UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 17 : ความจริงในใจของคนโกหก

บทที่ 17

“คุณเขียนมาแล้วครับ” คนนั่งนึกทวนแผนการรีบขยับตัว เปิดทางให้ศดาธรกับเกียรติยศเร่งเข้ามาพันผ้าไว้ตามตัวเขาโดยเร็ว รักษ์ชาติสวมแว่นดำไว้ โชคดีที่เขียนจันทร์เป็นผู้หญิงมีมารยาท เธอเคาะประตูห้อง และยืนรออยู่หน้าห้อง จนกว่าจะได้รับการอนุญาตเป็นแบบนี้เสมอมา

“เอาไงดีครับ”

“กระโดดออกไปทางหน้าต่าง อย่าให้เขียนรู้ว่าพวกนายอยู่ในห้อง” รักษ์ชาติสั่งเสียงเบา พยักพเยิดหน้าไปทางหน้าต่างบานกระจกเลื่อน ดีที่ห้องทำงานนี้อยู่บริเวณชั้นหนึ่งของบ้าน จึงไม่ต้องเสี่ยงต่อการแข้งขาหัก

ลูกน้องคนสนิททั้งสองก้มหน้ารีบทำตามคำสั่ง วิ่งไปเปิดหน้าต่างก่อนปีนออกไปด้วยความเงียบเชียบที่สุด ไม่ถามถึงเหตุผลที่ทั้งสองคิดว่าคงไม่แคล้วที่คนในห้องอยากอยู่ ‘อ้อน’ เขียนจันทร์สองต่อสอง แต่ขืนพวกตนพูดออกไปมีหวังได้ถูกตัดลิ้นเสียบรั้วบ้านแน่ๆ

รักษ์ชาติรอจนแน่ใจว่าไร้เงาลูกน้องแล้ว จึงใช้มือปัดกองแฟ้มบนโต๊ะให้ร่วงกราวลงบนพื้นให้หมด ตัวเองลงไปนอนกับพื้น และยื่นเท้าออกไปเตะเก้าอี้ให้ล้มคว่ำเสียงดัง คนที่ยืนรออยู่หน้าห้องเปิดประตูเข้ามาอย่างตกใจ ไม่สนมารยาทอันดีอีก รักษ์ชาติส่งเสียงโอยกับตัวเอง สายตาพอใจภายใต้แว่นดำจับจ้องดวงหน้าแสนเป็นห่วงเขาที่วิ่งเร็วรี่มาประชิดตัวเขา

“คุณทำอะไรคะคุณขุน ล้มได้ยังไง” เขียนจันทร์มองซากห้องที่ระเกะระกะ เก้าอี้ล้ม และท่านอนหมดสภาพบนพื้นของรักษ์ชาติด้วยความเป็นห่วง รีบพยุงกายร่างหนาด้วยแรงเท่ามดของเธอขึ้นมา

“ฉันปวดหัว เหมือนจะนึกอะไรออก แต่ก็นึกไม่ออก” ดวงตาใต้แว่นดำกำลังพออกพอใจกับประกายตาวูบไหวของเจ้าของกายบาง ร่างสูงจงใจใช้มือล็อกเอวบางไว้แนบตัว เอนตัวซบไปบนบ่าบอบบางคล้ายไร้เรี่ยวแรง “แต่ฉันเห็นเธอในภาพที่ผ่านไปมาในหัว”

ร่างในอ้อมแขนที่จากเดิมตั้งใจเป็นเสาหลักพยุงคนนอนเท้งเต้งบนพื้นขึ้น กลายเป็นถูกคน (แกล้ง) ป่วยโอบกอดไว้เกร็งตัวขึ้นทันควัน ปฏิกิริยานั้นส่งตรงถึงหัวใจ เขียนจันทร์ปิดปากตัวเองด้วยความหวาดวิตก เกรงว่าสิ่งที่รักษ์ชาติเห็นผ่านๆ นั้นจะเป็นเรื่องไม่ดีระหว่างเธอกับเขาเสียมากกว่า...ในชีวิตนี้ก็ดันมีมากกว่าเรื่องดีเสียด้วย

“เห็นภาพอะไรคะ” เขียนจันทร์พยายามบังคับเสียงไว้ไม่ให้สั่น แทบจะลืมตัวว่าตอนนี้กำลังถูกอีกฝ่ายกอดไว้ และมือที่เธอไม่ได้ละออกจากร่างเขาทำให้คล้ายว่าเธอกำลังกอดตอบรักษ์ชาติไปด้วย

รักษ์ชาติส่งเสียงอืมในลำคอ ดวงตาวาววับกับหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังแสดงความวิตกอย่างชัดเจนออกมา จะกี่ครั้งกี่ครา สีหน้าและท่าทางของเขียนจันทร์ก็ไม่เคยรอดพ้นสายตาของเขาได้เลย

“ฉันเห็น...เธอกับฉัน เรา...” ปากบางเม้มเชิดขึ้นตามใบหน้าที่ผินขึ้นมอง ดวงตาที่ลุ้นระทึก และคงกลั้นลมหายใจของเขียนจันทร์ทำให้คนแกล้งอดใจไม่ไหวที่จะก้มหน้าลงไปละเลียดยังกลีบปากนุ่ม แม้เพียงแค่สัมผัส ทั้งที่ใจอยากจะทำให้มากกว่านั้นแต่ก็ต้องจำใจถอนริมฝีปากออกมา จ้องดวงตากวางตื่นคู่หวานตรงหน้าผ่านแว่นดำ

“ฉันวูบไป ขอโทษที”

เขียนจันทร์กะพริบตาปริบๆ กับอาการวูบเอาริมฝีปากมาแนบกับริมฝีปากของเธอด้วยความงงงันสุดชีวิต หากว่าท่าทีที่เรียบเฉยคล้ายไม่รับรู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นมาของรักษ์ชาติทำเขียนจันทร์ได้แต่เก็บความรู้สึกขมปร่าคล้ายผิดหวังไว้ในอก เธอคิดว่ารักษ์ชาติจะจำอะไรได้บ้าง และต่อให้จำได้ เขาก็คงจะทำเหมือนที่วูบนั่นไม่ได้เสียด้วย ในเมื่อ...เขาตาบอด

แม้เธอจะเคยสงสัยท่าทางของรักษ์ชาติตลอดหลายวันที่เธอเฝ้ามาดูแลรักษ์ชาติที่นี่มากแค่ไหน แต่เมื่อพบใบหน้าเรียบเฉย ไม่แยแส ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บทจะโพล่งว่าปวดหัวก็ทำ หรือการเดินชนโน่นนี่ คอยบอกให้เธอประคองเขาตลอดเวลาก็ทำให้เธอรู้สึกสับสน จนเลิกสงสัยไปเอง

หากเป็นรักษ์ชาติที่ไม่ได้ความจำเสื่อม เขาคงไม่พูดดี หรืออย่างน้อยๆ ก็คงแสดงท่าทางร้ายกาจของเขาหลุดออกมาให้เธอประจักษ์แจ้งบ้าง ไม่ใช่เก็บไว้เงียบมิดชิดผิดวิสัยเขาแบบนี้...และนั่นทำให้เธอ ‘เชื่อ’ ว่ารักษ์ชาติความจำเสื่อมจริงๆ

เขียนจันทร์ขับไล่ภาพสัมผัส และความรู้สึกหลังจากถูกริมฝีปากของรักษ์ชาติแนบลงมาออกไปจากสมอง แม้ทำได้อย่างยากเย็น แต่เธอก็ยังปั้นหน้าสงบเยือกเย็นได้ขณะพาร่างหนามานั่งยังเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน หญิงสาวรีบลงมือเก็บของที่กระจัดกระจายบนพื้น

“คุณขุนทานยาหรือยังคะ” มือดึงเก้าอี้ให้ตั้งขึ้น ปากก็ยังถามไถ่ เขียนจันทร์ถูกกันไม่ให้วุ่นวายเรื่องยา ซึ่งรักษ์ชาติบอกว่าเขาต้องการให้ศดาธรกับเกียรติยศเป็นคนเปลี่ยนผ้าพันแผลให้มากกว่า และเขาจะใช้เวลานั้นเพื่อทานยา

“ทานแล้ว แต่ทานไปฉันก็ไม่หายหรอก” รักษ์ชาติทำเสียงไม่แยแส

“อย่าเพิ่งหมดหวังสิคะ มนุษย์เรายังทำอะไรได้อีกตั้งมาก ขอแค่มีกำลังใจ” เขียนจันทร์เงยหน้าขึ้นมาบอก ก่อนจะก้มลงกลับไปจัดการเก็บสมุดเล่มสุดท้ายขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“แต่ก่อนฉันเป็นคนยังไง”

ร่างระหงผุดลุกขึ้น อดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าเรียบเฉยที่หันตรงมายังทิศของเธอได้ตรงราวกับตาเห็น หากไม่มีแว่นดำ ดวงตาของรักษ์ชาติจะเป็นอย่างไร ถ้าเธอไม่ได้รับคำยืนยันจากบดินทร์ภัทรมาอีกทาง เขียนจันทร์ก็จะไม่เชื่อว่าคนอย่างรักษ์ชาติพิการจริงแน่

คำถามนั้นจุดประกายวาบในอก เธอไม่มั่นใจว่าจะเลือกตอบ ‘ความจริง’ หรือตอบแบบ ‘รักษาน้ำใจ’ รักษ์ชาติดี

“ต้องการได้ยินแบบไหนล่ะคะ” เขียนจันทร์นั่งลงบนเก้าอี้ยาวชิดผนังห่างออกมา มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของรักษ์ชาติที่ค่อยๆ เอียงมาตามเสียงของเธอช้าๆ

“เอาความจริง”

“คุณเป็นผู้ชายที่แย่มากค่ะ นิสัยแย่ที่สุดที่ฉันเคยรู้จักมา”

เกิดความเงียบขึ้น เขียนจันทร์ยิ้มแหยกับความกล้าของตัวเอง ถึงจะน่าภูมิใจนิดๆ ที่เธอกล้าด่าเขาโต้งๆ ในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไม่รับรู้เรื่องราวก็ตาม

“อย่างนั้นเหรอ...แย่ขนาดไหน”

ท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นแค้น ซ้ำยังนิ่งรับฟัง ทำให้เขียนจันทร์รู้สึกว่ากำลังพูดกับใครอีกคนที่หน้าเหมือนรักษ์ชาติ

“ปากร้าย ปากเน่า ชอบด่าว่าฉัน ชอบแกล้งฉันกับพี่น้อง เห็นฉันเป็นลูกไล่ อยากได้อะไรก็บังคับขู่เข็ญ ใช้อำนาจตัวเองบีบเพื่อเอามาให้ได้” เขียนจันทร์เมื่อได้โอกาสก็พูดติดลม “คุณไม่เคยฟังใคร ไม่เคยใส่ใจใคร คุณเน้นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลก”

“ฉันคนนั้นดูน่าเกลียดมากนะ” รักษ์ชาติแค่นเสียงหัวเราะ

คนออกปากวิจารณ์หัวเราะหึ “ที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จักใครสักคนมาเลยค่ะ”

“แล้วทำไมเธอถึงยังช่วยเหลือฉัน เธอน่าจะสมเพช หัวเราะเยาะใส่ฉันที่มีสภาพแบบนี้สิ”

เขียนจันทร์รู้เหตุผลบางอย่างในใจตัวเองดี แต่เธอคิดว่ามันไม่ถึงเวลาที่จะบอกให้เป็นฝ่ายของรักษ์ชาติที่แม้จะความจำเสื่อมแต่ก็คงหัวเราะเยาะใส่หน้าเธอได้...ทั้งที่ปากบอกว่าเกลียดเขาแทบตาย แต่สุดท้ายหัวใจกับทรยศไปรักผู้ชายร้ายกาจอย่างเขาได้

“เพราะอะไรล่ะ เธอเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ”

รักษ์ชาติถามซ้ำเมื่อเขียนจันทร์ยังคงเงียบ และคล้ายตกอยู่ในภวังค์ส่วนตัว แต่ก่อนที่เขียนจันทร์จะหาทางเลี่ยงไปตอบอย่างอื่นนั้น ประตูห้องทำงานก็เปิดผางออก ร่างเล็กวิ่งตึกตักมาหาเขียนจันทร์ ปากแดงมีรอยชอกโกแลตเปื้อน ยิ้มแต้อารมณ์ดี แต่พอเห็นผู้ชายตัวโตนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน กองพันถึงกับถอยกรูดด้วยความตกใจ

“แม่เขียน มัมมี่”

“นั่นพ่อขุนไงครับลูกขุน พ่อขุนของลูกขุนนะ ไม่ใช่มัมมี่” หญิงสาวจูงมือเล็กที่พยายามขืนตัวเต็มกำลังกระชับไว้แน่นเดินมายังหน้ารักษ์ชาติ ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ทำเด็กชายขลาดกลัวยิ่งกว่าเดิม

“ฉันเคยเล่าเรื่องของลูกชายคุณจำได้ไหม นี่ไงลูกขุน”

มือหนาวางแปะลงบนศีรษะเล็กตามที่เขียนจันทร์ควบคุม มือใหญ่ค่อยๆ ยีหัวลูกชายเล่น ก่อนเลื่อนมือคลำมายังใบหน้า หู และหยิกแก้มเล็กด้วยอารมณ์หมั่นเขี้ยว ไม่ให้เขียนจันทร์สังเกตได้ว่าตอนหยิกแก้มกองพันนั้นในใจรักษ์ชาติสะใจแค่ไหน

...เป็นเด็กเป็นเล็กมาขัดจังหวะผู้ใหญ่ได้ยังไง

“โอ๊ย...ขุนเจ็บ” มือเล็กปัดมือหนาออก ลูบแก้มยุ้ยตัวเองป้อยๆ หันไปกอดเอวเขียนจันทร์อย่างออดอ้อน ถอยห่างจากบิดาไปหลายก้าว

“แดงเลย” เขียนจันทร์ลูบแก้มกองพันอย่างเบามือ เห็นเด็กชายพยักหน้ารับ หน้าง้ำก็ยิ่งสงสาร แต่เธอจะโทษรักษ์ชาติทั้งหมดก็คงไม่ได้ “พ่อขุนเขาไม่เห็นนะครับ น้องขุนอย่าโกรธพ่อเลยนะ” กองพันรับคำอย่างเข้าใจ เพราะก่อนจะมาถึงที่นี่ก็พอทำความเข้าใจคร่าวๆ เรื่องพ่อมาจากเขียนจันทร์บ้างแล้ว

“พ่อขุนจะหายไหมครับ” กองพันเดินไปจับมือหนาของรักษ์ชาติไว้ ถามด้วยเสียงใสซื่อ ปากจิ้มลิ้มเอื้อนเอ่ย “ขุนอยากเล่นกับพ่อขุนนะครับ”

ความน่าเอ็นดูของลูกชายสั่นคลอนใจคนฟัง รักษ์ชาติยื่นมือมาจับผมดกดำของน้องชายต่างมารดาที่กลายเป็นลูกชายที่เขาต้องรับภาระด้วยความเข้าใจ ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของเขามันเริ่มมาจากเด็กเล็กๆ ตรงหน้านี้ เขากลัวหากว่ากองพันต้องอยู่กับโชติรส ชีวิตของกองพันคงไม่แคล้วข้องเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา ชะตากรรมของแม่กองพันยังเป็นฝันร้ายในใจโชติรส และความกลัวของเขาเช่นกัน เขาจึงกระโดดลงมาในสนามนี้ เพื่อตัดวงจรนั้นเสีย เขาจะปลดธุรกิจสีเทาในมือให้คนที่วางใจได้ก่อนที่กองพันจะได้รับช่วงต่อ

“ฉันอยากคุยกับเขาจะได้ไหมเขียน”

“ได้สิคะ เดี๋ยวฉันออกไปทำอาหารข้างนอกนะคะ ต้องการอะไรก็เรียกฉันได้เลย”

เขียนจันทร์หลีกทางให้สองพ่อลูกได้คุยกันตามลำพัง เพียงแค่ประตูห้องทำงานปิดเรียบร้อย รักษ์ชาติถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มือหนาถอดแว่นออกจากใบหน้าเผยดวงตาคู่ปกติให้เด็กชายวัยสี่ขวบอ้าปากค้าง เตรียมจะตะโกนลั่นแฉความลับของรักษ์ชาติ มือหนาใหญ่ก็ตะครุบปิดปากเสียก่อน

“เราต้องช่วยกันเข้าใจไหม ถ้าแกปากโป้ง แม่เขียนจะหายไปจากชีวิตเราทั้งคู่ ไง เด็กฉลาดชาติเจริญอย่างเราต้องการแบบไหน”

ทันทีที่ร่างเล็กนิ่งฟังตาแป๋ว ไม่แสดงท่าทีอยากปากโป้งอีกรักษ์ชาติจึงปล่อยมือที่ปิดปากเล็กออก ปล่อยให้กองพันได้คิดอะไรได้ด้วยตัวเอง

“แม่เขียนสอนขุนว่าโกหกมันไม่ดีนะครับ”

อดีตทหารหนุ่มพ่นลมหายใจพรวดระบายความขำขัน ในคอหัวเราะห้าว เขียนจันทร์สอนรักษ์ชาติมาดีเสมอ “โกหกมันไม่ดี แต่งานนี้ยังไม่ถึงเวลาบอกความจริง แค่เก็บความลับไว้ชั่วคราว แม่เขียนยังอยู่กับพ่อกับแกก็เพราะพ่ออยู่ในสภาพนี้เข้าใจไหม”

“แม่เขียนจะทิ้งขุน ทิ้งพ่อขุนเหรอครับ” เด็กชายเริ่มเบะปาก น้ำตาคลอหน่วย จิตใจเด็กน้อยการที่ไม่เคยได้รับความรักจากแม่ พี่เลี้ยงแต่ละคนที่อยู่ได้ไม่นานก็จากไป กระทั่งได้พบกับเขียนจันทร์เด็กชายก็หวังมาตลอดว่าเขียนจันทร์จะเป็นแม่ของตน

รักษ์ชาติดึงกองพันมากอดบนตัก ลูบศีรษะเล็กเบาอย่างปลอบประโลมทั้งที่ในชีวิตนี้ไม่เคยทำ ลบความว้าเหว่ และเหงาในใจออกไป ตั้งแต่เกิดนิสัยของเขาทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนมาก เขาเกิดมา สี่พี่น้องแห่งจักรตรากูลก็เกิดตามมาไม่นานหลังจากนั้น เขามองวาดตะวันเป็นคนสำคัญ เป็นเพื่อนคนแรกในชีวิต และกับสามคนที่เหลือเขาก็มักจะร้ายใส่เสมอ ใช้ความอาวุโสกว่า และเป็นลูกเจ้านายพ่อกดหัวสามคนที่เหลือเสมอ โดยเฉพาะกับเขียนจันทร์ ผู้หญิงที่ต้องทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของสามคนนั้น รับเคราะห์หนักกว่า และมักจะปกป้องน้องๆ รวมทั้งเขา หากว่าน้องๆ จะคิดทำอะไรตอบโต้เขาคืนแบบหนักๆ

เขียนจันทร์กลายเป็นคนที่เขานึกถึง แต่ไม่เคยรู้ว่านั่นจะเป็นความเคยชินที่จะต้องนึกว่าวันๆ หนึ่งจะแกล้งอะไรเขียนจันทร์ จะจัดการยังไง เพื่อให้ได้พบหน้าทุกวัน กระทั่งเขียนจันทร์ไปเรียนต่อต่างประเทศเขาถึงเพิ่งรู้สึกว่าจากความนึกถึงมันแปรเปลี่ยนเป็นคิดถึง...ในวันนี้เขารู้สึกขาดเขียนจันทร์ไปไม่ได้

“ถ้าเขารู้ เขาจะทิ้งเราสองคน”

รักษ์ชาติโป้ปดกับลูกชาย เขารู้ดีแก่ใจว่าอย่างไรหากมีใครที่เขียนจันทร์จะทิ้ง คนๆ นั้นจะเป็นเขาคนเดียว ไม่ใช่กองพัน

“ขุนจะไม่ให้แม่เขียนรู้” เด็กชายเม้มปากกลั้นน้ำตาไว้สุดกำลังอย่างเข้มแข็ง กอดคอพ่อไว้แน่น มือเล็กๆ สร้างความอบอุ่นให้ใจผู้เลี้ยงได้อย่างมหาศาล “ขุนรักพ่อขุน แม่เขียนครับ”

“พ่อเคยบอกแกไหม...ว่าพ่อก็รักแกนะ เจ้าลูกขุน”


กลิ่นอาหารหอมฉุยดึงดูดผู้มาใหม่ตั้งแต่เข้ามาหน้าประตูบ้าน วาดตะวันทำหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ทุกอย่างดูสงบ ราวกับไม่ได้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นอย่างที่เธอพบเห็นในข่าว หลังจากเสร็จงานถ่ายแบบที่ประเทศญี่ปุ่นเธอก็ตรงดิ่งกลับไทย และรีบมาที่นี่ทันที

“เขียน นี่มันเรื่องอะไร”

คนหลังเตาที่กำลังจับตะหลิวคนอาหารหยุดมือ หันมองผู้มาใหม่ด้วยประกายตาที่ต้องหลบซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจ หญิงสาวยิ้มรับพี่สาวก่อนหันมาปิดแก๊ส ตักผัดผักรวมมิตรใส่จานมาวางบนโต๊ะ จึงเดินมาหาพี่สาวที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น

“เขียนแค่มาดูแลคุณขุนชั่วคราวค่ะ”

“พี่ขุนอาการหนักเหมือนในข่าวไหม” วาดตะวันจิบน้ำเย็นที่เขียนจันทร์ยกมาให้ดับอาการเป็นห่วง ไม่ว่าอย่างไรรักษ์ชาติก็เป็นเหมือนพี่ชายของเธอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยคิดไม่ซื่ออย่างไร วาดตะวันก็ยังคงมองรักษ์ชาติได้เพียงสถานะเดียว “เรื่องความทรงจำ...”

“ตามข่าวนั่นแหละค่ะ”

“แล้วเขียนจะทำยังไงต่อไป”

เขียนจันทร์จ้องหน้าวาดตะวัน ครุ่นคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายถาม ก่อนจะเลียบเคียงถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ “พี่วาดมาดูแลคุณขุนบ้างได้ไหมคะ ถ้าพี่วาดได้อยู่ใกล้ๆ เผื่อคุณขุนจะนึกอะไรออกบ้าง”

“พี่ไม่มีปัญหาหรอก” นางแบบสาวรีบตกปากรับคำ

คนฟังได้แต่ยิ้มรับ เขียนจันทร์เชื่อว่าหากเป็นวาดตะวันล่ะก็ น่าจะเป็นโยชน์ต่อรักษ์ชาติมากกว่าการที่เธออยู่ใกล้เขามานานนับอาทิตย์ แต่อีกฝ่ายกลับนึกอะไรไม่ออกสักอย่างเดียว

“พี่ดีใจที่เขียนยังอยู่ต่อนะ ถ้าไม่มีข่าวครึกโครมเรื่องพี่ขุนตามข่าว พี่อาจจะคิดว่ามันเป็นแผนเพื่อให้เขียนอยู่ที่ไทยต่อ” วาดตะวันวิเคราะห์เรื่องราวได้อย่างใจเย็น

“ระเบิดแบบนั้นเขาคงไม่เอามาโกหกกันหรอกมั้งคะ” เขียนจันทร์ตอบอย่างคนมองโลกในความจริง หญิงสาวเชื่อมาเสมอว่าทุกอย่างที่เธอเห็นในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ ‘สร้าง’ ไม่ได้

วาดตะวันไหวไหล่ “มันก็ไม่แน่หรอก ถ้าทุกอย่างมีตัวแปรอย่างพี่ขุน พี่รู้จักพี่ขุนดี รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”

“เขียนไม่ได้สำคัญกับชีวิตของคุณขุนขนาดนั้น เขาจะมาใส่ใจทำไมคะ ที่เขียนยังอยู่ต่อก็เพราะทุกคนยังต้องการเขียน มันก็เท่านั้น” แม้ว่านาทีสุดท้ายคนที่รั้งเธอไว้ได้จะเป็น...รักษ์ชาติ แต่นั่นเพราะเธอเลือกเอง ขาของเธอไม่ได้ถูกมัดไว้ไม่ให้ก้าวขึ้นเครื่องบิน

คนเป็นพี่ส่งเสียงเออเฮอะทั้งที่สีหน้าคัดค้านเต็มที่ รู้ว่าเขียนจันทร์ไม่ได้มั่นใจในตัวรักษ์ชาติเลย อย่างว่า...มนุษย์ที่ทะเลาะกันแต่เด็ก จิกกัดไม่ว่างเว้น แม้กระทั่งตอนที่คิดจะเปลี่ยนสถานะปากของรักษ์ชาติก็ยังร้าย นิสัยเปลี่ยนไม่ได้ ต่อให้พูดปากเปียกปากแฉะแนะนำมนุษย์หินอย่างรักษ์ชาติ ก็ช่างยากช่างเย็นยิ่งกว่าขุดแมมมอธออกมาจากแผ่นน้ำแข็งอีก ยังไงคนไม่อยากเปลี่ยน ไม่อยากรับฟัง คิดเองอยู่คนเดียวก็ยังเป็นแบบเดิม

“เดี๋ยวพี่วาดก็อยู่ต่อเลยสิคะ เขียนว่าจะไปทำธุระต่อ” คนอยากเปิดโอกาสให้วาดตะวันได้อยู่ดูแลรักษ์ชาติรีบออกตัว

“ก็ได้”

เขียนจันทร์ลุกขึ้น เดินไปตั้งใจจะเคาะประตูห้องทำงานของรักษ์ชาติ แต่ข้างในกลับเปิดออกมาเสียก่อน มือเล็กของกองพันกุมมือพ่อไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำอย่างคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา เขียนจันทร์เข้าใจว่ากองพันคงเศร้า และสะเทือนใจกับอาการของรักษ์ชาติ

“น้องขุนครับ ร้องไห้เหรอ”

เด็กชายเดินมาหาเขียนจันทร์ เงยหน้ามองตาเศร้า ดวงตาโดดเดี่ยวคู่เดียวกับที่เขียนจันทร์พบว่ามีในดวงตาของรักษ์ชาติเช่นกัน

“อย่าทิ้งขุนกับพ่อขุนไปนะครับแม่เขียน” คนกลัวถูกทิ้งเขย่งขามากอดเอวบางไว้ “พ่อขุนน่าสงสาร”

คนถูกกล่าวถึงขยับตัวมาตามเสียง รักษ์ชาติส่งเสียงดุ “อย่าไปกวนเขียนเขา”

กองพันทำหน้าละห้อย ปากแดงเม้มไว้แน่น ทั้งที่ดวงตาปริ่มน้ำจนแดงก่ำ เขียนจันทร์เห็นแล้วหัวใจอ่อนยวบ เธอไม่เคยใจแข็งใส่กองพันได้สักครั้ง ทำได้แต่ย่อตัวลงมานั่งยอง ลดช่องว่างของระยะห่างลง มือบางจับมือเล็กมากุมไว้ ใบหน้ายิ้มเพราอ่อนโยน

“ลูกขุนครับ แม่เขียนไม่เคยคิดทิ้งลูกขุนเลยนะ ไม่ต้องกลัวไปนะครับ แม่เขียนจะเป็นแม่ของลูกขุน จนกว่าลูกขุนจะไม่อยากให้แม่เขียนเป็นแม่เลยนะครับ”

“แม่เขียนไม่ทิ้งพ่อขุนด้วยใช่ไหมครับ” เด็กชายสะอื้นลม แต่ก็ยังรีบเม้มปากกลั้นไว้

เขียนจันทร์ยิ้มเศร้า ดวงตาไร้ร่องรอยของความสุข คำถามของเด็กสี่ขวบเป็นคำถามที่เธอเลือกตอบได้ยาก “พ่อขุนเขาไม่ได้ต้องการแม่เขียนจากใจจริงหรอกนะครับ สักวันพ่อขุนของลูกขุนจะพบคนที่เหมาะสมกับเขา ใคร...ที่ไม่ใช่แม่เขียนนะ”

“ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น” น้ำเสียงเข้มห้วนดังตอบโต้หลังฟังบทสนทนาสองแม่ลูกอยู่นาน

“นั่นเพราะคุณจำฉันไม่ได้ต่างหากล่ะคะ” เสียงหวานเถียงด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ให้ความจริงมันตอกย้ำใจตัวเองจนจมลึก ก่อนหันกลับมาใส่ใจกองพันอีกครั้ง “อยู่กับอาวาดไปก่อนนะครับ แม่เขียนมีธุระต้องไปทำ แม่เขียนทำอาหารให้แล้วอยู่บนโต๊ะนะครับ”

“ธุระที่ไหน ไหนเธอบอกจะอยู่ดูแลฉัน” รักษ์ชาติต้องยั้งมือตัวเองไว้ไม่ให้ไปรั้งข้อมือบาง ย้ำเตือนว่าตัวเองในตอนนี้ตาบอด และความจำเสื่อม แต่การถูกเมินเฉยเป็นคนไม่สำคัญจากเขียนจันทร์มันทำให้เขารู้สึกทนเฉยไม่ได้ คล้ายอวัยวะด้านอกซ้ายมันกำลังทรมานคล้ายถูกบีบไว้แน่น

“จะที่ไหนมันก็เป็นธุระของเขียนเขานะคะ” วาดตะวันเดินเข้ามาคล้องแขนคนเจ็บไว้ ดวงตาเย็นเยียบยามเงยสบกับรักษ์ชาติที่มีแว่นดำปิดดวงตาอยู่ “ฉันมีหลายอย่างที่อยากจะคุยกับพี่ขุนเยอะแยะเลยค่ะ”

“ฉันไม่รู้จักเธอ” รักษ์ชาติพยายามแกะมือปลาหมึกของวาดตะวันออก แต่อีกฝ่ายกลับรั้งไว้แน่นขึ้น

“พี่ขุนรักฉันมาก จำไม่ได้เหรอคะ”

“ฉันไม่เห็นจะรู้สึก” คนแกล้งความจำเสื่อมบอกปัด พยายามมองหน้าคนที่ตั้งท่าจะห่างจากเขาไปอีก

“เขียนไปเถอะ พี่รู้วิธีกำราบคนตาบอด ความจำเสื่อมได้ ลูกขุนอยู่กับอาวาดนะครับ” วาดตะวันยื่นมืออีกข้างไปเกี่ยวมือเล็กของกองพันไว้ ไม่ให้สองพ่อลูกออกแรงรั้งเขียนจันทร์ไว้ได้อีก ตรงข้ามกับคนที่มองภาพความสมบูรณ์ของครอบครัวตรงหน้าด้วยอาการสะเทือนใจในอก เขียนจันทร์ยิ้มลาจากมาโดยไม่พูดอะไรอีก ภาพวาดตะวันที่ไม่รังเกียจรักษ์ชาติ ซ้ำยังออกปากจะดูแลอย่างดี หญิงสาวรู้ดีว่าพี่ของเธอนั้นทั้งสวยกว่า ฉลาดกว่าเธอ และสิ่งสำคัญสุดคือเป็นคนที่รักษ์ชาติรักตลอดมา

...ทุกอย่างนั้นไม่มีวันที่เธอจะได้รับ เธอไม่มีวันได้รับความอ่อนโยนจากรักษ์ชาติอย่างที่วาดตะวันพบเจอมาแต่เด็ก

น่าแปลกที่แม้เธอจะพบมุมร้ายกาจของรักษ์ชาติ หัวใจไม่รักดีของเธอก็เผลอไผลไม่เข้าที่ไปกับเขาได้ บางครั้งเธอยังเคยเกือบหลงเข้าข้างตัวเองถึงการกระทำแปลกประหลาดของรักษ์ชาติที่แสดงออกต่อเธอว่าเขาก็รู้สึก ‘พิเศษ’ แต่แค่แสดงออกไม่เป็น

ตอนนี้เธอควรจะเลิกคิดถึงความรู้สึกพรรค์นั้นเสียที เธอได้คืนคนที่มีค่าต่อรักษ์ชาติให้เขาแล้ว และวาดตะวันย่อมไม่ทำให้รักษ์ชาติต้องเสียใจ...หน้าที่เดียวที่เธอจะรับผิดชอบก็คือแม่ของกองพันเท่านั้น

เขียนจันทร์ยิ้มขื่นกับตัวเอง สิ่งเดียวที่จะทำให้เธอลืมสิ่งที่อยู่ในหัวได้ก็คือการทำงาน โทรศัพท์ที่ไม่ค่อยได้รับถูกกดรับครั้งแรกตั้งแต่ ‘นรา’ โทรมาหลังจากเธอเกือบตัดสินใจไปต่างประเทศ

“ขอบคุณที่คุณเขียนรับโทรศัพท์สักทีค่ะ” นรากระซิบกระซาบมาทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงว้าวุ่นใจ

“มีอะไรคะคุณนรา”

“เรื่องนี้คุณดาวเดือนสั่งนักสั่งหนาไม่ให้บอกใคร แต่ดิฉันคิดว่าคุณเขียนน่าจะมาช่วยแก้ไขอะไรได้บ้างค่ะ คุณดาวเดือนเป็นลมไปหลายครั้งแล้ว”

“อะไรนะคะ!” เขียนจันทร์ตรงดิ่งไปที่รถของตัวเอง รับข้อมูลครบถ้วนแล้วจึงวางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ลูกค้าที่มาจองห้องจัดเลี้ยงของเรายกเลิกไปสี่รายภายในอาทิตย์เดียวค่ะ ลูกค้าที่เข้าพักได้รับข่าวโคมลอยเรื่องระเบิดก็ยกเลิกไปประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ สถานการณ์ตอนนี้น่าเป็นห่วงมากค่ะ”

รถคันโปรดของเธอแล่นทะยานไปด้วยความเร็วสูง เขียนจันทร์กัดฟันกรอดยามอะไรๆ ก็ยังไม่จบอย่างที่เธอนึกคิด เรื่องในวันนี้เธอไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ‘ใคร’ กันที่กำลังหาเรื่องกับจักรตรากูล คงไม่แคล้วรายเดิม

...เสี่ยหลง คนบ้าอำนาจ เจ้าพ่อ ที่ช่างคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าอยากจะทำอะไรก็ได้เสียเหลือเกิน


“หลอกเขียนได้ อย่าคิดว่าหลอกฉันได้นะคะ” วาดตะวันกระชากแว่นดำออกมาจากใบหน้าคร้ามคม หลังจากที่เธอแน่ใจว่าน้องสาวได้เคลื่อนรถออกไปไกลแล้ว

รักษ์ชาติยืนสงบนิ่ง คิดว่าอีกฝ่ายรู้ตั้งแต่หาทางไล่เขียนจันทร์ออกไปแล้วจึงไม่ได้คิดปัดป้อง หรือหาทางเลี่ยงโกหกอีก

“พี่ขุนทำแบบนี้ทำไม” แม้วาดตะวันจะพอเข้าใจเหตุผลบางส่วนในเรื่องที่รักษ์ชาติต้องการให้เขียนจันทร์อยู่ไทยต่อ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เธอต้องการรู้ความนึกคิดของรักษ์ชาติทั้งหมด “พี่ขุนรู้ไหมว่าวันที่เขียนจะเดินทาง เขียนเขาเปลี่ยนโปรแกรม จากเดิมที่คิดไปไม่มีกำหนดกลับ เขียนตั้งใจจะไปแค่เดือนเดียว”

“พี่ตัดสินใจทำแบบนี้ก่อนเขียนเขาจะเปลี่ยนการตัดสินใจ” รักษ์ชาติกัดฟันตอบ ความรู้สึกอย่างกับนักโทษมีคดีติดตัวไม่ใช่ความรู้สึกที่เขาคุ้นชิน เขาเคยอยู่แต่นานะที่เป็นต่อ แต่วันนี้เขารู้...นับตั้งแต่เริ่มโกหก ชีวิตของเขาก็ได้อยู่ใต้อำนาจสั่งการของเขียนจันทร์ วันใดที่ฝ่ายนั้นรู้ เขาไม่กล้าคาดหวังต่อปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นเลย

“น้องขุนครับ ไปอยู่กับลุงดามก่อนนะครับ” วาดตะวันบอกเด็กชายที่ไม่ควรอยู่ในสมรภูมิอันใกล้ข้างหน้านี้ วาดตะวันรอให้กองพันออกไปอยู่กับคนสนิทของรักษ์ชาติจึงหันกลับมา ‘ทะเลาะ’ ต่อ “ฉันพอจะเข้าใจที่พี่ขุนแสดงออกไม่เป็น แต่การโกหกกับเขียนแบบนี้ ฉันไม่เห็นด้วยเลยค่ะ”

“มันจำเป็น วาดก็รู้ว่าทุกคนจะต้องรู้ว่าพี่เจ็บหนัก”

“แล้วมันต้องรวมถึงน้องสาวของฉันด้วยเหรอ...เขียนควรอยู่ในกรณีที่พิเศษ ถ้าพี่ขุนเห็นว่าเขียนเป็นคนสำคัญ”

รักษ์ชาติยกมือลูบหน้า หลับตาลง ตัวเองพยายามไม่คิดถึงความผิดนี้ แต่ใจลึกๆ ก็ไม่เคยลืมได้เลย “ถ้าพี่บอก เขียนจะหนีพี่ไป พี่ยอมรับนะวาด พี่มันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง”

“มากด้วยค่ะ พี่ขุนทำอะไรคิดถึงแต่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงเขียนเขาให้มากๆ ไม่เคยทำอะไรให้มันชัดเจนสักอย่าง พี่คิดจะเก็บเขียนไว้ข้างๆ แต่ไม่เคยแสดงออกมาให้เขียนรู้ว่าพี่ขุนรู้สึกยังไง” รักษ์ชาติตั้งใจอ้าปากค้าน วาดตะวันก็ยกนิ้วชี้หน้าสั่งให้หยุด “อย่ามาบอกว่าพี่ขุนพยายามแล้ว คำว่าพยายามมันก็วัดจากการกระทำ ลับหลังเขียนพี่อาจจะทำอะไรเยอะแยะ แล้วต่อหน้าล่ะคะ นอกจากพูดจาทำร้ายจิตใจ โกหกปลิ้นปล้อน พี่ขุนเคยทำอะไรเพื่อเขียนบ้าง ฉันสงสารน้อง ถ้าพี่ขุนแสดงออกว่าดูแลเขียนได้ไม่ดี และมีแนวโน้มที่จะทำให้เขียนเสียใจได้ตลอดเวลา ฉันจะขัดขวางทุกอย่างที่พี่ขุนคิดทำ”

“พี่ไม่เคยต้องการให้เขียนเสียใจ” รักษ์ชาติสบโอกาสในการพูด แต่ประโยคนั้นดูจะยิ่งทำให้คนฟังไม่พอใจหนักขึ้นมากกว่าเดิม

“ที่ผ่านมาเกิดจากการกระทำที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวเหรอคะ ตั้งแต่เด็กแล้ว เขียนได้แต่ก้มหน้างกๆ เวลาที่เถียงแพ้ สู้ไม่ได้ เรื่องพวกนั้นเขียนอาจจะไม่โกรธเพราะชิน แล้วเรื่องนี้ล่ะ ฉันคิดว่าเขียนได้ตัดขาดจากพี่ขุนแน่”

วาดตะวันเท้าสะเอว พูดมาเยอะจนเกิดอาการเหนื่อย ด้วยเพราะอารมณ์ที่ขึ้นสูงประดังเข้ามา เธอรู้ว่าที่ผ่านมารักษ์ชาติอยากอยู่ใกล้ใครมากกว่ากัน ระหว่างเธอกับเขียนจันทร์ ถึงแม้ปากจะเรียกหาเธอ แต่สายตาสอดส่องมองหา และปากที่คอยกระแนะกระแหน จะหยุดอยู่ที่เขียนจันทร์เสมอ รักษ์ชาติให้ความสนใจเขียนจันทร์มาตลอด แต่ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเขียนจันทร์จริงๆ จังๆ สักครั้ง

ในฐานะพี่สาวคนโตที่ต้องทนเห็นน้องเจ็บปวดจากผู้ชายที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของตัวเองนี้...เธอทนอยู่เฉยไม่ได้ ต่อให้เธอกับรักษ์ชาติสนิทกันมาก แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความสัมพันธ์ของสายเลือด

“จะรู้ก่อนรู้หลัง ยังไงเขียนก็โกรธพี่อยู่แล้ว”

“พี่ขุน!” สาวสวยหุ่นสูงกรีดเสียงร้องอย่างขัดใจ

“พี่จัดการชีวิตตัวเองได้ วาดไม่ต้องห่วง” รักษ์ชาติไม่สนใจสิ่งที่วาดตะวันเอ่ยเตือน

“แล้วพี่ขุนจะเสียใจ อย่าคิดว่าที่เขียนไม่เคยโกรธพี่จริงจัง จะไม่ได้หมายความว่าเขียนจะไม่มีวันโกรธ เขียนทนให้พี่รังแกมาตลอด แล้วนี่คือสิ่งที่พี่ตอบแทนเขียนเหรอคะ...สงสารน้องฉันบ้าง”

รักษ์ชาตินิ่งงัน ภาพการกระทำที่ผ่านมาของตัวเองที่มีแต่การไม่รักษาน้ำใจอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไหลย้อนกลับเข้ามาสู่สมอง ทุกครั้งเขาจะบังคับขู่เข็ญให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่เคยฟัง ไม่เคยหยุดคิด ว่าที่เขาทำมันถูกต้อง หรือทำร้ายใจอีกฝ่ายมากแค่ไหน...คิดแค่ว่ามันดีต่อความสุขเขาที่สุด และเขียนจันทร์จะยังอยู่ในสายตาของเขา

“เดี๋ยวพี่จะหาทางบอกเขาเอง”

“เร็วที่สุดนะคะ” วาดตะวันพ่นลมหายใจออกมาแทนการระบายความคับข้องในอก

คนถูกเร่งรัดเลือดเกินหนีไปอย่างคนที่หมดความสนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายว่ามา ทั้งที่ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาได้ทำการปิดบังเขียนจันทร์

...หากเขียนจันทร์รู้ เขาจะยังได้รับการให้อภัยอยู่ไหม

…………………………………………………………..

คุณ ใบบัวน่ารัก เจ้าขุนยังคงทำตัวได้น่าตื้บเรื่อยๆ ค่ะ แต่บทนี้แอบส่งมุมที่ไม่ค่อยได้เห็นมาให้อ่านกัน ลูกขุนทำให้เจ้าขุนแสดงมุมดีๆ กับเขาสักที

คุณ อัศวินนภา รอตอนหน้าค่ะ แอบทำหน้าเจ้าเล่ห์ อิอิ

คุณ ร้อยวจี นายขุนนิสัยเสีย ยังไงก็น่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักนะคะ วันนี้มาเสิร์ฟให้สายๆ ค่า

คุณ yimyum เขียนออกจะใจดี ไม่รู้โกรธจะออกมาเป็นยังไงนะคะ อิอิ

คุณ konhin จะแอบไปกระซิบให้เขียนใจแข็งๆ นะคะ ทุกคนรู้หมด ยกเว้นเขียน

คุณ ameerah รักได้ก็โกรธได้ ฮา รอเจ้าขุนเจอผลจากการโกหกนะคะ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ชื่อเรื่องนี้บ่งบอกความโหดร้ายของพระเอกค่ะ จากนี้จะผ่อนคลายมากขึ้นนะคะ ไม่อยากให้ฝันร้ายเพราะเจ้าขุนอีก

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ส่วนใหญ่รักนายขุนทั้งนั้นเลย ฮา ตัวละครตัวนี้น่าจับเชือดทิ้งวันละหลายหน แต่ก็ทิ้งไม่ลง (อารมณ์คนเขียนล้วนๆ) เจ้าขุนใกล้โดนเอาคืน อิอิ




ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2557, 10:28:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2557, 10:35:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2148





<< บทที่ 16 : สุดท้ายก็จากไปไม่ได้...   บทที่ 18 : รู้ทันคนโกหก >>
konhin 7 มิ.ย. 2557, 10:47:54 น.
เขียนจริงใจแต่ได้กลับคือสิ่งทำร้ายใจ เฮ้อ เจ็บแล้วจำนะหนูเขียน


ใบบัวน่ารัก 7 มิ.ย. 2557, 10:51:14 น.
งานเข้าเขียนอีกแล้ววววว
จัดการสักอย่างดิ


yimyum 7 มิ.ย. 2557, 12:18:17 น.
แล้วจะบอกยังไงหว่าาาาาาา


ร้อยวจี 7 มิ.ย. 2557, 12:58:46 น.
พอหมดเรื่องก็เอาให้หนักเลยนะคะไร้ท์เตอร์ แต่อย่าลืมขอแบบหวานๆ ด้วยค่ะ


อัศวินนภา 7 มิ.ย. 2557, 15:33:08 น.
เขียน นางเอก หรือ นางทึกเนี่ย สงสารนางแล่วอ่ะ โดนสารพัด คราวนี้พ่อขุนน่าโดน...

ปล.เขียน ทิ้งๆไปเหอะ ร้ายจะตายนายคนนี้เนี่ย


ผักหวาน 18 มิ.ย. 2557, 14:11:58 น.
ดูสิ ไม่คิดจะแสดงออกอะไร มีแต่ปากคอเราะร้าย น่าตีจริงๆ พี่ขุนเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account