UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 15 : ไม่ให้เธอไป

บทที่ 15

“พ่อแม่พี่...ท่านพ่อท่านแม่น่ะค่ะ” บดินทร์ภัทรเล่าเรื่องราวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเขียนจันทร์ชักชวนออกมานอกวังจักรตรากูล และอ้างกับหม่อมยายว่าจะไปเยี่ยมพ่อของเธอ “ท่านเป็นเพื่อนกับแม่รส พวกท่านไม่มีลูก แล้วตอนนั้นแม่รสก็ไม่อยากให้พี่ต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะสายอาชีพของท่าน น้องเขียนรู้ใช่ไหมคะว่าแม่รสของพี่ทำอะไร” การเงียบ และไม่ถามเป็นการตอบว่าเขียนจันทร์ก็รู้ไม่ต่างกัน “นั่นล่ะค่ะ พอพี่เกิดมา แม่รสก็ยกพี่ให้เป็นลูกของท่านพ่อท่านแม่ ให้พี่ไปเกิดที่ต่างประเทศ ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ปิดบังความจริงเรื่องนี้กับพี่ เรื่องนี้ก็มีแค่พี่ ท่านพ่อท่านแม่ แล้วก็แม่รสที่รู้เรื่องนี้”

บุคคลที่ห้าที่ล่วงรู้ความลับสำคัญนั่งหน้าเจื่อนบนที่นั่งข้างคนขับ เธอรู้สึกว่าทั้งเนื้อตัวของบดินทร์ภัทรไม่ได้มีกระแสน่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้อย่างที่รักษ์ชาติมี ทั้งที่แม่แท้ๆ ของเขาเป็นถึงระดับตัวแม่ อาชีพพวกนี้จะเรียกว่า ‘มาเฟีย’ ‘เจ้าพ่อ’ ‘เจ้าแม่’ ก็ไม่ผิด เธอรู้สึกโชคดีที่บดินทร์ภัทรรอดพ้นคนวงการนี้มาได้

“ขอโทษที่ฉันอยากรู้นะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ลุ้นแทบแย่ว่าจะพบเจอสายตาแบบไหนจากน้องเขียน เกลียด ขยะแขยง หรือสมเพช” บดินทร์ภัทรหันมามองยิ้มจางๆ ไม่ให้คนฟังรู้สึกผิดเพิ่มขึ้น “น้องเขียนเป็นคนที่พี่คุยแล้วสบายใจ พี่เลยไม่กลัวที่จะบอก”

“แต่คุณชายคะ ฉัน...” น้ำเสียงลำบากใจ และมือที่บีบประสานกันหน้าขากุมกันไว้แน่นอย่างกังวล

“ให้พี่อยู่ในสถานะที่น้องเขียนสบายใจที่สุดดีกว่านะคะ พี่ไม่กังวลอะไรหรอก เป็นพี่ เป็นเพื่อน จะสถานะไหนก็ได้ พี่ไม่มีวันทำให้น้องเขียนลำบากใจ”

ความดี และคำพูดที่ไม่ได้บีบบังคับ และยังปล่อยอิสระเธอโดยไร้บ่วงพันธนาการนั้น สร้างความสบายใจโอบล้อมความรู้สึกไว้ เขียนจันทร์รู้สึกตื้นตัน และคิดว่าได้พูดกับผู้ชายที่เข้าใจเธอมากคนหนึ่ง คนๆ นี้เธอจะไม่รักษาไว้สักสถานะได้อย่างไร คนที่เธอจะคุยได้อย่างสบายใจ ในเวลาที่เธอมีปัญหา

“ขอบคุณนะคะคุณชาย”

“นึกถึงพี่เมื่อไหร่ก็ได้ จะคนสุดท้ายยังไง พี่ก็ไม่ว่า พี่พร้อมมารับฟังปัญหาของน้องเขียนเสมอนะคะ” บดินทร์ภัทรยิ้มอ่อนโยน ไม่มีการร้องขอ และพร้อมจะเป็นผู้ให้แก่เธอ เขียนจันทร์พยักหน้ารับด้วยพูดไม่ออก บดินทร์ภัทรอ่อนโยน และดีกับเธอ แตกต่างกับใครอีกคน อย่างคนละสวรรค์กับนรกชั้นสุดท้าย เธอไม่เคยได้รับการปลอบโยน ไม่เคยได้รับคำพูดดีๆ คำพูดที่จะทำให้เธอสบายใจ

รักษ์ชาติมีแต่กระโชกโฮกฮาก เอาแต่ใจ ไม่เคยมีเมตตา รัศมีเจิดจรัสจนแสงจะทิ่มตาเธออย่างที่บดินทร์ภัทรมีเลย แต่คนแบบนั้นกลับมาฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเธอ ชอบมาหลอกหลอนทางความคิด ให้เธอกลัว เธอห่วงอย่างนี้เสมอ รักษ์ชาติเก่งแต่บีบบังคับจะเอาทุกอย่างให้ได้เสมอ

“ทีนี้ถึงตาน้องเขียนแล้วค่ะ” เขียนจันทร์ถูกดึงกลับเข้าสู่บทสนทนาที่เธอตั้งใจเงียบแล้วแท้ๆ แต่ในเมื่อตอนนี้เธอเริ่มมองบดินทร์ภัทรเป็นพี่ชายคนหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เธอเริ่มสบายใจเวลาต้องเล่าการกระทำของแม่เขาที่กล้ามายื่นข้อเสนอกับเธอ...แม่ของเขาร้ายกาจไม่ต่างจากรักษ์ชาติสักนิด

...จะหาว่าเธอขี้ฟ้องก็ยอม โชติรสทำให้เธอไร้ทางตอบโต้


ซุปไก่ที่ต้มร้อนๆ ซึ่งยายของเธอลงมือต้มเองนั้นมาตั้งอยู่บนอาหารมื้อเย็นของพ่อเธอ เขียนจันทร์ตักข้าวป้อนศิลปินที่แขนข้างหนึ่งถูกยิง และอีกข้างถูกเจาะสายน้ำเกลือจึงไม่ค่อยสะดวก ร่างกายของพ่อเธอในตอนนี้ฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว หลังจากกระสุนนัดหนึ่งทะลุสีข้างไป

เหตุการณ์ในตอนนั้นพ่อของเธอเดินตามแม่ห่างๆ เพราะห่วงในความปลอดภัยของแม่ เวลาหลังเลิกงานที่แม่ของเธอชอบอยู่ทำงานจนดึกดื่น ทั้งคู่กำลังเข้าไปในรถเพื่อกลับบ้าน แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาจ่อยิง แต่พ่อไวกว่าจึงพุ่งตัวไปรับแทน ตอนนั้นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมวิ่งกรูออกมา พวกมันจึงต้องรีบหนีไป

“พ่ออิ่มแล้วล่ะเขียน” ศิลปินยิ้มเนือยให้ลูกสาวที่รีบเก็บถาดอาหารออกไป จับท่าทางพ่อให้นอนลงโดยไม่ต้องเจ็บแผล อาการบาดเจ็บของพ่อยังทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่ใจเสมอ “ทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว พ่อไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวก็หาย”

“เขียนว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศค่ะพ่อ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ เขียนรู้ตัวว่าถ้ามีเรื่องทำนองนี้อีกครั้ง เขียนอาจบ้ามากจนเดินถือปืนไปยิงเสี่ยหลง ไม่ก็ยิงตัวเองตาย เขียนไม่โทษตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ เขียนเป็นคนเปิดศึกครอบครัวกับเสี่ยหลง เขียนเป็นคนชักศึกเข้าบ้าน”

“คนมันจะเลว ยังไงเราก็ต้องเผชิญปัญหาสักวัน ไม่วันนี้ก็วันหน้า สิ่งที่เขียนทำคือการปกป้องครอบครัว พ่อไม่อยากให้เขียนโทษตัวเอง เราคือครอบครัว จะสุขจะทุกข์เราก็ต้องรับไปด้วยกันนะลูก”

เขียนจันทร์วางศีรษะไปใต้มือของบิดาที่วางบนที่นอน พลางหลับตา เธอคิดถึงช่วงเวลาที่ยังอยู่ที่บ้านของพ่อในกรมสัตว์ ที่นั่นเธอมีอิสระ ไม่ต้องแบกรับภาระใดๆ ชีวิตของเธอไม่ต้องคิดมาก เธอมีความสุขกับการขี่ม้า วิ่งไล่จับ หรือการช่วยพ่อเลี้ยงสัตว์ในกรม ไม่ต้องมีศัตรู หรือต่อให้เขม่นกันนิดๆ หน่อยๆ เรื่องก็จะจบลงโดยง่าย เธอไม่เคยตามสืบว่าใครวางยาพระจันทร์ อารมณ์ตอนนั้นเธอเสียใจ และตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ เธอเป็นคนทิ้งชีวิตในวันนั้นไปเอง และจับพลัดจับผลูสู่วังจักรตรากูลเต็มตัว

“เขียนเป็นเด็กจังนะคะพ่อ เจอเรื่องอะไรเข้าหน่อยก็หนี” แก้มนิ่มแนบไปกับฝ่ามืออุ่นของพ่อ “ตอนพระจันทร์ก็คราวหนึ่ง ตอนนี้เขียนกำลังทำนิสัยเดิมๆ”

น้ำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเด็กทำผิดแต่ยังกลัวการเผชิญความจริงไม่แตกต่างจากวันวานทำให้ศิลปินยิ้มบนหน้า “แล้วเขียนจะหนีอีก หรือจะสู้อีกครั้ง ถ้าเขียนผ่านปัญหานี้ไปได้ อนาคตให้หนักหนายังไง เขียนจะไม่มีวันหนีอีก แต่ถ้าเขียนยังไม่พร้อม พ่อก็ไม่ว่าอะไรนะ พ่อก็ห่วงความปลอดภัยของเขียนเหมือนกัน”

“เขียนไปไม่ใช่เพราะห่วงตัวเอง เขียนห่วงครอบครัวค่ะ เขียนรู้ว่าถ้าอยู่ต่อ เขียนจะอยู่เฉยไม่ได้ เขียนไม่อยากให้ใครในครอบครัวต้องเจ็บอีก ให้พวกมันวางใจว่าเราไม่เล่นงานมันไปก่อน แล้วเขียนสบโอกาสอีกครั้งเมื่อไหร่ เขียนไม่ปล่อยให้มันกร่างได้อีกแน่ แต่เขียนใช้จักรตรากูลของเราไปเสี่ยงไม่ได้” คนตัวเล็กๆ ที่คิดไปวางมวยกับยักษ์ใหญ่พูดอย่างแค้นเคือง และเจ็บปวด

“พ่อว่าเขียนไปต่างประเทศก็ดีนะ พ่อสนับสนุนเลยงานนี้” ศิลปินพูดติดตลก เห็นไฟแค้นในดวงตาลูกสาวก็ชักหวั่นๆ ก็กลัวใจลูกสาวจะทำอะไรแผลงๆ ให้ใจหายใจคว่ำกันไปข้างหนึ่ง

“สวัสดีครับคุณน้า”

เสียงทักของบดินทร์ภัทรที่ทักกับ ‘คุณน้า’ ซึ่งคงไม่แคล้วเป็นแม่ของเธอ ทำให้เขียนจันทร์ตาเบิกโตด้วยความกังวล ก้มหัวมองลงไปใต้เตียงว่ามีที่พอจะให้เธอเข้าไปหลบหรือไม่ และอาการลุกลี้ลุกลนของลูกสาวก็ทำให้ศิลปินต้องออกปากทัก

“กลัวเจอใครเหรอเขียน คุณชาย หรือแม่”

“ไม่ได้กลัว แค่ยังไม่พร้อมเจอเฉยๆ ค่ะ เขียนไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ ออกไปซ่อนตรงระเบียงดีกว่า” เขียนจันทร์กำลังลุกขึ้นเพื่อพุ่งตรงไปยังทิศของระเบียง ประตูห้องก็เปิดออกเสียก่อน ลูกสาวหน้าซีดเผือด ก้มหน้า ยืนสำรวมในจุดที่ยืนอยู่ ไม่คิดก้าวเท้าเพื่อหนีอีก...โดนจับได้ขนาดนี้

ดาวเดือนมีสีหน้ากระดาก เมื่อวานนี้อารมณ์ของเธอก็พุ่งสูงจนฉุดไม่อยู่ สติที่มีหายไปไหนหมด กว่าเธอจะตามกลับมาได้ก็ตอนที่ได้พูดกับรักษ์ชาติของเมื่อวานเย็น เขียนจันทร์ไม่ยอมปริปากเล่าเรื่องรถวางระเบิดให้เธอรู้ แต่นาทีนั้นเธอก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เขียนจันทร์ได้ปริปากพูดเองด้วยเช่นกัน

“เมื่อวานเจ็บหรือเปล่า แม่ขอโทษนะลูก”

เขียนจันทร์เลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีเมื่อมารดาเดินมาแตะแก้มของเธอ สีหน้าจวนจะร้องไห้ “ให้อภัยแม่นะ ถ้าเมื่อวานนี้แม่ไม่ได้รู้ว่าลูกโดนอะไรมาจากปากคุณขุน แม่คงไม่ยอมเย็นลง ลูกจะไปต่างประเทศแม่ก็ไม่ห้าม แต่ถ้าเขียนจะมาบริหารบริษัท แม่ก็จะให้อำนาจเขียนเต็มที่ แม่เชื่อใจลูก แต่ลูกต้องให้คุณขุนเขาคอยช่วยเหลือ”

“ให้เขียนไปต่างประเทศดีกว่าค่ะ จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย” เขียนจันทร์มีความเชื่อลึกๆ ว่าถ้าเธอรับความช่วยเหลือจากรักษ์ชาติมากกว่านี้ จะเป็นโชติรสเองที่จากมิตรจะแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู โชติรสเป็นบุคคลที่เธอดูไม่ออกว่ากำลังต้องการอะไร เขาอยู่เหนือกว่ารักษ์ชาติ สิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้

เธอไม่เคยพบเจอการลงมือเล่นงานจากโชติรส และไม่คิดจะเจอ แค่เสี่ยหลงคนเดียว ครอบครัวเธอก็ปั่นป่วนมากพอแล้ว


หากเธอยังไปในประเทศที่เธอต้องการไม่ได้ เขียนจันทร์ก็จะเลือกไปในประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่าก่อนเธอถูกขัดขวางในการขอวีซ่า วันนี้เธอวิ่งวุ่นแล้วก็พบว่าพนักงานลืมเรียกชื่อเธอ ปฏิบัติต่อเธอแย่มาก ซ้ำร้ายคือเมื่อถึงคิวเธอ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าวันนี้ต้องปิดแล้ว เขียนจันทร์เดินออกมาจากสถานทูตด้วยความกรุ่นโกรธ ลางสังหรณ์เธอชี้ไปยังตัวคนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังครั้งนี้...รักษ์ชาติ

...จะจองเวรจองกรรมกันไปถึงไหน หลังจากมาป่วนประสาทเธอเสร็จตั้งแต่วันดาดฟ้า เขาก็หายเงียบไป ตั้งใจให้เธอไปหาหรือไง เธอคิดถึงกองพันมากกว่าคนพ่อเสียอีก ตอนนี้เธอจะได้คุยกับกองพันแค่วันละครั้ง และเธอเพิ่งไปแอบเจอกับกองพันตอนเมื่อวานเย็น ซึ่งมีบดินทร์ภัทรเป็นคนพาเธอไป จากรูปการของกองพัน เด็กชายไม่ค่อยชอบผู้เป็นยายเท่าไหร่

เขียนจันทร์อ้าปากหาวหวอด หน้าบอกบุญไม่รับ เธอลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งรอด้วยความเซ็งจัด โทรศัพท์ของเธอก็มีเสียงเรียกเข้า หน้าจอขึ้นชื่อวาดตะวัน เขียนจันทร์กดรับ แต่น้ำเสียงไม่ค่อยปกติ

“เป็นอะไร ถึงทำเสียงเบื่อขนาดนี้”

“พี่วาดรู้ใช่ไหมว่ากิ๊กพี่วาดทำอะไร” เขียนจันทร์บังคับน้ำเสียงให้มันลื่นหูไม่ได้ จึงได้ฟังแล้งน้ำ ห้วนๆ

“จะรู้เหรอ กิ๊กพี่มีเยอะ คนไหนล่ะ แต่ถ้าพี่เดาไม่ผิด กิ๊กที่เธอเข้าใจ จะเป็นพี่ชายร่วมโลกของพี่ใช่ไหม มีปัญหาอะไรกันเหรอ หรือเธอโกรธที่พี่ขุนขัดขวางการหนีของเธอ...อุ๊บส์”

การหลุดความจริงออกมาอย่างจงใจ และแสร้งว่าเผลอพูดมันสร้างความหมั่นไส้แก่คนที่โดนกระทำที่สุด เขียนจันทร์เม้มปาก สะกดอารมณ์ให้มีจุดเดือดต่ำสุด แต่ยิ่งทำ เธอก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น เธอไม่เหมาะกับการสร้างภาพว่าเย็นชาเลย

“บอกเขาว่าอย่าคิดว่าจะมาขวางเขียนได้ เขียนไม่ใช่เบ๊ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาจะมายุ่งทำไม”

“พูดแบบนี้ไม่ใจดำไปหน่อยเหรอ...เธอน่ะ ฉันได้จูบเธอไปกี่ครั้งแล้ว นับได้บ้างไหม”

เสียงห้าวที่ลอดมาจากโทรศัพท์ซึ่งคาดว่าเปิดสปีกโฟนให้ได้ยินนั้นทำเขียนจันทร์ทั้งอายทั้งโกรธหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นเทิ้ม ถ้ารักษ์ชาติอยู่ในระยะมือเอื้อมถึง เธอจะแล่เนื้อหนังเขาออกมาให้หมด แต่เธอจะไม่บ้าไปตามอารมณ์คนยั่วยุเด็ดขาด ได้แต่สงบจิตสงบใจ คุมเสียงไม่ให้สั่นตามอารมณ์

“ฉันไม่จำอะไรที่ไม่โดนใจหรอกนะคะ จืดชืด ห่วย” เขียนจันทร์แสยะยิ้มเมื่อตอบโต้เสร็จ และกดตัดสาย รู้สึกว่าวาจาของเธอช่างกล้า ในตอนนี้เธอต้องเลี่ยงเจอคนขี้โมโหให้มากที่สุด ไม่รู้หรอกว่าเขาจะอาฆาตต่อเธอมากแค่ไหน

ใครจะสน...เขามันสมควรโดน จืดชืด ห่วย


วันนี้มีแต่เรื่องรวมความโกรธ เขียนจันทร์กลับมาขับรถเองอีกครั้ง เธอสอบถามกับไมค์ และแน่ใจได้ว่าไมค์ถูกรังสีพิฆาตอย่างรักษ์ชาติขัดขวางมาแล้ว ย่าของเขาได้รับโทรศัพท์ปริศนามาจากที่หนึ่งบอกว่าหากเขาโทรไปหาหลานชาย และให้กลับมาหา โดยแสร้งว่ามีเรื่องสำคัญ หากทำสำเร็จจะได้รับพันเหรียญมาอย่างง่ายๆ ซึ่งย่าของไมค์ก็ได้รับเงินไร้ที่มานั้นจริงหลังจากขัดขวางการมาไทยของไมค์สำเร็จ

เขียนจันทร์ไม่มั่นใจเรื่องของตัวเองจึงโทรไปคาดคั้นเอากับประกายพรึกให้ตรวจสอบประวัติการออกนอกประเทศของเธอ และก็จริง ประกายพรึกถึงกับหัวเราะเยาะเธอด้วยซ้ำ

‘พี่โดนแบล็กลิสต์ ห้ามออกนอกประเทศ บอกแล้วพี่ขุนไม่มีทางปล่อยพี่แน่’

มือที่กำพวงมาลัยกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ในอก เขียนจันทร์ย้ำเตือนให้ตัวเองใจเย็น แต่เธอจะเย็นลงไม่ได้หากไม่ได้ไปฝากรอยหมัดไว้บนหน้าของรักษ์ชาติสักสิบหมัด ผู้ชายคนนั้น ‘กล้า’ ยุ่มย่ามกับชีวิตของเธอขนาดนี้เพื่ออะไร เขายังต้องการอะไรจากเธออีก

แต่ก่อนเธอเดินทางออกนอกประเทศเป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าต่างประเทศคือบ้าน และที่นี่เป็นบ้านชั่วคราว พอเธอเรียนจบกลับมา เขาก็ตัดสินใจปิดชีวิตเธอในต่างแดนเลยอย่างนั้นเหรอ นกที่มีปีก เขาควรรู้ว่าขังมันไว้ในกรงไม่ได้นาน

หญิงสาวจอดรถในลานจอดของคอนโดที่วาดตะวันพัก วาดตะวันโทรไปสั่งกับป้าสายให้ทำอาหารแล้ววานเธอให้นำมาให้ ทั้งที่ร้อยวันพันปี ลิ้นไฮโซอย่างวาดตะวัน ไม่ค่อยจะมาทานอาหารที่บ้านเลย เขียนจันทร์ตั้งใจว่าฝากไว้ที่รีเซ็ปชั่นแล้วอาจจะกลับ เธอพอจะเดาได้ว่าต้องมีเนื้องอกชิ้นโตอาศัยอยู่ภายในห้องของวาดตะวัน

แต่เธอคงจะหนีไม่ทัน ร่างสูงที่ยืนไขว้ขา อวดยิ้มมุมปากมีเสน่ห์ให้บรรดาสาวๆ พนักงานต้อนรับของคอนโดยืนดักทางเธอไว้เรียบร้อย เขียนจันทร์ระงับให้ตัวเองไม่เดินหันหลังหนี การที่เห็นเขายิ้มให้คนอื่นง่ายๆ ยกเว้นกับเธอ มันเป็นเข็มเล็กๆ มาจิ้มที่ใจเธอพิกล เธอต้องบังคับตัวเองให้ยิ้มหวานไปยังพนักงานที่ยืนทำหน้าที่อย่างเป็นมิตร ทั้งที่ต้องการทำหน้ายักษ์ใส่รักษ์ชาติขนาดไหนก็ตาม

“ฝากของหน่อยค่ะ คุณขุนจะขึ้นอยู่แล้วใช่ไหมคะ ฉันฝากขึ้นไปด้วยเลย อาหารปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะบอกให้ป้าสายใส่ยาพิษลงไปหรอกค่ะ ถึงฉันจะเกลียดคุณมากขนาดไหน”

เขียนจันทร์ส่งของไปให้พนักงานถือ ไม่อยากแตะต้องตัวรักษ์ชาติ เธอยังโกรธที่เขาใช้อำนาจมืดขวางทางเธอไว้ทุกอย่าง เธอจึงใช้แค่ปากฝากไว้กับเขา

“โกรธขนาดนี้ น้อยใจที่ฉันไม่ไปหาเลยเหรอ หรือว่าติดใจ ‘วันนั้น’” รักษ์ชาติพูดเสียงดังได้อย่างไม่อาย คำว่า ‘วันนั้น’ ตอกย้ำให้เขียนจันทร์หน้าแดงก่ำ มือกำแน่น ขาดเพียงแค่หากเธอจะกระทืบเท้ากับพื้น เธอจะกระทืบลงไปบนเท้าในรองเท้าหนังสีดำของรักษ์ชาติเท่านั้น “ติดใจที่ฉันปล่อยเธอเร็วเกินไป”

“หยุดพูดจาไม่ให้เกียรติฉันได้แล้ว ถึงฉันจะไม่ได้มีเกียรติอะไรในสายตาคุณ แต่ฉันก็ไม่ยอมทำตัวเสื่อมเสียแน่ ฉันจะขอพูดอีกครั้งเดียว เลิกยุ่งกับฉัน ปล่อยฉันไปตามทางซะ ฉันจะไม่อยู่ให้คุณรังควานอีก” เขียนจันทร์ไม่ต้องการให้หูสามหูสี่ที่ทำหน้าตะลึงฟังอยู่ตรงรีเซ็ปชั่นเข้าใจคำพูดสองแง่สามง่ามของรักษ์ชาติผิด

เมื่อเธอได้ระบายความในใจจนหมด เขียนจันทร์ก็หมุนตัว ตั้งใจจะผละไป รักษ์ชาติรีบกำข้อมือเธอไว้ หันไปสั่งเสียงห้วนไม่สบอารมณ์กับพนักงาน “คุณวาดกลับมาค่อยเรียกให้มาเอา” รักษ์ชาติกลับมาดึงแขนเขียนจันทร์ให้เดินตาม หน้าตาเครียดเขม็ง

“เอากุญแจรถมา”

ดวงตาขู่เข็ญ น้ำเสียงพาลของเขากระตุ้นให้เขียนจันทร์ต้องหยิบกุญแจรถส่งไปให้ รักษ์ชาติรับไปถือไว้ เด้งในมือสองที ก่อนจะทำในสิ่งที่เขียนจันทร์เห็นแล้วต้องร้องเสียงหลง ดวงตาเบิกขึ้นตกใจ เมื่อกุญแจรถของเธอลอยละลิ่วออกจากแขนยาวล่วงลงไปในสระบัวขนาดกลางที่ห่างออกไปหลายเมตร รักษ์ชาติหันกลับมาด้วยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ

“อย่าหวังว่าจะไปไหนได้อีก”

“เลวมาก” เขียนจันทร์น้ำตาคลอเบ้าด้วยความแค้น เค้นเสียงลอดไรฟันต่อว่า เธออยากสลัดออกไปให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ช่างยากเย็น หญิงสาวจึงยอมหยุดเอง แต่ไม่คิดหันไปมองใบหน้าของคนที่ขัดขวางการเดินทางของเธอ

“ฉันรู้ว่าถ้าเธอไปคราวนี้ อีกนานกว่าเธอจะกลับมาอีกครั้ง” รักษ์ชาติใช้น้ำเสียงธรรมดา ไม่ตะคอกใส่ การกระทำเมื่อครู่ของเขาสมควรแล้วที่เขียนจันทร์จะโกรธ “เธอไปอยู่ที่โน่น เธอจะปลอดภัยก็จริง แต่ฉันอยากเก็บเธอไว้ในสายตาฉัน ฉันมั่นใจว่าฉันจะดูแลเธอได้ดีที่สุด”

คารมหลงตัวเองของรักษ์ชาติน่าจะทำให้หญิงสาวรู้สึกหมั่นไส้ หรือไม่ก็ผะอืดผะอม แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เขียนจันทร์หันหน้ามองรักษ์ชาติด้วยความตื่นตะลึง เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมามันจะสื่อจะตรงกับใจเธอไหม แต่เขียนจันทร์กำลังรู้สึกใจสั่น มันสั่นและกำลังเต้นแรง

“ฉันไม่ใช่หมากระเป๋าของคุณนะ” เขียนจันทร์อยากจะกัดปากตัวเองที่ปากว่าตัวเองเป็น ‘หมากระเป๋า’ ทั้งที่ใจของเธอคิดถึงคำว่า ‘ผู้หญิงของเขา’ มากกว่า สิ่งนั้นเหมือนปลอกคอที่เธอถูกเขาบังคับให้สวมใส่ และเธอก็ไม่คิดถอดมันแม้หลายครั้งหลายคราที่คนบังคับทำตัวได้น่าโมโห แต่เธอก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบ หัวสมองไม่เคยจดจำว่ารักษ์ชาติเป็นบุคคลที่ไม่น่าเข้าใกล้แค่ไหน

“หมากระเป๋าน่ารัก ปากมอม เห่าเก่ง” ตลอดการพูด รักษ์ชาติวางมือแปะบนผมของเขียนจันทร์ ลูบไปมาคล้ายเธอเป็นสุนัขตัวน้อยตัวหนึ่งก็ไม่ปาน “แต่เธอไม่เหมาะหรอก เป็นผู้หญิงที่ฉันต้องวิ่งไล่เข้าคอกเหมือนเดิมก็ดีแล้ว”

ช่างซาบซึ้งน่าจดจำสไตล์รักษ์ชาติ...เขียนจันทร์กลอกตาด้วยความเซ็ง เธอคงเป็นอะไรที่แย่กว่าหมากระเป๋าไปเรียบร้อยแล้ว

“ก็เห็นชอบสัตว์ เธอทำหน้าแบบนี้ไม่ปลื้มเลยนะ จะเอาไง” รักษ์ชาติปล่อยแขนเขียนจันทร์ เปลี่ยนมาเท้ารถ อีกมือเท้าเอว ท่าทางมาดนักเลงคุมบ่อนเวลาคนเล่นติดหนี้ทำให้เขียนจันทร์บู้ปาก เธอไม่ใช่ลูกหนี้เขาสักหน่อย

“คุณถูกว่าเป็นวัวเป็นน้องควายที่ต้องเข้าคอกชอบไหมล่ะ”

มะเหงกเขกลงบนศีรษะเบาๆ หน้าที่เครียดยิ้มขำ ชะโงกหน้ามาพูดใกล้ๆ ให้ใจคนมองเต้นตึกตัก กลั้นลมหายใจ “ฉันนึกถึงม้า แต่เธอนึกถึงสัตว์เคี้ยวเอื้องประเภทที่ว่ามาก็ไม่ว่ากัน ฉันขอเป็นนกเอี้ยงก็ได้ ไม่ต้องบิน เกาะหลังเธอไปเรื่อยๆ”

“ไม่อนุญาตให้เกาะค่ะ...หนัก” เขียนจันทร์มองกราดหุ่นนกเอี้ยงยักษ์แล้วเหยียดปาก

“แต่ฉันยินดีให้เธอเกาะตลอดชีวิต สนไหม”

เขียนจันทร์จ้องดวงตาที่เรียบสงบดังคลื่นลมไร้พายุ เธอไม่แน่ใจว่ารักษ์ชาติมาไม้ไหน จะทำให้เธอตายใจ แล้วตายเรียบหาดหลังหลอกให้หลงก่อนพัดมาด้วยคลื่นใหญ่...หรือเขาแค่แกล้งให้เธอคิดมากไปเอง เขาจะพูดอะไรที่มันชัดเจน ไม่ต้องตีความหลายตลบไม่ได้หรือไง บางทีเขาก็พูดอะไรที่มันจั๊กจี้ออกมาง่ายๆ และเธอต้องมาคิดมากว่ามีอะไรแอบแฝงในนั้นไหม...สรุปเธอไม่เคยกล้าตีความลึกในทุกประโยคของรักษ์ชาติ

“ถ้าฉันขี่ม้าชนะเธอ เธอจะไม่ไปจากไทยได้ไหม” รักษ์ชาติใช้สุ้มเสียงเรียบเรื่อยมากดดันอีกครั้ง “มันน่าจะยุติธรรมที่สุด ฉันให้เธอได้ใช้สิ่งที่เธอชำนาญ ถ้าเธอชนะฉัน ฉันจะอำนวยความสะดวกเธอ ให้เธอได้ไปภายในพรุ่งนี้ ไม่รั้งไว้อีก”

ข้อเสนอนั้นสร้างความใจหายแก่เขียนจันทร์ ทั้งที่เธอมั่นใจว่าการจากไปของเธอมันดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย แต่เมื่อเห็นว่าใครๆ ต่างก็อยากให้เธออยู่ หรือจะความพยายามที่ใช้วิธีการใต้ดินสารพัดของรักษ์ชาติในการรั้งเธอไว้...มันทำให้เขียนจันทร์เริ่มลังเล

“เพราะอะไรคุณถึงไม่อยากให้ฉันไป” เขียนจันทร์เดินตามร่างสูงเข้าไปในรถ ก่อนเข้าไปในรถคันกะทัดรัดของเขา รักษ์ชาติหันไปสั่งการกับลูกน้องโดยใช้มือชี้ไปยังสระบัว เป็นการสั่งง่ายๆ ได้ใจความ เมื่อนาทีต่อมาเสียงโดดตูมลงน้ำดังขึ้น เธอเห็นศดาธรดำผุดดำว่ายอยู่ในนั้น งมหากุญแจรถของเธอ

เขามันช่าง... เขียนจันทร์ยังไม่ทันนึกต่อว่ารักษ์ชาติในใจ เสียงห้วนก็ดังขึ้นชิดริมหูของเธอ ก่อนที่เขาจะถอยรถออกจากคอนโด

“ถ้าเธอตัดสินใจไม่ไป...ฉันถึงจะบอก”

“คงไม่แคล้วเหตุผลอย่างอยากให้ฉันเป็นหมากระเป๋า” หญิงสาวค่อนแคะ หันมองออกนอกรถ หูสองข้างยังคงได้ยินน้ำเสียงทุ้มดังมาอย่างจริงจัง และมันน่าตกใจแก่คนฟังที่คำของเขากำลังสั่นคลอนความตั้งใจของเธออย่างรุนแรง

“มันอาจจะเป็นคำพูดที่เธอไม่เคยได้ยินจากฉันเลยก็ได้”


เสื้อคอปกแขนยาวสีแดง กางเกงขายาวสีขาว รองเท้าหุ้มส้นสีดำ เป็นยูนิฟอร์มครบสูตรที่เขียนจันทร์ไม่นึกฝันว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับมาใส่อีกครั้ง เขียนจันทร์มองสำรวจโรงม้าใหญ่ที่เอาไว้เพื่อสอนขี่ม้า สมัยเธอเป็นนักกีฬาเธอก็เริ่มมาเรียนที่นี่

“สิบปีผ่านไปก็ยังใส่ได้เลยนะ” ธิติพลอาจารย์สอนขี่ม้าวัยสี่สิบที่เธอร่ำเรียนมาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนเอ่ยทักลูกศิษย์ที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนที่นี่ยาวนานถึงสิบปี

อดีตนักขี่ม้าสาวส่งเสียงแปลกใจ มองชุดที่เธอสวมใส่บนตัวด้วยความไม่เข้าใจนัก แม้สีแดงจะไม่ได้เข้ม และกางเกงไม่ได้เก่าจนเหลือง แต่เธอก็เพิ่งสังเกตว่ามันไม่ใช่ของใหม่ เขียนจันทร์รับชุดที่ใส่ถุงมาเรียบร้อย ไม่ทันคิดว่า...ชุดนี้เป็นของเธอ

“อาจารย์ยังเก็บไว้อยู่เหรอคะ”

“เปล่า คุณขุนเขาเก็บไว้ เขาคงส่งให้คนดูแล เก็บซักไว้ให้อย่างดี ทุกปีก็จะกลับมาที่นี่ ปีละครั้ง สองครั้ง มาเดินดูรูปเรารับรางวัลบนฝาผนังห้องเกียรติยศของที่นี่ สักพักก็กลับ”

เขียนจันทร์ไม่อยากจะเชื่อในประโยคพวกนั้น เธอเดินตามอาจารย์ธิติพลมายังโรงม้า เพื่อเลือกม้าลงแข่งสนามเล็กกับรักษ์ชาติ ที่นั่นเธอพบว่าเขามองมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว สายตาของเขาคล้ายว่าจะยิ้มได้ แต่ปากเม้มเป็นขีดตรง แค่นั้นก็ทำให้หญิงสาวต้องเสมองไปทางอื่น กระทั่งเดินมาหยุดตรงหน้ารักษ์ชาติ ที่กำลังลูบแผงคอม้าตัวสูง ขนสีดำเงางามตัวหนึ่ง

“คุณเก็บชุดฉันไว้ทำไม” เขียนจันทร์เลือกม้าสีขาวกล้ามเนื้อแน่นเพศเมียตัวหนึ่งมาจากคอกตรงข้ามกับที่รักษ์ชาติลูบขนอยู่

“เผื่อจะมีใครคิดถึงการขี่ม้าในอนาคต ใครจะคิดว่ายังใส่ได้ เธอไม่คิดจะเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นมาบ้างหรือไง” รักษ์ชาติเย้าอารมณ์ดี เขาแอบเอาชุดไปตัดเย็บใหม่ ให้รับกับหุ่นที่สูง และมีทรวดทรงเพิ่มขึ้นของเขียนจันทร์ เขาทำหลังจากที่คิดว่าเขียนจันทร์จะอยู่ที่ไทยตลอดไป

“ไม่ใช่ว่าคุณคิดถึงฉันหรอกนะ คิดถึงขนาดเห็นแค่รูปก็ยังดี” เขียนจันทร์รีบตอบโต้ จากตอนนั้นมาถึงปัจจุบันส่วนสูงเธอเพิ่มมาอีกตั้งหกเซนติเมตร ส่วนอื่นก็ไม่ได้แบนเป็นจานใส่ไข่ดาว คงจะเป็นชุดเองต่างหากที่รับกับรูปร่างเธอได้อย่างดี โดนใครมาหมิ่นเรื่องหุ่น เป็นเรื่องที่เธอรับไม่ได้

“ก็คงอย่างนั้น”

ร่างระหงยืนนิ่งเป็นหินอยู่กับที่เมื่อคนสาปเธอด้วยคำพูดเหยียบโกลน ขึ้นไปนั่งบนอานม้าเรียบร้อย ควบออกมาจากคอก ดึงบังเหียน และหยุดพูดในระยะใกล้กับเขียนจันทร์ น้ำเสียงจริงจัง และแววตาแน่วแน่ไม่ต่างจากลูกธนูที่พุ่งทะลุหัวใจของเธอ

“ฉันคิดถึงเธอ”

มืออุ่นมาแปะบนไหล่เขียนจันทร์แผ่วเบาปลุกสติที่เตลิดให้กลับมา ธิติพลลดมือลงเมื่อลูกศิษย์คนเก่งก้มหน้าเดินไปหาม้าที่ได้เลือกไว้ ไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น ในหัวเธอตอนนี้เหมือนมีระเบิดมาจุดโป้งป้างอยู่ในหัว

คนบ้า...ร้อยวันพันปีไม่เคยบอก กลับมาบอกในวันที่เธอตั้งใจว่าจะไปเนี่ยนะ

คิดว่าจะเปลี่ยนความตั้งใจเธอได้ทันหรือไง แค่คำว่าคิดถึง...มันไม่พอ

.............................................................

คุณ จ๊ะจ๋า รอติดตามต่อไปค่า คุณโชต้องการอะไรเดี๋ยวได้รู้กัน

คุณ ร้อยวจี เรื่องแม่จบประเด็นในตอนนี้ แค่ทะเลาะกันไม่มีนอกในค่ะ ส่วนขุนบทนี้นี่คิดว่าหวานกว่าทุกตอนแล้วนะคะ (เหรอออ) ขุนเป็นคนน่าสงสาร แต่ไม่ค่อยทำตัวน่าสงสาร

คุณ ใบบัวน่ารัก เจอบทนี้เข้าไปอาจแปลกใจกับเจ้าขุนขึ้นมาก็ได้ค่ะ อยากให้ฟินเล็กๆ กันบ้าง หลังหนักมาหลายตอน

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ปัญหาหนักจะค่อยๆ คลี่คลายค่ะ กดดันกันมาหลายตอน ฉากเบาๆ จะเริ่มมาทักทายบ้างแล้ว

คุณ Amarilys เป็นวิธีไล่หมาบ้าที่เจ้าขุนครีเอทเองค่ะ ฮา คุณชายกับป้าโชเป็นแม่ลูกที่ต่างกันมากค่ะ

คุณ อัศวินนภา เจ้าขุนรั้งสุดกำลังเลยค่ะ ไม่รู้จะทำให้เขียนอยากหนีมากขึ้นหรือเปล่า ครั้งนี้ปากเจ้าขุนลดความหนักลงมานิดนึงแล้ว

รีบมาอัพไว้ก่อนค่ะ อิอิ ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านนะคะ ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2557, 00:17:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2557, 00:17:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1998





<< บทที่ 14 : อยากจะหนี   บทที่ 16 : สุดท้ายก็จากไปไม่ได้... >>
ร้อยวจี 5 มิ.ย. 2557, 01:11:50 น.
วันนี้มาเร็วนะคะ ต้องมีธุระตอนเช้าแต่เลย สนุกค่ะหวานอมขม เห็นเจ้าขุนเริ่มมีมุขหวานมากขึ้นก็อ่านไปยิ้มไป แล้วก็อยากกลับไปอ่านใหม่อีกรอบ ชอบมากๆค่ะ ส่วนของคุณโชติรสแค่ทะเลาะไม่มีนอกในก็เบาใจ รออ่านตอนต่อไปค่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 5 มิ.ย. 2557, 05:43:22 น.
หงะ เจ้าขุนดูยังไงก็ผู้ร้ายปะคะ ไม่ใช่ชายในฝันของใครได้แน่ๆ
เห้ออ นี่ความเลวร้ายของคน มันลามเข้ามาถึงในนิยายแล้วเหรอเนี่ย หมดกัน อด daydreaming ตอนเช้าตรู่เลย


ใบบัวน่ารัก 5 มิ.ย. 2557, 07:22:48 น.
ทุกอย่างทำให้มันชัดเจนให้เขียนมั่นใจและห้ามแกล้งเขียน
เขียนไม่ใช่กระสอบทราย ไม่ใช่ละครเรื่องจำเลยรักนะ
ปล. คิดถึงลูกขุนมากๆๆๆๆๆๆ อะ


ameerah 5 มิ.ย. 2557, 07:58:59 น.
อ๊ายยย กรี๊ดกะเจ้าขุนตอนนี้จัง แอบทำตัวน่ารักกะเค้าก้อเป็นด้วย


Amarilys 5 มิ.ย. 2557, 11:02:55 น.
เป็นวจีจีบสาวที่ชวนฮาปนโมโห (สำหรับคนถูกจีบ)... น้องควายกับพี่เอี้ยง.. คิดได้นะเจ้าขุน น่าโดนข่วนหน้าจิงๆ 555
จบท้ายด้วยอมยิ้มนะค้า.. "ฉันคิดถึงเธอ" กว่าจะหลุดคำดีๆ ออกมาบ้าง เหงื่อหยดไปหลายปี๊บ


อัศวินนภา 5 มิ.ย. 2557, 11:49:44 น.
ปากร้ายจริงๆผู้ชายอะไรเนี่ย แต่แบบนี้อ่ะรักหมดใจ ถวายชีพได้เลยนะ


yimyum 5 มิ.ย. 2557, 12:04:01 น.
จะรั้งไว้ด้วยคำว่าไรดีละว้าา


ผักหวาน 17 มิ.ย. 2557, 23:56:19 น.
พูดออกมาได้ ฉันคิดถึงเธอ...คิดอยากจะแกล้งฉันหรือเปล่า นี่คือส่วนลึกของหนูเขียนแน่ๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account