันทร์รู้สึกผ่อนคลายขึ้น อารมณ์ร้ายเมื่อครู่กระจายหาย ดวงตากลมโตใสมองตอบนัยน์ตาลึกล้ำของเขาที่กำลังมีประกายแปลกในแววตา

“คุณมันเป็นประเภทตบหัวแล้วลูบหลัง โขกหน้าผากแล้วมาประคบเย็น”

“จะได้มีโอกาสมาตอแยถึงสองรอบไง” น้ำเสียงทุ้มมีแววอ่อนโยนขึ้น เขียนจันทร์อยากยกมือขึ้นมาแคะหูให้เขาเห็นว่าเธออาจเกิดอาการหูฝาดขึ้นมา

“เป็นเวรเป็นกรรมของฉันสินะ ที่ต้องมีคุณมาตอแย คุณไม่คิดไปตอแยคนอื่นบ้างเหรอ ระวังเถอะ ฉันจะทำเหมือนพี่วาด หนีคุณไปเรื่อยๆ ควงคนโน้นคนนี้ ทีนี้คุณจะตอแยฉันไม่ได้อีก”

มือที่คลึงให้หยุด เพื่อจะใช้แววตาคมดุจดจ้องกับดวงตาของเขียนจันทร์ที่ไม่เคยปิดซ่อนความรู้สึกได้เลย เธออาจจะซ่อนกิริยาอาการไว้ได้ แต่ดวงตาคู่นี้ซ่อนหลายๆ สิ่งจากเขาไม่ได้

“ถ้าเธอทำได้ก็ลองดูสิ ฉันให้เธอท้าทายฉันได้เต็มที่”

เขียนจันทร์ก้มหน้ากลืนน้ำลายอึกโต เขาอนุญาต แต่แววตาดุจัดนั้นกำลังบอกว่าถ้าเธอคิดจะหนีมีดเล่มนี้จะปักคอเธอเองมากกว่า

“ฉันไม่ปล่อยแม่ของลูกฉันไปเด็ดขาด ขี้เกียจไปหาใหม่ ยังไงเธอก็จิกเรียกใช้ได้ง่ายที่สุด เธอเคยบอกว่าจะตอบแทนฉันเรื่องหนึ่งสมัยเธอเจ็ดขวบจำได้ไหม”

คนฟังทำหน้าละเหี่ย หากเธอเป็นหญิงสาวชื่อวาดตะวัน คำพูดระดับน้ำเสียงคงลื่นหูน่าฟัง จนอาจเปลี่ยนบทสนทนาที่อธิบายเหตุผลยาวเหยียด เหลือเพียงแค่ ‘ฉันไม่ปล่อยแม่ของลูกฉันไปเด็ดขาด’ การบรรยายเหตุผลใจร้ายที่เหลือมานั้นเอาตะปูมาตอกหน้าเธอสักโหลยังไม่เจ็บเท่า

เรื่องนานปีที่มีรักษ์ชาติตามจิกแบบนั้นเธอจำไม่ได้หรอก เพราะช่วงชีวิตส่วนใหญ่ของเธอก็มีแต่เขา...เขียนจันทร์ส่ายหน้าไปมา เสียงแผ่นเจลวางแปะดังไปบนโต๊ะเล็กข้างเตียง สีหน้าของรักษ์ชาตินิ่ง และเริ่มแผ่รังสีอำมหิตออกมา

“เรื่องดีๆ ของฉันเธอกลับไม่คิดจำ นี่ตั้งใจเบี้ยวสัญญาฉันใช่ไหม”

“เรื่องดีหนึ่งเรื่อง คงถูกเรื่องเลวร้ายพันเรื่องของคุณกลบไปหมดแล้ว” เขียนจันทร์ย่นคอ ย่นจมูกใส่ท่าทีจะพุ่งเข้าใส่ของเขา ก่อนถอนหายใจ นึกทบทวนอย่างใจเย็น “เจ็ดขวบก็มีเรื่องหนึ่งล่ะ เรื่องที่ฉันบังคับม้าที่ขี่ไม่ได้ มันพยศ แล้วตอนนั้นคุณก็เดินตามหาพี่วาด บังเอิญมาอยู่ในเหตุการณ์เป็นเบาะมนุษย์รับร่างฉันได้พอดี...เรื่องนั้นใช่ไหม ตอนนั้นที่คุณล้มกางเกงขาดเสียงดังแควกเลย ฉันจำลายอุลตร้าแมนได้ติดตา”

หน้าคนสั่งให้ย้อนความทรงจำแดงลามไปถึงใบหู การตอกย้ำเรื่องอุลตร้าแมนเป็นเรื่องน่าอายที่เด็กสิบเอ็ดขวบในตอนนั้นจำฝังใจจนถึงกับมาระรานเขียนจันทร์หนักข้อขึ้น เพราะกลัวเธอเอาเรื่องนี้ไปเปิดโปง

“เรื่องนั้นแหละ เธอสัญญาว่าจะทำตามคำขอของฉันหนึ่งข้อ ฉันยังไม่ได้ใช้มัน”

เขียนจันทร์ส่งเสียงเหอะ ปากไม่อยู่สุขให้เขาเอาเปรียบเธอฝ่ายเดียว “ที่คุณสั่งนั่นสั่งนี่มันเกินหนึ่งข้อไปตั้งนานแล้ว”

“ฉันจะขอให้เธอเป็นแม่ของลูก แล้วก็เป็นผู้หญิงของฉัน ไม่มีกำหนดวันสิ้นสุด”

คำขอของเขาทำสมองเขียนจันทร์ขาวโพลน ตกตะลึก พบว่าผู้ชายแข็งกระด้าง หยาบคายเบื้องหน้าเธอกำลังคุกเข่าจนศีรษะอยู่ระดับเดียวกับหน้าเธอ เขียนจันทร์รู้สึกว่าใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ลมหายใจเป่ารดเส้นผม ยามที่ริมฝีปากของรักษ์ชาติจรดลงไปบนกลางหน้าผาก ความรู้สึกบิดมวนในท้องเขียนจันทร์ก็บังเกิด เธอรู้สึกมีอะไรพึ่บพั่บในท้องของเธอ และมันขับเคลื่อนมาถึงหัวใจ สัมผัสละมุนนั้นไม่กี่วินาที แต่มันช่างยาวนานในความรู้สึกของเขียนจันทร์ยามหลับตาพริ้มยอมรับมัน

“ตาเธอแล้ว”

หน้าผากสีเข้มยื่นมาระดับริมฝีปากของเธอ เขียนจันทร์เม้มปากแน่น ส่ายหน้าดิก ไม่มีวันทำตามสิ่งที่เขาทำเด็ดขาด “ถ้าฉันบังคับ ปากเธออาจจะเจ็บ”

เขามันบ้า...ไอ้ผู้ชายช่างขู่ เขียนจันทร์ร่ำร้องในอก หากเขายังบ้าสั่งการ นิสัยเสีย มุทะลุ แข็งกระด้าง ปากจัด ยังอุดมพร้อมด้วยข้อเสียมากมาย หากเธอยอมเขาในครั้งนี้ชีวิตเธอคงเป็นทาสน้อยในเรือนเบี้ยของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่คนที่เขารัก แต่เขาจะไม่มีวันปล่อย

เขียนจันทร์รู้สึกเจ็บเมื่อคิดถึงคำว่ารัก เธอไม่รู้หรอกว่าความรักฉันท์หนุ่มสาวมันหน้าตาอย่างไร เพราะเธอไม่เคยมี ไม่แม้แต่จะเฉียดกรายเข้าใกล้ เธอมีแต่ครอบครัวที่เธอรู้ว่ารักมันคือความปรารถนาดีทุกอย่างที่จะมีได้ แต่กับรักษ์ชาติ เวลาเผลอนึกในหัวเธอยังคอยด่าเขาทางความคิด ยังอยากยกมือข่วนหน้าเขาทุกครั้งที่เจอ หรืออยากตบปากเวลาปากเขาพ่นคำไม่น่าฟัง แต่คนที่จะอยู่ด้วยกันมันต้องมีความรักไม่ใช่เหรอ...กับคนที่เขาบอกว่าเกลียด ทำไมถึงได้ขออะไรที่เหนือความคาดหมายขนาดนี้

“ฉันขอปฏิเสธคำขอที่จะเป็นผู้หญิงของคุณ เหตุที่ฉันจะพูดเป็นแค่ตัวอย่าง หนึ่ง คุณมีสิทธิ์พบผู้หญิงที่ดีกว่าฉัน ใครก็ได้ที่คุณจะให้เกียรติเขามากพอ เหมือนที่คุณแสดงออกต่อหน้าพี่วาด คนที่คุณจะเรียกหาเขาตลอดเวลา คิดถึงเขาตลอดเวลา อยากทำตัวดีๆ เพื่อเขา คนที่คุณคิดว่าเขาทำให้หัวใจของคุณเต้นแรงขึ้น ซึ่งฉันคิดว่าคนๆ นั้นคงจะไม่ใช่ฉัน ส่วนสอง ฉันจะรับหน้าที่เป็นแม่ของลูกขุน จนกว่าคุณจะพบผู้หญิงคนนั้น แล้วฉันจะหมดหน้าที่ในฐานะแม่ของลูกขุนทันที”

“เธอคิดว่าที่ฉันขอเธอแบบนั้นเพราะอะไร” รักษ์ชาติลุกขึ้นยืน ยกมือลูบหน้าที่ใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มแก่ ชายหนุ่มเห็นดวงตาสับสนจากดวงตาคู่นั้น แต่เขาไม่คิดจะมองอีกต่อไป ร่างสูงลุกขึ้นไปอุ้มกองพันที่หลับสนิทขึ้นมา ดวงตาคมกล้ามีประกายไฟโกรธจัด “เธอไม่ต้องดูแลลูกขุนอีก ฉันดูแลเขาเองได้ ลูกจะโตมายังไง เขาก็เป็นลูกฉัน ไม่ใช่ลูกเธอ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมทั้งวันเกิดที่ดีที่สุดตั้งแต่ลูกขุนเคยมี ฉันขอบคุณแทนเขาจากใจ”

สองพ่อลูกจากไป ทิ้งความเงียบและความหนักอึ้งค้างในใจเขียนจันทร์ที่สลัดออกไปเท่าไหร่ก็ไม่หลุด เธอจำแววตาของรักษ์ชาติที่มองด้วยความรู้สึกหลากหลายนั้นได้ มีสายตาอันหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าหากเขาพูดก็คือ ‘ทิ้งกันทำไม’ ร่างระหงพยุงกายล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มที่เคยมีกองพันนอนให้เธอกอดอยู่หลายคืน หญิงสาวไม่มีอารมณ์ส่งแขกที่ไหนอีก ได้แต่ยกผ้ามาคลุมปิดหน้า แล้วหลับตาลง หยดน้ำอุ่นกำลังรินรดผิวแก้มเธออย่างช้าๆ

มันไม่ได้ชะล้างให้ความรู้สึกผิดในใจเธอจางไปได้เลย หากมีเวลาที่เธอย้อนกลับไปถามเขาได้ เธอจะถามเขาก่อนตอบ ‘เขาคิดอะไรจึงขอแบบนั้น’ เพราะเธออ่านรักษ์ชาติไม่ออก ไม่เคยออก เขียนจันทร์ผล็อยหลับไป ภาพความทรงจำหวนกลับมา ในอดีตวัยเจ็ดขวบของเธอ


ร่างที่สูงไม่ถึงหลังม้าปีนขึ้นนั่งขี่หลังตรง หลังจากหนีพ่อมาแอบขี่ม้าเพียงลำพัง เขียนจันทร์ขึ้นยังไม่ทันเรียบร้อย ม้าก็ตกใจเสียงปืนยิงนกที่ดังมาไม่ไกล ม้าสีดำมันปลาบพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง เขียนจันทร์จับจังหวะของมันไม่ได้ ขาข้างหนึ่งยังเกี่ยวขาให้มั่นคงไม่ทัน ร่างของเธอก็เอนเอียงจวนจะตก ท้องไส้บิดมวน เด็กหญิงคิดว่าหากเธอตกลงไป เธอต้องถูกม้าตัวนี้เหยียบซ้ำจนตายแน่ๆ น้ำตายิ่งร่วงกราวอาบสองแก้มด้วยความกลัวสุดชีวิต

‘เขียนอย่าหลับตา’ เสียงที่เรียกไว้ดังมาจากเด็กชายวัยประถมห้า หุ่นผอมสูงกระโดดข้ามรั้วกั้นสนามเข้ามา สองมือคอยตะโกนไว้ยามวิ่งมารอจังหวะที่ม้าจะผ่านหน้า ‘มองมาที่ฉัน แล้วกระโดด ฉันจะรับเธอไว้เอง’

‘ฉันกลัว’

รักษ์ชาติไม่สนใจจะปลอบเด็กน้อยให้หายกลัวสักนิด ‘ขึ้นขี่เอง อยากจะลงก็ต้องพาขาเธอลงมาเอง ฉันทำได้แค่รอรับเธอไม่ให้เจ็บ เข้าใจไหมยัยเด็กโง่’

‘ไม่เข้าใจ ฉันไม่เชื่อนาย นายต้องแกล้งปล่อยฉันตกลงมาตาย’ เขียนจันทร์สูดน้ำมูกเสียงดัง พยายามเกาะแผงคอม้าที่เริ่มพยศ แต่มือเล็กของเธอกุมไว้ไม่อยู่ จู่ๆ ม้าก็ยกขาหน้าสองข้างขึ้น เขียนจันทร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังเล่นไม้กระดก ร่างเธอลอยคว้างอย่างกับมีปีกบินได้ ก่อนจะหล่นตุบ รู้สึกไหล่ยอก แต่ไม่ได้เจ็บหลัง เสียงที่ร้องครวญอยู่ใต้ร่าง มือที่รัดเอวเธอไว้ทำให้รู้ว่า ‘ใคร’ ที่มาช่วย ตอนนั้นเธอได้ยินเหมือนเสียงอะไรขาด

‘ลุกได้ยังยัยเบ๊อะจอมเซ่อ ทั้งเจ็บทั้งจุก เธอต้องรับผิดชอบ พาวาดมาหาฉันเลย ฉันตามหาเขา แต่ดันซวยมาเจอเธอทำเรื่องก่อน’

เขียนจันทร์ใช้มือดันพื้น แล้วลุกมานั่งห่างออกไปนิดหน่อย ให้รักษ์ชาติขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สายตาของเขียนจันทร์ก็จ้องตาโตกับสิ่งที่ปรากฏหรา เป็นสีขาวที่โผล่พ้นกางเกงนักเรียนสีน้ำตาล ตัวการ์ตูนสีแดงขาวทำท่าปล่อยพลัง

ขาที่อ้ากว้างหุบฉ่ำ ผิวแก้มของรักษ์ชาติแดงก่ำ ดวงตาขุ่นเคือง ‘ค่าดูอุลตร้าแมนของฉัน เธอต้องรับผิดชอบ เธอจะต้องติดค้างฉัน เป็นหนี้ฉัน ฉันจะเรียกหนี้จากเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเธอเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาล่ะก็ ฉันจะฆ่าเธอ’

เด็กหญิงตัวน้อยหาได้กลัวไม่ เธอลุกขึ้นส่ายก้นดุกดิก ถือโอกาสล้อเลียนกันซึ่งๆ หน้า ‘ขี้งก แค่อุลตร้าแมนก็หวงด้วย แบร่ อุลตร้าแมนตัวแดงปล่อยพลัง’

‘จำไว้ เพราะเรื่องนี้ สักวันเธอจะต้องชดใช้ เด็กบ้า’


เสียงก่นด่าของเด็กชายดังก้องจนเหมือนดังอยู่ข้างหู เขียนจันทร์ลืมตาตื่น มองผ้าม่านพลิ้วที่มีแสงวันใหม่ส่องลอดเข้ามา บรรยากาศในภาพฝันดูสนุกสนานจนเธอไม่อยากตื่น เธอเองก็ลืมไปว่าช่วงหนึ่งเธอชอบหยิบเรื่องอุลตร้าแมนมาแซวต่อหน้ารักษ์ชาติบ่อย แต่พอเวลาผ่านไป เธอก็เริ่มลืม

เช้าวันนี้ความหนักอึ้งที่รู้สึกเมื่อคืนถาโถมกลับมาตอกย้ำอีกครั้ง เขียนจันทร์กอดผ้าห่มไว้ หน้าง้ำงอด้วยความรู้สึกกลืนยาขม ความรู้สึกย่ำแย่ในอกเธอตอนนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเหตุผลของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้...คนที่ผิดคือเธอ

รักษ์ชาติช่างเก่งกาจในการเดินหันหลัง กอดกองพันออกไป แล้วทิ้งเธอไว้กับความรู้สึกผิดมหาศาล เหมือนคนจะจมน้ำ อึดอัด หาทางออกไม่พบ มันเป็นความรู้สึกแย่ ย่ำแย่มากจริงๆ

นิ้วเรียวเกี่ยวสายกระเป๋ามาหยิบโทรศัพท์ที่ยังเหลือแบตอยู่ครึ่งหนึ่งมากดส่งข้อความ ถึงอย่างไร เธอก็อยากจะแก้ตัวอะไรนิดๆ หน่อย

‘ฝากอรุณสวัสดิ์น้องขุนด้วย ตื่นขึ้นมาไม่เจอฉัน เขาอาจจะถามถึง ฉันคิดถึงน้องขุนจริงๆ นะ’

เขียนจันทร์อ่านข้อความที่ตั้งใจส่งไปให้รักษ์ชาติ แต่กล่าวถึงกองพันเกือบทั้งหมด เขียนจันทร์ไม่รู้ว่าจะขอโทษเขาทำไม ขอโทษเรื่องอะไร แก่ความเอาแต่ใจของเขาอย่างนั้นเหรอ เขาเองก็ไร้เหตุผลกับเธอเหมือนกัน เอาแต่สั่งนั่น สั่งนี่ และครั้งนี้เขาก็ไม่อธิบายว่าทำไมถึงต้องสั่งให้เธอเป็นผู้หญิงของเขา

มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย...

เสียงข้อความดังขึ้น เขียนจันทร์พอรู้ว่าฝ่ายนั้นคงระเบิดลงกับการที่เธอทำเหมือนไม่เห็นหัวเขา แล้วก็จริง

‘ฉันจะไม่บอก จะไม่ให้เขารู้เรื่องของเธออีก จะทำให้เหมือนตายจากกัน ไม่มีโอกาสเจอกันตลอดชีวิต แล้วน้องขุนก็จะลืมเธอ’

ผู้ชายใจร้าย...เขียนจันทร์กระบอกตาร้อนผ่าวกับความโหดร้ายของข้อความที่รักษ์ชาติส่งมา ความเกลียดชังแสดงออกผ่านข้อความโดยที่เธอไม่ต้องสงสัยอะไรอีก ความน้อยใจทำให้นิ้วของเธอกดส่งข้อความไปด้วยใจที่ไม่ปกติ

‘ฉันตามใจคุณ ฉันคงทำดีได้เท่านี้จริงๆ ดูแลลูกขุนดีๆ นะคะ อย่าปล่อยให้เขาต้องอยู่คนเดียวนานๆ ฉันเป็นห่วงลูกขุน’

เขียนจันทร์ปิดโทรศัพท์ด้วยความเศร้า ลุกขึ้นมาอาบน้ำจัดกระเป๋า การเดินทางไกลสักพักอาจทำให้เธอสบายใจขึ้น การทำงานคงเป็นทางเดียว

เสียงรถดังกระหึ่มในเวลาแปดนาฬิกาของวัน เขียนจันทร์ที่อาบน้ำเรียบร้อย อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์พร้อมออกต่างจังหวัดหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมลงมา เขียนจันทร์มองรถแวนของวังจึงพึ่งนึกออก เท้ารีบซอยเร็วออกไปดึงแขนเสื้อแจงได้ทันก่อนจะผลุบเข้าไปในรถ

“จะไปรับน้องขุนใช่ไหม”

“ค่ะ แปดโมงแล้ว” แจงตอบรับเบิกบาน ไม่ทันสังเกตอาการหน้าเศร้าของผู้เป็นนาย

“วันนี้น้องขุนจะไม่มา ไม่ต้องไปรับ อีกสักพักใหญ่ๆ น้องขุนเขาต้องอยู่กับคุณขุน ไว้ฉันสั่งให้ไปรับเมื่อไหร่ค่อยบอกอีกที แต่วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ไม่ต้องไป”

แจงทำหน้าสงสัย ไม่ทันอ้าปากถาม เขียนจันทร์เดินฉับกลับเข้าไปในตัวบ้าน ป้าสายจัดข้าวต้มปลาร้อนๆ เมนูโปรดของเขียนจันทร์ขึ้นโต๊ะทันที เธอนั่งเก้าอี้ไม่ทันร้อน สักพักคุณวงเดือนก็เดินลงมา ร้องหากาแฟกับขนมปังปิ้งทันที

“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอเขียน”

“เขียนจะไปดูโรงแรมของเราที่ต่างจังหวัดค่ะ สักสามวัน”

วงเดือนไม่เซ้าซี้ต่อ เพราะเธอวางมือไปแล้ว ไม่อยากก้าวก่ายงานของลูกสาว หรือหลานสาว เธอเชื่อว่าทั้งสองยึดผลประโยชน์ของจักรตรากูลเป็นหลักอยู่แล้ว หันไปพบแจงเดินกลับเข้ามาในบ้านจึงอดถามไม่ได้

“ไม่ไปรับลูกขุนล่ะแจง วันนี้ฉันว่าจะทำขนมให้กินสักหน่อย เห็นคราวก่อนถูกใจทองเอก”

ข้าวต้มคำที่สามถึงกับสะอึกอยู่กลางลำคอ เขียนจันทร์รู้สึกเจ็บแปลบยอกแสยงในอกที่ตัวเธอทำให้เรื่องต้องมาลงเอยแบบนี้ หม่อมยายที่กำลังหลงกองพัน อยู่ติดบ้าน นานๆ ทีจะออกงานสังคมจะรู้สึกอย่างไรกับการไม่พบกองพันอีก

“น้องขุนไม่ว่างค่ะ ต้องอยู่กับพ่อเขา” หลานสาวหลบตาอุบอิบตอบ สายตาคนที่อาบน้ำมาก่อนมีหรือจะดูไม่รู้

“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า ยายเองก็ไม่ได้ชอบพ่อของลูกขุนนักหรอก แต่เด็กมันน่าเอ็นดู ถ้าเรามีปัญหากัน เด็กจะได้รับปัญหาไปด้วยรู้ไหม เห็นลูกขุนเรียกเราว่าแม่ๆ ยายก็นึกว่าหลานจะคิดถึงลูกให้มากๆ”

“เขียนทะเลาะกับเขานิดหน่อย ถ้าเขียนยอมเขานิดๆ หน่อยๆ หม่อมยายจะได้เจอกับลูกขุนตลอดไป”

“ยอม” วงเดือนทวนเสียงสูง “คงไม่ใช่เรื่องหลานต้องมีอะไรกับเขา ยายไม่เห็นด้วยหรอกนะเขียน”

“ไม่ขนาดนั้นค่ะ ไม่ใช่ขนาดนั้นแน่ๆ” เขียนจันทร์รีบปฏิเสธ เธอมั่นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล ว่ารักษ์ชาติจะไม่มีทางคิดพิศวาสจับเธอขึ้นเตียงแน่ๆ ถึงพักนี้เขาจะชอบทำอะไรประหลาดพิสดารเกินจินตนาการไปบ้าง แต่นิสัยเสียๆ ของเขาเด่นชัดกว่า เธอจึงวางใจในเรื่องนี้จริงๆ

“งั้นก็ยอมๆ ไปเถอะ ยายก็เห็นเขียนยอมเขามาตลอด วันนี้ไปพาลูกขุนมาเลยได้ยิ่งดี ยายจะได้ไม่เหงา”

วงเดือนจิบกาแฟไม่ทุกข์ร้อน หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางอ่านได้อย่างปกติ แต่ได้ทิ้งระเบิดลูกโตใส่หลานสาว ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะตอบรับในสิ่งที่รักษ์ชาติขอมาได้ไหม

ก่อนไปต่างจังหวัด เธอคงต้องไปออกรบกับรักษ์ชาติสักหน่อย แต่ต้องไม่ใช่การง้องอนแน่ๆ...ก็เธอไม่ผิด เขาต่างหากที่เอาแต่ใจตัวพ่อ


ข้าวที่แต่งหน้าเป็นอุลตร้าแมนสีแดง ตรงสีขาวเป็นข้าวขึ้นรูปทรง ส่วนสีแดงเป็นไก่ผัดซอสหวาน เขียนจันทร์นำมาเสิร์ฟให้กองพันบนโต๊ะอาหาร และเผื่อแผ่ไปยังคนสนิททั้งสองของรักษ์ชาติที่เปิดประตูต้อนรับเธอเข้าบ้านโดยบอกว่าที่จริงรักษ์ชาติสั่งห้ามไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่ตื่น พวกเขาเลยจะไม่โดนต่อว่าในทันที

อาหารที่สวยงาม เป็นตัวการ์ตูนดังตัวโปรดของกองพันอยู่แล้วยิ่งทำให้เด็กชายเจริญอาหาร เขียนจันทร์ที่ทานอิ่มมาจากบ้านเลื่อนเก้าอี้นั่งข้างๆ เด็กชายวัยสี่ขวบ เท้าคางถามเสียงอ้อน

“น้องขุนครับ อยากไปเล่นที่บ้านแม่เขียนอีกไหม หม่อมทวดจะทำขนมอร่อยๆ ให้น้องขุนกิน ที่สำคัญคือทุกคนที่วังคิดถึงน้องขุนมากเท่านี่เลยนะครับ”

เขียนจันทร์กางแขนออกกว้างสุดแขนทำเสียงประกอบให้ดูยิ่งใหญ่ เห็นกองพันพยักหน้าหงึกหงักอยากไปเขียนจันทร์ก็ดึงแก้มยุ้ยเล็กผิวขาวสะอาดเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ทั้งที่จากกันไม่ถึงวันแต่เธอก็รู้สึกคิดถึงกองพันมากจริงๆ คงเพราะใครอีกคนในบ้านหลังนี้พูดจาเหมือนต้องการให้เธอกับกองพันไม่ต้องพบเจอกันอีกตลอดชีวิต

“อุลตร้าแมนตัวแดงอร่อยไหมครับน้องขุน” เด็กชายที่ทานจนเกลี้ยงยิ้มแป้น ก่อนยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มเขียนจันทร์แทนการตอบ เขียนจันทร์หัวเราะคิกมาได้สติตอนมีเงาทะมึนยืนจังก้าอยู่เบื้องหลัง

“ได้ยินอะไรอุลตร้าแมนตัวแดงๆ ฮะเจ้าลูกขุน”

“แม่เขียนทำข้าวหน้าอุลตร้าแมนมาให้ขุนกินครับ พ่อขุนเอาไหม” เสียงเล็กกระตุกมือพ่อถามอย่างน่ารัก แต่คนได้รับคำตอบหันขวับมามองคนช่างย้ำเตือนความจำด้วยดวงตาเบิกกว้างเกือบจะเหลือกถลน หันไปคาดโทษกับลูกน้องทั้งสอง ก่อนจะมาฉุดข้อมือเขียนจันทร์ให้เดินออกไปยังห้องทำงานของเขา ความมีระเบียบเรียบร้อย เอกสารจัดวางในตู้ หรือบนโต๊ะที่เป็นมุม สีโต๊ะเข้มๆ บ่งบอกความเอาจริงเอาจังของเจ้าของห้องพอควร ขนาดแสงจากภายนอกยังถูกกางกั้นไว้ด้วยผ้าม่านทึบ

คนโดนฉุดให้เดินตามเขาเป็นประจำไม่ได้ออกแรงขืน เมื่อเห็นว่าพามาในห้องทำงานเธอก็เดินไปนั่งยังเก้าอี้หมุนตัวเล็กหน้าโต๊ะ ที่คาดว่ามีไว้เพื่อให้กองพันมานั่งดูพ่อทำงาน

“ฉันบอกอะไรไปเมื่อวานเธอลืมไปหมดแล้วหรือไง”

เขียนจันทร์ทำเสียงงืมในลำคอ กลอกตาขึ้น นิ้วแตะคางก่อนส่ายหน้าไปมา “ลืมเกลี้ยงเลย จำได้แต่อุลตร้าแมนตัวแดงปล่อยพลัง”

“เธอเลยเอามาใช้กวนประสาทฉันวันนี้ ไม่ประกาศไปเลยล่ะว่าตอนฉันสิบเอ็ดขวบเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

หญิงสาวดึงมือใหญ่มากอบกุมไว้ สีหน้าเห็นใจ ตรงข้ามกับประโยคที่พูดออกมา “ฉันเห็นใจคุณ ฉันรู้บาดแผลในวัยเด็กคุณมันคงยากจะหาย แค่เด็กในกรมที่รู้กันหมด ฉันก็ยังไม่เคยบอกใครเพิ่มเลยนะ ฉันยังจำตอนนั้นที่คุณวิ่งไล่ฆ่า เอ้ย วิ่งไล่ล่าฉันเรื่องนี้ ฉันน้ำหนักลดลงไปตั้งหลายกิโล”

มือที่กำเขาไว้ถูกมือใหญ่พลิกกลับมากุม รักษ์ชาติไม่กล้าบีบ เพราะภาพที่เขียนจันทร์เจ็บคราวก่อนยังติดในใจเขาเสมอ จึงกำไว้หลวม ดึงเธอขึ้นมากอดไว้แน่น สัมผัสนุ่มที่ปะทะกับแผ่นอกเขามีเสียงหัวใจรัวเป็นกลองขับกล่อม

“ฉันจะถามอีกครั้ง เธอยินดีรับคำขอของฉันไหม เป็นแม่ของลูก และเป็นผู้หญิงของฉัน ตลอดไป ฉันให้โอกาสเธอตอบอีกครั้ง ถ้าไม่อีก จะไม่มีโอกาสครั้งที่สามอีกแน่ๆ เพราะฉันอาจฆ่าเธอหมกในห้องนี้ไปแล้ว”

เขียนจันทร์รู้สึกว่าเธอยิ้มกับคำขู่ของรักษ์ชาติ พร้อมหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างปลอดโปร่ง เธอรู้ว่าเขามันมนุษย์จอมขู่ เคยทำอย่างที่ว่ามาแรงๆ ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่ามา หากเขาคิดจะฆ่าเธอจริง คงฆ่าไปตั้งแต่เธอป่าวประกาศเรื่องอุลตร้าแมนตัวแดงใส่โทรโข่งตั้งแต่สมัยโน้นไปแล้ว...ในที่สุดเธอก็ต้องกลับมายอมรับคำขอของเขาจนได้

อุลตร้าแมนตัวนั้นตัวเดียวเป็นเหตุ...นึกโบ้ยให้ซุปเปอร์ฮีโร่ของเหล่าเด็กชาย เขียนจันทร์ก็พยักหน้ารับในอ้อมอกเขา

“ฉันยินดีรับ”

สัมผัสที่เริ่มชินทีละนิดยามริมฝีปากบางของรักษ์ชาติจรดกลางหน้าผากทิ้งรอยอุ่นวาบให้ซึมถึงหัวใจ เขียนจันทร์ใจเต้นตึกตักยามที่เปิดเปลือกตาขึ้นมามองสบกับดวงตาที่อยู่เบื้องหน้า ประกายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าทนสบต่อไปไม่ไหว คล้ายว่าหน้ามันจะร้อนๆ พิกล สิ่งที่รักษ์ชาติขอ หรือการจุ๊บหน้าผากดังสัญญานี่มันทำให้เธอคิดถึงภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวพิกล

“ตาเธอ” คนตัวโตทำหน้าเจ้าเล่ห์ รวบเอวบางให้แนบชิดกับไออุ่นของร่างกายมากขึ้น “เมื่อวานฉันใจดีให้เธอทำสัญญากับฉันตรงนี้” เลื่อนนิ้วไล่ไปยังหน้าผากของตัวเอง “แต่วันนี้ฉันต้องการตรงนี้” ลิ้นยาวเลียแผล็บทั่วริมฝีปาก มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มกวน

เขียนจันทร์ทำหน้าอยากร้องไห้ อยากให้มีอะไรหล่นใส่หัวจะได้เป็นลมหมดสติ อยากจะหนีนาทีวิกฤตกับมนุษย์น่ากลัวตรงหน้าเธอ คงจะทันอยู่หรอกในเมื่อขาสองข้างของเธอเดินเข้ามาให้เสือขย้ำเองแท้ๆ

“ฉันสัญญาด้วยปากไปแล้ว ฉันพูดไง คุณอย่ามาท่าเยอะให้เสียเวลาหน่อยเลย”

“ฉันยังไม่เคยใช้สักท่ากับเธอ รู้แล้วเหรอว่าเยอะ หรือฝันเห็น” รักษ์ชาติพูดชิดริมฝีปากสีเชอร์รี่สวย น้ำเสียงแหบต่ำยังคงเอาแต่ใจยามสั่งการ หยุดระยะห่างระหว่างใบหน้าเพียงลมหายใจกั้น ใช้มือข้างหนึ่งล็อกศีรษะเขียนจันทร์ไว้ไม่ให้หนี “เร็วถ้าฉันทำ เรื่องจบลงที่เตียงแน่”

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายนะ” เขียนจันทร์ยกมือขึ้นมาปิดปาก กั้นให้มีระยะห่างพอที่จะไม่รู้สึกว่าหัวใจกำลังเล่นเครื่องเล่นผาดโผน

และคนคุมเครื่องเล่นนี้ก็คือมนุษย์เอาแต่ใจเบื้องหน้าเธอนี่ไง

“แค่ทำสัญญา ไม่ได้ใจง่ายหรอก เธอน่ะใจแข็งระดับหินยุคดึกดำบรรพ์อยู่แล้ว”

เขียนจันทร์ย่นปาก เธอฟังเหตุผลที่เขาเอาสีข้างแถ และจบด้วยว่าเธอใจเป็นหินแล้วอยากให้ตัวเองเป็นรูปปั้น อนุสาวรีย์ด้วย ปากไม่นุ่ม ตัวไม่นิ่ม รักษ์ชาติจะมาทำท่าหื่นใส่ไม่เลือกอีกไหม...แล้วเธอไปทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน

“เอามือลง ฉันกำลังหมดความอดทน เรื่องแค่นี้ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่น่า” รักษ์ชาติดึงมือที่ปิดปากรูปกระจับออก และไม่รอให้เขียนจันทร์ได้มีโอกาสตั้งตัว หน้าคมก็รีบโฉบลงมาปิดปากนุ่ม บด และขบเบาๆ บริเวณริมฝีปากก่อนจะปล่อยให้เจ้าของริมฝีปากเป็นอิสระ ผิวแก้มแดงก่ำยามเขียนจันทร์ยกมือปิดปาก ตาโต

คนถูกขโมยจูบเบาๆ ไปทีหนึ่งเริ่มได้สติ เมินไปทางอื่นไม่ให้การมองเห็นเขาในสายตาไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นถี่รัวแรงมากขึ้น “อย่าลืมไปส่งลูกขุนที่วังด้วยนะคะ หม่อมยายท่านอยากเจอ ฉันมาบอกแค่นี้แหละ ฉันสัญญาคุณก็ต้องทำตามด้วย ห้ามบิดพลิ้ว”

รักษ์ชาติยกมือขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองข้าง แต่รอยยิ้มบนหน้ายังมีร่องรอยยินดีอยู่ เขียนจันทร์นึกอย่างเข่นเขี้ยว ก่อนสะบัดหน้าออกไป ทั้งที่ผิวแก้มแดงก่ำ รักษ์ชาติยิ่งเห็นยิ่งถูกใจ หากเขียนจันทร์จะไม่รีบวิ่งเร็วออกไปจากห้องนี้ก่อน เขาอาจกักตัวเจ้าหล่อนให้ทรมานต่อเล่นๆ เพราะยิ่งทำเขาก็ยิ่งครื้นเครงเป็นที่สุด


เขียนจันทร์มาทำงานที่ต่างจังหวัดเป็นวันที่สาม รายละเอียดหลายๆ อย่างถูกบันทึกไว้ในเมมโมรี่กล้อง ทั้งวัสดุ รอยร้าวหรือข้อบกพร่องหลายๆ จุดที่ไม่ได้มาตรฐาน ผิดจากวัสดุของทางจักรตรากูล โดยเธอทำเหมือนมาเดินตรวจโรงแรม แต่ปล่อยให้เพื่อนของประกายพรึกที่จบวิศวกรมาช่วยทำตัวเป็นผู้มาพักในโรงแรมตรวจสอบข้อบกพร่องของโครงสร้างของจักรตรากูลทั้งหมด เธอนำข้อมูลที่มีเก็บไว้ในอีเมล์ และแฟลชไดรฟ์

โรงแรมสุดท้ายที่เขียนจันทร์เดินทางมาถึงตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน จู่ๆ หญิงสาวก็พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมมีร่างอวบอ้วนของผู้ชายคนหนึ่งนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้บุผ้าลายไทยรอ มีผู้ชายตัวโตมาดนักเลงยืนประกบอีกสองคน ข่มขวัญคนที่ต้องการมองมาอย่างหาเรื่อง หรือแม้แต่สงสัย

“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอคุณเขียนจันทร์นะครับ เรื่องที่เดินตรวจโรงแรมก็คงเป็นเรื่องจริง”

ทายาทสาวของจักรตรากูลเก็บสีหน้าที่อยากจะอาเจียนไว้ มือที่จิกจนเกร็งด้วยความโกรธสุมอก ยิ่งได้รับรู้การคดโกงของเสี่ยหลงที่กระทำต่อจักรตรากูลอย่างมากมาย เธอก็แทบจะไม่อยากยกมือไหว้เสียด้วยซ้ำไป ในตอนนี้มือที่ยกไหว้จึงเป็นไปอย่างแกนๆ เท่านั้น

“ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันที่จะมาตรวจงาน เสี่ยล่ะคะมาทำอะไร”

“ก็มาเที่ยวเล่นตามประสาคนแก่ ว่าแต่คุณเขียนจันทร์พบอะไรผิดแปลกไหม”

ท่าทีถามไม่ทุกข์ร้อนของหลงยิ่งทำให้คนมองสะอิดสะเอียน แต่เธอต้องเชิดหน้าเข้าไว้ และปั้นหน้าคุยต่อทั้งที่อยากจะเดินหนี “ไม่เกินหนึ่งเดือนเสี่ยหลงจะพบการเปลี่ยนแปลงของเราแน่นอนค่ะ รอดูมหรสพครั้งใหญ่ก็ได้นะคะ หรือจะหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเอง ก็ไม่ว่ากัน” เขียนจันทร์ยิ้มแย้มยามได้พูดในสิ่งที่ไปกระตุ้นให้เม็ดสีบนหน้าเสี่ยหลงแดงจัด สันกรามกัดแน่นด้วยความโกรธ

“จะท้าทายฉันเหรอ ดูเธอจะรู้จักฉันน้อยไป ออกไปก้าวแรกเธออาจจะตายแล้วก็ได้นะ”

“ถ้ามัวแต่กลัว มัวแต่หัวหดให้คนเลวๆ บางคนสูบเลือดสูบเนื้อ เกรงว่าอีกไม่นานก็ต้องตายอยู่ดี สู้ตัดท่อที่มันสูบเลือดออกไปก่อน อาจจะเสี่ยงเจ็บตัวอยู่บ้าง แต่ฉันคิดว่ามันคุ้ม พ่อของฉันไม่เคยสอนให้ก้มหัวให้คนเลว หรือคนมีอิทธิพลที่ได้มาจากการทำอาชีพต่ำๆ เรามีศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องหลบอยู่ใต้กระดองเต่า หรือเขียมท่าทีเอาไว้ คนเลวๆ ถ้าเราไม่สู้ เงาของมันก็จะบดบังชีวิตดีๆ ของเราไปทั้งปีทั้งชาติ”

นราร้องกรี๊ดเสียงดังเมื่อจู่ๆ คนที่ตามติดเสี่ยหลงชักปืนออกมาจ่อกลางหน้าผากเขียนจันทร์สีหน้าเหี้ยมเกรียม เขียนจันทร์ยืนนิ่งไม่ไหวติง สติสัมปชัญญะก็แทบปลิวหายไปตั้งแต่อาวุธดำมะเมื่อมลอยมาแปะกลางหน้าผากของเธอ

“ใช้อาวุธข่มขู่ เจตนาฆ่า ก่อความวุ่นวาย เสี่ยอยากได้อีกสักกี่กระทงดี” ผู้ชายที่มาเป็นลูกมือเพื่อนพ่อเธอเดินอาดล้วงกระเป๋า มีท่าทียียวน “ลองลั่นไกหนึ่งนัด เสี่ยก็จะตายไปพร้อมคุณเขียนจันทร์ทันที ทั้งจักรตรากูล ทั้งนายขุน หรือมิตรใหม่ของจักรตรากูลอย่างดีเอส เสี่ยปั้งเดียว เสี่ยจะดับไปทั้งๆ ที่ลมหายใจยังมี”

หลงฮึดฮัด ขมับปูดเส้นเลือดขึ้น สั่งให้ลูกน้องลดอาวุธลง แต่ก็ยังไม่วายชี้นิ้วใส่หน้าเขียนจันทร์ด้วยความโกรธจัด “แกจะต้องตายด้วยฝีมือฉัน ฉันไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่ นังเขียนจันทร์”

เมื่อเห็นว่าเธอมีคนคอยคุ้มกันให้ เขียนจันทร์จึงเบาใจลงบ้าง เธอก็ไม่ได้อยากเกิดคดีอื้อฉาวในโรงแรมของครอบครัวอย่างทายาทสาวถูกยิงดับในโรงแรมของตัวเอง

“คนเลวๆ ชั่วๆ ต่อให้เอากลิ่นหอมมากลบ มันก็ไม่หอมหรอกนะคะ มีแต่ทำให้กลิ่นหอมมันพลอยเน่าไปด้วย ฉันยอมให้กลิ่นหอมๆ ที่มี เน่าตามกลิ่นเน่าๆ ไม่ได้”

สงครามคนสองวัยผ่านไป เขียนจันทร์ต้องรีบดึงแขนนราไว้เพื่อพยุงกายที่ซวนเซอ่อนแรง ขาจะพับไปกองกับพื้น มือไม้สั่น ปากซีด

“ไหวไหมคะคุณเขียน”

“พาฉันไปที่รถ ฉันจะกลับบ้าน” นราทำตามคำสั่งผู้เป็นนายทันที มีหนึ่งหนุ่ม หนึ่งแก่เดินตามหลัง โดยที่หนึ่งหนุ่มที่ตลอดสามวันเก็บปากมาเงียบ แต่ก็คอยตามติดอยู่กับเขียนจันทร์ไม่ห่างเริ่มเปิดปากเทศนา

“รู้ไหม ว่าปากมนุษย์เราทำคนตายมานักต่อนัก ถ้าคุณไม่อยากฆ่าตัวตาย แค่ไปด่าเมีย ล้อชื่อแม่ใครสักคน คุณก็ได้ตายสมใจอยาก”

เขียนจันทร์ก็รู้สึกว่าคนเทศนาเธอ...ปากก็ไม่ใช่ย่อยนัก

“ใครส่งคุณมาคุ้มกันฉัน ฉันจำไม่ได้ว่าจ้างมา หรือพรึกส่งคุณมา”

กานต์หัวเราะลั่น สองมือวางแปะบริเวณท้ายทอย เดินตาม “พรึกมันรุ่นน้องผม รายนั้นจะสั่งผมได้ยังไง ช่วงนี้ผมถูกพักงาน ว่างๆ ไอ้ขุนมันโทรมาว่าให้ดูคุณให้หน่อย ช่วงนี้คุณกำลังทำตัวเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง คนมันประเภทเดียวกัน ผมเลยอยากรู้ว่าคุณเล่นกับใคร เจอตอเดียวกันแบบนี้ค่อยสนุกหน่อย”

“เสี่ยหลงเนี่ยนะ”

“ใช่...ผมส่งคนไปทลายบ่อนเถื่อนของมัน สุดท้ายลูกน้องผมถูกยิงบาดเจ็บไปหลายนาย แถมมีเกลือเป็นหนอน พวกเสี่ยเลยไหวตัวทันตลอด ล่าสุดครั้งที่สามที่ผมทำพลาด แล้วผมไม่ยอมวางคดีนี้ เบื้องบนเลยสั่งพักงานผม เห็นไหม คนใหญ่คนโต มีกฎหมายอยู่ในมือใช่ว่าจะชนะเสมอไป”

“ขอบคุณที่มาช่วยฉันนะคะ ฉันเชื่อว่าการค่อยๆ ตัดแขนตัดขาของเสี่ยหลงไปทีละนิด จะทำให้เขาเผยจุดอ่อนได้”

กานต์ไหวไหล่ ไม่ใส่ใจนัก “หมามันเก็บหางไม่มิดอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะใช้วิธีไหนเผยไต๋มัน คุณด้วย ห่วงชีวิตตัวเองบ้าง อย่าทำให้ไอ้ขุนระเบิดลง มันโกรธคนเดียว อาจมีสะเก็ดระเบิดโดนคนรอบๆ ด้วย”

เขียนจันทร์สอดตัวเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ มีนรานั่งคู่ และผู้ชายสองคนนั่งเบาะด้านหลัง เขียนจันทร์สตาร์ทรถ กานต์ที่นั่งมองกระจกส่องข้าง และมองหลังจนแน่ใจเมื่อรถขับมาได้ระยะหนึ่งจึงเปิดปาก

“เล่นวิธีหมาๆ เหมือนเดิม” กานต์สบถ หยิบอาวุธที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาถือ เปิดดูลูกกระสุนเตรียมพร้อม “ข้างหน้าจะเป็นถนนนอกเมือง ขับระวังๆ เป็นไปได้ก็เหยียบให้มิด เราจะมาสลัดหมากัน”

“ไม่โทรแจ้งตำรวจเหรอคะ” นรายกมือขึ้นมาพนม ถามเสียงสั่น เธอไม่สันทัดในเรื่องปะทะโจร หรือการจี้ปล้นเท่าไหร่

“ไม่ทันการหรอก อาครับ โทรไปตามเบอร์ที่ผมบอกทีนะครับ ต้องให้ไอ้ขุนมารอเสริมทัพ”

รถกระบะสองคันขับตามติดเธอหลังจากเข้าสู่ถนนสองทาง ที่นานๆ ทีจะมีรถสักคันสวนผ่าน เขียนจันทร์ได้ยินอาสุชาติโทรศัพท์กับรักษ์ชาติสีหน้าเคร่งเครียด แต่สมาธิเธอจะวอกแวกไม่ได้จึงรีบดึงกลับมา กระสุนนัดแรกจากรถข้างหลังเฉียดกระจกมองข้างด้านนราไป เลขานุการิณีน้ำหูน้ำตาไหล ตัวสั่นเป็นลูกนกน่าสงสาร

คนมีสติเต็มร้อย ที่ต้องคุมบังเหียนพารถที่มีสี่ชีวิตในรถไปให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราชเหยียบคันเร่ง ปาดแซงรถคันหน้าที่วิ่งนำอยู่ไปทันที่มีรถบรรทุกขนไม้ขับสวนมานิดเดียว เธอจึงทิ้งระยะห่างมาได้อีกหน่อย เพราะรถกระบะคันข้างหลังจะต้องรอจนกว่ารถขนไม้ขับผ่านไป จึงแซงรถอีกคันขึ้นมาได้

เสียงมอเตอร์ไซค์ดังแหลมเหมือนพญามัจจุราชติดปีก ชายชุดดำสวมหมวกกันน็อคพาเครื่องยนต์ใหญ่

ของบิ๊กไบค์แล่นมาขนาบข้างทั้งสองด้านของตัวรถ คนๆ หนึ่งชูปืนจ่อยิง และขาของเขียนจันทร์ที่เหยียบคันเร่งแล้วก็ยังแซงขึ้นนำไม่ได้ ทำให้กระสุนนัดหนึ่งทะลุกระจกมาเข้าที่แขนของนรา กานต์ช่วยยิงสกัดคนขี่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งให้ล้มกลิ้งได้ ส่วนอีกคัน เขียนจันทร์เล็งไว้แล้ว จึงหักพวงมาลัยมาด้านขวาอย่างแรง ใช้รถเป็นตัวกระแทกคนขี่ด้านเธอให้ล้มกลิ้งไปบนพื้น อาสุชาติได้รับโทรศัพท์จากทางรักษ์ชาติอีกครั้ง จึงรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด

“ไปให้ถึงอีกอำเภอ คนของคุณขุนเคลียร์ทางรอให้แล้ว เขากำลังส่งคนมาคุ้มกันพวกเรา”

รถที่จอดขวางทางหลายคันเบื้องหน้าทำให้เขียนจันทร์มองอย่างตื่นตะลึง หัวใจตกวูบเมื่อเห็นอาวุธครบมือจ่อมายังรถที่เธอขับ เขียนจันทร์นึกถึงพระจันทร์ เธอไม่เคยหวั่นเกรงกับความเร็ว แต่ก็ไม่เคยถึงขนาดไม่กลัวความตาย เธอขับอย่างระวัง และวิ่งเร็วในถนนที่โล่ง มาวันนี้รถที่เธอพาทะยานมานั้นถูกบีบบังคับให้ต้องวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด หากเธอเป็นคนเดียวในรถ เขียนจันทร์มั่นใจว่าเธอจะไม่ต้องรู้สึกผิดกับการรับผิดชอบใครเมื่อเธอตาย แต่เธอจะตายไม่ได้...สามชีวิตที่เหลือกำลังเดือดร้อนเพราะเธอ

“ขับฝ่าไป ตรงช่องแคบไม่ถึงสองเมตรตรงนั้น คุณจะขับผ่านไปได้ไหม”

“สองเมตรตรงไหน ฉันไม่เห็น” เขียนจันทร์ก็อยากจะรู้ว่าตรงไหนที่ว่างขนาดสองเมตร แต่เธอก็ได้รู้คำตอบในนาทีต่อมาเมื่อกานต์โผล่ออกตรงหน้าต่าง ยิงร่างที่ยืนขวางทางตรงริมขอบทางให้ล้มไปได้สามคน ก่อนคลานขึ้นมายังถนน เขียนจันทร์เห็นเส้นทางที่เปิดโล่ง เท้าเธอเหยียบมุ่งตรงไปยังด้านขอบถนน เสียงรถครูดกับแนวหินดังผสานกับเสียงปืนหลายนัดที่รัวมาข้างลำตัวรถ

กานต์สั่งเสียงดัง “ทุกคน ก้ม!”

รถที่วันนี้รับศึกหนักกลับขึ้นถนนใหญ่อีกครั้ง เขียนจันทร์รู้สึกมึน ชา ไปทั้งตัวและความรู้สึก เธอไม่เคยฝึกให้เจอในสภาพนี้มาก่อน แต่จิตสำนึกที่ต้องรับผิดชอบคนอื่นในรถทำให้เธอฝืนขับมาได้ ทั้งที่มือจับพวงมาลัยชื้นเหงื่อ หัวใจเธอกำลังจะวายตาย เสียงพูดคุยในรถเริ่มกลับมาเป็นปกติ สุชาติส่งเสียงถามว่าใครได้รับบาดเจ็บตรงไหน นราร้องโอดครวญกับการถูกยิงตรงแขน ส่วนกานต์ถูกยิงที่ไหล่ด้านซ้าย เขียนจันทร์ยิ้ม ปากซีด เธอเริ่มรู้สึกมึนศีรษะหนัก ภาพที่รับเบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือน และก่อนจะรู้ตัว มือที่คุมพวงมาลัยก็หมุนไปยังทิศข้างทาง เสียงโครมดังสนั่นในเวลาต่อมา

.......................................................................

คุณ ร้อยวจี ถึงไม่มีใครรักเจ้าขุน แต่ผู้ชายร้ายกาจก็ยังหาวิธีเรียกร้องความสนใจได้ไม่มีเปลี่ยนค่ะ ฮา

คุณ อัศวินนภา ไว้รอเจอย่าในสวีทสุดท้ายนะคะ จบเรื่องนี้จะปฏิญาณตัวเองไปเขียนให้ได้เลย (ถ้ามีข่าวดีของปั้นย่าเมื่อไหร่จะรีบมาบอกนะคะ)

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ตอนนี้เสี่ยหลงแกจัดเต็ม เหมือนเจ้าพ่อครองเมืองไงไม่รู้นะคะ กร๊าก

คุณ ameerah อ่านไป ก็เหมือนเขียนโดนขุนรังแกอีกแล้วนะคะ เขียนยังเอาคืนไม่ได้สักที

คุณ ใบบัวน่ารัก เสกเค้กให้ค่ะ ปิ๊ง อิอิ ไว้รอเจอในสวีทสุดท้ายนะคะ ตอนนี้ขอรอผลสวีทแรกก่อนค่ะ ^^

วันเสาร์จะไม่อยู่อัพนะคะ น่าจะมาราวๆ เที่ยงคืนเลย หวังว่าจะยังรออ่านนะคะ ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านเหมือนเดิมค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2557, 02:12:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2557, 02:12:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 2044





<< บทที่ 9 : เหตุเกิดในวันเกิด    บทที่ 11 : ระเบิดเจ้าขุน >>
ร้อยวจี 30 พ.ค. 2557, 08:09:00 น.
อ่านแล้วทำให้นึกถึงช๊อกโกแลคที่สอดไส้รสเหล้า มันหวานปนขมรสอร่อยค่ะ แต่แอบตื่นเต้นเล็กๆเพราะเกือบตาย อ่านแล้วสนุกค่ะ


ใบบัวน่ารัก 30 พ.ค. 2557, 09:13:35 น.
รักหรือเจ้าขุน
โกรธ หรือหวงก้าง หรือเอาไว้จิกใช้เขียนหละ


อัศวินนภา 30 พ.ค. 2557, 10:45:24 น.
ลุ้นเหมือนตามไปดูข้างๆ


ameerah 30 พ.ค. 2557, 19:27:42 น.
อ๊ายยยย ค้างคาสุดๆ เลย แต่ไม่ว่ายังไงพี่ขุนก็ยังน่ารักอยู่ดี หรือเราชอบพระเอกซาดิสหว่า


konhin 30 พ.ค. 2557, 23:23:37 น.
โหดจริง


นักอ่านเหนียวหนึบ 31 พ.ค. 2557, 00:45:55 น.
ก็ถ้าจะเอาให้ตายกันขนาดนี้ ก็จ่อยิงตั้งกะใน รร. ไปเลยเถอะ มาเฟียเกิ๊นนนน
อิตาขุนนี่ก็นะ เหมือนจะรุ้แต่ก็ไม่ทันตลอด เหมือนจะรักแต่ก็ยังร้ายกะเค้าอยู่ได้


ผักหวาน 17 มิ.ย. 2557, 22:48:42 น.
คราวนี้ คุณขุนได้ออกโรงเอากับเสี่ยหลงแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account