UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 14 : อยากจะหนี

บทที่ 14

พอเท้าแตะบนพื้นดาดฟ้า เขียนจันทร์ก็พยายามไม่ดิ้น เลิกโวยวาย เธอมั่นใจว่าไหล่เขาต้องเขียวช้ำจากการถูกเธอกัดอย่างแรงไปแล้วแน่ อารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดของเธอในตอนนั้นจึงสงบลงได้ เขียนจันทร์หายใจเข้าปอดลึกๆ นึกภาพเวลาที่เธอเก็บอารมณ์ได้ยอดเยี่ยมว่าเป็นอย่างไร ในยามนี้เธอกำลังเรียกวิญญาณเดิมของเธอคืนมา

“ฉันหายแล้ว” เขียนจันทร์เชิดคอตั้งใจจะเดินกลับออกไปจากชั้นดาดฟ้า รักษ์ชาติก็ถือโอกาสรั้งเอวเล็กมาเข้าตัว กอดไว้จนจมกับอก ลมหายใจยาวรินรดต้นคอ

“กัดฉันจนเจ็บ คิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอง่ายๆ เหรอ”

“คุณมันแส่หาเรื่องเอง” เขียนจันทร์พยายามเกร็งร่างไว้สุดกำลัง แต่อีกฝ่ายที่ผมกระเซิงยุ่ง และเสื้อเชิ้ตยับก็ไม่ได้หวั่นเกรง รักษ์ชาติยังคงรัดเอวเล็กไว้แน่นขึ้น

เขียนจันทร์ตวัดตามองค้อน ไม่กล้าผินหน้าไปทั้งหมด กลัวผิวหน้าเธอจะกระทบกับผิวสากของเขาเข้าให้อารมณ์เธอไม่มั่นคงกว่าเดิม

“จะมีใครกล้ามาห้ามหมาบ้าที่เสียสติพร่ำบ่นเกลียดตัวเองเป็นมลภาวะทางจิตชาวบ้านชาวช่องเขา”

‘หมาบ้า’ ทำหน้ารับไม่ได้ อยากด่ารักษ์ชาติหลายๆ คำ แต่ติดที่ว่าเธอต้องมาทนให้เขากอดรับแสงแดดร้อนๆ ยามบ่ายแก่ๆ บนดาดฟ้า ได้แต่หยีตาหลบแสงแดดที่กำลังระคายผิวเธอจนแสบ

“ฉันห่วงพ่อ ฉันสัญญาว่าจะไม่เป็นหมาบ้าอีก”

คำสัญญานั้นถูกปฏิเสธ รักษ์ชาติดึงโทรศัพท์ออกมากดอ่านข้อความที่เพิ่งส่งเสียงเตือนขึ้นมาอ่าน “วาดบอกกับผมว่าพ่อคุณพ้นขีดอันตราย อีกไม่กี่ชั่วโมงจะออกมาจากห้องไอซียู มาอยู่ในห้องพักฟื้นได้” รักษ์ชาติส่งโทรศัพท์ให้เขียนจันทร์ที่ยังไม่เชื่อได้อ่าน ส่วนตัวเองก็เริ่มเห็นใจคนขาวที่ใกล้จะดำเพราะแดดออกมาหลบยังชานพักเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากประตูชั้นดาดฟ้า

ความจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนั้นทำให้เขียนจันทร์เบาใจขึ้น เห็นจะยกเว้นตรงท้ายประโยคที่วาดตะวันดอกจันฝากมาในตอนท้าย ‘อย่ารุนแรงกับน้องฉันนัก พอเขียนหายบ้ารีบพาลงมานะ อีกสิบนาทีจะส่งพรึกไปตาม’

ประกายพรึกน่าจะรีบตามขึ้นมาเลย...

“ฉันจะรอพรึก”

“เธอยังไม่หายบ้าหรอก หลอกฉันไม่ได้” คนคุกคามหมุนร่างระหงกลับมาเผชิญหน้า ดวงตาดุกร้าวมองทะลุความนึกคิดของเขียนจันทร์จนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหลบตาอีกฝ่ายเสียเอง “มองฉัน!”

มือหนากอบกุมแก้มเนียนนุ่มไว้ทั้งสองข้าง บังคับให้ต้องแหงนเงยขึ้นมาสบตากัน ดวงตาเง้างอด ทั้งงอน ทั้งชัง บึ้งตึงประดังสู่สายตาคนที่รับหน้าที่ขจัดความเครียด ไม่สิ กำจัด หมาบ้าออกไปจากเธอ เขียนจันทร์เอียงศีรษะจ้องตากลับท้าทายรอดูว่าผู้ชายห่ามๆ แข็งกระด้างอย่างเขาจะใช้มุกไหนมากำจัดหมาบ้าตัวนี้ออกไป ในเมื่อไอศกรีมไม่ได้ผล

“พูดออกมา ทุกอย่าง ฉันจะฟัง ความจริงเรื่องที่เธอเกลียดฉัน”

ดวงตาที่ก้มลงมาใกล้กว่าเดิม และขอในสิ่งที่ทำให้ใจของเขียนจันทร์โยกคลอนไปด้วยความสับสนนั้นสร้างแรงกระเพื่อมโหมในอก เธอเคยแต่พูดว่าเกลียดในยามที่เขาทำให้เธอขุ่นเคือง หรือปากเสียใส่ ไม่รักษาน้ำใจ แต่ในเวลาที่เธอมีหลายเรื่องประดังรุมเร้าเข้ามา เธอกลับนึกถึงสิ่งที่เคยเกลียดรักษ์ชาติไม่ออกเลยสักอย่างเดียว

“คุณบ้าหรือไง จะให้ฉันพูดด่าคุณ คุณไม่เคยทน คุณจะเถียงฉันเสมอ เอาชนะคะคานกันให้ได้” เหตุผลมากมายถูกหยิบยกมาแก้ขัดตาทัพเพียงเพราะว่าเธอหาเรื่องที่อยากจะมาบอกว่าเกลียดเขาไม่ออก มีอย่างมากก็แค่...ไม่ชอบใจ ไม่ชอบอย่างแรงมากเสียด้วย

“แปลว่าเธอไม่เกลียดฉัน เธอรู้สึกยังไงกับฉันล่ะ เกลียดมาก เกลียด เกลียดที่สุด ผู้ชายคนนี้น่าขยะแขยง”

ยิ่งได้ฟัง เขียนจันทร์ก็รู้สึกทนฟังไม่ได้ เธอเริ่มนึกว่าถ้าหากเธอเป็นบุคคลที่รักษ์ชาติรู้สึกสำคัญด้วย เขาจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนเวลาที่ได้ยินคำพวกนี้ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บปวดที่สุดตรงหัวใจ มันทำให้เธอกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดทำมาก่อนในชีวิตยามเขย่งขึ้นไปเพื่อปิดปากของรักษ์ชาติไว้ และมันก็ได้ผล เขียนจันทร์ใจเต้นรัวยามที่เสียงพูดของเขาเงียบหายไป ในช่วงเวลาที่เธอกลัวในการเผชิญหน้าริมฝีปากของเขาก็บดลงมาอย่างจงใจ และเอาแต่ใจบีบให้เธอต้องเปิดปากยอมรับความรู้สึกล้ำลึกของเขาในที่สุด ดวงตาที่ตื่นตะลึงในคราแรกหลับพริ้มอย่างจำยอม เธอรู้สึกว่าฝ่ามือโอบเธอไว้ช่วยให้เธอยังทรงตัวยืนอยู่ได้ในอ้อมอกของเขา และก่อนที่เกือบจะปล่อยเสียงน่าอายออกไป ประตูดาดฟ้าก็เปิดดังปัง ริมฝีปากของเธอบวมเจ่อ และยังเผลอค้างไม่ทันผละจากกันด้วยซ้ำ

“ผมขอโทษ” นายตำรวจหนุ่มที่มาขัดจังหวะพูดเสียงอ่อยหน้าเสีย กลัวระเบิดจะย้ายข้างมาลงแถวตัวเขา

มือบางยกขึ้นปิดหน้าแดงก่ำที่เริ่มออกอาการอายม้วน ไม่กล้ามองสายตาร้อนแรงที่กำลังเผาเธอให้ต้องจมกับความรู้สึกลุ่มหลงนั้น เขียนจันทร์หลงลืมความรู้สึกทุกอย่างที่ประดังเข้ามาจนหมดสิ้น...เขาทำมันได้

“ไล่หมาบ้าได้แล้วไปกันเถอะ” รักษ์ชาติพูดออกมาหน้าตาเฉย

หมาบ้าที่ยังปากบวมเจ่อหน้ายักษ์ทันควัน เธอใช้หลังมือถูสัมผัสลุ่มลึกไปจนปากยิ่งแดงก่ำ แต่ไม่อยู่ในอารมณ์จะมาสนใจอีก เธอกระแทกไหล่หนาเดินนำหน้าประกายพรึกที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยปากที่อ้าค้าง ไม่คิดฝันจะได้พบจุดไคลแมกซ์ระหว่างทั้งคู่มาก่อน

เสียงโวยวายของคนที่เดินนำไปบ่นมาถึงหูประกายพรึก และรักษ์ชาติ “จูบกับก้อนหินยังรู้สึกดีกว่านี้ ฉันเกลียดจูบคุณ”

“แต่เธอยื่นปากมาจูบฉันก่อน” น้ำเสียงที่ตอบโต้กลับไปไม่ได้ใส่ใจผู้ฟังคนที่สาม และเขาได้รับเสียงกรี๊ดกลับมาอย่างเหลืออด ประกายพรึกได้ยินเสียงห้าวหัวเราะอย่างเบิกบานขณะเอนหลังกับกำแพง สองมือล้วงกระเป๋า สักพักดวงตาที่อารมณ์ดีก็วาววับมาเอาเรื่องกับน้องชายตัวดีของเขียนจันทร์ น้ำเสียงเย็นเยียบไม่ได้พูดขู่ แต่เอาจริงจนคนฟังทำหน้าจวนจะร้องไห้

จังหวะมนุษย์ใครอยากจะมาขัด...คนมันซวยแจ็กพ็อตพอดีต่างหาก

“ได้ข่าวว่ารักกับเจ้านายเก่าดี ไม่อยากย้ายแล้วใช่ไหม”

“ถ้าแกล้งผม ผมจะยุให้พี่เขียนไปหาคนอื่น พี่ขุนคิดดูดีๆ ยังไงโอกาสครั้งนี้ผ่านไป ครั้งหน้ายังมี คบผมไว้เป็นพวกดีกว่านะพี่”

รักษ์ชาติเหยียดปาก นับถือในความกล้าของประกายพรึกที่ยังกล้าขู่เขา ดวงตายังคงกรุ่นเอาเรื่อง “โอกาสฉันสร้างให้ตัวเองได้ แต่ไม่ใช่บ่อยๆ นายทำฉันเสียอารมณ์” คนเสียอารมณ์พูดเสียงเนิบ อย่างกับไม่ถือสา ยกเว้นว่ามันจะเป็นเพียงแค่น้ำเสียงอันหลอกหูเท่านั้น “ทนกับเจ้านายเก่าไปสักสามเดือนสี่เดือน ฉันอารมณ์ดีเมื่อไหร่ค่อยช่วยเรื่องงานนาย”

“พี่คิดยังไงกับพี่เขียน รักใช่ไหม อย่าลืมบอกพี่เขียนสิ รายนั้นต้องการความชัดเจน” เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์เมื่อยังเจรจาเรื่องงาน ประกายพรึกก็หย่อนเท้าไปหาเรื่องสาเหตุ

สายตาคมหากเปรียบเป็นมีดคงทิ่มตาคนถามให้บอดได้ รักษ์ชาติหน้าเรียบสนิท แต่นัยน์ตามีไฟลุกโชน กัดฟันถามกระชากเสียง “มันไม่ชัดเจนตรงไหน!”

ทุกตรงนั่นแหละ...ประกายพรึกเกาหัวแกรกๆ เห็นไฟกองโตตรงหน้าเริ่มรู้ตัวว่าคำตอบของเขาควรกลืนมันลงไปย่อยในกระเพาะลำไส้ให้หมด หุบปากให้เงียบที่สุดเป็นยอดดี ส่วนเรื่องความรู้สึกของพี่ชายนอกไส้ ให้พ่อมหาจำเริญจัดการเองเถอะ หนังหน้าไฟอย่างเขาจะดวงกุดเอาขืนยื่นมือไปวุ่นมากๆ


ใกล้เวลาเย็นแล้ว เขียนจันทร์ก็รู้สึกว่ามือตัวเองเย็นเฉียบ เธอหลบมานั่งในห้องน้ำนิ่งๆ ด้วยความสิ้นหวัง เขียนจันทร์รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ต่างอะไรจากคนโง่เง่า แต่เธอทนเห็นครอบครัวเจ็บปวดไปมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ

ภาพวิจิตรโทรมาตามให้เธอไปเยี่ยมพ่อที่ออกมาจากห้องไอซียูได้แล้ว เขียนจันทร์เลือกทำในสิ่งที่ควรต้องทำ มันไม่ใช่การกลัวต่อคนเลว แต่หากเธอจะยุ่งกับพวกสารเลว เธอจะต้องไม่นำความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัว เธอตัดสินใจไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว โทรศัพท์ไปบอกแก่ทนายให้ถอนฟ้องเสี่ยหลง เธอจะไม่เล่นเขาเกี่ยวกับบริษัท ยอมถอนฟ้องไปก่อน แต่ถ้าเรื่องของเสี่ยหลงพลิกผัน เขากระโดดสู่จุดอับอีกครั้งเมื่อไหร่ เธอจะซ้ำเติมเขา ให้หนัก โดยไม่สนการข่มขู่จากใครหน้าไหนอีก เวลานี้ไม่มีใครรับประกันในความปลอดภัยของครอบครัวเธอได้อีกแล้ว

หญิงสาวตัดสินใจเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เธอเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีจนมาถึงหน้าห้องพักของพ่อ สิ่งแรกที่ได้รับคือความชาหนึบบนซีกแก้ม เสียงเนื้อกระทบดังลั่นโถงกว้างจนคนที่เดินผ่านไปมายังต้องเหลียวหลัง ใบหน้าเนียนหันไปตามแรงฝ่ามือ น้ำตาเอ่ออยู่ตรงขอบตา เมื่อครู่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องคือ...แม่

“แกทำไปได้ยังไง สิ้นคิดแล้วหรือไง!” ร่างระหงโยกคลอนจากการเขย่า เขียนจันทร์ไม่ตอบโต้ รับลูกอารมณ์พายุของมารดาที่พัดใส่ระลอกแล้วระลอกเล่า เวลานี้กายของเธอมันเจ็บไม่เท่าที่ใจ ยามเธอสำนึกว่าได้ทำในสิ่งผิดจนพ่อเจ็บ แม่เสียใจ “แกฟ้องร้องเสี่ยได้ แล้วแกถอนฟ้อง แกกำลังปล่อยให้การเจ็บของพ่อแกผ่านเลยไปหรือไง”

เข่าสองข้างของเขียนจันทร์ทรุดลงกับพื้น ร่ำไห้ออกมา แต่กลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดกำลัง ไหล่ไหว หมดข้อโต้แย้ง “ให้เขียนตายคนเดียว เขียนไม่อยากให้พ่อแม่ ครอบครัวเราต้องเดือดร้อน”

แก้มอีกข้างชาดิก เขียนจันทร์รู้สึกแก้มสองข้างกำลังบวมเป่ง และก่อนที่จะมีครั้งที่สาม พี่น้องของเธอก็มารั้งตัวแม่ไว้ เขียนจันทร์นั่งรับหมดสภาพบนพื้น เริ่มโวยวายยามที่สมองคิดอะไรไม่ออก

“เขียนขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ มันเป็นความผิดของเขียนคนเดียว เขียนไม่น่ายุ่งกับเสี่ยหลง น่าจะปล่อยมันไว้ ปล่อยให้มันมาเป็นปลิงเกาะธุรกิจของเรา เขียนไม่น่าพาพ่อกลับมาหาแม่ ไม่น่ากลับมา เขียนมันแย่ แม่ตบเขียนอีกกี่ที เขียนก็จะไม่เปลี่ยนความคิด เขียนจะถอนฟ้อง จะไม่ให้ครอบครัวเราเดือดร้อนอีก เราเป็นแค่ไม้ซีกเล็กๆ ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ได้แต่ก้มหน้ารับ แทนที่จะเป็นผู้รุกไล่ เขียนทนมองใครเจ็บอีกไม่ไหวแล้วนะคะ เป็นไปได้เขียนจะยอมเจ็บ ยอมเป็นคนที่ต้องตายเอง”

“แกหยุดพูดเดี่ยวนี้!” สรรพนามที่คุณดาวเดือนไม่เคยใช้กับลูกสาวลูกขายคนไหน ยามนี้กลับใช้เรียกลูกคนรอง ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธา “เลือดเนื้อของแก ฉันเป็นคนเบ่งออกมาเอง แกจะมาพูดว่าอยากตายง่ายๆ อย่างนี้ แกมันลูกเนรคุณ”

“พอแล้วแม่” วาดตะวันส่ายหน้าด้วยความสงสารน้องสาวที่กำลังร้องไห้หมดสภาพ “เขียนออกไปก่อน ตอนนี้จะไม่มีใครคุยกันรู้เรื่องหรอก มีแต่อารมณ์”

“ไปก่อนเถอะ” ประกายพรึกพยุงร่างที่พร้อมจะหล่นแปะไปนั่งบนพื้นให้ลุกขึ้น เขียนจันทร์มองหน้ามารดาที่มีแต่ความโกรธเกรี้ยวด้วยความเจ็บปวด

“เขียนขอโทษ เขียนจะไม่สร้างปัญหาอีก ไม่ว่ากับใคร”

“ไปให้พ้นหน้าฉัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าลูกอย่างแก” น้ำเสียงเย็นชาของดาวเดือนกรีดใจลูกสาวให้ขาดวิ่น เขียนจันทร์ยกมือสั่นเทาพนมไหว้ เธอเกลียดที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

เกลียดที่อ่อนแอ...ไม่เคยเป็นเสาหลักให้ใครได้ เขียนจันทร์นึกอย่างเศร้าใจ ความทุกข์ระทมกลัดหนองนี้ช่างทำให้เธออยากไปให้ไกลสุดโลก หากเธอใช้ชีวิตอย่างวาดตะวัน ประกายพรึก หรือภาพวิจิตร ป่านนี้เธออาจเลือกชีวิตด้วยการเป็นสัตวแพทย์อย่างถาวร และกลับบ้านปีละหนึ่งเดือน ไม่ต้องลงหลักปักฐาน ไม่ต้องสร้างเรื่องวุ่นวาย

“กลับบ้านนะครับพี่เขียน” ประกายพรึกชูมือขอกุญแจรถที่เขียนจันทร์ขับเป็นประจำ แต่วันนี้ไม่มี เขียนจันทร์เพิ่งนึกออกว่ารถของเธอถูกวางระเบิด ไม่ได้ขับมา

“พี่ขออยู่คนเดียวได้ไหม พรึกไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ดีกว่า เดี่ยวพรุ่งนี้พี่จะมาเยี่ยมพ่อ พรึกโทรมาบอกพี่ด้วยแล้วกัน ว่าตอนไหนแม่อยู่ พี่ไม่อยากให้แม่อารมณ์เสียเวลาเจอหน้าพี่”

“ผมเป็นห่วงพี่นะครับ พี่อย่าอยู่คนเดียวเลย”

เขียนจันทร์ส่ายศีรษะ เธอไม่ต้องการให้ใครมาปลอบ ความผิดที่เธอก่อเป็นสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้มันด้วยตัวเอง “พี่ขออยู่คนเดียวนะพรึก พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ พี่จะไม่ยอมตายก่อนเสี่ยหลงแน่ๆ”

“เดี๋ยวผมไปส่ง ห้ามปฏิเสธ พี่ใครใครก็ห่วง อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นน้องที่ไม่ได้เรื่องเลยนะครับ จะให้ไปส่งที่ไหนก็บอกกันได้เลย”


ประกายพรึกพาเขียนจันทร์กลับไปยังโรงพยาบาลสัตว์อีกครั้ง และปล่อยให้เขาไปดูที่รถที่มีตำรวจเดินสอบสวน และหาข้อมูลจนได้หน้าคนร้ายมาจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ค่อนข้างมิดชิด พวกมันจึงไม่ทันสังเกตเห็น เรื่องน่าตกใจที่ประกายพรึกรู้มาเพิ่มนี้ทำให้ประกายพรึกสงสารเขียนจันทร์จับใจ หากว่าคนของรักษ์ชาติไม่ได้คอยดูความเคลื่อนไหวไว้ให้ ป่านนี้พี่เขาจะเป็นอย่างไร เขาไม่กล้านึกเลย

“พี่ฝากจดหมายลาออกไว้แล้ว” เขียนจันทร์บอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตามีร่องรอยมั่นคง ไม่หวั่นไหวโยกเอนอย่างชั่วโมงที่แล้วที่พร้อมจะพัดพาไปตามทิศทางลมเสมอ

“ทำไมต้องลาออกล่ะพี่เขียน”

“พี่ติดต่อเพื่อนไว้แล้ว พี่อยากไปทำงานที่ต่างประเทศ โรงพยาบาลนั้นพี่ก็เคยไป เขายินดีรับพี่ทำงานทุกเมื่อที่พี่ต้องการ พี่ว่าจะไป”

นายตำรวจหนุ่มตาโตด้วยความตกใจกับความปุบปับ และการมุ่งมั่นของพี่สาว เขาอยากจะถามว่าพร้อมไหม แล้วกำลังหนีอะไรหรือเปล่า แต่ภาพที่เขียนจันทร์ต้องเผชิญแรงกดดันมากมาย ไหนจะยังเรื่องที่ตัวเองก็กำลังโดนเล่นงานอยู่นี้ เขาคิดว่าเขียนจันทร์คงจะตัดสินใจดีที่สุดแล้ว

“พี่ขุนล่ะพี่เขียน พี่บอกเขาหรือยัง”

รอยไหววูบยามเอ่ยชื่อบุคคลใหม่จากปากประกายพรึก สร้างอาการวูบโหวงในช่องอก เขียนจันทร์เบือนหน้าหนี พยายามบังคับให้ตัวเองยึดมั่นต่อสิ่งที่กำลังกระทำ “อย่าให้พี่เป็นตัวแปรของใครเลย พี่ขอมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต้องการเป็นหมากบนกระดานใคร บางกระดานก็ไม่สมเหตุสมผล” โดยเฉพาะเกมกระดานที่โชติรสยกนำเสนอแก่เธอ

ร่างบางเดินนำไปยังมอเตอร์ไซค์ของน้อง โดยรถปล่อยให้ทางตำรวจจัดการจนเสร็จเรียบร้อยค่อยขับไปคืนที่บ้าน

“น้องขุน...พี่จะบอกเขาไหม”

สองพ่อลูกสร้างรอยวูบไหวแก่คนฟัง เขียนจันทร์มีรอยร้าวในดวงตา ขอบตาแดงก่ำ จนเธอต้องหลับตาไว้แน่น “พี่เป็นแม่ที่ดีของใครไม่ได้หรอกพรึก ขนาดลูก พี่ยังเป็นลูกที่ดีไม่ได้ ไว้บอกน้องขุนหลังจากที่พี่ไปแล้วเถอะนะ”

ความเงียบเข้าครอบคลุม ประกายพรึกกอดพี่สาวไว้หลวมๆ ไม่รู้จะปลอบอย่างไรให้สภาพจิตใจของเขียนจันทร์ดีขึ้น

“พี่ยังมีผมที่พร้อมฟังทุกเรื่องนะครับ”


ในบ้านหลังใหญ่ที่ต่างมองทายาททั้งสองที่เดินเข้ามาด้วยความสนใจ อยากรู้ความเป็นไป สตรีสูงวัยก็เร่งรีบลงมาจากชั้นสอง คำถามแรกจากวงเดือนทำให้เขียนจันทร์ต้องทำลายความอดทนที่ตัวเองเพียรสร้างมากางกั้นความรู้สึกอ่อนไหวในอกไว้

“เขียนไม่เป็นไรใช่ไหมลูก”

ร่างระหงตรงเข้ากอดหม่อมยายไว้ ใช้บ่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากต่างซับน้ำตา วงเดือนลูบหลังลูบไหล่หลานสาวที่ไม่ว่าจะเติบโตสักแค่ไหน ในสายตาเธอนั้น เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อยไม่เคยเปลี่ยน จิตใจยังคงบอบบาง และปริร้าวได้ง่ายยามมีเรื่องหนักหนามากระทบกระทั่ง

“เขียนไม่กล้าทำอะไรแล้วค่ะ”

“ไม่เป็นไร ยายเข้าใจทุกอย่างที่เขียนทำนะลูก ตอนนี้รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เข้าใจไหม”

เขียนจันทร์ผละจากอ้อมกอดของยาย เงยหน้า ปาดน้ำตาด้วยปลายนิ้วอย่างมีท่าทีที่แข็งแกร่ง ภายในวังของจักรตรากูลหล่อหลอมให้เธอสำรวมกาย กิริยาท่าทางเสมอจนเป็นนิสัย ทั้งที่ความจริงวิญญาณลึกๆ ของเธอก็ยังเป็นลิง เป็นค่าง ที่อยากหาเรื่องออกนอกกรอบเป็นนิจ

แต่ทุกอย่างย่อมมีความยับยั้งชั่งใจ...

“ขอบคุณค่ะหม่อมยาย”

“วันนี้คุณโชติรสมารับลูกขุนไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ทำไมเขียนไม่เคยบอกยายว่าลูกขุนเป็นหลานคุณโชติรสเขาล่ะ ยายรู้ยายยังตกใจแทบแย่ ยายจำได้ว่าลูกสาวเขาอายุแก่กว่านายรักษ์ชาติเกือบสิบปี”

วงเดือนเดินนำหลานสาวไปนั่งยังที่นั่งกลางห้องโถง มีประกายพรึกตามติดอย่างสนใจใคร่รู้ ยิ่งเห็นหน้าพี่สาวที่ได้ฟังซีดเผือด กัดริมฝีปากจนเจ็บ น้องชายก็ได้แต่เพิ่มความสนใจเท่าทวี

“ขุนเป็นลูกของพ่อเขาค่ะ เป็นน้องชายของเขา แต่คุณขุนเลี้ยงเขาเป็นลูก” ความจริงข้อนี้ทั้งเธอ และบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ก็รับรู้ดี แต่ไม่มีใครเอาออกมาพูดในที่สาธารณะ ทุกคนไม่อยากทำให้ความเข้าใจของกองพันต้องเกิดการผิดเพี้ยน “เขียนคิดว่าอีกไม่นานน้องขุนคงจะได้รู้”

“ลูกขุนอยู่กับยายเขาก็คงไม่เป็นอะไรหรอก แล้วเรื่องของเขียนกับดาวจะทำยังไงต่อไป”

เขียนจันทร์ยิ้มขมขื่น เจ็บที่ใจแปลบๆ เมื่อคิดถึงสีหน้าผิดหวัง และน้ำเสียงกราดเกรี้ยวของผู้เป็นแม่ “เขียนทำผิดไว้มากค่ะหม่อมยาย เขียนสมควรได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง และผลกระทบของมัน” ดวงตาหม่นแสงนั้นพยายามจะแจ่มใสให้มากขึ้น

“โถ่หลานยาย” วงเดือนโอบหลานสาวไว้ด้วยความสงสารจับใจ

“มีคนวางระเบิดรถพี่เขียนด้วยครับ ดีที่พี่ขุนรู้ก่อน เลยมาช่วยพี่เขียนไว้ทัน”

คำบอกง่ายๆ ของประกายพรึกเหมือนคลื่นสึนามิลูกใหญ่กำลังพุ่งชนอีกระลอก เขียนจันทร์ถลึงตาดุใส่คนพูดไม่ดูเวลา แต่น้องชายของเธอกลับเพียงแค่ไหวไหล่ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป ปล่อยให้หม่อมยายกระพือปัญหาในครั้งนี้

“พวกมันกล้าทำขนาดนี้ ยายไม่ยอมหรอกนะเขียน พวกเราต้องอยู่อย่างหวาดกลัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” มือที่โอบบ่าหลานสาวไว้ เปลี่ยนมากำไว้แน่นบนหน้าตัก หน้าตาเรียบเฉยร้อนรน

“ปล่อยให้พี่ขุนจัดการเถอะครับ เรามีกำลังไม่พอ” ประกายพรึกพยายามยื่นปากมาปรามอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่ควร

“กำลังไม่พอ! คนใช้กฎหมายอย่างเราพูดมาแบบนี้ลาออกจากตำรวจเสียดีไหม”

ประกายพรึกร้องอุ้ย ย่นคอ เขยิบไปนั่งชิดริมพนักเก้าอี้อีกด้าน ไม่กล้าทำตัวเป็นกันชนอีก วงเดือนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าตาที่ดูแลมาอย่างดี บำรุงไม่ได้ขาดเริ่มแสดงความโรยราไปตามวัย ยามมีเรื่องทุกข์ใจพาดผ่านในชีวิต หากคุณชายพิภพอยู่เป็นคู่คิดแก่เธอ คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย

“นายขุนนี่ไว้ใจได้มากแค่ไหน เห็นเจอกันกี่ครั้งก็ทะเลาะกับเขียนตลอด ยายไม่ชอบเลย หวังประโยชน์อะไรจากครอบครัวเราหรือเปล่า”

ประกายพรึกทำท่าชี้มือชี้ไม้ไปยังเขียนจันทร์ที่ได้แต่ส่งสายตาดุปราม แต่เหมือนจะไม่เพียงพอ ปากของประกายพรึกจึงยังพูดสำทับท่าทางของตัวเองเพิ่มมาด้วย

“เขาหวังหลานสาวยายคนเดียวแหละครับ ถึงได้ทุ่มเทขนาดนี้”

“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วพรึก” เขียนจันทร์หน้าร้อนวูบ ช่วยไม่ได้เลยที่เธอเผลอนึกถึงภาพบนดาดฟ้า และน้องชายที่กำลังลอยหน้าลอยตาทำหน้าทะเล้นก็เป็นพยานรู้เห็นโดยบังเอิญ

“จริงหรือเปล่าเขียน” วงเดือนเห็นอาการแปลกๆ ของเขียนจันทร์ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อเจ้อธรรมดา

“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เขียนจะไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว ใครจะหวังอะไร จะต้องการอะไร เขียนไม่รับรู้ทั้งนั้น” หญิงสาวรู้ว่าเธอกำลังพูดอย่างคนหนีปัญหา เหมือนเด็กที่ไม่กล้าเผชิญความจริง แล้วอย่างไร หากว่าเธอยิ่งอยู่แล้วมีแต่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันพังลง เห็นสีหน้าตกใจของวงเดือนที่ได้รับฟัง เขียนจันทร์ก็ได้แต่นึกขอโทษในใจ เธอคงไปสร้างความหวังให้หม่อมยายในเรื่องที่จะกลับมาอยู่ไทยถาวร

“ไม่เป็นไรหรอกเขียน ยายให้เขียนเลือกการตัดสินใจของตัวเองเสมอ แต่ถ้าเขียนยังเลือกอยู่ต่อ ยายก็เผื่อทางเลือกไว้แล้วเหมือนกัน ยายคิดว่ามันเหมาะกับเขียน”

“อะไรครับหม่อมยาย พูดมายั่วพี่เขียนเลย จะได้ไม่ต้องไป ยังไงก็คงไม่ได้ไปหรอก เชื่อผมสิ” ประกายพรึกหลบฝ่ามือของเขียนจันทร์ที่เตรียมพุ่งเป้าไปตีที่แขนได้ทัน “หาอะไรให้ทำจะได้เลิกฟุ้งซ่าน พี่เขียนคิดเหรอว่าถ้าพี่ขุนรู้จะยอมให้ไป”

“เขาไม่ได้เป็นอะไรกับพี่”

“หยุดทะเลาะกันก่อนสองพี่น้อง” วงเดือนรีบปราม เมื่อเขียนจันทร์ใกล้ออกงิ้ว “ยายจะให้เขียนบริหารงานของจักรตรากูล ถ้าเขียนไม่ไปทำงานที่นั่น แม่ดาวจะได้พักจริงๆ”

ชื่อของแม่ทำให้ดวงตาคนฟังหม่นแสง เขียนจันทร์สะอึกในใจ แก้มสองข้างที่น่าจะยังมีรอยมือจางๆ ยังคงชาหนึบ เขียนจันทร์ส่ายหน้า น้ำตาคลอ “เขียนขอตัวขึ้นห้องก่อนดีกว่าค่ะ อย่าคุยเรื่องหนักกันเลยนะคะหม่อมยาย”

ร่างระหงเดินกลับขึ้นห้อง มีสายตาเป็นห่วงสองคู่มองตามหลัง รอกระทั่งแน่ใจว่าเขียนจันทร์เข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงวงเดือนจึงหันกลับมาคาดคั้นกับหลานชายอีกคน

“นายขุนจะห้ามไม่ให้เขียนไปต่างประเทศได้แน่ใช่ไหม” วงเดือนถามเสียงเข้ม เวลานี้ขนาดธุรกิจของครอบครัวก็รั้งเขียนจันทร์ไว้ไม่ได้อีกต่อไป

“โทรไปบอกว่าพี่เขียนคิดจะทำอะไร กริ๊งเดียว เรียบร้อยครับ” ประกายพรึกยืนยัน แม้จะไม่รู้ว่ารักษ์ชาติจะใช้วิธีไหน ‘รั้ง’ พี่สาวของตนไว้ให้อยู่ต่อ แต่เขาเชื่อว่าหากรักษ์ชาติคิดจะไม่ให้ไป เขียนจันทร์ก็จะไปไม่ได้เด็ดขาด

“เอาเบอร์มา ถ้าเขาทำได้ ยายอาจจะพิจารณานายขุนใหม่ จริงๆ ยายก็ไม่ชอบอะไรที่เป็นนักเลงหัวไม้หรอกนะ” วงเดือนแก้ตัวอย่างไว้ท่า มองประกายตารู้ทันของหลานชายแล้วได้แต่แสร้งทำดุ ยกเหตุผลหลักมาอ้างปิดประเด็น “ยายทำไป เพราะไม่อยากให้เขียนไปอยู่ไกลๆ ต่างหาก”


วันนี้อุปสรรคของเธอช่างมากมาย...เขียนจันทร์รู้สึกว่าการเดินทางออกจากวังจักรตรากูลในวันนี้เต็มไปด้วยอุปสรรค รถทุกคันไม่ว่าง และหม่อมยายของเธอก็เฝ้าเธอไว้ เพื่อให้รอจนกว่ารถจะมารับ และบอกว่าห่วงในความปลอดภัยของเธอ จวบจนกระทั่งบ่าย รถสักคันที่น่าจะแล่นมารับพาเธอออกไปทำธุระก็ยังไม่กลับมา เธอจะต้องไปดำเนินการขอวีซ่า แต่ไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน

เขียนจันทร์มองความเงียบเหงาในบ้านที่ไม่มีเด็กชายกองพันมานั่งเล่น นั่งเรียนให้เห็น แจงที่ปกติจะอยู่กับกองพันก็ยังต้องนั่งทำโน่นนี่ไม่ให้เหงามือ มานั่งคุยเป็นเพื่อนเธอ

“น้องเขียนคะ” เขียนจันทร์นั่งเหม่ออยู่ริมสระน้ำพุในวังหันกลับไปมอด้วยความฉงน พบว่าบดินทร์ภัทรเดินเข้ามาใกล้ “พี่เห็นน้องเขียนเงียบๆ ไปเลยมาหา”

เห็นหน้าบดินทร์ภัทร เขียนจันทร์พลันนึกถึงข้อเสนอที่โชติรสต่อรองกับเธอ เขาก็เป็นหนึ่งในข้อเสนอนั้น และมันดูไม่สมเหตุสมผลเลยกับการที่ให้เธอคบกับเขา

“ฉันมีปัญหานิดหน่อยค่ะ”

“น้องเขียนลาออกจากโรงพยาบาลสัตว์ทำไมคะ” บดินทร์ภัทรอดถามไม่ได้ เขียนจันทร์มีปัญหามากมายในช่วงนี้ แต่เขากลับไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออะไรเลย เขาไม่รู้อะไรสักอย่างถึงปัญหาที่แท้จริง

หญิงสาวมองท่าทางเป็นห่วงทางดวงตาของบดินทร์ภัทรแล้วได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือ ถึงวันนี้เธอรู้ว่าความรู้สึกอันน่าภิรมย์ดังสาวพบหนุ่มถูกใจเมื่อเธอได้มีโอกาสพบกับบดินทร์ภัทรอีกครั้งหลังกลับมาจากต่างประเทศเป็นความรู้สึกคล้ายพบบุคคลที่น่าชื่นชม น่าอยู่ใกล้ และวางใจได้ แต่เธอกลับไม่อาจคิดไกลขนาดถึงกับวางชีวิต บดินทร์ภัทรไม่ใช่คนแรกที่เธอนึกถึงยามมีปัญหา และเธอไม่ต้องการให้เขาร่วมกับปัญหาของเธอ เธอไม่ต้องการให้เขาเดือดร้อน และอยู่ในสถานะที่เธอจะไม่ทำให้เขาลำบากด้วยปัญหาของเธอ

“คุณชายสนิทกับคุณโชติรสขนาดไหนคะ” เขียนจันทร์ถามถึงสิ่งที่ต้องการรู้มากกว่า เธอจะได้ ‘เลือก’ ตอบคำถามในครั้งนี้ได้ถูก

ท่าทางอึดอัด และสีหน้าที่มีร่องรอยคล้ายกลัวบางอย่างสะกิดใจเขียนจันทร์ที่มองอยู่ เธอพบว่าปัญหาที่เธอถามนั้นคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเล็กน้อย อย่างเป็นเพื่อนต่างวัย หรือคนรู้จักแน่ๆ

“ถ้าพี่บอก น้องเขียนสัญญาได้ไหมคะ ว่าจะบอกพี่ว่าช่วงนี้น้องเขียนมีปัญหาอะไร” สีหน้าลังเล แต่ก็พร้อมตัดสินใจนั้นทำให้เขียนจันทร์ชักเริ่มลังเลว่ายังอยากรู้ไหม หากมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เธออาจไม่ควรรู้
...สงสัยความอยากรู้ของเธอจะมากกว่าความรู้สึกลังเลอย่างมหาศาล ศีรษะของเธอจึงพยักหน้ารับขึ้นลง และเธอก็เพิ่งรู้ว่าบางที ‘เรื่องนี้’ เธอก็ไม่ควรจะรับรู้เท่าไหร่

“พี่เป็นลูกชายของคุณโชติรส...ลูกชายแท้ๆ ค่ะ”

...........................................................................
คุณ ร้อยวจี นั่นสิคะ คุณโชติรสจะทำอะไร มีปมใหม่มาอีก อิอิ เจ้าขุนเริ่มน่าสงสารแล้วเหรอคะ ฮิ้ววว ดีใจแทนเจ้าขุน ฮา

คุณ ใบบัวน่ารัก น่าจับเสี่ยหลงไปลงภาคใต้มากค่ะ พวกระเบิด ดักยิงจะหมดแล้ว จากนี้รอต้มมาม่ารอดีกว่าค่ะ (ขู่ๆ) ตอนหน้าจะเบาลงให้ฟินกันบ้างค่ะ อิอิ

คุณ Amarilys นายขุนยังน่ารักแบบแปลกๆ ได้เรื่อยๆ ค่ะ ฮา พี่น้องจะคอยช่วยกัน แต่ทำไมถึงชอบผลักไสเขียนให้ขุนก็ไม่รู้นะคะ ดูทุกคนจะรักขุนกันทั้งนั้น ทิ้งปมป้าโชไว้ให้อีกหน่อยด้วยค่ะ ป้าโชยังคงอยู่

คุณ อัศวินนภา คุณกลางมาเหมือนฟ้าแลบฟ้าร้อง หายแวบไป กลัวจะมาแย่งความน่ารัก (ที่ตาขุนช่างมีน้อยนิด) ไปหมดค่ะ ฮา

คุณ konhin คุณป้าโชกลายเป็นช่วยชีวิตเขียนโดยไม่รู้ตัวสินะคะ อิอิ ทีนี้มารอดูว่าเขียนจะหนีขุนพ้นไหมต่อ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ตอนหน้าจะพาฉากเบาๆ น่ารัก (เหรอ) มาลดความอึดอัดลงนะคะ ตอนนี้อีกตอน ให้กระชากเสื้อเจ้าขุนให้ขาดได้เต็มที่ (ถ้ากล้านะคะ) อิอิ

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2557, 06:39:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2557, 06:40:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1880





<< บทที่ 13 : เกลียดตัวเอง   บทที่ 15 : ไม่ให้เธอไป >>
จ๊ะจ๋า 4 มิ.ย. 2557, 07:53:55 น.
จะให้คบกับลูกชายตัวเอง ไม่เอานายขุนแล้วแน่ๆ


ร้อยวจี 4 มิ.ย. 2557, 07:54:04 น.
งานนี้แม่ทำเพื่อลูกหรือเปล่าหนอ เอานู่นเอานี่มาอ้าง น่าสงสารเจ้าขุนอีกแล้ว


ใบบัวน่ารัก 4 มิ.ย. 2557, 08:42:36 น.
เจ้าขุน บอกรักเขียนบ้างหรือเปล่า ปากแข็งจัง
มีแต่เรื่องสะเทือนใจ เศร้าใจ แปลกใจ
คุณชายเป็นเกย์อะเป่า สงสัยมาก
ลูกขุน อย่าร้องไห้นะคับ เดียวพ่อขุนไปรับ


นักอ่านเหนียวหนึบ 4 มิ.ย. 2557, 11:37:51 น.
เฮือก ตัวแปรเยอะจิง ปัญหานุงนัง
เจ้าขุนป่าเถื่อน เห้อ ยัยเขียนดันพริ้มไปกะเค้าซะนิ
ปากไม่ตรงกะใจที่สุด


Amarilys 4 มิ.ย. 2557, 18:39:25 น.
เพิ่งรู้ว่าเขาไล่หมาบ้ากันวิธีนี้
ว่าแต่ป้าโช..มีลูกแอบไว้แถวไหนอีกปะเนี่ย ว่าแต่ลูกกะแม่ช่างต่างกันจริงจริ้ง


อัศวินนภา 4 มิ.ย. 2557, 21:35:42 น.
เฮ้อออออ พ่อขุนรั้งหนูเขียนให้ได้นะ ครั้งนี้เริ่มเทใจให้นายนิดหน่อย เป็นมนุษย์ที่ชัดเจนมาก (การกระทำ)แต่คำพูดสวนทางตลอด


ผักหวาน 17 มิ.ย. 2557, 23:46:26 น.
โอ..มิน่าคุณโชติรสถึงอยากให้หนูเขียนคบกับคุณชาย แล้วสลัดพี่ขุนทิ้ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account