สาปเล่ห์สิเน่หา
เรื่องราวของสองธิดาชาวฮาง ที่เดิมพันหัวใจด้วยชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านแม่นาง

ใคร...จะได้ครอบครองความรัก
ใคร...จะได้หัวใจของชายคนนั้น
แล้ว...
ใคร...จะเจ็บปวดที่สุดกับรักครั้งนี้

Tags: ความรัก ความแค้น แรงริษยา การแย่งชิง เล่ห์ มนตรา

ตอน: ตอนที่ ๔ มนตร์ปินผา

ตอนที่ ๔

มือบางกรายนิ้วลงกรีดเป็นเสียงเพลงอันไพเราะ เสียงของมันลื่นไหลราวสายน้ำเย็น นกไพรขับขานร้องประสานคลอตามอย่างอารมณ์ดี สายลมแผ่วๆ พัดผ่านชื่นเย็น งดงามเอื้องไพรส่งกลิ่นกรุ่นกำจายชวนหลงใหล

เวลานั้นมือหนาของใครบางคนวางทาบทับมือบาง หยุดเสียงสวรรค์นั้นลง หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ส่งยิ้มกริ่มให้

“อ้าย...”

น่าแปลก...บทเพลงยุติ แมลงไพรสิ้นเสียง กลิ่นเอื้องไพรลอยไกลห่างหาย เหลือแต่เพียงมวลไอเย็นของอากาศด้านนอกแผ่กระจายผ่านกระจกฝ้า

ใบหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ดวงตาที่ฉาบรักจนฉ่ำเยิ้มจับนิ่งที่ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อดั่งทาด้วยชาด หัวใจดวงน้อยเต้นระทึก เอียงอาย

รอคอยการบอกรักที่ซาบซ่าน...

หญิงสาวลืมตาโพลงในความมืด มองเพดานห้องแล้วยิ้มเขินกับภาพสุดท้าย

ชายคนนั้นกำลังจะจูบเธอ...

“อี้ ไม่ใช่ จะต้องไม่ใช่เด็ดขาด” ภาพความฝันชัดเจนถึงใบหน้าคมคายของชายคนนั้น เจ้าของอกอุ่นที่เธออิงแอบแนบชิดจนแทบหลอมเข้าเป็นเนื้อเดียว...คือชนวีร์

“ไม่...ไม่ใช่...เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ยัยแวว”

ผุดตัวลุกนั่งยกมือขึ้นปิดหูปิดตาสะบัดหน้าขับไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน ก่อนจะล้มตัวลงนอนใช้หมอนปิดหน้าท่องพุทโธหมายใจให้จิตสงบ ไม่ต้องการคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาคมขาวที่ตามหลอกหลอนตลอดเวลานั้นอีก

----

ในคืนเดียวกันนั้นชนวีร์ที่กำลังหลับฝันก็ต้องผุดกายลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงงงวย เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบใบหน้า ทั้งถอนหายใจเฮือก สัมผัสที่รับรู้บนกรอบหน้าคือหยาดน้ำใสๆ ไหลเป็นสายจากหางตาเปื้อนไปทั้งแก้ม

“อะไรกัน...นี่เราร้องไห้เหรอ” ถามตัวเองด้วยความงุนงง

ความเศร้า ปวดร้าวแทรกผ่านหัวใจ

ชายหนุ่มหลุบเปลือกตาลงปิดน้ำตาที่มันรื้นเอ่อคลอ ไม่ยอมหยุดไหล ในความคิดนึกถึงภาพความฝันอันเจ็บปวดรวดร้าว จนหัวใจแทบแตกสลาย

ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน...

ร่างแบบบางนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจ...ใบหน้าที่ปรากฏเลือนราง ทว่าเค้าโครงหน้านั้นแสนจะคุ้นตา เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร รู้เพียงว่า เธอคือบุคคลที่เขาห่วงหาอาวรณ์เป็นที่สุด

...ชาติหน้าฉันท์ใดขออย่าให้เฮาพบกันอีก...

ก่อนร่างนั้นจะหมดลมหายใจเธอยังมิวายตัดพ้อสาปส่ง เสียงนั้นดังก้องไปทั้งมโน บอกถึงการจากไปโดยไร้ความสงบสุข เธอไปด้วยเหตุแห่งความไม่เข้าใจ ความผิดนั้นมหันต์...จะไม่ขอพบเจอกันอีกต่อไป

ไม่...เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แม้ความต้องการก็ไม่มี แม้กระทั่งเขาในยามนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน มากมายพอๆ กันคือสงสารในชีวิตต่อไปของชายหนุ่มคนนั้น

“ฝันบ้าบออะไรวะ” นายทหารหนุ่มร่างใหญ่บ่น ยกมือขึ้นกุมขมับ

ล้มกายลงนอนอีกครั้ง ทว่าดวงตายังลืมโพลงในความมืด แปลกอย่างไม่รู้สาเหตุ แค่ฝัน...ทำไมถึงมีอิทธิพลมากมาย ประหนึ่งว่าความเศร้าและเสียใจที่เกิดขึ้นทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เพราะเขาที่เป็นเสมือนชนวนก่อให้เกิดเหตุแห่งการสูญเสีย

----

พายุฝนเคลื่อนผ่านไปแล้ว ช่วงระยะสองสามวันนี้จึงมีแต่ความชุ่มฉ่ำ โปร่งใส พระอาทิตย์ได้โอกาสเยื่องกรายเหนือม่านหมอกสาดทอแสง กรุ่นไอดินหลังฝนหอมสดชื่น

เป็นอีกวันที่แวววรรณได้เดินทางมาที่บ้านของดอกเตอร์ชีวิณ จะด้วยความสนใจหรือบางอย่างดลใจไม่อาจรู้ได้ทำให้เธออยากจะเห็นปินผาเครื่องดนตรีโบราณชิ้นนั้นอีกสักครั้ง

“ตามประวัติที่พี่พอจะรู้มาปินผาคือเครื่องดนตรีประจำเผ่าของชาวฮาง” ชีวิณอธิบายขณะพาน้องสาวเพื่อนเข้าไปยังห้องเก็บเครื่องดนตรีชิ้นนั้น

“ชาวฮางเป็นชาวเขาหรือคะพี่วิน”

“ไม่ใช่ ชาวฮางก็เหมือนไทลื้อ ไทใหญ่หรือชนเผ่าหัวเซี่ยนั่นล่ะ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม เป็นชนกลุ่มที่มีน้อย มีแค่ไม่กี่กลุ่มในจีนเท่านั้น”

“เมื่อวันก่อนพี่วินบอกกับแววว่าชาวฮางนี่อพยพมาจากประเทศจีน ถ้าอย่างนั้นหน้าตาของพวกเขาก็คล้ายๆ กับคนจีนสิคะ”

“อืม...อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่าแท้ที่จริงนั้นชาวเมืองฮางมีรูปร่างหน้าตายังไง อัตลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของชาวเมืองนี้ที่พี่พอจะรู้มานอกจากปินผาแล้วยังจะมีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยนะ มีลูกปัดร้อยเป็นพู่ระย้า อ้อนั่น สร้อยนั่นแววไปได้มายังไง”

มองข้อมือของหญิงสาวซึ่งมีสร้อยลูกปัดหลากสีร้อยอย่างสวยงาม หญิงสาวก้มลงมองแล้วถอดออกส่งให้กับอีกฝ่ายดู

“มีคนให้มาค่ะ ดูท่าจะเป็นของเก่าด้วยพี่วินดูให้แววหน่อยได้ไหมคะว่ามันเป็นของใครที่ไหน หรือเป็นของเก่าจริงหรือเปล่า”

ดอกเตอร์หนุ่มตรวจดูสายสร้อย พลิกไปพลิกมาอย่างพินิจก่อนจะเดินไปนำแว่นขยายและวัตถุอีกชิ้นหนึ่งมาวางตรงหน้า

“ถ้าดูไม่ผิด” เขาบอกพร้อมกับวางสร้อยลงบนโต๊ะเคียงข้างกับลูกปัดของตน “ลูกปัดของสร้อยนี้จะต้องเป็นของเก่าโบราณและที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมันคือของเก่าที่น่าจะเป็นของชาวฮาง ดูนี่สิเหมือนกันหรือเปล่า ลูกปัดชิ้นนี้น่ะพี่ขุดได้ที่เวียงสา มันคือลูกปัดของชาวเวียงฮาง”

“เหมือนจริงๆ ด้วยค่ะ”

“แววบอกพี่ได้ไหมว่าไปได้มันมาจากไหน รู้ไหมของเก่าขนาดนี้มีราคามากนะ ยิ่งของแววมีเป็นชุดที่ร้อยกันเป็นสร้อยสมบูรณ์แบบนี้ยิ่งได้ราคาดีมาก”

“แววก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มีคนส่งมาให้แต่ก็ไม่ได้บอกชื่อหรือที่อยู่คนส่ง” เจ้าตัวอธิบายถึงการได้มาของสร้อยปริศนา ตราบจนวันนี้เธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าใครกันแน่ส่งสร้อยเส้นนี้ให้

“แววเก็บมันไว้ให้ดีนะ บางทีของชิ้นนี้อาจจะเลือกเจ้าของและคนที่สมควรจะครอบครองมันก็คือแวว”

“พูดอย่างกับหนังลึกลับเลยนะคะที่จะมีวิญญาณออกมาแล้วตามหาเจ้าของที่แท้จริง” เธอพูดติดตลก ใจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการพูดเล่น

“อาจจะใช่ก็ได้นะ อย่างปินผาชิ้นนี้น่ะ” เขาชี้ไปยังเครื่องดนตรีโบราณ “มีตำนานเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่าปินผาของชาวฮางนั้นไม่ได้สร้างกันง่ายๆ ระยะเวลาการสร้างก็นานกว่าสามถึงสี่ปี คือเจ้าของจะต้องรักด้วยจิตวิญญาณจริงๆ ถึงจะสร้างมันขึ้นมาจนมีเสียงอันไพเราะได้”

“ดูลึกลับอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวยิ้ม คิดว่าชีวิณกำลังเล่านิทานแนวปรัมปราให้เธอฟังก่อนนอน

“ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะแวว” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงขึงขัง ก่อนจะหยิบวัตถุชิ้นนั้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้า

“ไม่ได้ลบลู่ค่ะ...แต่มันก็เป็นเรื่องที่เชื่อยาก เพราะพิสูจน์ไม่ได้”

“เห็นไม้นี่ไหม มีความเชื่อกันว่ากว่าคนที่จะสร้างและเป็นเจ้าของได้นั้นอันดับแรกจะต้องออกตามหาไม้ที่เหมาะสม เบามือ แล้วหมายตาเอาไว้จนกระทั่งถึงวันเพ็ญเดือนห้าจึงจะเดินทางเข้าป่าไปตัด เมื่อได้มาแล้วจะยังไม่สามารถเอาเข้าบ้านได้ จะต้องนำไม้ไปแช่ในลำธารหน้าหมู่บ้านหรือหน้าเมืองถึงเจ็ดวันจึงจะเอามาเกลาเนื้อไม้ ขัดเงา...

“จากนั้นในปีถัดมาถึงจะไปค้นหาไม้มาทำคันยาว แล้วจึงสรรหาเส้นโลหะในการทำสาย ส่วนนี่คือหย่องใช้รองรับสายแต่ละเส้นเพื่อบังคับเสียง หย่องนี่เองที่จะต้องทำจากกระดูกของบรรพบุรุษ เป็นเชิงให้เครื่องดนตรีชิ้นนั้นเป็นมงคลแก่เจ้าของ ให้บรรพบุรุษดูแลรักษา”

“บรื๋อ แบบนี้ก็มีผีสิคะ” หญิงสาวว่าพลางลูบแขน ตาทั้งสองข้างมองนิ่งที่หย่องสีขาวขึ้นเงาซึ่งรองสายโลหะอย่างขนพอง “เอากระดูกบรรพบุรุษมาทำที่รองสายดีด ทำได้ยังไง”

“เป็นความเชื่อของพวกเขาน่ะแวววรรณ อย่างเราที่นับถือผีปู่ผีย่าหรือไม่ก็นับถือเกจิอาจารย์ทำเหรียญหรือเครื่องรางห้อยคอ”

“แต่อย่างน้อยเหรียญก็ทำจากอย่างอื่นนะคะ ไม่ใช่กระดูกผีที่ตายไปแล้ว”

“เถอะน่า ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความเชื่อที่ว่าเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของ เป็นเชิงเคารพบรรพบุรุษด้วย”

แวววรรณพยักหน้าเข้าใจ การมาพบชีวิณในวันนี้ทำให้เธอมีความรู้เพิ่มเติม อย่างน้อยก็เกี่ยวกับเจ้าเครื่องดนตรีโบราณชนิดนี้

“อาทิตย์หน้าพี่จะกลับไปที่ถ้ำแห่งนั้น แววจะไปกับพี่หรือเปล่า” ชีวิณชวน

“ก็ไหนว่าปากถ้ำถล่มลงมาปิดทางเข้าแล้วนี่คะ”

“พี่จ้างชาวบ้านให้ช่วยกันขุด ยังไงก็ต้องขุดให้เจอ เพราะที่นั่นจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พี่สามารถแสดงให้ชาวโลกได้รับรู้ได้ว่าสมมติฐานของพี่เป็นจริง”

“แววคงจะต้องขอบายค่ะ เพราะยังไม่อยากเป็นลิงป่า แววกลับก่อนนะคะ ออกมานานแล้วเดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง” เธอเอ่ยพลางลุกจากที่นั่ง

ชายหนุ่มยิ้มมองร่างบางเดินจากไปจนลับตา กระทั่งได้ยินเสียงรถของหญิงสาวพ้นบ้านเขาจึงหันไปมองเครื่องดนตรีนามปินผาอีกครั้ง

ยกมันขึ้นกำลังจะกรีดนิ้วลองดีด ทว่าต้องชะงักสายตามองเข้าไปในโปร่งใต้เส้นโลหะ มีอักขระบางอย่างสลักเอาไว้

“หรือจะเป็นชื่อของเจ้าของ...”

เพ่งสายตาลงอ่าน พร้อมประมวลผลถึงลักษณะตัวหนังสือว่าเป็นภาษาชนชาวกลุ่มใด

“ฮอเมียง...ฮอเมียง...เอียงยา ฮอเมียงเอียงยา...หมายความว่ายังไงกันนะ”

สองคิ้วขมวดมุ่นนิ่งคิดครวญประมวลความรู้ที่เคยร่ำเรียนมา

พลัน...ลมหอบหนึ่งพัดวูบปะทะหน้า กลิ่นหอมบางอย่างลอยโชย ภาพเบลอๆ ที่เห็นคือสตรีนางหนึ่งกำลังกรีดนิ้วลงบนเครื่องสาย ไม่ถึงนาทีก็วูบดับไป แต่ชีวิณก็พอจะจับภาพลางๆ นั้นได้ว่าเป็นสุภาพสตรีในชุดที่ผสมผสานระหว่างชาวเขาและชาวจีน เธอผู้นี้เป็นใครกัน หรือเพราะความอยากรู้ของเขาทำให้มโนภาพกลับกลายมาเป็นสิ่งที่มองเห็นด้วยตา เขาคงจะตาฝาดไปเอง...

----

ที่สวนสาธารณะริมท่าน้ำน่าน...

กลุ่มนักออกกำลังกายต่างมารวมตัวกันในเย็นวันนั้น หลายคนโยกย้ายเต้นตามจังหวะแอโรบิกหน้าเวที บ้างขยับไปยังริมน้ำโยกสะโพกกับห่วงฮูล่าฮูป บางคนวิ่งจ๊อกกิ้งเลาะเลียบลำน้ำ ยังมีไม่น้อยที่จับกลุ่มพูดคุยกัน

ในกลุ่มผู้รักสุขภาพก็ยังมีนายทหารหนุ่มเดินปะปนอยู่ด้วย ในมือของเขามีปึกกระดาษที่แจกจ่ายให้แก่ผู้คนที่วิ่งบ้างเดินบ้างผ่านไปผ่านมา

“ทำหน้าหล่อๆ ของแกให้มันดูดีหน่อยสิวะ ทำยังกับคนอดนอนไปได้” เสียงทักดังขึ้นพร้อมแรงตบหนักๆ ที่หัวไหล่

“ก็ไม่ได้นอนจริงๆ นี่หว่า...” ว่าแล้วก็หาวหวอด

“ไปเที่ยวผับไหนมาล่ะเจ้าวี ถึงบอกว่าไม่ได้นอน” ผู้กองกานต์ถามแกมเย้า

“เที่ยวผับอะไรเล่า...ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ฉันฝันร้ายต่างหาก” ชนวีร์บอกด้วยสีหน้ายุ่งๆ

“ฝันร้ายนี่นะ ที่ทำให้แกไม่ได้นอนทั้งคืน” เพื่อนนายทหารถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อ

“เออ...ฝันแล้วสะดุ้งตื่น ตื่นแล้วก็ตาสว่างถึงเช้า”

“อย่าบอกนะว่า แกฝันว่าญาติเสีย...” กานต์เย้าต่อ

“เออว่ะ...” ชนวีร์ยอมรับหน้าตาเฉย

“เฮ้ย...จริงเหรอ...ญาติคนไหน” กานต์ทำหน้าตกใจ

“ไม่รู้เหมือนกัน...นี่ก็คิดอยู่ว่าญาติคนไหน แต่บอกตรงๆ ว่าไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยจริงๆ” ดวงตาคมกล้าสลดวูบ

“ช่างเถอะ ฝันก็แค่ฝันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย...อีกอย่าง โบราณท่านว่าไว้ ฝันร้ายจะกลายเป็นดี” กานต์ให้กำลังใจ

“เออว่ะ ขอบใจมากเพื่อนที่เตือนสติ...โน่นเมียแกกวักมือเรียกแล้ว ไปสิ...เดี๋ยวทางนี้ฉันจะแจกเอง” ชนวีร์บอก เมื่อเหลือบตาไปเจอปรียากำลังโบกมือไหวๆ อยู่อีกทาง

“ถ้างั้น ฉันไปก่อนนะ แกจัดการทางนี้ก็แล้วกัน” กานต์บอกก่อนจะปลีกตัวจากไปตามเสียงเรียกของภรรยา

พอพ้นร่างเพื่อน ชนวีร์ก็ถอนหายใจเฮือก พยายามรวบรวมจิตใจให้อยู่กับงานที่เขารับอาสาช่วยเพื่อน...เหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดีจนกระทั่ง...

“พี่วีคะ...”

เจ้าหนุ่มมีท่าทีสะดุ้งนิดหนึ่ง เขาถอยห่างหากก็ช้าไปกว่าข้อมือบางที่คว้าหมับที่ต้นแขนแล้วลูบไล้อย่างหลงใหล

“มาเที่ยวหรือคะ” หญิงสาวรูปร่างสะคราญ ริมฝีปากฉาบด้วยลิปสติกสีแดงสดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ

“เอ่อ ฉัน...พี่ มาทำงานให้เพื่อนน่ะ”

“ผู้กองกานต์หรือคะ” นึกถึงนายทหารหนุ่มรูปหล่อที่เป็นคู่หูกับชนวีร์ซึ่งได้ข่าวว่าเพิ่งแต่งงานไปไม่กี่วัน

“อืม ใช่ครับ...คุณแต้มดาวรู้ด้วยเหรอ” ชนวีร์ถาม ทั้งยังพยายามแกะมือที่เหนียวดั่งกาวนั้นออกอย่างสุภาพ

“ดาวเห็นผู้กองกานต์เดินไปทางโน้นค่ะ เลยคิดว่าน่าจะมาด้วยกัน”

“กานต์กับคุณแป้งเขามีแผนจะประชาสัมพันธ์การฝึกอบรมศิลปะพื้นบ้านที่เรือนแม่นายน่ะครับ พี่ก็เลยมาช่วยแจกโบว์ชัว”

“ไหนคะ ดาวขอดูรายละเอียดหน่อยสิคะ เผื่อจะสนใจกับเขาบ้าง” รับกระดาษจากชายหนุ่มมาอ่านก่อนจะเปิดยิ้ม...
โครงการบ้าบอคอแตก จะมีสักกี่คนกันที่สนใจของโบราณแบบนั้น...

“น่าสนใจดีนะคะ” ปากบอกอีกอย่างหากใจกลับคิดอีกอย่าง สาบานกับตัวเองจะไม่มีวันก้าวไปเหยียบเรือนบ้าๆ นั่นอีกแน่นอน

“ถ้าสนใจก็ลองไปดูสิครับ”

“พี่วีเข้าร่วมโครงการด้วยหรือเปล่าคะ” แต้มดาวถามกลับ แววตาหวานหยดช้อนสบตาอีกฝ่ายอย่างมีจริต

“ผม..เอ่อ...พี่ว่าจะพาพวกทหารเกณฑ์ไปรับการฝึกอบรมอยู่เหมือนกัน พอพ้นเกณฑ์ทหารพวกเขาจะได้ต่อยอดสร้างรายได้เลี้ยงชีพครอบครัว”

“ถ้าพี่วีไปด้วย ดาวก็จะไปค่ะ”

“เอ่อ...ดีครับ... อ้อ...” เห็นแวววรรณเดินตรงมานั่นชายหนุ่มก็เริ่มอึกอัก

ทว่าแวววรรณที่ถูกคะยั้นคะยอให้มาเรียกนายทหารหนุ่มเพราะกลุ่มเพื่อนกำลังจะเดินทางกลับ ทั้งที่ใจจริงเธอไม่อยากมาสักนิด พอเห็นเจ้าหนุ่มกำลังอี๋อ๋อกับแต้มดาว ผู้หญิงที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมากับเธอมาตลอด ก็ถึงกับชะงักฝีเท้าตัดสินใจหันหลังกลับโดยทันที

“เดี๋ยวก่อนครับแวว” ชนวีร์จะวิ่งแต่ติดอยู่ที่มือของแต้มดาวซึ่งยังเกาะแน่นอยู่บนลำแขนของเขา

“อย่าเพิ่งสิคะ คุยกับดาวก่อนสิ” ทำท่าแสนงอนหมายใจให้ชายหนุ่มหันมาสนใจ

“ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะครับ...ตอนนี้พี่มีธุระ” ชนวีร์ปลดมือบางออกจากแขนได้สำเร็จ ทั้งวิ่งตามแวววรรณไปโดยเร็ว

“พี่วี เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไป พี่วีคะ อ๊าย เจ็บใจนัก” ตาทั้งสองข้างลุกวาว มองตามสองร่างหนุ่มสาวที่วิ่งตามกันไปอย่างไม่คิดจะเหลียวแล กลับมาสนใจเธอ

“นังแวววรรณ อ๊าย อีแวว คอยดูเถอะฉันจะต้องเอาชนะแกให้ได้”

----

ชนวีร์วิ่งตามมาจนทัน เขาคว้าแขนแวววรรณเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้อีกนั้นสะบัดหลุดไปได้...

“ตามฉันมาทำไม...กลับไปคุยกับแต้มดาวสิ สวยหวานเป็นผู้หญิงเต็มตัว คงถูกใจผู้ชายอย่างนายไม่น้อยล่ะ”

“คุยกับทอมอย่างเธอสนุกกว่า” เจ้าหนุ่มทำหน้าทะเล้น

แวววรรณรู้สึกได้ถึงความร้อนฉ่าที่เกิดขึ้นบนแก้มสองข้าง ไม่น่าเชื่อว่าแค่ประโยคยั่วโมโหนั่นประโยคเดียวจะทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่หัวใจ

“เพราะเหมือนคุยอยู่กับพวกเดียวกัน” ชนวีร์พูดต่อ แล้วก็หัวเราะ สร้างความโมโหให้แก่คนถูกพาดพิงไม่น้อย

“ระวังปากให้มันดีๆ หน่อย อีทหารตุ๊ด”

“แหม คำก็ตุ๊ด สองคำก็ตุ๊ด นี่ถ้าเจอตุ๊ดจูบปากจะเป็นไงนะ”

ว่าแล้วก็โผเข้าหาหญิงสาว สองมือจับโครงหน้าสวยหมายประทับจูบ

แต่...

พลั่ก!

เข่าหญิงสาวกระตุกเข้าช่องท้องอย่างแรงจนเจ้าหนุ่มถึงกับตัวงอ หน้าเผือด

“โอ้ย...เล่นแรงนะแวววรรณ จุกเลยนะ”

“ก็ใครใช้ให้นายจะมาทำร้ายฉันก่อนล่ะ”

“ปากดีแบบนี้ ต้องจูบให้ได้” เขาว่าทั้งหน้าที่ใบหน้ายังบิดเบี้ยว

“ก็เอาซี้ อยากได้อีกไหมล่ะ มะ มาสิ แม่จะฝากรักให้ได้หยอดน้ำข้าวต้มวันนี้เลย อยากลองก็เข้ามา”

แม่สาวจอมแก่นกำหมัดตั้งการ์ดเตรียมพร้อม ตาทั้งสองจดจ้องมองร่างเจ้าหนุ่มที่จะประทุษร้ายเธอพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“ถ้าเป็นรักที่เธอฝากก็น่าสนอยู่นะแวววรรณ” ถึงจะจุกแต่ก็ไม่วายปากดี

“ยายแป้งให้ฉันมาตามนาย พวกเขารออยู่ทางโน้น พวกเราจะกลับกันแล้ว นายอยากอยู่ต่อก็ตามใจ” เธอตัดบทเมื่อไม่อยากเสียเวลา ก่อนจะหมุนตัวหันหลังหนีแล้วเดินจากไปอย่างไม่สนใจชายหนุ่มที่ทำหน้ายู่อีก

ฝ่ายนายทหารหนุ่มถึงเจ็บจุก แต่ก็ยังมิวายยิ้มออกเมื่อนึกถึงคำโบราณที่ว่า ผู้หญิงตบแปลว่าผู้หญิงรัก ส่วนผู้หญิงที่กระทุ้งเข่าใส่ท้องแสดงว่ายิ่งรักมาก

----

แวววรรณเดินมาสมทบกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยง ปรียาพอเดาเหตุการณ์ออกว่า คงถูกชนวีร์แกล้งยั่วโมโหเพื่อนของเธออย่างแน่นอน

“เจ้าวีล่ะครับ คุณแวว” ผู้กองกานต์เอ่ยถามทันทีที่แวววรรณเดินมาถึง

“โน่น เดินขาลากมาโน่นแล้วค่ะ”

เห็นสภาพเจ้าหนุ่มจอมกวนแต่ไกลทั้งกลุ่มถึงกับหัวเราะ ไม่คิดว่าการส่งแวววรรณไปตามชนวีร์ครั้งนี้จะทำให้อีกฝ่ายเดินกุมท้องตัวงอเข้ามา

“ไปกัดอะไรคุณแววหรือถึงได้มีสภาพแบบนี้น่ะ แล้วนี่เป็นไงบ้างล่ะ” กานต์ปรี่เข้าไปพยุงเพื่อนแล้วถามอย่างเป็นห่วง

“เหอะ ฉันเรอะที่กัด โดนขนาดนี้ไม่ได้กัดหรอก ถูกกัดมากกว่า”

“ไอ้!!” หญิงสาวกำหมัดอย่างโกรธจัด ก่อนจะตัดสินใจยุติความนั้นโดยการหันไปทางอื่นเสีย

----โปรดติดตามตอนต่อไป---



ไวกูณฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2557, 19:50:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2557, 19:50:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 894





<< ตอนที่ ๓ นิมิตมายา   ตอนที่ ๐๕ รอยอดีต >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account