UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 12 : ขอโทษ!!!

บทที่ 12

ทันทีที่มาถึงบ้านเขียนจันทร์ไม่พบคนมาดักรอ หรือใครทำตัวมีพิรุธภายในบ้านก็รีบโทรบอกแก่บดินทร์ภัทรว่าเธอมาถึงบ้านแล้วไม่ต้องห่วง ก่อนจะรีบตรงดิ่งไปยังบ้านหลังเล็กเป็นส่วนตัวที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัง ซึ่งพ่อของเธอย้ายมาอยู่ตั้งแต่กลับจากต่างประเทศ เธอเห็นสายตาของพ่อแม่เวลาแอบมองตากันก็รู้ว่าความหวังของเธอไม่ใช่แค่ลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป เวลาหม่อมยายเธอไม่อยู่บ้านแม่ก็จะคอยมาหาพ่อที่นี่เสมอ

กลิ่นอาหารลอยอบอวลมาจากในบ้าน พ่อของเธอเป็นทหารที่ชอบการทำอาหาร อาหารของพ่อแม้จะไม่ได้ชื่อเลิศหรูอย่างอาหารชาววัง แต่ก็อร่อยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ยิ่งเป็นน้ำพริกมะขามของโปรดเธอนั้น พ่อเธอทำออกมาได้ยอดเยี่ยมที่สุด แม่ค้าตลาดไหนก็สู้ไม่ได้

แจงวิ่งไล่จับกับกองพันอยู่สนามหญ้าหน้าบ้านหลังเล็กที่พ่อของเธออยู่ เด็กชายหยุดวิ่ง แล้วตรงเข้ามากอดขาเธอไว้ เขียนจันทร์ส่งกล่องขนมที่ซื้อหน้าปากซอยติดมือมาให้แจงนำไปจัดใส่จาน รอให้เด็กที่ชอบทานขนมหวานได้ลิ้มลอง

“วันนี้ไปไหนมาบ้างครับน้องขุน” เขียนจันทร์ย่อตัวไปอุ้มกองพันขึ้น เธอได้มอบหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กให้แจงดูแลอย่างเป็นทางการ ส่วนเธอจะคอยคิดโปรแกรมเพื่อพากองพันไปเพิ่มทักษะต่างๆ ทั้งว่ายน้ำ เรียนวาดรูป หรือเตะบอล สร้างมิตรสัมพันธ์กับพ้องเพื่อนในวัยเดียวกัน เวลาว่างๆ ของเธอที่ไม่มีงาน เธอก็จะหาโอกาสไปด้วยเสมอ

“ไปเรียนเทควันโดมาครับ”

“ตัวเท่านี้จะไปเตะใครได้ครับน้องขุน” เขียนจันทร์เอ่ยหยอกล้อ เห็นเด็กชายทำหน้าครุ่นคิดยกมือมานับนิ้วก็ใคร่ฉงน ขณะที่พาเดินเข้าไปด้วยกันในบ้านพักของศิลปิน “นับอะไรครับน้องขุน”

“ขุนนับเพื่อนที่ขุนเตะล้มไปครับ มีบอย สปาย ตาต้า โรบอท ซัมเมอร์ครับ พอขุนจะเตะซันนี่ครูก็รีบห้ามเลย” เด็กชายปากแดงจู๋ รอให้เขียนจันทร์ที่พามานั่งบนตักตอนหญิงสาวนั่งลงสวัสดีพ่อที่ยื่นหน้ามาจากในครัวเรียบร้อยจึงเอ่ยถามต่อ “ทำไมห้ามซันนี่เป็นผู้หญิงหรือเปล่า”

กองพันส่ายหัวดิก หน้าตาจริงจังเวลาเล่าเรื่อง “ซันนี่เป็นพี่ชายซัมเมอร์ ตอนมาสู้กัน ซันนี่ร้องเป็นผู้หญิงเลยตอนถูกขุนเตะไปทีหนึ่ง”

เขียนจันทร์ไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือร้องไห้ดีกับนิสัยบ้าพลังที่ดูจะซึมซับมาจากคนเลี้ยงอย่างรักษ์ชาติมาเต็มๆ เด็กสี่ขวบที่เพิ่งไปเรียนเทควันโดมาไม่ถึงห้าครั้ง เตะเพื่อนล้มไปแล้วหลายคน ดูภูมิอกภูมิใจมีความสุข จนเธอไม่รู้จะสอนความอ่อนโยน รักความสงบ ไม่นิยมความรุนแรงให้กองพันอย่างไรดี

“ผู้ชายบางทีก็อ่อนไหวนะครับ ใครที่ไม่อยากสู้เราจะไม่ซ้ำเติม เราจะใจดีกับคนที่ใจดีกับเราตอบ”

“เตะกับคนไม่ดี พ่อขุนบอกมา”

คำเสริมของเด็กฉลาดอย่างกองพันทำให้คนโตที่นั่งฟังอยากยกเท้าลอยไปเตะคนสั่งคนสอน เด็กตัวเท่าเมี่ยงสอนเรื่องใช้ความรุนแรงแบบนั้นได้อย่างไร “ไม่ได้ครับ เราต้องมีสติ”

“สติคืออะไรครับ” เสียงเจื้อยแจ้วถามทะลุขึ้นมา หน้าตาใสซื่อจ้องแป๋ว

มือนุ่มยีหัวเด็กชายเบาๆ กอดกระชับร่างเล็กแล้วโยกก่อนตอบ “สติ คือสิ่งที่ทำให้เรารู้ความเป็นไปของสิ่งที่เราจะทำ มันจะทำให้เราไม่ทำผิด ไม่ทำร้ายใคร อย่างการมีเรื่องชกต่อย ไม่ใช่เรื่องดี สติจะสอนให้เราไม่ไปมีเรื่อง รู้จักหลบหลีก”

“ขุนไม่เข้าใจ” เด็กชายยื่นปาก หน้าขมวดมุ่น เขียนจันทร์วางมือประกบแก้มนุ่ม สอนในสิ่งที่เธอต้องการ

“เราจะต่อสู้เมื่อยามจำเป็น แต่ไม่ใช่ไปเตะต่อยไม่เลือกหน้า มนุษย์เราไม่รักความรุนแรงนะครับ เราเรียนการต่อสู้เพื่อป้องกัน ไม่ใช่ไปหาเรื่อง” หน้าของกองพันยังบูดบู้คิดตาม เขียนจันทร์ถึงกับหัวเราะ บางทีเรื่องที่เธอสอนอาจยากเกินไป แต่มันก็ไม่น่าง่ายอย่างการเตะคนไม่ดี เรื่องอย่างนั้นกองพันไม่น่าจะจดจำง่ายๆ แบบนี้สิ

แจงยกจานขนมหวานเข้ามา เป็นขนมไทย มีขนมชั้น เม็ดขนุน และทองหยอด เขียนจันทร์ซื้อมาปริมาณไม่มาก พอแค่ให้กองพันได้ลิ้มชิมรสนิดหน่อย กับให้แจงทาน

“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะครับน้องขุน แม่เขียนจะพาไปดูสัตว์ตัวโตๆ มีหูใหญ่เท่าแขน จมูกยาวกว่าขาน้องขุน หางก็ยาวแกว่งไปมา” เขียนจันทร์ทำท่าสมมติประกอบการพูด เห็นเด็กชายตื่นตาตื่นใจกับการพูดของเธอยิ่งมีแรงกระตุ้น “รู้ไหมครับคืออะไร สัตว์ตัวใหญ่ๆ”

“ช้าง แปร๋นๆ ครูนภสอนขุนมา ช้าง เอลเลเฟ่น” กองพันตอบออกมาได้ถูกต้อง ประกอบภาษาอังกฤษ เขียนจันทร์ร้องหือ จิ้มทองหยอดป้อนคนเก่งที่รู้สึกว่าจะฉลาดล้ำกว่าเธอตอนอายุสี่ขวบเต็มเท่าลูกขุน

“พ่อขุนไปไหมครับ ขุนอยากให้พ่อไปด้วย แม่เขียนจะได้มีเพื่อน”

ความเห็นอกเห็นใจของกองพันกำลังสร้างความลำบากใจให้เขียนจันทร์ที่สุด หญิงสาวอยากบอกปัดปฏิเสธไป แต่ก็รู้ว่าเธอต้องขออนุญาตทางรักษ์ชาติก่อนเรื่องจะพากองพันออกไปเที่ยว และอาจต้องค้างคืน ถ้าหากรักษ์ชาติไปจริง เธอไม่รู้ว่าจะต้องปั้นหน้ายิ้มรับเขาเป็นใบหน้าโง่ๆ อย่างไรดี เด็กฉลาดๆ อย่างกองพันต้องรู้แน่ว่าเธอทะเลาะกับรักษ์ชาติอยู่

เอาเถอะ เห็นแก่เด็กตาดำๆ เอาลูกเขามาเลี้ยง เธอก็ต้องตามใจแบบนี้สิ “เดี๋ยวแม่เขียนไปถามพ่อขุนให้นะครับ ถ้าพ่อขุนไม่ไป เราก็ไปกันได้ใช่ไหมครับ”

“แต่ขุนอยากให้พ่อขุนไปด้วย พ่อขุนน่าสงสาร”

คำบอกเล่าแสนบริสุทธิ์ของกองพันดึงความสนใจคนฟัง รวมทั้งหัวใจให้เกิดการกระตุกขึ้นมา หญิงสาวเกร็งตัวขึ้น ไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม แต่ปากของเธอก็หลุดออกไปเสียแล้ว “พ่อขุนน่าสงสารตรงไหนครับ”

“พ่อขุนไม่มีเพื่อน ลุงก้อง ลุงดามเล่นกับพ่อขุนไม่ได้” ชื่อของคนสนิทรักษ์ชาติที่ไม่ใช่เพื่อนนั้นทำให้เขียนจันทร์ได้แต่ส่งเสียงรับในลำคอ เธออยากจะบอกกองพันเหลือเกิน ว่าถ้ามีเพื่อนแบบรักษ์ชาติใครที่ไหนก็ไม่อยากเป็นเพื่อน คนอะไรชอบทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ ไม่เคยคิดถึงจิตใจกันบ้างว่าคนถูกกระทำ ถูกต่อว่าจะรู้สึกอะไร เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล...คนแบบนั้นไม่น่าสงสารสักกะนิด


แค่คนไม่น่าสงสาร ทำไมทำให้เธอต้องรู้สึกว่า...มองเลยผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้แบบนี้ ก็ไม่รู้

เขียนจันทร์รอดูว่าใครที่จะมารับกองพันในวันนี้ก็พบว่าเป็นรถแวนของรักษ์ชาติขับเข้ามา วาดตะวันลงมาก่อน มาถึงก็เท้าสะเอวใส่หน้าเธอ ก่อนจะวางเงินสามพันใส่ในมือสีหน้าไม่สบอารมณ์

“พี่เรียกเธอ แต่เธอหนีพี่ แล้วเอาเงินฟาดหัวทีมงานเนี่ยนะ พี่ไปทำอะไรให้เธอเกลียดขี้หน้าหรือไง” เห็นอาการน้องสาวอ้าปากค้าง ตะลึง วาดตะวันก็รู้ว่าน้องสาวของเธอคงเข้าใจผิด “จะหนีอีกก็ได้นะ ถ้าไม่ใช่พี่ก็คงเป็นอีกคน พี่จะไปหาหม่อมยาย สำรวจว่าหม่อมยายมารังแกพ่อของเราหรือเปล่า”

นางแบบหุ่นสูงเพรียวเดินเชิดเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ปล่อยให้น้องสาวที่ไม่ได้คิดหนีอีกยืนเผชิญหน้ากับรักษ์ชาติที่นั่งไขว่ห้างบนเบาะรถ ไม่ได้ลง ไม่เริ่มพูดทักทาย และไม่แม้แต่หันมามอง เขียนจันทร์รวบรวมความกล้ามาตลอด เจอการแสดงออกแบบนี้ก็ถึงกับเริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง อยากจะตะโกนถามเขาว่าหน้าเธอมันมีหนองขึ้นมาจนทนมองไม่ได้หรือไง

แต่รู้ว่าการทำอย่างนั้นมันคือการปาหินใส่รังแตนมากกว่า “คุณขุนคะ พรุ่งนี้ฉันจะขอพาน้องขุนไปเที่ยว อาจมีค้างคืน คุณจะอนุญาตไหม แต่น้องขุนเขาอยากไปนะคะ” เรื่องเอ่ยชวนให้เขาไปด้วย เขียนจันทร์เลือกเก็บไว้ในอก ไว้ไปปลอบเด็กชายทีหลังก็ได้ในเวลาที่ไม่เห็นหน้าพ่อตัวเอง

“กับใคร”

แปลว่าเอาลิ้นไก่มาด้วย...เขียนจันทร์นึกหมั่นไส้คนที่เคลื่อนหน้ามามองเธอช้าๆ และพูดอย่างประหยัด “ฉัน แจง อาจมีพ่อแม่ฉันด้วย แล้วก็เพื่อนฉันอีกหนึ่งคน”

“เพื่อนคนไหน ไว้ใจได้ไหม เป็นคนดีพอให้ลูกฉันเคารพหรือเปล่า”

เขียนจันทร์ไม่เก็บอาการกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่ายกับคนระแวงไม่เข้าเรื่อง เธออยากจะถามเขากลับอีกบ้างเหมือนกัน...เขาช่างเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกเสียนี่กระไร

“ไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันไปตามน้องขุนมาให้” เขียนจันทร์ตัดจบบทสนทนา ไม่ใส่ใจที่จะขออ้อนวอนกับรักษ์ชาติเพิ่ม เธอหมุนกายเดินหนี ได้ยินเสียงเท้ากระโดดลงจากรถ ร่างของเธอก็ออกซอยวิ่งอย่างรวดเร็ว คนหลงรักความเร็ววิ่งมาจวนจะถึงสวนหน้าบ้านของพ่อ เธอก็เผลอสะดุดก้อนหินหน้าทิ่มไปในพุ่มไม้เตี้ย เขียนจันทร์อยากจะนอนนิ่งๆ หลับตา ตื่นขึ้นมาอีกทีอยู่บนเตียง ไม่มีใครกล่าวถึงความซุ่มซ่ามอันเฉิ่มเบ๊อะของเธอในครั้งนี้

ร่างบางถูกดึงขึ้นยืน มือหนารัดเอวเล็กไว้หลวมๆ ขณะมืออีกข้างยกปัดเศษใบไม้ออกจากใบหน้าให้ หน้าตาดุจัดยามต่อว่า “ซุ่มซ่าม เคยระวังตัวอะไรบ้างไหม”

คนถูกต่อว่ามีตะกอนขุ่นในใจเป็นทุนเดิม ยิ่งเจ็บแสบกับการถูกรักษ์ชาติต่อว่า สายตาที่มองเธอเป็นเด็กน้อยที่ต้องคอยมีผู้ใหญ่ดูแลทำให้เธอนึกโมโห ยกมือปัดแขนที่ยุ่มย่ามกับการเอาเศษใบไม้บนหน้าเธอออก แล้วดันร่างตัวเองออกมา ยืนห่างออกไป พอเธอจะตั้งท่าเดินไปให้ห่างอย่างการเข้าบ้าน รักษ์ชาติก็เข้าถึงตัวเธอเสียก่อน จับเธอปิดปาก ยกขึ้นตัวลอยเดินไปอีกทางของบ้าน บริเวณสวนดอกไม้ที่ไม่มีคนงานมาพลุกพล่าน ก่อนจับเธอวางยืนบนพื้น เขียนจันทร์แค้นใจที่เธอยกมือขยำหัวเขาได้ไม่พอใจ ขาก็เตะปัดป่ายไม่ค่อยจะเข้าเป้า เธอควรไปเรียนเทควันโดกับกองพัน เอาไว้ใช้เตะคนไม่ดีตรงหน้าเธอนี้บ้าง

“มีอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเรื่องจะคุยกับคุณ”

เขียนจันทร์ยืนกอดอก เดินไปนั่งไขว่ห้างยังมานั่งยาวอย่างคนมีฟอร์ม ทั้งที่เธอหมดท่าตั้งแต่ล้มหน้าทิ่มเข้าพุ่มไม้ไปแล้วก็ตาม...ฟอร์มมนุษย์มันสร้างขึ้นมาได้เรื่อยๆ

รักษ์ชาติพ่นลมหายใจเสียงดังออกมาอย่างหงุดหงิด เดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขียนจันทร์ เม้มปากแน่น เบือนหน้าไปทางอื่น หลับตา ด้วยความอัดอั้นในอก “ฉันขอโทษเรื่องที่ทำให้เธอไม่พอใจ...ทุกๆ เรื่อง”

ความเงียบคืบคลานมา เสียงแมลงกลางคืนดังระงมชัดเจนในความรู้สึกของทั้งสอง รักษ์ชาติผินหน้ากลับมาช้าๆ พบว่าเขียนจันทร์จ้องกลับมาตาแป๋ว เอียงคอน้อยๆ ยกมือเคาะปลายคาง ก่อนส่ายหน้าไปมา และสั่งการในสิ่งที่ทำให้รักษ์ชาติอยากกลืนน้ำลายลงคอให้หมด

“เอาใหม่ มันดูไม่จริงใจ คุณควรจ้องตาคู่สนทนา น้ำเสียงอ่อนลง และแสดงท่าทีว่ายอมรับผิด ไม่ใช่เหมือนคนถูกบังคับให้มาขอโทษ แต่ถ้ามีใครจี้ปืนอยู่ข้างหลังคุณ แล้วสั่งให้ทำ ฉันจะไปบอกเขาเองว่าไม่เป็นไร ฉันจะไม่โกรธ ไม่ใสใจ กับคนที่ไม่แคร์ความรู้สึกฉัน ฉันจะมองคนพวกนั้นเป็นแค่เศษดินบนปลายรองเท้าของฉัน เดินๆ ไปเดี๋ยวเศษดินก็หลุดไปเอง ไม่ทันทำให้ฉันขุ่นเคือง แต่ถ้าอยากได้รับการให้อภัยจากใจฉัน ทำตามที่ฉันบอก”

“ลืมที่ฉันพูดไปให้หมด” รักษ์ชาติยื่นหน้ามาจ้องตาคนที่ขอให้ขอโทษใหม่ มุมปากยิ้มเหยียด “ฉันจะไม่พูดในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำ ฉันไม่ใช่พระเอกของเธอ อะไรนะเศษดินบนปลายรองเท้า ไม่ให้ฉันเป็นขี้หมาที่เธอเผลอเหยียบมันไปโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ”

เขียนจันทร์ขบริมฝีปากจนเจ็บ เธอเผลอหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากรักษ์ชาติบ้าง แค่พูดเพราะๆ ไม่กระโชก แดกดันเธอสักนาที ปากเขาจะพูดไม่ได้หรือไง...คนบ้าอะไร อารมณ์แข็งกระด้างจริง ถึงว่าเสียบแทงทะลุใจคนฟังให้เจ็บให้พรุนได้ตลอด

“รู้ตัวเองก็ดี ฉันจะได้รู้ตัวว่าพูดกับอะไร คุณมันก็แค่ขี้หมาติดปากไว้พูดจาอะไรที่เหม็นเน่า ฉันเสียเวลาพูดกับขี้หมาไปได้ยังไงก็ไม่รู้ เริ่มเหม็นๆ แล้ว” เขียนจันทร์ยกมือปัดไปมาหน้าจมูกตัวเอง เบะปากใส่คนตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ได้ยินเขาส่งเสียงฮึ่มๆ ในคอมา ร่างที่เตรียมจะลุกก็โดนกดลงไปนั่งดังเดิม รักษ์ชาติยืนค้ำร่างระหงปิดทางออกไว้

ใบหน้าเข้มก้มลงมาจนอยู่ระดับเดียวกับหน้าของหญิงสาว คำแรกที่เขาพูดมาตอกหน้าคนฟังให้ชาดิก และนิ่งเรียบ

“ฉันเกลียดเธอ เกลียดมากๆ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้เน้นหนัก แต่อ่อนโยนมากขึ้น ซึ่งเขียนจันทร์ไม่ทันสังเกต นอกจากรับรู้ใจความที่สื่อมันลงกลางใจ ใจของเธอบีบอัดเป็นความเจ็บปวด เธอจ้องตากลับไปยังดวงตาคมกล้าที่ไม่เคยแสดงความอ่อนโยน เธออยากจำจดจารึกในใจ และตอกย้ำด้วยประโยคเดียวกันนี้ ซึ่งเธอไม่เคย ‘เกลียด’ เขาได้จริงๆ สักครั้งเดียว

“แต่ฉันเกลียดตัวเองมากกว่า เธอจะให้อภัยผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ได้ไหม อภัยไปถึงอนาคตด้วยก็ได้ ฉันมั่นใจว่าคนอย่างฉันมันเปลี่ยนยาก”

เปลือกตาบางกะพริบปริบๆ มองเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา ผู้ชายห่ามๆ คนหนึ่งกำลังขอโทษเธอ คำของเขาไม่ได้หวานซึ้งลื่นหู แต่เขียนจันทร์รู้สึกว่ามันน่าฟัง หัวใจที่ไม่เคยเต้นแรงกับผู้ชายหน้าไหน ยกเว้น ‘เขา’ กระหน่ำรัวภายในอก ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เธอโกรธจนคลั่ง เกลียดในห้วงอารมณ์หนึ่งจนแทบอยากฉีกทึ้งอกเขาแล้วโยนให้ฉลาม หรือจะวูบไหวไปกับการกระทำแปลกๆ ของเขาแม้เพียงน้อยนิด หรือบางสิ่งที่ยากเกินกว่าจะหามาอธิบาย

เธอเคยถูกเขากอด เธอพอจะนึกว่าเขาแกล้งให้เธออึดอัดตายในอ้อมกอดของเขา เคยถูกเขาผูกมัดเธอด้วยการเอาข้อต่อรองเรื่องอุลตร้าแมนตัวแดงมาหยิบยกทั้งที่ผ่านมานานนมก็แค่อยากให้เธอเป็นแม่ของกองพัน แต่เธอเริ่มไม่เข้าใจเรื่องที่เขาจูบหน้าผากเธอ เรื่องทำสัญญากันด้วยปาก เรื่องที่เขาต้องโมโหทุกครั้งเวลาที่เธอเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย โมโหครั้งนั้นเมื่อเธอคิดดีๆ เธอยังนึกกลัว ว่าหากเธอตายไปจริง เขาจะตามไปลากวิญญาณเธอจากโลกหลังความตายจับมาฟาดก้นให้หลาบจำหรือเปล่า สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมด รวมทั้งการขอโทษเธอในแบบที่จริงใจที่สุดของเขานี้...เขาคิดอะไรอยู่

เขียนจันทร์ควบคุมลมหายใจให้นิ่ง พยายามไม่แสดงท่าทีดีใจจนเกินหน้าตาให้เขาจับได้ “ถ้าฉันไม่ให้อภัย คุณจะบีบคอ กดหัวฉันในสระน้ำพุ หรือว่าจับจูบจนขาดอากาศหายใจตายไปดีล่ะ”

“ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิงของฉัน...ไม่มีวัน แต่ถ้าจิตใจผู้หญิงของฉันจะบอบบาง อ่อนไหวง่าย ฉันก็จะขอโทษ แต่จะไม่สัญญา เพราะสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำเพราะเป็นห่วง หวังดี อาจไร้เหตุผลไปบ้าง แต่ฉันไม่เคยคิดร้ายกับผู้หญิงของฉัน”

‘ผู้หญิงของฉัน’ ตอกย้ำสถานะที่เธอเคยตกลงไปกับรักษ์ชาติกลับมา เขียนจันทร์เกือบจะดีใจถ้าหากวันนี้เธอไมได้อ่านหน้าหนังสือซุบซิบดาราที่ว่าด้วยเรื่องพี่สาวเธอกับเขา รักษ์ชาติก็เป็นมนุษย์ที่เชื่อถือไม่ได้ เขียนจันทร์ลุกขึ้น พยายามไม่วิ่งหนี หรือทำตัวตื่นให้รักษ์ชาติมาตะครุบง่ายๆ เธอรู้ว่าผู้หญิงของเขาในความหมายก็คงเหมือนแฟน แล้วเธอก็ตกลงรับปากกับเขาไปแบบคิดสั้นมากๆ แล้ว เธอไม่รู้ว่าแฟนกันควรเริ่มมาจากไหน แต่เธอก็คิดถึงสิ่งหนึ่งเหนืออื่นใด ‘ความรัก’ คนอย่างรักษ์ชาติเคยรักใครเป็นไหม แล้วเขาเลือกเธอมาเพราะอะไร

หญิงสาวคิดว่าเรื่องทุกอย่างเหมือนถูกบังคับให้เกิดขึ้น...มากกว่าใช้ความรู้สึกควบคุมให้มันดำเนินไป เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลใดๆ มารองรับด้วยซ้ำ

หัวใจเธอเริ่มเต้นในจังหวะที่เจ็บปวด เธอใส่ใจความรู้สึกของรักษ์ชาติขนาดนี้มานานหรือยัง เคยคิดถึงเขา โกรธเขาติดต่อกันนานเกินเจ็ดวันตั้งแต่เมื่อไหร่

“ฉันคงไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นของคุณ เพราะฉันไม่ใช่พี่วาด คุณมาบอกผิดคนแล้ว”

เขียนจันทร์ปิดดวงตาที่กำลังตัดพ้อเขาไว้ไม่มิด เธอเกือบจะร้องไห้ให้กับความรู้สึกที่อัดอั้นในอกจนอยากระเบิดมันทิ้งด้วยน้ำตาสักปี๊บ ล้างความรู้สึกทั้งหมดออกไปในคราเดียว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ปล่อยให้เธอได้ทำเมื่อพุ่งตัวเข้าหาเธอ เขียนจันทร์ไม่มีโอกาสหวีดเสียงร้องก็ถูกมือหนาอุดไว้แน่น ร่างของเธอกลิ้งหลุนไปบนพื้น ก่อนจะถูกดึงเข้าไปซุกอกอุ่น ร่างทั้งสองนอนเหยียดยาวไปบนพื้นดิน รักษ์ชาติอุดปากกระซิบเสียงข้างหู

“ฉันเห็นแม่เธอกำลังคุยโทรศัพท์กำลังเดินมาทางนี้ สีหน้าไม่ดีเลย”

มือที่ทุบกำปั้นไปอย่างแรงไม่ออมมือนั้นทุบซ้ำไปอีกหลายครั้งเพราะเธอไม่เชื่อ เขียนจันทร์รู้สึกว่าตรงหน้าเธอมันจอมหลอกลวง ปลิ้นปล้อน ไม่เคยจริงใจ กำปั้นที่ห้ากำลังเลื่อนไปเพื่อเสยคางคนตรงหน้าที่ไม่ยอมห้ามปรามเธอนอกจากใช้มือข้างหนึ่งอุดปากเธอ และอีกข้างรัดร่างเธอไว้แน่น ก็รอดพ้นกำปั้นเสยคางเธอได้ทันเวลาเมื่อเสียงของแม่เธอดังขึ้นจริงๆ

คนที่กลายเป็นมนุษย์หูยื่นเงียบเสียง ลมหายใจเขียนจันทร์ถูกกดไว้ให้ผ่อนเสียงเบาๆ เธอกลัวแม่จะได้ยินเมื่อท่านกำลังคุยกับบุคคลอันตราย

“เสี่ยหลง ร้อยล้านมันไม่มากไปเหรอ สัญญาที่ฉันจะฉีก ที่จริงไม่ต้องเสียสักบาทก็ได้ ถ้าคุณไม่เล่นสกปรกจ้างคนตามติดคนของฉัน บางคนคุณก็ส่งคนมาทำร้ายข่มขู่ครอบครัวของเขา คุณมันเลวมาก”

เขียนจันทร์ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ร่างของเธอสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ อ้อมแขนแกร่งจึงรัดร่างเธอแน่นขึ้น วางคางบนเนินไหล่ของเธอ แต่หูสองคู่ก็ยังทำงานตามติดบทสนทนานี้ต่อไป

“คิดว่าคุณอยู่เหนือกฎหมาย อยู่เหนือความถูกต้องได้ก็เชิญ แต่ถ้าคุณแตะต้องครอบครัวของฉันอีก ฉันยินดีมือเปื้อนเลือด ประวัติด่างพร้อย”

หยดน้ำอุ่นไหลรินจากตาของคนฟัง เขียนจันทร์ร้องไห้ให้กับบทสนทนาของแม่ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นรุนแรง และกดดันมหาศาล เขียนจันทร์ซุกกับอกหนาร้องไห้ให้กับสิ่งที่เธอช่วยเหลืออะไรท่านไม่ได้ หลักฐานที่มีมานั้นดูท่าแล้วเสี่ยหลงจะใช้วิธีดำมืดไปกดดันทุกอย่าง วางหมากรอบด้านจนแม่เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ฉันไม่มีวันให้แม่ฉันฆ่าคนแน่ ต่อให้ไอ้เสี่ยเลวนั่นมันเลวขนาดไหน ฉันจะกระชากมันลงมาด้วยมือฉันเอง” เขียนจันทร์พึมพำด้วยความแค้นสุมอกเมื่อเสียงสนทนาของมารดาจบลง และการก้าวย่างที่ห่างออกไป

มือหนาลูบปลอบประโลมร่างที่สั่นเทาเป็นลูกนกน้อย รักษ์ชาติสงสารที่ทำให้เขียนจันทร์ต้องรับรู้เรื่องที่เจ็บปวด ทั้งที่พยายามให้เธอหนีมาตลอด ที่ผ่านมาเขาได้แต่ส่งคนตามติดเขียนจันทร์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คอยดูแลว่ามีคนของเสี่ยหลงมาวอแวใกล้ๆ หรือไม่ ตั้งแต่วันเกิดเรื่องตอนนั้นคนของเสี่ยหลงก็ไม่ได้ตามเขียนจันทร์อีก เสี่ยหลงอาจคิดว่าเขียนจันทร์รามือในเรื่องนี้ เพราะมุ่งไปทำงานที่โรงพยาบาลแทน และคนที่เล่นเรื่องต่อเป็นคนแม่ ถึงได้สั่งคนประกบทุกอย่างได้ครบถ้วน เขารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเสี่ยหลงจัดการด้วยกฎหมายไม่ได้

“ฉันมีวิธี แต่ไม่รู้ว่าเธอจะเห็นด้วยไหม วิธีนี้จะทำให้เธอปลอดภัย แม่ของเธอ ทุกคนในครอบครัวเธอ รวมทั้งจักรตรากูล จะไม่มีใครเดือดร้อน ขอแค่ให้ฉันลงมือ”

“คุณต้องบอกฉันว่าทำด้วยวิธีไหน ยังไง เมื่อไหร่ แล้วคุณมีข้อเสนออะไร” เขียนจันทร์เงยหน้ามองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคนร้ายกาจที่กำลังยิ้มถูกใจ หน้าเธอแดงซ่านยามที่เขาก้มหน้าลงมาบดริมฝีปากของเธอแรงๆ ทีหนึ่ง ก่อนผละออกไป

“ฉันจะไม่บอกวิธีการ แต่ฉันจะบอกข้อเสนอ ถ้าเธอยอมรับ เธอจะไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว แล้วก็จะได้ธากิตมาไว้ในมือ” รักษ์ชาติกระซิบชิดริมหู น้ำเสียงห้วนสั้นคล้ายสั่งบังคับขู่เข็ญมากกว่าการขอร้อง อ้อนวอน

“แต่งงานกับฉัน”


คำขอแต่งงานที่ไม่โรแมนติกที่สุดในโลกนั้นทำให้คนได้รับนอนกลิ้งหมุนตัวไปมาด้วยอาการคนนอนไม่หลับ ปากคนขอก็ไม่ได้สนใจว่าเธอเอ่ยปากปฏิเสธไปเท่าไหร่ บอกเพิ่มมาให้เธอกระอักเลือดช้ำใน

‘ฉันรอได้ ไม่รีบ ถ้าตอบรับเมื่อไหร่ก็มาขอฉันแทน อยากได้การขอแต่งงานที่โรแมนติกขนาดไหนก็จัดเอาเอง ฉันไม่มีขออีก’

“หลงตัวเอง ผู้หญิงอย่างฉันไม่มีทางขอผู้ชายแต่งงานเด็ดขาด ไม่พาชีวิตตัวเองไปตกนรกทั้งเป็นเด็ดขาด”

ปากบางบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด หน้าตาบูดบึ้งกับสิ่งที่ได้รับการปฏิบัติ เขาคิดจูบเธอ ถึงจะเรียกว่าเอาปากมาแตะก็เถอะ คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่มีปรึกษา ถึงแม้รักษ์ชาติจะอนุญาตให้เธอพากองพันไปเที่ยวได้ แต่การได้รับรู้เรื่องแม่ที่กำลังรบราอยู่กับเสี่ยหลง ไหนจะเรื่องของรักษ์ชาติ เขียนจันทร์ก็พบว่าเธอข่มตานอนให้หลับต่อไปไม่ได้จริงๆ

เขียนจันทร์ลุกจากที่นอน หยิบชุดคลุมมาคลุมทับชุดนอนยาวของตัวเองเดินออกจากห้อง ไฟในวังหลังโตที่เธอเรียกชินว่าบ้านหรี่ไฟเหลือเพียงแค่ไฟสีเหลืองนวลติดกำแพง ทุกคนเข้านอนกันหมด เขียนจันทร์ออกมายังหน้าบ้าน มองพระจันทร์ดวงโตที่กำลังลอยเด่น กลบแสงดาวให้มิด ลมหวีดหวิวยามค่ำพัดพามาให้เธอต้องห่อตัว บรรยากาศเดียวดายยามกลางคืนนี้ยิ่งทำให้เธอคิดมากกว่าเดิม อารมณ์ฟุ้งซ่านหาคำตอบกับสิ่งที่คิดในหัวไม่ได้

“ออกมาทำอะไรดึกดื่นพี่เขียน” ประกายพรึกจูงมอเตอร์ไซค์คันโตเข้ามาภายในโดยไม่สตาร์ทเครื่อง เพราะกฎของคนที่นี่ที่หม่อมยายตั้งไว้คือยามวิกาลหลังเวลาเที่ยงคืนห้ามได้ยินเสียงเครื่องยนต์อีก คนที่จะนอนที่นี่ต้องกลับมาให้ทันก่อนเที่ยงคืน

น้องชายของเธอจูงรถไปจอดไว้ในโรงรถก่อนจะวิ่งไปล็อกประตู วันนี้ประกายพรึกเพิ่งออกเวร ตั้งใจจะไม่กลับ และนอนแฟลตตำรวจตามปกติ ถ้าไม่ได้มีสายด่วนโทรมากำชับให้เขาต้องกลับบ้านก่อน

“พรึกไม่เห็นบอกพี่ว่าวันนี้จะกลับ”

ประกายพรึกเดินตามเขียนจันทร์ไปนั่งอยู่ที่ม้านั่งยาว มือคอยตบยุงที่บินมาให้ระคายผิว เห็นสีหน้าพี่สาวก็ล่วงรู้ได้ว่ากำลังประสพเรื่องให้คิดหนัก

“พี่ขุนโทรจิกให้ผมไปกับพี่พรุ่งนี้ ผมเลยต้องแลกเวรกับเพื่อนเพื่อไปกับพี่เขียนไง ค้างคืนหนึ่งก็พอนะพี่เขียน ผมงานยุ่ง” ประกายพรึกไม่สนว่าคนสั่งการเบื้องหลังจะเดือดร้อนขนาดไหน เพราะตอนนี้พี่สาวเขาก็กำลังส่งเสียงหึ หน้าตาบูดบึ้งทันที

“พรึกไม่ต้องไปหรอก ไปฟังอะไรคนพรรค์นั้น ไร้สาระ สั่งให้พรึกแลกเวรเพื่อมาเที่ยว พี่ไม่ใช่เด็กอนุบาล ที่ดูแลตัวเองไม่ได้นะ”

น้องชายทำท่าปากหาวขี้เกียจสนทนากับสิ่งที่เขาเลี่ยงไม่ได้ “พี่เขียนพูดอย่างกับไม่รู้จักพี่ขุน รายนั้นอยากได้อะไรก็ต้องได้ไม่รู้เหรอครับ ผมก็เห็นพี่เขียนทะเลาะกันสักพัก โกรธกันแปบๆ ก็กลับมากัด มาแขวะกันตลอดเหมือนเดิม นี่ทะเลาะอะไรกัน แล้วมาลงที่ผมหรือเปล่า” ประกายพรึกเลิกคิ้วถาม

“พี่จะไม่ยอมอีก ต่อให้เขาออกปากว่าแต่งงานพี่ก็จะไม่ตอบรับเขาเด็ดขาด เอาชีวิตไปโดนกีโยตินตัดคอชัดๆ” เขียนจันทร์ย่นปาก ทำหน้าสยองพองขน ประกายพรึกหันมองท่าทีขนลุกขนพองก็เริ่มเรียบเรียงเรื่องได้ในหัว

“อย่าบอกนะ...ว่าพี่ขุนขอพี่แต่งงาน”

“แล้วไง พี่มันอาจไม่ได้สวยเด่นอะไร แต่ก็เลือก คนที่เกลียดขี้หน้ามาตลอดชีวิต เกิดนึกเพี้ยนอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้” เขียนจันทร์คิดว่า ‘พี่น้อง’ น่าจะรับฟังเรื่องของเธอได้ดีที่สุด และต้องเป็นประกายพรึก ขืนเธอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาวาดตะวัน รายนั้นได้นำเรื่องไปถึงหูรักษ์ชาติ และเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจว่าตอนที่เขาพูดขอเธอแต่งงานออกมา ระหว่างเขากับวาดตะวันเป็นอย่างไร เธอมั่นใจอะไรไม่ได้สักอย่าง เธอจะไม่ทำร้ายวาดตะวัน

“เลือกมาก พี่ขุนก็ตามพี่มาตลอด คิดว่าจะหาทางหนีพ้นเหรอ ถ้าพี่เขียนไม่ยอมรับคำแต่งงานเร็วๆ ระวังเถอะจะโดนพี่วาดมาแหกอก โทรมาบ่นกับผมตลอดว่าโดนพายุอุกกาบาตถล่มชีวิต กิ๊กใหม่กิ๊กเก่าหายเรียบ ช่วงที่พี่ขุนทะเลาะกับพี่เขียนไง นี่คืนดีแล้วใช่ไหมถึงได้พูดเรื่องแต่งงาน”

“พี่กับคุณขุนเราไม่เคยคบกัน ไม่เคยบอกความรู้สึก ตอนนี้พี่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง รู้แค่ว่าเขามันบ้า ไม่โรแมนติก ทำอะไรเหนือความคาดหมายพี่ตลอด อยากทำอะไรก็ทำ อยากง้อก็ง้อได้ห่ามๆ มาก” นานมากแล้วที่เขียนจันทร์อยากระบายกับใครสักอย่างถึงจะไร้คำปรึกษาที่ดีเยี่ยม แต่พอเข้าใจความรู้สึกเธอบ้างก็พอ ถึงแม้จะน่ายินดีที่รักษ์ชาติยังไม่ใช่ชายที่วาดตะวันเหลียวมองก็ตาม

ประกายพรึกกะพริบตาปริบๆ ฟังระเบิดลูกย่อมโยนใส่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก่อนจะหัวเราะเสียงลั่นรับลมเย็นยามกลางคืน หน้าคนถูกหัวเราะกระฟัดกระเฟียด ฟาดฝ่ามือไปบนต้นแขนคนหัวเราะที่ยังไม่ยอมหยุดเสียที

“พอได้แล้วพรึก น่าขำตรงไหน นี่พี่จริงจัง”

ตำรวจหนุ่มหลบแขนที่เตรียมจะฟาดอีกเพียะ ยกมือยอมแพ้แล้วรีบอธิบายถึงสิ่งที่คิด “ผมแค่ตลกนิดหน่อย แต่ก่อนผมก็ว่าพี่ขุนทำอะไรแบบไม่รู้ตัว สมัยก่อนปากเรียกหาพี่วาด แต่เอาเข้าจริงก็มาขลุกอยู่กับพี่เขียนตลอด แกล้งโน้นแกล้งนี่อยู่เรื่อย แต่เรื่องง้อนี่ผมคิดไม่ออกว่าคนอย่างพี่ขุนที่ไม่แคร์ใครมาก่อน จะง้อใครเป็น พี่วาดผมพอเข้าใจก็เป็นเพื่อนคนแรกของพี่ขุน จะทำอะไรก็มองเหมือนเพื่อนเหมือนน้อง แต่ระดับคนที่พี่ขุนเขาออกปากว่าต้องจัดหนักมาตั้งแต่เด็กอย่างพี่เขียน ง้อห่ามๆ นี่เป็นแบบไหนผมชักอยากรู้ ต้องเป็นวิธีการที่พิเศษมากๆ”

เขียนจันทร์ส่งเสียงเหอะ คนมาง้อที่ใช้คำว่า ‘เกลียด’ มาขอโทษมันซึมซับในอารมณ์ตรงไหนกัน ประกายพรึกชำเลืองมองอาการพี่สาวที่คงจะคิดไม่ตกตลอดคืนก็ขำเบาๆ ในคอ ไม่กล้าหัวเราะเสียงดังกลัวโดนตีให้เจ็บตัวอีก

“พี่ขุนเขาห่วงพี่เขียนมากนะ คอยส่งคนมาระวังหลังให้ ตอนนั้นขนาดส่งพี่กานต์มาช่วย เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรง พี่ขุนเขายังหงุดหงิดที่ช่วยอะไรพี่เขียนไม่ได้ วันเกิดเรื่องพี่ขุนกำลังทำงานที่ต่างจังหวัด ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับขึ้นมา นี่ก็ติดงานพรุ่งนี้ไปไม่ได้ก็ส่งผมไปแทน โทรมาจิกผมตั้งแต่ค่ำ กว่าผมจะโทรกลับไปหลังประชุมงานเสร็จก็สองทุ่มสามทุ่ม บ่นผมหูชา”

“ไม่เห็นพรึกต้องไปฟังคำคุณขุนเขามากเลย บ้าอำนาจจะตายไป” เขียนจันทร์บ่นอุบเสียงเบาแก้อาการเก้อกระดาก เธอไม่เคยรู้ว่ารักษ์ชาติแอบดูแลเธออยู่ห่างๆ และก็คงไม่มีทางได้รู้จากปากเจ้าตัวหากประกายพรึกไม่บอกเสียก่อน จู่ๆ ปากที่บูดบึ้งของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม จนเธอต้องฝืนเม้มมันไว้แน่น ไม่อยากให้ประกายพรึกเห็นแล้วเอาไปเล่าบอกรักษ์ชาติ

พี่น้องเธอแต่ละคนคงถูกรักษ์ชาติล้างสมองไปหมดแล้ว ยิ่งภาพวิจิตรเธอยิ่งปรึกษาเรื่องแบบนี้ไม่ได้ รายนั้นไม่ชอบหน้ารักษ์ชาติ แต่ก็ไม่ขอออกความคิดเห็น เคยถึงกับเปรยว่าใครเอาไปเป็นคู่ชีวิตได้จะยิ่งอวยพรส่ง เพราะราหูได้หลุดพ้นไปจากชีวิตแบบถาวรเสียที...และเธอกำลังถูกเขาหมายหัว เขียนจันทร์กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ดวงตาไม่ได้มีความคลางแคลงอีก

“ผมรู้ว่าผู้หญิงเขาก็ชอบฝันถึงคำบอกรักหวานๆ เลี่ยนๆ โรแมนติก” ประกายพรึกได้รับสายตาค้อนขวับจากเขียนจันทร์ “แต่มันจะสู้การกระทำจริงใจ สม่ำเสมอ ได้เหรอครับ คนบางคนคำว่ารักก็อาจทำให้มั่นคงขึ้น แต่ก็ใช่ว่ามันใช้หลอกกันไม่ได้นะครับ หลอกว่ารัก ทั้งที่การกระทำนอกใจคนที่ตัวเองบอกว่ารักไปแล้ว ต่างกับคนที่ไม่เคยพูดว่ารัก เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่ปากแข็งที่สุดในโลก ไม่เคยพูดอะไรออกมาให้ลื่นหู แต่การกระทำของเขาอาจจะยิ่งกว่าคำว่าชัดเจน พี่เขียนต้องใช้หัวใจตัวเองวัดดู บางทีคนอย่างพี่ขุนเขาอาจจะไม่ยอมรับคำว่ารักในชีวิตก็ได้ แต่เขาก็จะไม่ปล่อยพี่ไปจากชีวิตเหมือนกัน”

“ออกตัวเหมือนเป็นเจ้าขุนคนที่สอง แต่คนพรรค์นั้นคงพูดอะไรดีๆ แบบนี้ไม่เป็น เขาไม่เสียเวลาพูดยืดยาวแบบนั้นหรอก คงจะพูดว่าแต่งงานกับฉัน เป็นผู้หญิงของฉัน เป็นแม่ของลูกฉัน ทำตามคำสั่งฉัน ให้ตายเถอะ พี่ไม่เคยคิดถึงเทพนิยายรัก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกินฝันไปมากขนาดนี้ เขาบอกว่าถ้าพี่จะตอบรับคำแต่งงานหลังจากที่เขาขอไปแล้ว พี่ต้องเป็นฝ่ายขอเขาแต่งงานเอง บ้าไปแล้ว”

“ที่นอนไม่หลับแสดงว่าพี่เขียนคิดไม่ออกว่าจะใช้มุกไหนไปขอพี่ขุนแต่งงานใช่ไหมครับ”

คำคาดการณ์ของน้องชายทำร้ายจิตใจคนฟัง เขียนจันทร์ไม่คิดหรอกว่าตัวเองต้องคุกเข่าขอผู้ชายแข็งกระด้างคนหนึ่งแต่งงาน หากเขาทำมันซึ้ง ถึงอารมณ์หวานเธอให้มากกว่านี้ล่ะก็ เขียนจันทร์มั่นใจว่าเธอจะเก็บเรื่องนั้นไม่กล้าบอกใคร แต่มันช่างจืดชืด ซึ่งเธอบ่นต่อหน้ารักษ์ชาติไม่ได้ เขาเหมือนยาขมๆ ที่จะช่วยรักษาร่างกายเธอได้ แต่ช่างกลืนลงคอได้ยากเย็น นอกจากยาขม เขายังไม่แนะนำให้เธอใช้น้ำดื่มให้คล่องคอ ฝืนกลืนเม็ดยานั้นลงไป หรือจะปล่อยให้ค้างไว้กลางลำคอ ตื่นก็ไม่สุข ทุกข์ก็ไม่เชิง

“เขาบอกจะช่วยเรื่องแม่ เสี่ยหลงมันบีบให้เราทำอะไรเขาไม่ได้เลย คุณขุนเขาเลยยื่นข้อเสนอแต่งงานมา”

“ข้ออ้าง พี่ขุนหาเรื่องอยากแต่งเอง เรื่องเสี่ยหลงถ้าพี่ขุนจะช่วยทำไมจะช่วยไม่ได้ ตอนนี้ก็...” ประกายพรึกยั้งปากห้ามไว้ได้ทัน สายตาใคร่รู้และสงสัยของเขียนจันทร์จ้องมองมาดุ ประกายพรึกก็ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ “แต่พี่แต่งงานก็ดีนะ อย่างกับถูกโชคสามชั้น หล่อ รวย แล้วก็ได้พ่อมาอีกคน”

“พี่ไม่ได้คิดอะไรกับเขาทั้งนั้น” เขียนจันทร์ออกปากอย่างร้อนตัว หน้าตาบึ้งตึง ไม่สบอารมณ์ต่อสายตารู้ทันของประกายพรึก จนนึกอยากทิ่มลูกตานัก

“แล้วทำไมถึงนอนไม่หลับ ถ้าไม่คิดอะไรเวลาที่พี่พูดถึงการสารภาพของพี่ขุนประกายตาพี่ดูขุ่นๆ แต่ปากกลับบู้อย่างกับงอนใครมา พี่เคยงอน เคยโกรธใครเป็นที่ไหน เห็นคนที่เรียกทุกอารมณ์ของพี่มาได้ก็มีแต่พี่ขุน ถ้าไม่คิดอะไรพี่ก็นอนหลับให้สบายใจ ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องสนใจสิ่งที่พี่ขุนพูด เมินเฉยเหมือนที่พี่วาดทำ แต่ถ้าพี่ไม่ใช่แค่เฉยไม่ได้ ยังคาดหวังปฏิกิริยาที่หวานเลี่ยนน่าขนลุกจากพี่ขุน” ประกายพรึกยิ้มเนือย ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ หันมาตอบต่อจนจบ “ยอมรับเถอะว่าพี่กำลังอ่อนไหวให้กับผู้ชายแข็งกระด้าง ห่ามๆ อย่างพี่ขุนเข้าแล้ว คนเราปากบอกเกลียดๆ เห็นกี่รายก็ลงท้ายว่ารักกันทั้งนั้น การแต่งงานของพี่จะถือเป็นการทำบุญสงเคราะห์ชีวิตพี่น้องที่เหลือด้วยเถอะพี่เขียน พี่น้องจะได้เป็นสุขๆ ถ้าพี่แต่งงานจริง พี่วาดอาจแถมเงินก้อนโตให้พี่ด้วยก็ได้นะ”

เขียนจันทร์อึ้งงันไปตั้งแต่ประกายพรึกวิเคราะห์พฤติกรรมอ่อนไหวของเธอ เขียนจันทร์ไม่อยากยอมรับ หรือรู้สึกว่าเธอกลืนน้ำลายตัวเอง เขาเองก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองเหมือนกัน เรื่องที่บอกว่าอย่างเธอเขาจะไม่มีวันแล เธอจะยอมรับความรู้สึกทุกอย่างก็ต่อเมื่อรักษ์ชาติยอมรับออกมาก่อนเท่านั้น

“เห็นพวกนายผลักไสพี่กันขนาดนี้พี่รู้ว่าต้องตอบกับคุณขุนว่ายังไงเลย...ไม่! สถานเดียว”

.......................................................................

คุณ ร้อยวจี เหลือให้เจ้าขุนแสดงความร้ายกาจอีกไม่มากเท่าไหร่แล้วค่ะ (อย่างนี้ต้องมีเอาคืน อุ๊บส์) วันไหนไม่มาอัพจะบอกไว้ล่วงหน้านะคะ ขอโทษที่ปล่อยให้รอค่ะ

คุณ ameerah ยังคงเป็นคะแนนทางเจ้าขุนอยู่นะคะ ฮา ไม่ลำเอียงหรอกค่ะ

คุณ อัศวินนภา ในตอนนี้เจอบทขอโทษสไตล์เจ้าขุนไปไม่รู้จะโกรธ หรือขำดีนะคะ ขนาดบอกขอโทษก็ยังไม่วายด่า

คุณ ใบบัวน่ารัก เจ้าขุนนี่เป็นพระเอกสไตล์พิศาลเลยเหรอคะ แค่ปากร้าย ใจร้าย ห่ามๆ มือไม้หนัก น่าเบิ๊ดกะโหลกวันละหลายหนเท่านั้นเอง (ยังขอย้ำว่าเขาเป็นพระเอก ฮา)

คุณ konhin เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นปากร้ายใจรักดีไหมคะ ฮา ปากเจ้าขุนเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

คุณ mhengjhy ตอนนี้นี่ขุนยอมลงให้เกินปกติแล้วนะคะ (นี่ยอมแล้วเหรอ) แต่ท่าทางต้องลงให้มากกว่านี้ ฮา

ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกๆ ท่านนะคะ ^_^ เชิญเทศนาสั่งสอนเจ้าขุนกันได้เต็มที่ หรือจะเป็นพ่อยกแม่ยกเจ้าขุนก็ได้ค่ะ ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่ามีแต่คนตอบม่ายยยกันเป็นแถว



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มิ.ย. 2557, 03:54:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มิ.ย. 2557, 04:02:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1872





<< บทที่ 11 : ระเบิดเจ้าขุน   บทที่ 13 : เกลียดตัวเอง >>
ร้อยวจี 2 มิ.ย. 2557, 06:42:45 น.
มาคราวนี้เหมือนรสน้ำผึ้งผสมมะนาวเลยค่ะ สนุกมากขอบคุณค่ะ


ใบบัวน่ารัก 2 มิ.ย. 2557, 07:18:09 น.
ไม่อยากได้พ่อ
อยากได้คนที่จะคอยอยู่ข้างๆกัน โรแมนติกบ้าง
ห่ามๆๆไม่เอา อย่าไปยอมนะเขียน
เจ้าขุนไม่มีคู่นอน นางร้ายมาร้องกรี๊ดๆๆ มาตบแย่งเจ้าขุนบ้างหรือ


konhin 2 มิ.ย. 2557, 07:35:30 น.
ไม่ต้องมีนางร้ายเลยเรื่องนี้ พี่ขุนเหมาหมด พระเอกกับตัวร้ายย ฮ่าๆๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 มิ.ย. 2557, 22:07:45 น.
เออเนาะ เป็นพระเอกครบสูตร คือตั้งกะเริ่มเรื่องมาเนี่ย เห็นแต่ตัวร้ายนะ ยังไม่เห็นพระเอก ไรเตอร์จะเปิดตัวพระเอกตอนไหน ก็ขอแบบอลังการดาวล้านดวงเลยนะ คือจะแอบอมยิ้มก็ยิ้มค้างๆ จะหวั่นไหวก็...(ให้หวั่นตอนไหนอ้ะ) เห้อ ไม่ต้องโรแมนติกมากก็ได้ ปากร้ายเหมือนเดิมก็ได้ แต่เอาให้คนรับสารรู้สึกดีด้วยบ้างได้ป้ะ
แบบนี้ต่อไป เจ้าขุนห่วงมากขึ้นๆ หนูเขียนได้ช้ำในตายคามือเป็นแน่ จิตตกแทน ><


ผักหวาน 17 มิ.ย. 2557, 23:17:43 น.
บ๊ะ...ขนาดขอสาวแต่งงาน ยังแข็งโป๊กยังกะหินอีกพี่ขุน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account