UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 13 : เกลียดตัวเอง

บทที่ 13

เสียงดนตรีอึกทึกในสถานบันเทิงขนาดใหญ่ กลิ่นแอลกอฮอล์ และควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ลึกเข้าไปในมุมลึกสุดของร้านที่มีเฉพาะแขกวีไอพี บ่อนเถื่อนที่มีสาวนุ่งน้อยห่มน้อยคอยบริการ และดำเนินการแจกไพ่ต่างเต็มไปด้วยเสียงของเสี่ย หรือพวกรักในการเสี่ยงโชค บางคนหน้าอิดโรย ไร้ราศีแตกต่างจากตอนขามากระเป๋าหนัก บนโต๊ะเสี่ยงโชคตัวหนึ่งไพ่ในมือนิ้วเรียวยาวจับแบไพ่ที่เป็นคิงสามตัวเรียงกันวางลงไป เสียงผิดหวังของผู้ร่วมโต๊ะดังระงมกับการเสียทรัพย์ครั้งใหญ่ เพราะตกหลุมพรางสาวสวยพราวเสน่ห์ที่เล่นเสียมาตลอด และเทหน้าตักในตาสุดท้าย

โรสโกยเหรียญด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ จงใจอวดขาเนียนขาวผ่านร่มผ้ากระโปรงสั้นสีแดงอย่างจงใจ สายตาพวกเสี่ยหื่นกามที่เพิ่งเสียเงินไปมหาศาลลืมความทุกข์มองสิ่งสวยงามเบื้องหน้าน้ำลายแทบหยด สาวผมยาวหยิกดัดลอนก้มลงไปแตะข้อเท้า จงใจอวดหน้าอกที่ถูกชุดรัดรูปปิดไว้มิด แต่แสดงเนินเนื้อชัดเจนล่อสายตาตะเข้ต่อไป โดยไม่มีใครทันสังเกตว่าสายตาของคนสวยแท้จริงจับจ้องใบหน้าหนุ่มเฝ้าประตู ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดแย้มเป็นรอยยิ้มยั่วยวน

ร่างสูงโกยเหรียญกองโตลงในกระเป๋า ทำหน้าเศร้ายามต้องบอกว่าถึงเวลาต้องออกไป เสียงเสียดายดังตามมา มองเหรียญและตัวคนเดินออกไปอย่างอ้อยอิ่ง พลางกลืนน้ำลายลงคอ

“เสี่ยคะ พรุ่งนี้ฉันจะมาอีก อย่าลืมมานะคะ” นิ้วยาวแตะไปบนริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะเลื่อนมาแตะแก้มชายรุ่นพ่อที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด สีหน้าอาลัยไม่ได้ทำให้โรสรู้สึกเสียดายใดๆ ไม่กี่นาทีโรสก็แลกเหรียญเสร็จ เป้าหมายต่อไปคือคนเฝ้าประตู โรสเดินมาใกล้ อาศัยช่วงจังหวะที่คนเดินออกมาสวนหลายๆ คน เข็มฉีดยาอันเล็กที่เพิ่งหยิบออกมาจากกระเป๋าก็จิ้มจึ้กไปยังหลังมือ คนที่โรสมักจะอยู่ใกล้แกล้งหว่านเสน่ห์ใส่เสมอเมื่อเริ่มออกอาการตาปรือ ร่างสูงก็คว้ามากอด ใช้ตัวเองแบกร่างที่อ่อนปวกเปียก แต่ต้องสร้างภาพให้คนมองว่ากำลังนัวเนีย ใบหน้าสวยยิ้มร้าย ยามที่พยุงร่างหนากึ่งไร้สติมาโยนทิ้งไว้ตรงซอกมุมอับของกล้องวงจรปิด

เตะไปสักป้าบให้หายแค้นก่อนจะเดินออกมาจากซอกอย่างเฉิดฉาย ไม่นานความวุ่นวายก็บังเกิด โรสมองผู้คนที่วิ่งหนีกันอุตลุตหลังจากคนภายนอกร้องโหวกเหวกว่าตำรวจมาก โรสพุ่งออกไปด้านหลังกลืนไปกับฝูงชน คนที่วิ่งผ่านไปมาไม่มีใครทันสังเกตมนุษย์ที่สลบใสลอยู่ในซอกหลืบเล็ก ร่างสูงมองประตูหลังที่ยาวไม่สิ้นสุด เป็นทางลับชั้นยอด

แต่ถ้ามันลับมากพอ คนหลายส่วนคงไม่โดนตำรวจที่ซุ่มอยู่ก่อนหน้าดักจับไปได้เป็นส่วนใหญ่ โรสยักคิ้วใส่นายตำรวจนายหนึ่งที่แกล้งปล่อยผ่านเธอไป อากาศยามค่ำคืนเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาว ร่างในชุดกระโปรงสั้นสูงชะลูดหุบรอยยิ้มที่แกล้งโปรยใส่ตำรวจให้ตาพร่า พุ่งตรงไปยังรถคันเล็กที่จอดรอริมวิถีฟุตบาตห่างจากสถานที่เกิดเรื่องมาได้สามช่วงตึก ทันทีที่เข้าไปในรถวิกที่สวมใส่ถูกกระชากออกโยนไปไว้ข้างหลัง หน้าตาสวยจัดจ้านกลายเป็นหนุ่มหล่อที่มีร่างบางแทน วิกรานต์ส่งเสียงเหอะไม่สบอารมณ์ ดึงกระดาษทิชชู่ที่มีติดในรถมาเช็ดลิปสติกออก

“ขอบใจที่ช่วยเหลือนะกลาง” ลัลริกายิ้มประจบเมื่อเคลื่อนรถไปในถนนที่ว่าง

“เสี่ยงโชคไม่เหนื่อยหรอก แต่ภารกิจเสริมนี่ไม่เบาเลยนะ” วิกรานต์ยืดเส้นยืดสาย ไปค้นกระเป๋าหากางเกงมาสวม ถอดชุดผู้หญิงออกทางศีรษะเมื่อไม่ทันใจเสียงดังแควกก็บ่งบอกว่าสภาพมันอยู่ทนรับสภาพต่อไปอีกไม่ได้ ร่างกายที่ไร้กล้าม ไร้ไขมัน บอบบางเหมือนผู้หญิง แต่นิสัยนั้นตรงข้ามกันถึงที่สุด ซากชุด กับรองเท้าส้นสูงถูกโยนไปเบาะหลัง ด้านบนเปลือยเปล่าท้าแอร์เย็นในรถถูกปิดด้วยเสื้อยืดพอดีตัว วิกรานต์ปัดผมสั้นที่มีเหงื่อออกจากการใส่วิก หมดสภาพผู้ชายมาดเนี้ยบที่ทุกอย่างต้องเป๊ะทันตา

“นิดหน่อยเองน่า ท่องเอาไว้นายจะได้เงินมหาศาล ถ้านายยังมีโชคทางด้านนี้นะ”

“มันเป็นเกมจิตวิทยาน่ะ โชคมันก็แค่ใช้นิดหน่อย ดูท่าทีแต่ละคนว่าได้ไพ่มาแบบไหน” วิกรานต์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ เริ่มบีบนวดขมับที่ปวดตุ้บ “บ่อนราคาถูกพวกนี้เหม็นบุหรี่ เสียสุขภาพจะตาย แก่ๆ แล้วยังนอนดึก สูบบุหรี่ บ้าหม้อ แทนที่จะไปอยู่วัดปฏิบัติธรรม”

“อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้หน่อยเลย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ รังเกียจผู้หญิง ไม่มีเพื่อน กลัววัด น้องชายฉันก็เลิศพอตัว” ลัลริกาหักรถเข้าไปภายในสถานบันเทิงใหญ่ที่ตั้งห่างออกมาอีกถนน รถจอดหน้าลานกว้างของร้านนั้นมีแต่รถที่มีระดับ ลัลริกาเคลื่อนรถไปยังด้านหลังตามที่ได้รับคำบอกเล่า มองน้องชายที่หยิบฮู้ทมาใส่ปิดหน้า เธอก็หยิบแว่นดำมาสวมบ้าง วันนี้เธอไม่ได้ออกงาน สวมเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ทั้งสองจอดในที่จอดของวีไอพี คนชุดดำเดินมาเปิดประตูด้านหลังร้านให้เข้าไป

วิกรานต์มองการแต่งตัวของเหล่าคนดูแลร้านอดเอ่ยปากเหน็บไม่ได้ “สมัยนิยม สี่ดำ สูท กางเกง แว่น รองเท้า เมืองไทยร้อนตับแตก ไม่รู้เหรอว่าชุดสีดำมันดูดความร้อนไว้กับตัว ถ้าผมมีคนเดินตามต้อยๆ นะ จัดสั่งตัดเสื้อยืดแขนกุดสีรุ้ง กางเกงเล เห็นแล้วสบายตากว่ากันเยอะ”

ลัลริกากลอกตามองความแปลกของน้องชายแล้วเกินจะคัดค้าน คนไม่ชอบให้มีคนมาตามหน้าตามหลังอย่างวิกรานต์ ทำเก่งได้แค่พูดเท่านั้น พนักงานเคาะประตูห้องที่อยู่ชั้นสองของตัวอาคาร บริเวณนี้เป็นส่วนสำนักงานไม่พลุกพล่าน ประตูเปิดออก ผู้ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะรีบลุกขึ้นยืน รักษ์ชาติยิ้มมุมปาก ดวงตายะเยือกอย่างหมายมาดในความสำเร็จ

“โดนจับยาเสพติด บ่อนเถื่อน ค้าเนื้อสด ลูกน้องมือซ้ายของเสี่ยหลงที่คุณกลางจัดการไว้ให้ก็โดนจับได้คาหนังคาเขา งานนี้ต่อให้มันไม่ซักทอดเจ้านาย มันก็ติดคุกหัวโตแน่ ผมต้องขอบคุณพวกคุณมากๆ”

“ปิดได้ทีละที่ จะไปช่วยอะไร มันมีเหลืออีกเกือบห้าที่ได้” วิกรานต์เดินมานั่งเอกเขนกบนโซฟายาว

รักษ์ชาติยิ้มร้ายกว่าเดิม รับโทรศัพท์สายด่วนที่โทรเข้ามา ก่อนจะรายงานให้ผู้ร่วมแผนการทราบไปพร้อมๆ กัน “อีกสามที่ก็ถูกทลายเหมือนกันครับ เราทลายไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว เสี่ยหลงจัดการเคลียร์ทันได้แค่ที่เดียว”

“เตรียมรับบาซูก้าถล่มได้เลย เปิดหน้าชนขนาดนี้ คิดว่าจะไม่โดนอะไรบ้างหรือไง” ลัลริกากระทุ้งศอกใส่น้องชายที่พูดมาก แต่คนฟังอยู่ในอารมณ์ดำดิ่ง เกินกว่าจะมานั่งนึกใส่อารมณ์ไม่เข้าเรื่อง

“เพราะว่าผมกำลังอยากให้เกิดเรื่องพอดี จากนี้คุณกลาง กับคุณลุงคงต้องเหนื่อยหน่อย ผมจำเป็นต้องใช้ความสามารถของพวกคุณทั้งสอง” รักษ์ชาติพิงขอบโต๊ะ มองประตูห้องทำงานเปิดต้อนรับแขกที่เข้ามาใหม่ ใบหน้าภายใต้หมวกไอวี่ลายขวาง เสื้อกั๊กสีน้ำเงินเดินอาดๆ เข้ามา โดยที่ลัลริกากับวิกรานต์ต่างมองตาค้าง ขานเรียกชื่อคนที่ทั้งสองต้องรอให้กลับมาจากลาสเวกัส หรือตามบ่อนใหญ่ทั่วโลก

“พ่อ!”


เสียงโทรทัศน์กลางห้องโถงดังลั่น เขียนจันทร์ได้รับโทรศัพท์จากนราที่เธอติดต่อกลับไปเมื่อวานนี้เพื่อจะได้ทราบรายละเอียดที่ทางเสี่ยหลงกำลังบีบบังคับ เช้านี้นราจึงโทรมาปลุกเธอตั้งแต่นาฬิกายังไม่แตะเลขหกดี อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเพื่อจะลงมาดูข่าวเช้า ก็พบประกายพรึกนั่งดูจ้องเขม็งไปยังจอโทรทัศน์ก่อนหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวเกี่ยวกับตำรวจที่เข้าไปทลายบ่อนของเสี่ยหลงราบคาบภายในคืนเดียวสี่ที่จากห้าที่ พบยาเสพติด ค้าประเวณี และบ่อนเถื่อน

“ถึงว่าสิ พี่ขุนไม่ให้ผมรู้อะไรเลย คงใช้ตำรวจสายอื่นแทน” ประกายพรึกหยิบคุกกี้ในกล่องพรีเมี่ยมมาแกะทาน ไม่ได้แปลกใจต่อเรื่องที่เกิด หันมาก็พบว่าเขียนจันทร์นั่งกดดันรออยู่ก่อน “ถามพี่ขุนเอาสิพี่เขียน อย่ามากดดันกันเลย”

“เอาเท่าที่พรึกรู้ก่อน”

“ผู้บังคับบัญชาผมรู้จักกับเสี่ยหลง ผมถึงมาช่วยอะไรมากไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยเอาข้อมูลพี่ขุนไปขาย ผมแอบช่วยพี่กานต์เขา ติดต่อสายบังคับบัญชาอีกสายที่เป็นตำรวจมือสะอาดไว้ให้ มีอยู่หลายคนอยู่ พวกนี้เขาเน้นความก้าวหน้า อะไรที่เป็นคุณกับสังคม ทำให้หน้าที่ก้าวหน้าเขาก็ไม่กลัวแล้ว”

“อย่างนี้พรึกจะเติบโตในวงการตำรวจได้ไหม”

ประกายพรึกส่ายศีรษะไม่ใส่ใจ “เราทำดีของเราต่อไป ส่วนคนไหนไม่ดี เดี๋ยวหางก็โผล่ ผมแค่คอยไปแหย่ให้หางกระทุ้งออกมาบ่อยๆ หน่อย ผบ.ผมกำลังวางแผนส่งผมไปประจำที่ไกลๆ”

“อยากไปเหรอ”

“อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอน ผมก็แค่อยากใช้กฎหมายช่วยเหลือคนให้มากที่สุด คนใหญ่คนโต ออกข่าวครึกโครมไม่กี่วันก็ปิดคดี ไม่ก็รอดพ้นผิดทั้งที่ผิดเต็มประตู ส่วนคนธรรมดาเดินดินบางรายที่แจ้งความโน่นนี่ ตำรวจไม่ใส่ใจ คดีไหนผิดก็รับโทษโหด เต็มเม็ดเต็มหน่วย ในทุกประเทศสังคมชั้นสองยังมีอยู่อีกมาก ผมก็แค่รู้สึกว่าผมเป็นตำรวจทั้งที จะใส่เครื่องแบบอวดสาวไปวันๆ ให้ดูโก้ มีระดับ คอยเลียแข้งเลียขาคนใหญ่คนโตไต่เต้า หรือจะทำงานเต็มความสามารถดี ให้ผลงานพิสูจน์ตัวเรา ผมยินดีไปอยู่ในที่ไกลๆ ถ้ามันจะทำให้ผมได้ทำงานเต็มความสามารถนะครับ”

มือบางยื่นมาจับมือสากของน้องชายมากุมไว้ด้วยความชื่นชม ประกายพรึกอาจติดนิสัยเจ้าชู้อยู่บ้าง แต่เรื่องหน้าที่การงานนั้นประกายพรึกทำเต็มที่ เรื่องใหญ่ๆ ที่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็จะเลี่ยงเนียนๆ ด้วยการลา หรือโยนงานไปให้เพื่อนเอาหน้าได้เต็มที่ ส่วนตัวเองจะรับแค่งานที่ไม่ทำร้าย ทำลายกฎหมาย

“แล้วเจ้านายไม่โทรมาตามหรือไง เกิดเรื่องวุ่นทลายบ่อนใหญ่โตขนาดนี้ พี่ว่าเสี่ยหลงแกคงวิ่งเต้นจนขาขวิดไปหมดแล้ว”

“ผมปิดเครื่อง เจ้านายผมจะเข้าใจว่าผมไปมีเอี่ยวด้วยก็ช่าง แกก็คงคิดแหละ เบื่อแผนยิงปิดนัดเดียวของพี่ขุนจริงๆ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”

ประกายพรึกเริ่มเห็นผลพวงที่อาจส่งต่อมาถึงอนาคตทางการงานของเขาด้วย แต่ก็ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็เกิด ขอให้เขาได้ดูมิตรสหายของเจ้านายล่มจมไปต่อหน้าต่อตาได้ยิ่งดี

“ให้พี่ไปต่อยหน้าเขาให้ไหม แล้วก็บอกว่าวันหลังอย่าเอาพรึกไปเอี่ยวด้วยอีก”

“ผมว่าตำราสามีกลัวภรรยาจะดีใช่ไหม แต่พี่ที่ซื่อ ใส ไม่ทันคน เชื่อฟังสามีน่าจะดีกว่า อย่าไปหือ ไปอือใส่ ไม่คุ้มหรอก”

คนถูกย้อนถลึงตาใส่น้องชายที่ทำตัวย้ายสายเลือดไปเป็นมิตรกับพี่ชายนอกไส้ ปล่อยให้เขียนจันทร์เคือง เธอซื่อในบางเรื่อง ไม่ได้โง่ไปทุกเรื่องหรอก เขียนจันทร์แย่งคุกกี้ที่ประกายพรึกทานมาทานได้ไม่กี่ชิ้น โทรศัพท์เบอร์ต่างประเทศก็ขึ้นแสดง เขียนจันทร์กดรับทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ย

“ไมค์เหรอ จะขึ้นเครื่องหรือยัง”

“เราคงไปไม่ได้แล้วเขียน จู่ๆ แม่ฉันที่ต่างเมืองก็โทรมาบอกให้กลับบ้านด่วน บอกเกี่ยวกับคุณย่า ฉันใจคอไม่ดี นี่ก็ตรงออกมาจากสนามบินเลย จะโทรมาบอกว่าคงไปไม่ได้แล้ว”

เขียนจันทร์รับฟัง หน้าตาเคร่งขรึมจริงจังขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรไว้โอกาสหน้าก็ได้ ไปดูย่านายก่อนเถอะ ทางฉันก็มีเรื่องของครอบครัวต้องจัดการเหมือนกัน ไว้ฉันจัดการปัญหาของครอบครัวเสร็จเมื่อไหร่ฉันจะโทรไปบอกนะ สัญญาว่าจะพานายลอดท้องช้างให้ได้”

โทรศัพท์วางสายเรียบร้อย เขียนจันทร์ก็ยิ้มเจื่อนๆ กับประกายพรึกที่ต้องลางานวันนี้ทั้งวัน ส่วนเธอเพราะต้องเอาเรื่องเที่ยวมาขอรักษ์ชาติเรื่องกลายกลับตาลปัตรเธอจึงถูกรักษ์ชาติขอแต่งงาน ได้ยินเรื่องร้อยล้านที่เสี่ยหลงเรียกร้อง จนถึงการทลายบ่อนเถื่อนของเสี่ยหลงในเช้าวันนี้....ทุกอย่างนี้มันช่าง หรือว่า

หัวคิ้วขมวดแน่น เขียนจันทร์เงยหน้ามองน้องชายที่กำลังถอนหายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปดูเทปบอลทีมโปรดเขาที่เมื่อคืนไม่ได้ดูเพราะต้องพักเอาแรง

“คงไม่ใช่ฝีมือ ‘เขา’ ใช่ไหม”

ประกายพรึกขยับกายเป็นนอนเอกเขนก รอให้หม่อมยายลงมาเห็นแล้วเทศนารับอรุณด้วยท่าทีเกียจคร้าน ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่

“จะเหลือเร้อพี่เขียน...ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนผู้ชาย คงกันท่าตั้งแต่คิดจะบินมา”

เขียนจันทร์มองน้องชายด้วยสายที่อยากจะพูดว่า ‘น้องใครไม่รู้แสนรู้จังเลย’ แล้วก็พาลไปถึงคนก่อเรื่องวุ่นทั้งหมด ทำไมรักษ์ชาติบุ่มบ่ามทำอะไรไม่คิดไปตั้งมากมายขนาดนี้

คนนอนดูบอลไม่ทันถึงสิบนาทีก็มีโทรศัพท์ด่วนจากกานต์โทรมาแจ้งว่าเจ้านายใหม่ต้องการพบ เขียนจันทร์เห็นหน้าน้องชายที่แต่เดิมไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดเท่าไหร่นั้นกระโดดลุกขึ้นยืน หน้าตามีความหวังประดับก่อนจะหันมาแจ้งแถลงไขแก่เธอให้รับรู้ไปด้วยหลังวางสาย

“มีผู้กำกับขอตัวผมไปช่วยทำคดีเสี่ยหลงที่เกิดเมื่อคืน คนไม่พอ เจ้านายผมหาเรื่องปฏิเสธไม่ได้ ฝากบอกพี่ขุนด้วยนะพี่เขียน ว่าขอบคุณมาก ผมกำลังอยากย้ายสังกัดอยู่เหมือนกัน”

คนถูกวานนั่งหน้ามุ่ยกอดหมอนอิงบนโซฟาด้วยความหมั่นไส้ ยิ่งเกิดเรื่องนี้ขึ้นกลายเป็นว่ารักษ์ชาติได้คะแนนเพิ่มในสายตาน้องชายเธอไปด้วย แล้วสำหรับเธอล่ะ เขียนจันทร์เม้มปากตัวเองไว้แน่น ความรู้สึกส่วนลึกเธอห่วงเขามากกว่าจะมาดีใจกับการกระทำที่เขาเปิดหน้าฉากชนกับเสี่ยหลง คนอย่างเสี่ยหลงไม่มีทางยอมให้เรื่องมันจบลงง่ายๆ แน่ ขนาดเธอที่แค่เดินตรวจโรงแรมตัวเองเพื่อล้มเขา ยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว แต่นี่เขาเล่นทำลายธุรกิจของเสี่ยหลงแบบตรงๆ สี่ที่ในวันเดียว

และเธอก็ทนอยู่เฉยไม่ได้...เธอไม่ยอมให้รักษ์ชาติเป็นเป้านิ่งให้เสี่ยหลงจัดการฝ่ายเดียวเด็ดขาด เขียนจันทร์หยิบโทรศัพท์มาต่อหานรา สั่งการด้วยความคิดที่ว่ามันน่าจะดีที่สุด

“นรา ฉันต้องการฟ้องร้องบริษัทธากิต เตรียมข้อมูลที่เราหาไว้ให้พร้อม อีกสิบห้านาทีฉันจะไปพร้อมทนาย ทำเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด ให้เสี่ยหลงรู้อีกทีตอนหมายศาลไปเยี่ยมที่บ้าน”


สุนัขตัวโตที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดยังคงสลบออกมาจากห้องผ่าตัด เขียนจันทร์เดินตามเตียงที่เจ้าหน้าที่เข็นออกมา คุยกับบรรดาเจ้าของสุนัขให้เบาใจว่าเนื้องอกในท้องถูกนำออกไปแล้ว พอได้รับการขอบคุณเสร็จสรรพจากพวกเขา คนที่เธอไม่ได้พบมานานหลายสัปดาห์นับตั้งแต่วันที่เธอสมัครและเริ่มงานวันแรกที่นี่ก็ยืนกอดอกรออยู่

โชติรสเดินนำเธอไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นบนสุดของตึก เขียนจันทร์ ไม่มีโอกาสได้มาที่นี่ เพราะวันแรกเธอก็ขอเริ่มงาน และคุยกับโชติรสที่ชั้นล่างซึ่งเป็นห้องรับรองเท่านั้น ภาพใบหน้าเคร่งเครียดของโชติรสยามย่างก้าวนำไปเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด และสร้างความอึดอัดให้เขียนจันทร์อย่างมาก บางครั้งภาพผู้หญิงใจดีรักธรรมชาติที่เธอเคยพบเมื่อตอนงานเปิดพิพิธภัณฑ์นั้นในยามนี้คล้ายมีกระแสบางอย่างที่เขียนจันทร์รู้สึกว่า ‘ความไม่ธรรมดา’ ของโชติรสยังมีอีกหลายสิ่ง

ประตูห้องปิด เขียนจันทร์ก็นั่งประหม่าบนเก้าอี้มีพนักหมุนได้หน้าโต๊ะทำงานไม้ขัดเงาของโชติรส เธอสงสัยว่าจะเกี่ยวกับการทำงานของเธอหรือเปล่า

“คุณทำงานดีมากนะคะ ฉันได้รับคำชื่นชมจากบรรดาเจ้าของสัตว์เลี้ยง พวกเขาประทับใจคุณมาก” ท่าทางที่เกร็งของสัตวแพทย์สาวผ่อนคลายขึ้น โชติรสเริ่มกล่าวต่อ “ฉันไม่ระแวง หรือมีปัญหาต่อการทำงานของคุณเลยนะคะ ฉันยินดีจะให้คุณทำงานที่นี่ได้ตลอดไป และพร้อมจะให้มีตำแหน่งบริหารนี้ในอนาคตอันใกล้ด้วย มีข้อแม้อย่างเดียว ไม่รู้ว่าคุณจะยอมรับได้ไหม”

“อะไรเหรอคะ”

นักธุรกิจใหญ่วางมือกุมบนโต๊ะหลวมๆ สายตามองคู่สนทนาอย่างมีอำนาจ “ถอนฟ้องเสี่ยหลง เลิกข้องเกี่ยวกับนายรักษ์ชาติ สองอย่างนี้คุณจะทำได้ไหม ฉันจะรับรองความปลอดภัยของคุณ และครอบครัว”

ข้อเสนอตรงหน้านั้นเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงใส่กลางศีรษะ เขียนจันทร์บีบฝ่ามือของตัวเองที่วางบนหน้าขาด้วยความไม่พอใจ พวกเขาคิดว่าเธอเป็นลูกไก่ตัวจ้อยที่ใครจะบีบ จะยื่นชีวิต ลมหายใจให้กันได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ ไม่ควรเริ่มทำอะไรทั้งสิ้น และปล่อยให้เห็นคนเลวคนหนึ่งเหยียบย่ำชีวิตคนอื่นต่อไป

“ฉันขอทราบเหตุผลค่ะ”

หญิงสูงวัยยิ้มเหี้ยม ดวงตาที่เขียนจันทร์เคยพานพบว่ามีเมตตา และความดีอยู่มาก เวลานี้เธอเป็นใครสักคนที่เธอไม่เคยรู้จัก แตกต่างจากรักษ์ชาติที่เธอคิดว่ารู้จักเขาดี รู้ว่าเขาร้ายกาจเพียงใด และเขาไม่เคยคิดซ่อนเร้นความร้ายกาจของตัวเองต่อหน้าเธอ

“ธุรกิจของฉันกำลังพังพินาศเพราะนายรักษ์ชาติ และฉันจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด” ฟ้าเปรี้ยงที่สองผ่าแสกหน้าเขียนจันทร์ หญิงสาวหน้าชาหนึบ เธอคิดมาเสมอว่าธุรกิจพวกนั้นเป็นของคนร้ายกาจคนนั้น แต่ผู้หญิงหน้าบุญคนนี้กลับสารภาพต่อหน้าเธอง่ายๆ “ทุกอย่างฉันแลกเพื่อให้หลานของฉันอยู่กับเขา ธุรกิจของฉันเขารับไป แต่ถ้าดูแลไม่ได้ดี มีแต่ปัญหามาให้ ทั้งธุรกิจ ทั้งหลาน ฉันจะรับกลับมาให้หมด”

มือบางยกปิดเสียงร้องตกใจไว้ น้ำเสียงเคืองแค้น และโกรธเคืองของโชติรสหาส่วนใดมาบอกแจ้งแก่เธอไม่ได้สักนิดว่าทุกเรื่องที่โชติรสว่ามานั้นคือเรื่องโกหกหลอกลวง จะมีเหตุผลอะไรที่คนแก่คนหนึ่งจะมาโกหกเด็กรุ่นลูกอย่างเธอที่ไม่ได้ไปมีส่วนแบ่งทางธุรกิจกับเขา

หญิงสาวเริ่มสัมผัสถึงไออันตรายจากตัวโชติรสชัดเจน หน้ากากนักบุญสลายหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอ เขียนจันทร์ไม่รู้ว่าความรู้สึกยามนี้จะบรรยายถึงความผิดหวังออกมาได้มากน้อยแค่ไหน รู้แค่ว่ามันเริ่มทำให้เธอเกลียดตัวเองนิดๆ...เกลียดที่คิดว่าผู้ชายไร้หัวใจคนนั้นเลวได้บริสุทธิ์ ริเริ่มคิดเหยียบย่างในวงการนี้ด้วยตัวเอง ใครเลยจะคิดว่าทุกอย่างมันมีเหตุผลบีบให้มันเป็นไป

“น้องขุนไม่ได้รู้อะไรด้วย คุณไม่ควรนำมันมาเป็นประเด็นนะคะ ฉันคิดว่าคุณขุนจะยังดูแลน้องขุนได้ดี”

“แล้วเธอจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดได้ยังไง ธุรกิจของฉันอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะโดนถล่มได้ทุกเมื่อ นายรักษ์ชาติเองไม่มีแรงพอจะป้องกันได้หรอก” โชติรสทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ สีหน้ายังไม่หายแค้นเคือง “ถอนหมายฟ้องนั่นซะ แล้วฉันจะให้อำนาจเธอในการดูแลน้องขุน รวมทั้งเธอต้องคบกับคุณชายบดินทร์ภัทร ทำให้ฉันแน่ใจว่าเธอจะไม่มีวันข้องเกี่ยวกับนายรักษ์ชาติไม่ว่าในกรณีใดๆ วันใดที่เธอทำผิดสัญญา หรือปฏิเสธที่จะทำ ฉันจะนำลูกขุนมาดูแลเอง และจะปล่อยให้พวกเธอรับเคราะห์กรรมในการยื่นเท้าหาเสี้ยน อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

“ฉันสงสัยอยู่อย่างค่ะคุณโชติรส” เขียนจันทร์โกรธต่อข้อเสนอบ้าๆ ที่ใช้กองพันมาเป็นเครื่องมือ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่พยายามห้ามเธอไปพบรักษ์ชาติ ยังดึงกองพันมาเพื่อตัดขาดความสัมพันธ์ของทั้งสองอีกทางหนึ่งด้วย “ทำไมคุณไม่แกร่งกว่านี้ ฉันคิดมาเสมอว่าคุณจะทนเห็นคนลำบากไม่ได้ กับคนเลวคนหนึ่งที่พร้อมจะฆ่าทุกคนที่ขัดขา ทำไมคุณยังอยู่เฉยได้”

“คุณควรจะพักงานว่าไหม พักผ่อนให้มากๆ เผื่อวาจาของคุณจะได้เลิกหาเรื่องทะเลาะกับลูกตะกั่วสักที ฉันคิดว่าฉันตอบในสิ่งที่คุณควรรู้มากพอ ที่เหลือคุณจะ ‘เลือก’ ทางเดินต่ออย่างไรนั้น เชิญคุณตัดสินใจเลือกได้เต็มที่ แต่ฉันจะมีเวลารอผลของมันไม่เกินเย็นนี้ หวังว่าคุณจะเข้าใจ ถ้าคุณยังชักช้า ฉันสัญญาว่าคนที่เลือดจะออกจากนี้...” โชติรสชี้นิ้วมายังขมับข้างหนึ่ง เคาะลงไปเบาๆ “จะเป็นของรักษ์ชาติ เพื่อนวัยเด็กของคุณ”


สภาพเขียนจันทร์ในยามนี้ไม่ต่างจากคนถูกน็อกคาเวที เธอรู้ว่าการที่ตัวเองเขยื้อนตัวมานั่งในรถได้เป็นการยากลำบากอย่างยิ่งยวด คำขู่ที่ออกมาจากปากหญิงคนหนึ่งช่างง่ายดายเสียนี่กระไร คนๆ นี้เป็นคนเดียวกับที่เคยบอกว่าอยากเอาเงินมาทำบุญทำกุศลจริงเหรอ เขาคือคนที่อยากจะเป็นส่วนน้อยของโลก แต่ไม่เลย โชติรสคือคนส่วนมากบนโลกใบนี้ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เขียนจันทร์นึกสบถยามที่มือของเธอสั่นจนจับเครื่องมือสื่อสารได้ไม่อยู่มือ ปล่อยให้ร่วงลงไปที่วางขา เมื่อเธอหยิบขึ้นมา หน้าจอก็กำลังขึ้นแสดงชื่อของวงเดือน

“ค่ะ หม่อมยาย”

“พ่อของเราตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด ช่วยแม่เราไว้เลยถูกยิง เขียนรีบมานะลูก...” อีกหลายๆ ประโยคดังลอดมา แต่เขียนจันทร์กลับน้ำตาร่วงลงมาด้วยความกลัวสุดชีวิต เธอไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน เพียงแค่เธอจะสตาร์ท กุญแจก็หลุดร่วงจากมือ ประตูรถที่เธอลืมล็อกมีคนมาดึงเปิดออกก่อน เขียนจันทร์เกือบจะหวีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ถ้าไม่ใช่ใบนี้ถมึงทึงของคนๆ หนึ่งที่คุ้นเคยใจเธอมากระชากเธอออกจากรถ เขาเขย่าเธอที่กำลังร้องไห้ขาดสติอย่างแรงจนหัวคลอน

“ฉันเรียกเธอตั้งนานเธอเป็นบ้าอะไรทำไมไม่ได้ยินฉันเขียน มานี่!” ร่างของเธอปลิดปลิวตามแรงกระชากของรักษ์ชาติ เขียนจันทร์รู้สึกสมองยามนี้แทบไมได้เรียบเรียงการทำงานใดๆ เธอเห็นเหล่าตำรวจวิ่งกรูไปล้อมรถของเธอ พวกเขาก้มอยู่ใต้ท้องรถ และส่งเสียงบอกถึงสิ่งที่เธอกลัวจับใจ

“มีระเบิดจริงๆ ครับ”

“จัดการให้เรียบร้อยทีนะครับ” รักษ์ชาติสั่งการเสียงห้วน ก่อนจะลากเธอไปขึ้นรถของเขา มีศดาธร และเกียรติยศประจำตำแหน่งด้านนี้ และเขียนจันทร์ที่นั่งร้องไห้ไม่ได้สติ

แอร์เย็นที่ปล่อยลมรดศีรษะของเธอช่วยทำให้ความว้าวุ่นในอกเธอเรียบเรียงเป็นระบบมากขึ้น เขียนจันทร์เม้มปาก จนหยุดการร้องไห้ไว้ได้ แต่ขอบตายังแดงก่ำ และเธอนิ่งเงียบแทนการเจรจากับรักษ์ชาติที่ปล่อยรังสีน่ากลัวออกมาให้เธอต้องกระเถิบหนีเพิ่มอีกช่วงตัว

“เธอเป็นอะไร สติไปอยู่ที่ไหน ฉันกำลังพาเธอไปดูพ่อเธอ ไม่ได้พาไปฆ่า”

เขียนจันทร์ยกมือปิดหน้า หลับตา เธอรู้สึกว่าเรื่องรอบตัวกำลังอยู่เหนือความคาดหมาย เธอควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง เมื่อคนรอบกายเธอพร้อมจะเข่นฆ่าทำลายครอบครัวเธอให้พังพินาศลงได้ทุกเมื่อ หรือเธอจะก้มหัวยอมรับข้อเสนอของโชติรส

“คุณรู้ได้ยังไงว่ารถฉันมีระเบิด”

“คนของฉันเฝ้าเธออยู่ห่างๆ และฉันก็ไม่ประมาทพอจะให้ยานพาหนะของเธอรอดพ้นหูตา ฉันไม่เคยไว้ใจอะไรสักอย่างรอบๆ ตัวเธอ ตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น ฉันกลัว” รักษ์ชาติอธิบายอย่างใจเย็นกว่าปกติ เห็นท่าทางสั่นน้อยๆ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงไม่ใช่ที่พึ่งที่ดีที่เธอจะนึกถึง

“ชีวิตฉันไม่ใช่ชีวิตคุณ ไม่มีอะไรที่คุณต้องกลัว ฉันจะตาย ไม่ใช่คุณตาย” แทนที่จะซาบซึ้งน้ำใจ เขียนจันทร์รู้สึกว่าเธอน้อยใจอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่เขารู้ทุกอย่าง ไม่เคยปล่อยให้พ้นหูพ้นตา แล้วเธอเล่า เธอไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขา เขาอยากมาวุ่นวายในชีวิตของเธอจะวันไหน หรือเมื่อไหร่ก็จะมา มาพร้อมคำต่อว่า ใส่อารมณ์ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะบอกเล่าสิ่งที่ทำให้เธอรับรู้

“ฉันจะกลัวมันก็เรื่องของฉัน เธอมีหน้าที่มีชีวิต แค่นั้นก็พอ”

เกลียด...เขียนจันทร์เม้มปากแน่น หัวใจรู้สึกเจ็บหนึบกับท่าทีโหดร้ายของเขา เธอคิดว่าพยายามจะเข้าใจความเป็น ‘เขา’ ให้ได้มากที่สุด แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าเธอคงไร้ซึ่งความพยายามที่จะทนได้แบบนั้นหากเขายังพร้อมจะเหยียบ และกดเธอไว้ด้วยคำพูดทุกคำของเขา

“จอด!”

“ไม่! อยากตายก็กระโดดลงจากหน้าต่างไปเอง” รักษ์ชาติตวัดตาขุ่นข้องมามองอย่างท้าทาย ส่วนตัวเองนั่งขวางตรงทางออกไว้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าเขียนจันทร์จะออกไปได้

“ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้...ว่าต่อจากนี้ต้องทำยังไง” เขียนจันทร์น้ำตาคลอเบ้า ความเครียดหลายอย่างประดังเข้ามา มันมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด ภาวะในรถเต็มไปด้วยความน่าอึดอัดจนเธออยากจะอาเจียน “ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก ฉันจะเกลียดคุณไปให้ถึงวันสุดท้ายที่ต้องหายใจ ไม่ว่าเจตนาคุณจะดีต่อฉันมากแค่ไหน ฉันขอให้คุณหยุด ไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีก ฉันยินดีตายด้วยปัญหาที่ฉันก่อ ดีกว่ารับความช่วยเหลือจากคุณทั้งที่ฉันไม่ได้เอ่ยปากขอ ฉันไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างคุณ ชีวิตของฉันควรหลุดพ้นวิบากกรรมจากคุณสักที ปล่อยฉันไปทีเถอะ”

คำขอร้องเสียงเครือ ผนวกกับน้ำตาที่ถูกรั้งรอบริเวณขอบตาเหนี่ยวรั้งให้สภาพการณ์ในรถทวีความเงียบงันอันน่าอึดอัดเพิ่มขึ้น เขียนจันทร์กัดปากตัวเองไว้จนเจ็บ ไม่ยอมปล่อยให้หยดน้ำไหลออกมาประจานความรวดร้าวของตัวเอง เบือนหน้าหนีไปยังนอกหน้าต่าง มีดเล่มสุดท้ายที่ปักลงไปกลางใจผู้ฟังนั้น เขียนจันทร์ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะไปกระทบใครหรือเปล่า

“เวลาที่ฉันทุกข์ ฉันเศร้า ฉันเผชิญกับเรื่องร้ายๆ คุณไม่เคยอยู่ในตัวเลือกที่ดีที่ฉันนึกถึง”

...แต่เธอก็มักจะเผลอนึกถึง เขียนจันทร์ละคำสำคัญต่อไว้ในใจ เงาสะท้อนในกระจกหน้าต่างเธอพบผู้หญิงหน้าซีดคนหนึ่ง ดวงตาอ่อนแสงนั้นกำลังเอ่อไปด้วยหยดน้ำตา เธอกำลังร้องไห้ต่อความกล้าในการกระทำของตัวเองครั้งนี้สินะ
กล้าตัดผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยไม่เป็นปัญหาต่อชีวิตของเธอ มีเวลาตัดเขาออกตั้งนานแต่ก็ไม่เคยคิดทำจริง กล้าตัดผู้ชายที่เธอเกลียดที่สุด แต่ก็ห่วงที่สุดออกไป เธอห่วงรักษ์ชาติเสมอ เธอรู้ว่าเขาไม่มีใคร ผู้ชายโดดเดี่ยวคนนี้ทำให้เธอทิ้งเขาไม่ลงสักครั้ง

เขียนจันทร์กลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในอก บทสนทนาของเธอกับโชติรสในตอนท้ายหวนคืน

‘คุณขุนจะปลอดภัยไหมคะ ถ้าฉันทำตามที่คุณบอก’

‘แน่นอน ฉันจะกันเขาออกจากปัญหาให้ ฉันจะดีดเขาให้กระเด็นจากวงการของฉัน’


ระเบิดไม่เคยไม่ส่งผลกระทบแก่ผู้ได้รับ เขียนจันทร์มองหน้าของแม่ที่น้ำตาอาบนองหน้าหลังจากเหตุลอบยิงผ่านพ้น และคนที่รับลูกกระสุนคือพ่อของเธอที่นับตั้งแต่รู้เรื่องแม่ถูกเสี่ยหลงเรียกเงินร้อยล้านก็คอยตามติดท่านให้เสมอ และวันนี้ก็เกิดเรื่อง เขียนจันทร์แอบหนีออกมาจากห้องไอซียู ที่พ่อต้องอยู่ดูอาการจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า มานั่งอยู่ตรงทางเดิน ดวงตาบวมช้ำ เธอตอบคำถามแก่บรรดาพี่น้องที่มารวมตัวกันที่นี่ไม่ได้สักอย่าง และไม่อยู่ในสภาวะที่จะให้ใครมากอดปลอบ ทุกคนจะรู้ดีว่าเธอเกลียดแสนเกลียดหากมีใครมากอดยามที่ตัวเองกำลังจะร้องไห้

ศีรษะพิงกับกำแพงขาว เขียนจันทร์หลับตาด้วยความระทมในอก มันจะแปลกอะไรหากยามนี้เธอกำลังโทษว่าทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของตัวเอง หากเธอไม่ก่อกวนน้ำขุ่นให้ตะกอนวนคลุ้งไปทั่ว เธอเป็นคนขุดเรื่องเสี่ยหลงขึ้นมา หากเวลานี้เธอยังปล่อยผ่าน หลับตาไม่รู้ไม่เห็น...เรื่องจะบานปลายขนาดนี้ได้อย่างไร

ความเย็นเฉียบสัมผัสอยู่ข้างแก้ม เรียกสติที่เหมือนจะฟุ้งซ่านอยู่ในม่านหมอกให้กลับมารวมกัน เขียนจันทร์ลืมตาขึ้นมอง นัยน์ตาแดงก่ำยามมองเห็นแท่งยาวสีส้มของไอศกรีมยี่ห้อโปรดรสส้มที่อยู่ในกระดาษเป็นรูปกรวย เขียนจันทร์เงยขึ้นมองคนที่นำมาทาบแก้มเธอก็พบว่าเป็นบุคคลที่เธอเพิ่งไล่เขาไปให้ไกลเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้ว รักษ์ชาตินั่งลงข้างๆ ก่อนจะจับมือเธอมาวางไอศกรีมเย็นเฉียบลงไป

“กินซะ เดี๋ยวมันละลายหมด” รักษ์ชาติหยิบของตัวเองที่มีอยู่แล้วแท่งหนึ่งขึ้นมากัด เหลือบมามองคนที่กำลังนั่งมองเขาด้วยความสงสัย “มองทำไม อยากให้ฉันแย่งกินหรือไง”

เขียนจันทร์เม้มปากที่มีก้อนสะอื้นตีรื้นขึ้นมา แกะไอศกรีมแท่งกระดาษออก กัดกินทั้งที่นึกอยากร้องไห้เต็มกลืน รสหวานเปรี้ยวปะแล่มของไอศกรีมรสส้ม ปากสีเชอร์รี่เคี้ยวทั้งที่ปากบิดเบี้ยวจากการกลั้นน้ำตาไว้ เขียนจันทร์นึกถึงตอนเธออายุสิบห้า เธอร้องไห้ปานขาดใจตอนที่พระจันทร์ตายไป ไม่มีใครเข้าหน้าเธอติด ได้แต่ปล่อยให้เธอร้องไห้จนพอใจ เพราะเธอต่อต้านการที่จะมีคนมากอดปลอบ และปฏิเสธการทานอาหาร วันนั้นเธอจำได้ว่ามีผู้ชายโรคจิตคนหนึ่งที่ได้วันหยุดมา เขาพลาดการไปดูเธอแข่งขัน แต่หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์รักษ์ชาติก็ปีนหน้าต่างมาส่งไอศกรีมแท่งให้เธอ เขาไม่ได้เข้ามาในห้อง แต่หาเรื่องทะเลาะกับเธอผ่านหน้าต่าง และขาติดกับบันไดไม้ กินไปทะเลาะไปจนเธอลืมร้องไห้ไปเอง แต่วันรุ่งขึ้นเธอก็ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะไม่ได้ทานอะไรมากเท่าไหร่นับตั้งแต่พระจันทร์ตาย

“ไม่สวย แล้วยังทำหน้าแย่ จะกินไอศกรีมให้อร่อยหน่อยไม่ได้หรือไง”

โดนรักษ์ชาติว่าเข้าหน่อย เขียนจันทร์ก็เริ่มเบะปาก น้ำตาหยดแหมะ แต่ก็ยังกัดไอศกรีมแท่ง ให้ความเย็นช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดในอก แต่มันกลับเร่งให้น้ำตาเธอออกมามากขึ้น

“ฉันเกลียดตัวเอง”

รักษ์ชาติหยุดมือที่กำแท่งไอศกรีมไว้แน่น บีบมันจนหัก และลดไว้ข้างตัว หูยังคงได้ยินเสียงที่พร่ำบอกอย่างทรมานใจของเขียนจันทร์ดังออกมา

“ฉันเป็นคนเริ่มปัญหาครั้งนี้ ฉันทำใจส่องหน้าตัวเองในกระจกไม่ได้ มองหน้าพี่น้องบอกเรื่องทุกอย่างไม่ไหว ฉันกลัวว่าฉันจะรับแรงกดดันอีกไม่ไหว แค่ฉันเกลียดตัวเอง เกลียดที่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมองหน้าพวกท่านได้ยังไง”

ไอศกรีมเย็นในมือเขียนจันทร์ถูกดึง และรักษ์ชาติจับมาป้อนใส่ปากเขียนจันทร์ที่กำลังพูดพร่ำแทนการหยุด หน้าตารักษ์ชาติหงุดหงิดชัดเจน “กินซะ เลิกคิด”

เขียนจันทร์เคี้ยวมันจนเย็นไปทั้งลำคอ หน้าตาบิดเบี้ยวจากการได้ยินคำพูดอันเย็นชายิ่งกว่าความเย็นของไอศกรีม กับสีหน้าของรักษ์ชาติ เธอแทบทนมองต่อไปไม่ได้

“ไม่กิน ไม่ต้องมาบังคับ” เขียนจันทร์แย่งไอศกรีมมาปาลงบนพื้นอย่างกับเด็ก หน้าตาบึ้งตึง “ถ้าฉันมันน่ารำคาญ น่าหงุดหงิดเต็มประดา ก็เลิกยุ่งวุ่นวายกับฉันสักที เลิกมาบังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการทำ” มือบางยกหลังมือปาดน้ำตาป้อยๆ “ฉันมันตัวปัญหา กลับมาบ้านไม่ทันไร ฉันก็ทำให้มันยุ่งไปหมด” เขียนจันทร์สูดน้ำมูกเสียงดัง เงยหน้ามองหลอดไฟบนเพดานด้วยความสิ้นหวัง “ฉันทำให้ทุกอย่างมันแย่”

ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังใกล้เสียสติเต็มประดาถูกยกอุ้มพาดบ่าออกไปต่อหน้าสายตาพี่น้องอีกสามคู่ที่กำลังออกมาจากห้องไอซียูเพื่อบอกว่าพ่อปลอดภัย และกำลังจะออกมาจากไอซียูได้ในเย็นวันนี้ แต่การโวยวายของเขียนจันทร์ที่กำลังใช้มือทึ้งศีรษะผมสั้น ฟันงับไปบนไหล่หนา หน้าซุกไม่กล้าเงยมองใครเมื่อท้ายที่สุดเธอก็ยังคงถูกหิ้วออกไปจากหน้าห้องไอซียู พร้อมคำขู่ที่สามพี่น้องได้แต่ทำหน้าสงสาร แต่ไม่คิดเข้าไปยุ่ง

“ไม่ต้องโวยวาย ฉันกำลังพาเธอไปตายสมใจเธอนี่ไง”

ขืนใครเชื่อคำขู่ทุกอย่างที่รักษ์ชาติว่ามา เขียนจันทร์คงได้ตายไปตั้งแต่อายุหนึ่งขวบครึ่งหลังจากกัดจมูกของรักษ์ชาติจนช้ำไปแล้ว

……………………………………………………

คุณ ร้อยวจี เปรี้ยวๆ หวานๆ ก่อนขมชุดใหญ่จะตามมา (เรื่องนี้มันดาร์กจริงๆ) ออกจะตลกนะคะ หึๆ

คุณ ใบบัวน่ารัก เรื่องนี้ตัวร้ายมาก็คงไม่ได้เกิดค่ะ พ่อเจ้าประคุณมหาจำเริญเหมาหมด แต่ว่าใช่ว่าจะไม่มีคนที่ขุนควงนะคะ บทกรี๊ดๆ เรื่องนี้อาจไม่มีค่า

คุณ konhin ทูอินวันค่ะ ต้องใช้ให้คุ้ม ร้ายให้สุด แต่ดีไม่สุด ฮา เป็นพระเอกที่น่าฟาดทุเรียนใส่ในบางตอน

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ตอนที่เขียนอยู่ตอนนี้บทพระเอกก็ยังไม่มาจุติเลยค่ะ ฮา เรื่องนี้น่าจะยาวกว่าทุกเรื่องที่เขียนมา บทพระเอกจะแวบมาแบบผีเข้าผีออก ต้องเกาะขอบรอฟินกันเป็นฉากๆ ไป พระเอกปากร้าย หวานน้อย (กว่าพระเอกทุกเรื่อง) จะพยายามเติมน้ำตาลให้นะคะ สงสัยเทให้เรื่องอื่นหมด ลืมเติมเรื่องนี้

พาหนุ่มหน้าสวยกลับมาแวบ เรื่องนี้ระยะเวลาจะเกี่ยวเนื่องกับสวีทเทสค่ะ เป็นธุรกิจโรงแรมเหมือนกัน เลยเชื่อมโยงกันได้ ส่วนเรื่องเจ้าขุน เดี๋ยวความร้ายจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ จะหวานขึ้นไหมต้องมาลุ้นกันต่อค่ะ อิอิ

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านนะคะ ^^





ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2557, 06:19:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มิ.ย. 2557, 06:19:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 2025





<< บทที่ 12 : ขอโทษ!!!   บทที่ 14 : อยากจะหนี >>
ร้อยวจี 3 มิ.ย. 2557, 06:59:04 น.
ขมจริงด้วยเริ่มสงสารเจ้าขุนขึ้นมาหน่อย สงสัยจังคุณโชติรสจะทำอะไร


ใบบัวน่ารัก 3 มิ.ย. 2557, 07:14:41 น.
ยิงถล่มให้ตายไป จัดหนักจัง
มาช่วยกู้พี่ไทยพี่กรุงเทพกะพี่ภาคใต้บ้างดิ
เขียนไม่ต้องกลัวนะเดี๋ยวประกาศภาวะฉุกเฉินให้
รู้จักกันมาตั้งแต่เกิด ก็น่าจะรู้ใจกันนะเจ้าขุนพี่แกคนจริงกระทิงแดง^^


Amarilys 3 มิ.ย. 2557, 10:06:21 น.
สงสารเขียน..สติแตกไปแล้ว
แต่อ่านตอนนี้ ดูนายขุนน่ารักแบบแปลกๆ
ชอบกับความสัมพันธ์ของเขียน-ขุน แล้วก็เขียนกับพี่ๆ และน้องๆ จัง ฮาดี รักกันฝุดๆ เมื่อมีเจ้าขุนเข้ามาเกี่ยว
เอายัยป้าโชไปทิ้ง


อัศวินนภา 3 มิ.ย. 2557, 12:36:29 น.
คุณกลางมา กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆ


konhin 3 มิ.ย. 2557, 13:28:35 น.
โหยยยย คุณโชติรสออกตัวแรง ดีนะเนี่ยที่มือสั่นจนใส่กุญแจรถไม่ได้


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 มิ.ย. 2557, 23:27:25 น.
เครียดอะ อึดอัดๆๆๆ แคว่ก ฉีกเสื้อขาดดด


ผักหวาน 17 มิ.ย. 2557, 23:33:32 น.
โอ๊ย..จะอุ้มไปฆ่าที่ไหนคะเนี่ยพี่ขุน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account