สาปเล่ห์สิเน่หา
เรื่องราวของสองธิดาชาวฮาง ที่เดิมพันหัวใจด้วยชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านแม่นาง

ใคร...จะได้ครอบครองความรัก
ใคร...จะได้หัวใจของชายคนนั้น
แล้ว...
ใคร...จะเจ็บปวดที่สุดกับรักครั้งนี้

Tags: ความรัก ความแค้น แรงริษยา การแย่งชิง เล่ห์ มนตรา

ตอน: ตอนที่ ๓ นิมิตมายา

ตอนที่ ๓

งานแต่งตามประเพณีล้านนาระหว่างผู้กองกานต์กับปรียาเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้า โดยขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงเรือนแม่นาย พ่อหมอสู่ขวัญทำพิธี ก่อนจะดำเนินงานไปจนถึงการถวายภัตตาหารเพลพระภิกษุ

กลุ่มเครือญาติ กลุ่มเพื่อนฝูงและแขกรับเชิญต่างยิ้มแย้มแจ่มใสกับภาพความน่ารักหวานชื่นของคู่บ่าวสาว มีเสียงชื่นชมยินดีดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะในครั้งที่ทั้งสองเดินไปขอบคุณแขกเหรื่อในช่วงระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน

กระทั่งสองบ่าวสาวเดินมาถึงโต๊ะของกลุ่มเพื่อนสนิท ซึ่งก็คือแวววรรณ จักจั่น จันทร์เจ้า ภูริตและตาลแก้ว

“ผมขอตัวไปทักทายเพื่อนทางโน้นหน่อยนะครับ” ผู้กองกานต์เอ่ย เขาส่งยิ้มให้เจ้าสาวแสนสวยก่อนจะปลีกตัวไป

“แป้ง พวกฉันขอย้ายโต๊ะได้ไหม” แวววรรณกระซิบกับเจ้าสาว ส่วนสายตามิวายมองไปยังโต๊ะข้างๆ ที่ค่อนข้างสรวลเสเฮฮาจน
เกินพอดีและบางทียังมีแซวข้ามโต๊ะมาให้เกิดอาการหงุดหงิด

“ทำไมล่ะแวว นั่งที่นี่ก็ดีแล้วนี่” เจ้าสาวยิ้ม มองตามสายตาของคนทำค้อนก็ไปจบที่ผู้กองหนุ่มนามชนวีร์

“ก็อีตาทหารตุ๊ดนั่นสิมันแขวะฉัน” หญิงสาวบอกพร้อมทำหน้าเง้า “มันว่าฉันนั่งผิดโต๊ะ”

ปรียายิ้มขบขันสีหน้าของเพื่อนเสียเต็มประดา แวววรรณและชนวีร์เป็นคู่ปรับกันตั้งแต่พบเจอกันครั้งแรก จนกระทั่งถึงตอนนี้ทั้งๆ ที่คนทั้งสองต่างฝ่ายต่างเป็นเพื่อนรักของเธอและเจ้าบ่าว แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มีทีท่าหันมาพูดจากันดีๆ สักครั้ง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยักคิ้วหลิ่วตาให้แวววรรณยิ่งทำหน้าไม่พอใจ

“อยากจะตบมันให้คิ้วหลุดนัก น่ารำคาญ”

“เธอจะแคร์อะไรล่ะ”

“ก็มันว่าฉันเป็นทอมด้วยนี่” เจ้าตัวเถียง

“เอาเถอะๆ ฉันว่าเธออย่าสนใจนักเลยนะแวว” เจ้าสาวว่าพลางหันไปทางคนอื่นๆ

“ใช่ เธอก็อย่ามองพวกเขาสิ ยิ่งเธอมอง เขาก็รู้สิว่าที่เขาเรียกร้องความสนใจมันได้ผล” ตาลแก้วเอ่ยขึ้นบ้าง

“ก็ฉันไม่ชอบนี่” เธอทำแก้มป่องก่อนจะถอนหายใจเฮือกๆ เผื่อว่ามันจะช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้ “เอาล่ะ ฉันจะพยายามเอา
หูไปนาเอาตาไปไร่ก็แล้วกัน”

“ดีแล้วจ๊ะแวว” ปรียาลูบหลังเพื่อนเบาๆ ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม ยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขจนล้น

เจ้าสาวทักทายพูดจากับกลุ่มเพื่อนของตนเองสักพักก็ขยับไปกลุ่มของผู้กองกานต์ที่เรียกไปหาเป็นเชิงแนะนำให้รู้จักกับนายทหารระดับสูงที่เขาเคารพนับถือ

จากนั้นก็ถึงคิวถ่ายภาพร่วมกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว แขกผู้มีเกียรติหลายคนร่วมถ่ายภาพแล้วก็ขอตัวกลับ บางคนอ้างเหตุผลว่ามีงานต่อ ส่วนหลายคนขอตัวไปเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมจะไปรอที่โรงแรมซึ่งจัดงานฉลองมงคลสมรสของคู่บ่าวสาวและกลุ่มสุดท้ายที่ถูกเรียกให้ไปถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเห็นจะไม่พ้นกลุ่มเพื่อนของปรียาและกานต์

แวววรรณทำหน้ายู่ยี่เมื่อตนถูกเบียดให้ไปชิดชนวีร์คล้ายถูกแกล้ง

“นี่คุณ ทำหน้าดีๆ หน่อยสิ วันนี้เป็นวันมงคลของเพื่อนคุณนะ” นายทหารหนุ่มร่างสูงก้มลงบอกแม่สาวจอมวีนที่ทำท่าฮึดฮัดอยู่
ข้างๆ

“มันจะไม่ดีก็เพราะอยู่ใกล้นายนี่แหละ นี่ๆ ขยับออกไปหน่อยฉันอึดอัด” เจ้าตัวเอ็ดเบาๆ ทั้งตวัดตาดุมองชายหนุ่ม

“ขยับออกผมก็ตกกล้องสิ เบียดนิดเบียดหน่อยจะเป็นไรไป”

“ไม่ ออกไป”

หญิงสาวยกมือขึ้นผลักอกคนตัวใหญ่จนชายหนุ่มเซไปอีกด้าน

“เฮ...นิ่งๆหน่อย ยึกยักแบบนั้นเดี๋ยวรูปก็ออกมาไม่สวยหรอก” ตากล้องซึ่งเกือบจะกดชัตเตอร์หยุดชะงักแล้วบ่น

“โทษทีครับ เสียหลักนิดหน่อย” ชนวีร์ยิ้มแหยพลางแก้ตัว ก่อนจะขยับเข้าไปยืนจุดเดิม คราวนี้เขายกมือขึ้นโอบไหล่คนใกล้ตัวเอาไว้แน่น

“อีตุ๊ด...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” แววววรรณเข่นเขี้ยวมองคนตัวสูงอย่างโกรธจัด

แต่อีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มกว้างทำเป็นไม่สนใจ...ไม่สนแม้เธอจะพยายามแกะมือใหญ่ๆ นั้นออกจากหัวไหล่
ไม่ว่าจะแกะออกสักกี่ครั้ง ลำแขนนั้นก็ยังยกขึ้นเกาะเกี่ยวเธอเอาไว้เต็มวงแขนอยู่ดี จนกระทั่งการถ่ายภาพเสร็จสิ้น คนอื่นๆ แยก
ย้ายกันกลับไปยังที่นั่งประจำ ยกเว้น...

“ปล่อย...” หญิงสาวขู่ฟ่อเมื่อนายทหารหนุ่มยังยืนนิ่งทำเนียน “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”

“แหม...จับแค่นี้ทำเป็นหวงตัว” แต่ก็ยอมคลายวงแขนลง

“ไอ้...” ยกมือจะซัดหน้าอีกฝ่ายสักหมัด แต่กลับถูกคว้าหมับเอาไว้ได้ทัน

“ว้าว...ยังใส่สร้อยเส้นนี้อยู่อีกหรือ สงกะสัยจะรักแฟนมากสินะถึงได้ใส่ทุกวั้นทุกวัน”

“เรื่องของฉัน” หญิงสาวว่าแล้วสะบัดมือออกอย่างแรง “ฉันจะใส่หรือไม่ใส่มันหนักหัวนายหรือยังไง”

“เปล่า” เสียงสูง พร้อมกับยักคิ้วหนึ่งครั้ง “ก็แค่อยากจะรู้เท่านั้น”

“รู้ไปทำไม ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย”

“เกี่ยวสิ ก็ผมอยากจะรู้นี่” ดวงตาคมกล้าจ้องมองลึกลงไปในตาคู่สวยตรงหน้า ทั้งส่งยิ้มที่มีความหมายบางอย่างมาพร้อมที่ทำเอาเธอแทบเต้น “ว่าแฟนคุณเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง เอ๊ะ หรือว่าแกล้งจัดฉากว่าตัวเองมีแฟน”

“ไอ้บ้า หน้าด้าน ไร้ยางอาย ไอ้หน้าขาวอย่างลิงวอก ไปไกลๆ เลยไป้”

คำด่าจากหญิงสาวยิ่งทำให้ชนวีร์ยิ้มเผล่มองคนด่าที่ตวัดตามองเขียวปัดอย่างไม่รู้สึกรู้สม

“ด่าหมดหรือยังล่ะ”

“ไป ไปเลยไป้ ไอ้บ้า”

----

ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันนั้นประหนึ่งจะมีสายฝนเทลงมา ทว่าจนเย็นบรรยากาศกลับแค่มัวซัว ไม่มีสายฝนเทกระหน่ำอย่างที่ใครหลายคนคิด จะมีก็แต่เสียงครางครืนจากปลายฟ้าไกลเท่านั้น

ดอกเตอร์ชีวิณมองเครื่องดนตรีโบราณชิ้นนั้นที่เขานำกลับมาบ้านอย่างพินิจพิจารณา นับตั้งแต่ออกจากป่าเมื่อเย็นวานจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน ได้แต่นั่งมองและพยายามคิดหารูปแบบว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้จะใช่ศิลปะชาวฮางตามที่สันนิษฐานหรือไม่ แม้กระทั่งวันนี้ วันที่กลุ่มลูกศิษย์หรืออีกนัยหนึ่งคือคณะอาสาสมัครร่วมโครงการได้รวมตัวกันมาเยี่ยมถึงบ้าน

ร่วมเดือนเข้าให้แล้วที่ดอกเตอร์หนุ่มค้นพบเบาะแสการอาศัยอยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าชาวฮางอีกหนึ่งชนพื้นเมืองโบราณผู้นับถือผีบรรพบุรุษที่เรียกว่า “ด้ำจับ” ซึ่งภูมิความรู้ของเขาในภาษาตระกูลกะได-ไท นั้น เมื่อแปลความหมายแล้วคำว่าด้ำหมายถึงบรรพบุรุษและจับหมายถึงแรกหรือคนแรก ผีด้ำจับที่เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติชาวฮางจึงหมายถึงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองฮางนั่นเอง

“ราวพุทธศตวรรษที่สิบถึงสิบเอ็ด มีเรื่องราวเกี่ยวกับชาวฮางว่าพวกเขาเป็นชาวเผ่าพื้นเมืองหนึ่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเจียงซีในปัจจุบันและได้อพยพลงมาทางตอนใต้แถบน่านเจ้าและมีหลักฐานจารึกไว้ว่าพวกเขาเคารพผีบรรพบุรุษเหมือนอย่างกลุ่มชาวพื้นเมืองอื่นๆ ในแถบเดียวกัน”

ดอกเตอร์ชีวิณบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมหลักฐานที่บ่งชี้ในสมมติฐานว่าเขาคิดถูก ให้กลุ่มอาสาสมัครค้นหาความเป็นมาของประวัติศาสตร์ได้รับฟังโดยละเอียด

“ซึ่งจารึกที่ผมได้มาเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นจารึกสำคัญของชาติที่บอกว่าในแถบถิ่นดินแดนล้านนาตะวันออกนี้เอง มีชาวฮางเข้ามาอยู่อาศัยจริงๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันที่มีข้อมูลว่าได้อพยพลงมาทางน่านเจ้า”

“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเราจะได้สมบัติที่เป็นหลักฐานบอกว่าในดินแดนนี้มีชาวฮางเข้ามาอาศัยอยู่จริงๆ”

คำพูดของก้อยที่เปรยขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้เขาได้ดีทีเดียว มันทำให้คิดได้ว่าสิ่งที่ไม่เห็นก็หาใช่ว่าสิ่งนั้นจะไม่มี

“ใช่ เมื่อครั้งที่เราไปค้นหากันที่แม่จริมและเวียงสา ผมเองก็เกือบจะถอดใจแล้ว จารึกที่เราได้มานั้น มันเลือนรางจนทำให้ไม่อาจจะค้นหาสิ่งที่บอกว่าตรงไหนคือที่ตั้งของชาวกลุ่มนี้ จนกระทั่งที่ขุนสวดบนดอยแม่นางที่เราพบกับวัตถุชิ้นนี้ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องดนตรีของชาวฮาง”

“อาจารย์ครับ เครื่องดนตรีชิ้นนี้เป็นของชาวฮางจริงหรือครับ”

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่อาจฟันธงลงไปได้จนกว่าจะศึกษากันให้ลึกกว่านี้ แต่ถึงยังไงภาพแกะสลักในถ้ำที่เราเจอมันก็สามารถบอกบางอะไรอย่างกับผมได้”

“อะไรครับ” อิทธิพลถามขึ้น

“มันเป็นศิลปะของจีนโบราณ”

“จะใช่ศิลปะของชาวฮางหรือบ่งบอกว่าชนชาวเมืองนี้มีอยู่บนพื้นที่นี้จริงหรือครับ”

“ผมอยากจะเชื่ออย่างนั้นนะ แต่เสียดายที่ปากถ้ำมันปิดตัวลงไปแล้ว ไม่อย่างนั้น คงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูเพื่อยืนยันหลักฐาน”

ทั้งหมดนิ่งเงียบ มองเครื่องดนตรีตรงหน้าอย่างค้นหาความจริงว่าจะใช่สมบัติจากอดีตเมื่อพันกว่าปีก่อนหรือเปล่า แล้วถ้าใช่ มันจะเกี่ยวข้องกับชาวฮาง ซึ่งพวกเขาต่างกำลังค้นหาที่ตั้งเมืองอันแท้จริงอยู่หรือไม่

จากจารึกที่วัดเชียงมั่นซึ่งกลุ่มของดอกเตอร์ชีวิณได้งบจากกรมศิลปากรให้ขุดแต่งเพื่อจะบูรณะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การค้นหาครั้งนี้นี่เองที่ดอกเตอร์ชีวิณพบจารึกหลักหนึ่งฝังอยู่ด้านใต้ฐานพระธาตุแห่งวัดเชียงมั่น เป็นแผ่นศิลาเล็กๆ จารึกเป็นอักษรกล่าวถึงชาวฮางซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในแถบลุ่มแม่น้ำน่าน ทั้งจากข้อมูลหลักฐานหลายๆ ที่ ดอกเตอร์ชีวิณได้นำมาปะติดปะต่อกันจนได้ข้อสรุปว่าชาวฮางนั้นอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูง ในป่าใหญ่ ไม่ชอบอยู่พื้นราบอย่างกับชาวพื้นเมืองทั่วไป
ซึ่งข้อมูลที่ได้มานี่เองดอกเตอร์ชีวิณจึงเชื่อว่าในดินแดนแถบนี้จะต้องมีเวียงฮางตั้งอยู่ตามเทือกเขาสูงต่างๆ จึงได้เขียนโครงการขอทุนในการค้นหาที่ตั้งเมืองฮางจนกลายเป็นกลุ่มคณะสำรวจเมืองโบราณนี้ขึ้น

หลังจากพลาดหวังจากสองที่ นั่นคือในป่าแถบอำเภอแม่จริมและอำเภอเวียงสาและขณะที่พวกเขากำลังหมดหวังนั้นก็ได้มีข่าวจากกลุ่มชาวบ้านว่าที่ขุนสวดหรืออำเภอบ้านหลวงในปัจจุบันมีโถงถ้ำกว้างอยู่บนเทือกเขาสูงบนดอยป่าแม่นาง ซึ่งจากสภาพภูมิประเทศแล้ว ทั้งป่าสนยักษ์ที่อยู่ระหว่างจุดเชื่อมต่อจังหวัดน่านและพะเยา ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ดอกเตอร์ชีวิณจึงคิดว่าจุดถ้ำที่ได้ข้อมูลมานี่เองจะต้องมีร่องรอยเกี่ยวกับชาวพื้นเมืองที่แทนตัวเองว่าชาวฮางอย่างแน่นอน

กว่าสิบวันที่พวกเขาอยู่กิน บางครั้งก็เดินทางไปกลับระหว่างถ้ำบนดอยแม่นางและพื้นราบ ก็ได้ค้นพบเบาะแสที่เป็นอีกผลงานหนึ่งของชนชาวพื้นเมืองโบราณ จนกระทั่งเป็นจุดเริ่มต้นการพบปะเครื่องดนตรีโบราณรูปร่างแปลกประหลาดชิ้นนี้ขึ้น

“แล้วเครื่องดนตรีชิ้นนี้ล่ะครับอาจารย์ มันเรียกว่าอะไรกันแน่” กวินถามหลังจากทุกคนพากันเงียบไปกับความคิด

“อืม...” ดอกเตอร์หนุ่มนิ่งคิดแล้วเกาคาง “ถ้าจากข้อมูลที่อาจารย์พอจะรู้มา ชาวพื้นเมืองในจีนซึ่งส่วนหนึ่งคือบรรพบุรุษผู้ที่พูดภาษาตระกูลกะได-ไท เขามีเครื่องดนตรีประเภทดีด ซึ่งจะเรียกกันตามชื่อที่แตกต่างออกไป อย่างซึง เตหน่า กู่เจิง พิณ กระจับปี่หรืออะไรหลายๆ อย่าง

“ซึ่งยังมีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งเป็นเครื่องดีดประจำของชาวฮางเรียกว่าปินผา อ้อ...ยังมีผีผาอีกอย่างหนึ่งที่ออกเสียงคล้ายกัน คิดว่าน่าจะเรียกหรือแตกแขนงกันออกมาอีกทีหนึ่ง ส่วนเครื่องดนตรีที่เราได้มานี้อาจารย์ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะใช่ปินผาหรือเปล่า”

“ปินผา”

หลายคนทวนชื่อนั้นแล้วมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด

“จะว่าไปมันก็เหมือนผีผานะครับอาจารย์ สมมติว่าผีผาคือปินผาของชาวฮาง เจ้าเครื่องดนตรีชิ้นนี้ก็น่าจะใช่ปินผา” กวินมองหน้าดอกเตอร์ชีวิณสลับกับเครื่องดนตรีที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า

“อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ อย่าลืมสิว่าปินก็คือซึง แต่นี่มันไม่เหมือนซึงแต่ดันไปคล้ายกับผีผามากกว่า”

“อย่างที่อาจารย์ว่านะคะว่าผีผากับปินผาของชาวฮาง อาจจะแตกแขนงหรือเรียกตามแต่ละชนเผ่ามากกว่า เพราะเท่าที่ดูนี่มันเหมือนผีผาที่สุดเพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นทั้งปินผาหรือผีผานะคะ” ก้อยออกความเห็น เครื่องดีดตรงหน้าคล้ายกับผีผาของชาวจีนที่สุด ซึ่งชาวฮางในอดีตก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนจีนที่อพยพย้ายถิ่นลงมา รวมถึงการเรียกชื่อที่อาจจะแตกต่างกันตามแต่ละชนเผ่า
อาจจะรวมไปถึงเครื่องดนตรีตรงหน้าที่คือผีผา ซึ่งชาวฮางนำมาเป็นเครื่องดนตรีประจำเผ่าและบัญญัติคำในภาษาเผ่าว่าปินผา

“อาจารย์ถึงยังไม่แน่ใจอย่างไรล่ะว่าจะลงเรียกชื่อเครื่องดนตรีชิ้นนี้ว่าอย่างไร เอาเป็นว่าในเมื่อเรากำลังค้นหาเวียงฮาง เราก็สมควรจะเรียกมันว่าปินผาตามข้อมูลที่ได้มาก็แล้วกันนะ”

ทุกคนยิ้มมองไปยังเครื่องดนตรีที่เพิ่งได้มา ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่ามันคือปินผา...

สายลมพัดพรูหอบเอาความเย็นจากเบื้องนอกเข้ามายังเรือนไม้ทรงไทยของดอกเตอร์ชีวิณ ไกลออกไปเห็นม่านฝนมืดทะมึน ไม่นานจากนั้นก็ได้ยินเสียงฟ้าครางครืน

-----

ชายหนุ่มโอบมือกอดหญิงสาว กระชับร่างบางมาแนบอก บนตักมีเครื่องดนตรีวางอยู่ สดับบางเบาได้ยินเสียงกระซิบบอกรักจากเจ้าหนุ่ม หญิงสาวในอ้อมกอดหลับตาพริ้ม

แวววรรณยิ้มอบอุ่น สัมผัสรู้ถึงอ้อมกอดอันแข็งแกร่งมั่นคง

“...คำฮักนี้ของอ้ายจะมั่นคงตลอดไป ให้ปินผานี้จงเป็นพยาน”

เวลานั้นร่างหนึ่งถลาเข้ามา กระชากปินผาขว้างลงสู่ลำห้วย ดวงตาทั้งสองข้างขุ่นขวางสายธารแห่งความริษยาเชี่ยวกราก

“อีเอียงยา...”

-----

หญิงสาวผุดกายลุกขึ้นกลางดึก สายตาเกรี้ยวกราดและอารมณ์อันหึงหวงมหึมาแผ่กระทบ ความอำมหิตดำมืดปกคลุมจนตกใจเหงื่อกาฬแตกทะลึก

“เอียงยา...”

อีกฝ่ายเรียกเธอว่าเอียงยา...

“ใครกันนะ แล้ว...แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ปินผา...ปินผา...”

สับสนกับความฝัน มันรวดเร็ว ร้ายแรง เจ็บปวดผสมกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เฮ้อ...”

คิดถึงอ้อมกอดแข็งแรง อบอุ่น จากนั้นดันไพล่คิดไปถึงชายหนุ่มอีกคนเมื่อกลางวัน กรอบหน้าสวยแดงซ่าน
ชนวีร์โอบกอดเธอ

“บ้า...ไม่ใช่ มันจะต้องไม่ใช่ มันจะต้องไม่ใช่อีตานั่น” สะบัดศีรษะไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน “ยายแววเอ้ย เก็บภาพอีตานั่นมาฝันอีกสินะ บ้าๆ นอนๆ นอน”

ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง พยายามข่มตาให้หลับหมายใจจะลืมภาพอันสับสน แต่หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นรัวอย่างไม่อาจหักห้ามได้

----

เช้านี้อากาศมัวสลัวไปด้วยหมอกฝน พระอาทิตย์หลบอยู่หลังม่านเมฆ ไม่นานสายฝนก็พรั่งพรูลงมา มวลไอเย็นแผ่ปกคลุมอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้กับหมู่ไม้ใหญ่น้อยต่างชูช่อใบรับน้ำ ใบมะม่วงหน้าบ้านเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดฝนที่ตกกระทบแล้วไหลไปทางปลายใบที่โน้มลงเบื้องล่างเหนือกำแพงปูนสีขาว

แวววรรณนั่งจ่อมอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกมองกระจกที่มีไอเม็ดฝนกระเซ็นเกาะ บางหยดไหลเป็นทางราวกระจกบานนั้นกำลังร้องไห้ เบื่อที่สุดกับบรรยากาศที่ไม่สามารถออกไปไหนได้

วสันต์เดินมาหยุดข้างๆ กับน้องสาว ก้มลงมองแล้วยิ้ม

“ออกไปไหนไม่ได้ล่ะสิ”

หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองพี่ชายแล้วพยักหน้า

“น่าเบื่อที่สุดเลย ฝนตกแบบนี้ไปไหนก็ลำบาก แล้วนี่พี่สันต์จะออกไปไหนคะ วันนี้วันเสาร์ไม่ต้องทำงานนี่”

พนักงานราชการแห่งเทศบาลเมืองน่านนั่งลงข้างๆ กับน้องสาวแล้วยิ้ม

“พี่ไม่ได้จะไปทำงาน แต่จะไปบ้านเพื่อน”

“เพื่อน เพื่อนคนไหนคะ แววไปด้วยได้หรือเปล่า”

“ไอ้ด๊อกวินน่ะ เห็นว่ามันเพิ่งจะได้ของเล่นชิ้นใหม่มาเลยกะว่าจะไปดูเสียหน่อย”

“พี่วินเป็นดอกเตอร์ค่ะ ไม่ใช่ด๊อก” น้องสาวแก้ตัวให้กับเพื่อนสนิทของพี่ชายซึ่งกับเธอก็พอจะสนิทด้วยเช่นกัน “ให้เกียรติเขาหน่อยสิคะพี่ชาย”

“แหม สำหรับไอ้วินมันไม่ถือหรอก ว่าแต่จะไปไหม ถ้าไปก็รีบไปเปลี่ยนชุดซะพี่จะรอ”

“เจ้าค่ะ”

เด็กสาวว่าพร้อมถลาขึ้นชั้นสองไปเปลี่ยนชุด ไม่นานก็มานั่งแหง่วอยู่หน้ารถของพี่ชายที่ขับฝ่าสายฝนตรงสู่บ้านของดอกเตอร์ชีวิณ

“ว่าแต่ของเล่นที่พี่สันต์ว่ามันคืออะไรหรือคะ” หญิงสาวปรารภขึ้น

“เห็นว่าเป็นเครื่องดนตรีหรือของโบราณของชาวเมืองฮางอะไรนี่แหละ”

“เมืองฮาง...เมืองอะไร ที่ไหนหรือ”

“โทษทีนะ พี่ไม่ได้จบประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีเหมือนไอ้วิน อย่าลืมสิว่าพี่ชายของเธอจบนิติศาสตร์เพราะฉะนั้นฉันไม่รู้เว้ย”

“แหม...ถามแค่นี้ทำเป็นหงุดหงิดไปได้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้สิ”

“แกก็รู้ว่าฉันไม่รู้หรือมีข้อมูลเรื่องพวกนี้แล้วยังจะถามอีก”

“ก็แววอยากรู้นี่ แต่ก็เถอะนะ เมืองฮางอะไรนี่ก็ชื่อคุ้นๆ นะคะ”

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นพวกข่า ขมุ หรืออะไรก็ได้ เอาเป็นว่ารอให้ไอ้วินมันมาตอบคำถามของแกเองเถอะ ที่พี่ไปนี่ก็อยากจะรู้เหมือนกัน”

ทั้งสองนิ่งเงียบมองการจราจรที่มีสายฝนเป็นอุปสรรค จนกระทั่งมาถึงเรือนไม้ทรงไทยของดอกเตอร์ชีวิณ ซึ่งเวลานี้มีกลุ่มผู้ร่วมคณะอยู่ร่วมบ้านเต็มไปหมด

“คนเยอะจังนะคะพี่ชาย” ทั้งสองลงจากรถแล้วมุ่งตรงเข้าไปทักทายดอกเตอร์ชีวิณ

ดอกเตอร์หนุ่มแนะนำสองพี่น้องให้รู้จักกลุ่มอาสาสมัครที่มักคุ้นกันดี ก่อนที่กลุ่มคณะสำรวจจะลากลับ เจ้าบ้านจึงพาทั้งสองพี่น้องเข้าไปยังห้องทำงานของตนเอง

“นี่ไงที่ฉันพบมันในถ้ำบนดอยแม่นาง” ดอกเตอร์ชีวิณชี้ไปยังเครื่องดนตรีโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่

“โอ้...ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีอายุกว่าพันปี ดูสิสภาพยังคงความสมบูรณ์ เหมือนแกเพิ่งสั่งเขาทำมาแหกตาชาวบ้างเลยวะ ว่ามั๊ยแวว” วสันต์เอ่ย อดตื่นเต้นกับเพื่อนไม่ได้

“ไอ้บ้า...” เพื่อนหนุ่มค้อนให้กับคำพูดเย้าแหย่นั้น

วัตถุที่วางอยู่ตรงหน้าทำให้แวววรรณเบิกตามองนิ่ง ความรู้สึกคุ้นเคยแผ่ปกคลุมไปทั้งหัวใจ จนเอื้อนเอ่ยเรียกขานสิ่งนั้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ปินผา...”

...คำฮักนี้ของอ้ายจะมั่นคงตลอดไป ให้ปินผานี้จงเป็นพยาน...ถ้อยความยามสัญญาของชายหนุ่มคนนั้นเด่นชัด กรอบหน้าสวยแดงซ่าน

“นี่แววรู้จักปินผาด้วยหรือ”

ดอกเตอร์ชีวิณมองน้องสาวเพื่อนอย่างแปลกใจ เขายังไม่ทันอธิบายหรือให้รายละเอียดอะไรแม้กระทั่งชื่อ ทว่าหญิงสาวกลับเอ่ยมันออกมาราวจะมักคุ้นเป็นอย่างดี

“แวว...ยายแวว” วสันต์เรียกน้องสาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

“แวว ได้ยินพี่ไหม แวว” ดอกเตอร์ชีวิณยกมือขึ้นโบกตรงหน้าของน้องสาว จนกระทั่งเจ้าตัวตกใจแล้วถอยหลังไปชนวสันต์

“เอ่อ...อะ อะไรคะ”

“แววเป็นอะไร ทำไมยืนนิ่ง” พี่ชายถามอย่างเป็นห่วง ท่าทีของแวววรรณแปลกๆ ยามมองเครื่องดนตรีตรงหน้า

“เมื่อกี้แววว่าอะไรนะ” ดอกเตอร์ชีวิณถามอย่างใคร่รู้ “แววรู้จักเครื่องดนตรีชิ้นนี้ได้ยังไงกัน”

“ปินผาหรือคะ” แพรขนตาคู่สวยเบิกขึ้นมองชายหนุ่มทั้งสอง

“ใช่ ปินผา แววรู้จักมันได้ยังไงกัน”

“ไม่รู้สิคะ เหมือนแววจะรู้สึกคุ้นๆ กับมัน อ้อ...เมื่อคืนแววฝันเห็นมันด้วยค่ะ มีคนเรียกมันว่าปินผา”

“แววกำลังดีดมัน”

ทั้งสามกลับไปยังห้องรับแขก นั่งลงบนโซฟาโดยเวลานี้แวววรรณกำลังถูกดอกเตอร์ชีวิณจ้องมองด้วยคำถาม “แววฝันว่าตัวเองกำลังดีดเครื่องดนตรีชิ้นนี้ใช่หรือเปล่า”

“ไม่รู้สิคะ แววไม่แน่ใจ มันเบลอๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ แต่แววก็พอจะจำได้ว่ามีคนเรียกไอ้เครื่องดนตรีตะกี้ว่าปินผา”

“ใช่แล้วล่ะ เครื่องดนตรีชนิดนั้นพี่สันนิษฐานว่าคือปินผา เครื่องดนตรีของชาวฮาง ว่าแต่แววเคยเห็นมันจากที่ไหนอีกหรือเปล่า”

“ไม่เลยค่ะ แววไม่เคยเห็น ก็เพิ่งจะฝันเห็นเมื่อวันสองวันนี้เองค่ะ” หญิงสาวตอบตามความเป็นจริง “พี่วินตกลงมันยังไงกันคะ”

“คือเครื่องดนตรีชิ้นนี้แหละที่พี่เพิ่งเจอในถ้ำ สันนิษฐานว่ามันจะเป็นปินผาของชาวเวียงฮาง ชนเผ่ากลุ่มหนึ่งที่น่าจะอพยพมาอาศัยในดินแดนแถบนี้เมื่อกว่าหนึ่งพันปีก่อน ตอนนี้พี่กำลังตามหาที่ตั้งของเมืองนี้ว่าจริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน”

“ปินผาหรือไอ้วิน” วสันต์ว่า “ไม่เคยได้ยินว่ะ”

“ก็แน่น่ะสิ ไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่แม้กระทั่งเวียงฮางเพราะข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่านี้มีน้อยมาก”

“น่าสนใจดีนะคะ ว่าแต่ถ้ำที่พี่วินไปได้มันมาอยู่ที่ไหนหรือคะ”

“เมืองสวด บนดอยแม่นาง”

“อำเภอบ้านหลวง” วสันต์เอ่ยชื่ออำเภอซึ่งแต่เดิมพื้นที่อำเภอบ้านหลวงมีชื่ออีกชื่อว่าเมืองสวด จนกระทั่งได้เปลี่ยนเป็นอำเภอ
บ้านหลวงในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“ใช่ มันอยู่ในถ้ำ เหมือนตั้งเป็นเครื่องบูชาอะไรนี่แหละ”

แล้วดอกเตอร์หนุ่มก็เล่ารายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่เขาสันนิษฐานว่าจะเป็นปินผาของชาวเมืองฮาง ชาวพื้นเมืองเผ่าหนึ่งอันมีอารยธรรมก่อนหน้าหลายร้อยหลายพันปีก่อน

ก่อนกลับแวววรรณและวสันต์ได้ขอเข้าไปดูวัตถุประหลาดนั้นอีกครั้ง หญิงสาวมองมันอยู่เนิ่นนาน แม้ความรู้สึกจะบอกเธอว่าคุ้นเคย หากยังมีอีกส่วนแบ่งค้านและแทรกลึกกลางใจ...เจ็บปวด แสนเศร้า

หลังทั้งสามออกจากห้องนั้นไป พลันมีปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นกับเครื่องดนตรีชิ้นนั้น

เส้นโลหะสีเงินเริ่มเคลื่อนไหวประหนึ่งใครกรายนิ้วลงกรีด

ตึง...ตึง ง ง

--โปรดติดตามในตอนต่อไป---



ไวกูณฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2557, 20:12:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2557, 20:12:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 904





<< ตอนที่ ๒ สมบัติพันปี!!!   ตอนที่ ๔ มนตร์ปินผา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account