UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 18 : รู้ทันคนโกหก

บทที่ 18

เขียนจันทร์ก้าวย่างมั่นคงเข้ามาภายในบริษัทที่ทายาทสาวไม่ได้ก้าวมาเหยียบเป็นเวลาพักใหญ่ เขียนจันทร์ตั้งใจจะเดินตรงดิ่งเข้าไปหามารดาที่ห้อง หากว่าเลขาของท่านจะไม่ได้ทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บริเวณหน้าห้อง ยืนละล้าละลังจนเธอสังเกตเห็นได้ชัดเจน

“คุณเขียนจันทร์” สุชาติที่เพิ่งหันมาเห็นเขียนจันทร์ตรงลิ่วเข้ามาหา “คุณเขียนจันทร์มาได้ยังไงครับ”

คำถามของทนายประจำตระกูลจักรตรากูลถามด้วยท่าทีวิตกกังวล เขียนจันทร์เก็บความสงสัยไว้ในใจได้อย่างแนบเนียน

“ผ่านมาเลยแวะค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ” สุชาติยิ้มเจื่อน ไม่กล้าสบสายตากับลูกสาวเจ้านาย

“มีอะไรหรือเปล่าคะ วันนี้อาสุชาติถึงมาอยู่ที่นี่” ปกติเขียนจันทร์จะรู้ว่าสุชาติมีสำนักงานกฎหมาย และเขาจะเข้ามาดูแลกฎหมายบริษัทเวลาที่มีการเจรจาธุรกิจกับคู่ค้า หรือการลงทุนอะไรสักอย่างเท่านั้น

“เอ่อ...คือว่า คือ” สุชาติอ้ำอึ้ง และน่าจะยังอ้ำอึ้งต่อไป เขียนจันทร์จึงไม่คิดรีรอ ร่างระหงตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของมารดา ใช้สายตาคมกริบเอาเรื่องกับเลขาวัยกลางคนของมารดาที่ไม่กล้ายื่นมือมาขวาง

“สภาพโรงแรมตอนนี้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาคงจะสร้างความน่าเชื่อถือไม่ได้เท่าแต่ก่อน สู้ขายมันให้ผมเถอะคุณดาวเดือน ผมยินดีซื้อในราคาสิบหลัก และจะทยอยจ่าย”

“ไม่หน้าด้านไปเหรอคะ” เขียนจันทร์เคยพยามย้ำเตือนเรื่องสงบปากสงบคำตัวเองให้มากขึ้น แต่พอเธอเผชิญหน้ากับเสี่ยหลง ปฏิกิริยาการแสดงออกของเธอจะออกมาก่อนที่สติจะควบคุมได้ “เสี่ยเป็นคนเล่นสกปรกกับพวกเรา ไล่ฆ่าตั้งกี่ครั้ง ยังมีหน้ากลับมาต่อรองธุรกิจ เอาธุรกิจที่คนอื่นสร้างไปหน้าตาเฉยเหรอคะ”

“ฉันไม่ได้ทำเรื่องไล่ลูกค้าโรงแรมจักรตรากูล ฉันจะไล่แขกให้ไปอยู่กับทางดีเอสทำไมมิทราบ ทางนั้นฉันก็ไม่ได้ชอบขี้หน้านักหรอก”

“ฉันจะตรวจสอบเรื่องนั้นอีกทีด้วยตัวเอง” ความจริงในข้อนี้ทำให้เขียนจันทร์จุกในอกอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่อยากเชื่อว่าแขกจะหายไปอยู่กับทางดีเอส แล้วถ้ามีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง...เขาต้องการอะไร

“เสี่ยกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรที่เสี่ยต้องการ” ดาวเดือนไม่อยากให้ลูกสาวเอาหัวไปรับลูกตะกั่วอีกจึงอยากยุติสักที

“คิดดูดีๆ นะคุณดาว ผมอยากได้ที่นี่จริงๆ”

การต่อรองของธุรกิจสุดแสนน่ารังเกียจมีแต่ทำให้เขียนจันทร์สะอิดสะเอียนที่สุด “แล้วถ้าฉันจะขอซื้อธากิตมาจากเสี่ย เสี่ยจะยอมขายไหม”

“ฉันมีวิธีใหม่หาเงินเก้าหลักได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน ฉันมีเงินมากพอที่จะซื้อที่นี่ ซื้อธุรกิจอื่นๆ ได้อีก เธอลองคิดดูว่าจะมีแต่คนรวยๆ เดินเพ่นพ่านใจกลางเมือง กาสิโนหรูใจกลางกรุงเทพฯ ที่นี่ให้ฉันได้ทำฝัน กับธากิตกิ๊กก๊อกนั่นน่ะ ฉันจะยกให้เธอฟรีๆ เป็นของแถมหลังจากเธอตัดสินใจขายที่นี่ยังได้”

ดวงตาเพ้อฝันของมนุษย์โลภจุดรอยยิ้มหยันตรงมุมปากของเด็กรุ่นลูก เขียนจันทร์มองชายกลางคนอย่างดูแคลน และรังเกียจอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกใดๆ ใบหน้าคนถูกมองด้วยสายตานั้นจึงส่งประกายไม่พอใจตอบกลับมา

“อย่าดึงสิ่งที่อยู่บนอากาศบริสุทธิ์มาคลุกในกองขยะของเสี่ยเลยค่ะ ให้กองเงินสูงท่วมโรงแรมจักรตรากูล พวกเราก็จะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดเดิมเด็ดขาด”

“เก่งมันให้ตลอดเถอะ ขี้คร้านจะวิ่งตามเงินของฉันอย่างพวกหิวเงิน” หลงโกรธจนหน้าแดงก่ำลามไปถึงคอ ถูกเด็กรุ่นลูกด่าไม่ไว้หน้า และเหยียดหยามกันโจ่งแจ้ง...เป็นใครย่อมทนไม่ไหว “ฉันขอบอกอะไรเธอไว้ เธอมันก็หัวเดียวกะเทียมลีบ ไม่มีใครคุ้มกะลาหัวเธอแล้ว ไงล่ะเจ้าขุนที่เธอหวังพึ่งพา ตอนนี้มันก็แค่เสือสิ้นลาย ไม่อยู่เป็นหอกข้างแคร่ แม้แต่คุณโชติรสยังทิ้งมันเลย”

มือบางจิกเนื้อจนเจ็บ เขียนจันทร์ทนดูตาแก่ร้ายกาจที่ทำตัวกร่างชนิดไม่รู้ขอบเขตคุณธรรมนี้แทบไมไหวอีกต่อไป “เสี่ยทำมันทั้งหมด เสี่ยมันก็แค่สิ่งมีชีวิตที่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน”

“นังเด็กบ้า!” มือป้อมยกขึ้นเงื้อสูงตั้งท่าจะฟาดลงบนแก้มเนียนของเขียนจันทร์

“อย่านะเสี่ย!” ดาวเดือนส่งเสียงปรามลั่น ออกมายืนขวางหน้าคนสองคนที่พร้อมรบพุ่งใส่กันอยู่รอมร่อ แม้เธอจะอยากแสดงกิริยาอย่างที่ลูกสาวแสดงออกไปต่อหน้าเสี่ยหลง แต่เธอก็ยังรู้จักควบคุม และคิดถึงความปลอดภัยในชีวิตมากกว่า

“ฉันขอบอกตรงนี้ เรื่องระเบิดอะไรนั่น ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือจะเรื่องยกลูกค้าให้โรงแรมคู่แข่ง ฉันกลับคิดว่ามันเป็นแผนการของเธอด้วยซ้ำไปนังเด็กเมื่อวานซืน สิ่งเดียวที่ฉันจะทำคือเล่นตัวบุคคล ฉันไม่เคยเล่นงานธุรกิจที่ฉันหวังไว้ให้มันเสียราคา”

นิ้วสั้นป้อมของเสี่ยหลงชี้กราดใส่หน้าเขียนจันทร์ที่มีมารดายืนเป็นเกราะกำบังไว้ เมื่อวันนี้การเจรจาไม่ได้ดั่งใจแน่แล้ว รวมทั้งมาเสียอารมณ์ หลงจึงได้แต่กัดฟันแล้วกลับไปโดยไม่กล่าวลาสักคำ

ทันทีที่พายุร้ายพัดผ่านไป เขียนจันทร์จึงผ่อนลมหายใจออกมาได้คล่องขึ้น หญิงสาวส่งสายตาขอโทษไปยังมารดากับการกระทำไร้สมองของตัวเองในคราวนี้ จะกี่ครั้งเธอก็ยากจะคิดได้ว่าต้องทำตัวอย่างไรต่อหน้าบุคคลที่เธอเกลียด คนที่คิดจะยึดธุรกิจครอบครัวของเธอ คนที่คิดทำร้ายถึงชีวิตกับพ่อแม่ รวมทั้งตัวเธอ จะให้เธอพูดดี คุยอย่างโปรดสัตว์ ปล่อยเสือร้ายที่คาบชิ้นเนื้อคนในครอบครัวเธอเข้าป่าอย่างนั้นเหรอ...เธอทนไม่ได้

“มีสติให้มากๆ นะเขียน ในวงการนี้เรายังต้องเจออะไรอีกมาก ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรในวงการธุรกิจหรอกนะลูก”

เขียนจันทร์นั่งลงหมดแรงบนโซฟาในห้องทำงานของมารดา ยกมือบีบนวดขมับหลังจากใช้พลังงานในการต่อสู้ศึกชั่วครู่ไปพอสมควร ข้อมูลที่ฝ่ายนั้นโยนใส่หัวเธอมา เขียนจันทร์ไม่รู้เลยว่าจะเชื่ออะไรได้บ้าง ระหว่างบุคคลฝั่งหนึ่งที่แสดงตัวอย่างเป็นมิตรกับเธอมาตลอด หรือจะฝั่งคนที่แสดงความร้ายกาจออกมา ที่บอกปัดความผิดล่าสุดนั้นว่าตนไม่ได้ก่อ แต่ทุกอย่างชี้ไปที่มิตรของเธอ

“เขียนสับสนค่ะแม่ ที่เสี่ยหลงพูดมาจริงไหมคะ”

“เรื่องอะไรเหรอเขียน” ดาวเดือนแตะไหล่บางของลูกสาวที่วันนี้คล้ายจะบอบบางไม่ตั้งตรงเท่าวันก่อนๆ

“เรื่องที่ลูกค้าเรายกเลิกงานแล้วไปหาดีเอส กับเรื่องที่คุณขุนถูกระเบิด เสี่ยหลงเขาบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เขียนจะเชื่อได้แค่ไหนคะ ที่แน่ๆ ที่เขียนกับพ่อแม่เกือบตายมาหลายครั้ง มันฝีมือของเสี่ยหลงแน่ๆ”

“แม่รู้แค่ว่าเรื่องลูกค้าเราย้ายไปดีเอสเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องอื่น เราคงต้องสืบหาความจริงกันต่อ ใครๆ ในตอนนี้ก็เชื่อไม่ได้ เราต้องค้นหาคำตอบกันเอง เราต้องเชื่อตัวเอง”

เขียนจันทร์ค้านคำแนะนำมารดาในใจ...เวลานี้ตัวเธอนั้นยากที่จะเชื่อตัวเองได้อีก คงเพียงความจริง ที่เธอจะเชื่อ ขอแค่ให้รู้เห็นชัดแจ้งด้วยตาคู่นี้ของเธอ

ประตูบานใหญ่เคาะทีเดียวก่อนจะเปิดออกพรวด สาวทะมัดทะแมงสวมกางยีนส์เก่า กระเป๋าผ้าพาดบ่ามาเลิกคิ้วมองบรรยากาศในห้องอันแปลกประหลาดด้วยความฉงน

“ภาพมาผิดเวลาหรือเปล่า” ภาพวิจิตรเดินมาใกล้พี่สาวและมารดาที่กำลังทำหน้าเครียดคล้ายมีใครบอกว่าตึกนี้กำลังระเบิดในไม่กี่นาทีข้างหน้า “ร่าเริงกันหน่อยสิคะ ภาพกลับมาบ้านแล้ว อยู่ได้แปบๆ เดี๋ยวต้องไปเข้าป่าต่อนะ”

พี่สาวผู้ไม่ร่าเริงเงยหน้าขึ้น ดวงตาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธออยากจะหาทางออกให้ได้โดยไวที่สุด และเธอก็ขอเชื่อคนในครอบครัวมากกว่าใครอื่น

“ภาพมาช่วยพี่ล้วงความลับคนหน่อยได้ไหม”

“ช่วย!” คนรักป่ารักต้นไม้ร้องเสียงหลง หดคอหนีด้วยความสยดสยองกับเกมธุรกิจอันบ้าเลือด เห็นพี่สาว พ่อแม่หวิดสิ้นชีพมาแล้ว เธอยิ่งขยาดวงการนี้

“กับคุณขุน พี่ยกหน้าที่นี้ให้ภาพ”

“ภาพจะไม่ตายใช่ไหม” ภาพวิจิตรเริ่มคิดว่าหัวข้อที่เขียนจันทร์หยิบยื่นมาให้อันตรายยิ่งกว่าเกมทางธุรกิจที่เธอไม่อยากยุ่งอีก

“พี่อยู่ด้วย ภาพไม่เป็นอะไรหรอก” เขียนจันทร์รับหน้าในศึกระหว่างรักษ์ชาติกับภาพวิจิตรมาจนหนังหน้าไฟอย่างเธอทนทานทุกสภาพศึก

น้องสาวสุดแสบยิ้มออก หน้าตาถูกอกถูกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่เขียนจันทร์วานให้เธอไปสืบเสาะแล้วเกี่ยวกับรักษ์ชาติ แต่ภาพวิจิตรคนนี้จะไม่ทำให้พี่สาวต้องผิดหวังเด็ดขาด...เพราะเธออยากเอาคืนรักษ์ชาติมานานนม หากในสี่พี่น้องใครที่ ‘กล้า’ เล่นแรงๆ เอาคืนชนิดไม่สนว่าฝ่ายนั้นจะเป็นลูกเจ้านายพ่อล่ะก็ เธอนี่ล่ะที่หนึ่ง

นิ้วโป้งปัดปลายจมูก หน้าเชิด รอยยิ้มมั่นใจประดับบนหน้ารูปไข่ “เชื่อมือไอ้ภาพได้เลยพี่เขียน”

“จะเล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ อีกหืม” ดาวเดือนมองบรรยากาศเครียดแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นวัยเด็กของสองสาวก็ค่อยคลายใจ

“เขียนจะไม่ยอมเป็นคนโง่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะลับหลังเด็ดขาดค่ะแม่”

ภาพวิจิตรหันมองพี่สาวด้วยความแปลกใจ หน้าตาหมายมาด และต้องรู้ พอจะตอกย้ำว่าในใจเขียนจันทร์อาจมีคำตอบบางอย่าง ขาดก็แต่คำยืนยันเท่านั้น

ถ้ามีคำยืนยันอะไรก็ตามเกี่ยวกับรักษ์ชาติ...พี่สาวเธออาจลุกขึ้นสู้แทนที่จะเป็นลูกไล่ คอยให้รักษ์ชาติข่มจนหงอ


มือบางบังคับพวงมาลัยเข้าสู่ถนนใหญ่ ความผิดหวังกัดกินใจยามที่เธอมาเยือนดีเอสทาวเวอร์แล้วพบว่าลัลริกาไม่ว่างออกมาต้อนรับ เลขาของลัลริกาบอกกับเธอว่าในเวลานี้โรงแรมดีเอสที่ปักกิ่งกำลังมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ซึ่งเธอไม่รู้ว่านั่นเป็นความจริง หรือข้ออ้างในการเลี่ยงไม่พบหน้าเธอ ช่วยไม่ได้ที่เขียนจันทร์คิดว่าเหตุผลในการไม่เจอกันครั้งนี้จะเป็นเหตุผลหลัง

“คนพวกนี้เขาทำอะไรกัน มาแย่งลูกค้าเราเฉยเลย” ภาพวิจิตรรับรู้สภาพปัญหาของจักรตรากูลในตอนนี้ พลอยเป็นกังวลไปด้วย

“พี่ให้นราค้นข้อมูลลึกกว่านั้น พบว่าชื่อผู้จองที่จองเข้ามา สามเจ้าใหญ่ๆ ที่ยกเลิกห้องจัดเลี้ยงเราไปเป็นลูกค้าเก่าของดีเอส ดิวงานกับทางนั้นมาสามสี่ปี และคนที่จ่ายเงินค่าเสียหายกับการผิดสัญญาเช่าที่ต้องจ่ายครึ่งหนึ่งก็คือดีเอส ที่พี่ไม่เข้าใจคือทำไมลูกค้าพวกนั้นต้องมาที่โรงแรมของเรา” เขียนจันทร์จดจ่อสมาธิอยู่บนท้องถนน “ก็จริงที่มันอาจเสียชื่อกับทางโรงแรมของเราบ้าง แต่เมื่อลูกค้าประจำของเราที่เชื่อมือจักรตรากูลมาตลอดโทรมาถามไถ่ถึงปัญหา เราอธิบายว่าโรงแรมยังปกติดี ข่าวที่ออกไปเป็นข่าวโคมลอย พวกเขาก็เชื่อ ไม่ได้ว่าอะไรอีก”

“เท่ากับเราไม่เสียลูกค้าหลัก”

เขียนจันทร์เหลือบมองน้องสาวที่เริ่มเข้าใจกระบวนการทำงานของธุรกิจโรงแรมขึ้นมาบ้าง “ไม่เสียขาหลัก แต่ก็เสียขาจรไปบางส่วน ถึงเราจะแก้ข่าวเรื่องระเบิดว่ามันเป็นข่าวโคมลอยไม่มีอะไรได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักเรียกขวัญ และความเชื่อมั่นของผู้พักกลับมา”

“พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย” ภาพวิจิตรวางมือไปบนท้ายทอย หลับตา ฟังเสียงนกร้องจากแผ่นซีดีที่ตนนำมาในเครื่องเล่นเพลงในรถ อ้าปากกว้างหาวหวอด ไม่ยกมือปิดปาก

“ตอนนี้เราก็ต้องประคองโรงแรมเราไปให้ดีที่สุด ถ้าลบข่าวแย่ๆ ลงไปได้ ความน่าเชื่อถือของโรงแรมเราก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

“พี่จะไม่กลับไปเป็นสัตวแพทย์แล้วเหรอ ภาพไม่อยากให้พี่เขียนทิ้งความฝันของพี่นะ”

สัตวแพทย์สาวหัวเราะในลำคอ มองน้องสาวช่างจำนรรด้วยความเอ็นดูยามที่รถเคลื่อนมาติดสัญญาณไฟแดง “ความฝันของพี่คือการเห็นครอบครัวมีความสุข ส่วนสิ่งที่พี่ชอบไว้หาเวลาทำเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้พี่ขอจัดการปัญหาตรงหน้าก่อน พี่ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลย ถ้าจักรตรากูลอยู่ตัว ภาพอาจจะได้เห็นพี่สวมบทบาทสองบทบาทก็ได้”

“ภาพจะช่วยให้พี่สวมบทบาทแบบนั้นได้เร็วๆ นะคะ” ภาพวิจิตรค่อยยิ้มออก มองถนนอันแสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ และบนรถที่กำลังมุ่งไปในเส้นทางที่เธอไม่รู้จุดหมายปลายทาง “ว่าแต่พี่เขียนจะพาภาพไปไหนคะ”

“พี่นัดคนสองคนไว้” ดวงตาของเขียนจันทร์ปราศจากความรู้สึก ภาพบางอย่างที่เธอสงสัยยังไม่รู้ความเป็นไปบดบังอารมณ์ความสุขเธอไปจนหมด ธุรกิจของครอบครัวถูกใครสักคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้นซึ่งเธอไม่รู้สึกพอใจเลย

...ไม่ว่าใครกำลังทำอะไรเบื้องหลังเธอ พวกเขาควรรู้ว่าเธอไม่ใช่คนนอก ไม่ใช่คนโง่ที่ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นเรื่องของเธอด้วยเช่นกัน ถ้าหากมันส่งผลร้ายต่อครอบครัว ใครหน้าไหนทำเธอก็ไม่อยากไว้หน้าทั้งนั้น

“ใครคะ” รถของเขียนจันทร์เลี้ยวออกนอกเมือง ความเร็วรถเพิ่มมากขึ้นตามพื้นที่ถนน ภาพวิจิตรเพิ่งมีโอกาสสังเกตว่าเขียนจันทร์คอยลอบมองกระจกมองหลังอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งจะเพิ่มความเร็วรถขึ้นจากเดิม เลี้ยวปาดซ้ายขวาหวิดหายมบาลตามคำร่ำลือที่เธอเคยได้ยินมารดาแอบบ่นมาให้เข้าหู “มีใครตามเหรอคะ”

“ลูกน้องคุณขุน”

“เอ๊ะ?”

“ภาพคิดว่าคนความจำเสื่อม มองไม่เห็น จะสั่งให้คนตามเราได้หรือไง แทนที่จะอยู่เฝ้าเจ้านาย” เมื่อถนนเริ่มโล่งรถราเริ่มน้อย ขับมาอีกสักพักเพื่อนร่วมเลนบนถนนกว้างใหญ่ก็เหลือรถที่แล่นต่อมาอีกเพียงสองคัน และกว่าภาพวิจิตรจะทันรู้ตัว พี่สาวผู้แสนเรียบร้อยของเธอก็เหยียบเบรก หมุนพวงมาลัยเต็มแรงให้แรงรถเหวี่ยงปัดข้าง ประจวบกับรถที่ตามมาห่างๆ แล่นมาจนเกือบประชิด เสียงล้อยางบดกับพื้นถนนเกิดเสียงดังลั่นแสบแก้วหู

เสียงนกร้องจากแผ่นซีดีในเครื่องเล่นขับกล่อมจิตใจคนสองคนในห้องผู้โดยสารไม่ได้อีกต่อไป ภาพวิจิตรต้องเร่งเปิดประตูรถตามพี่สาวที่หน้าตานิ่งเงียบ เย็นเยียบยามย่างสามขุมไปยังประตูฝั่งคนขับของรถที่ตามติดมา

ศดาธรเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แม้ในเวลาอื่นตนนั้นจะเก่ง และแกร่ง เอาตัวเองเป็นเกราะรับกระสุนแทนผู้เป็นนายได้โดยไม่เกรงกลัวมัจจุราช แต่ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับ ‘คนสำคัญ’ ของเจ้านายในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วน ซ้ำร้ายตนยังมีเรื่องใหญ่ปิดบังเจ้าหล่อน เห็นทีเงาหัวเขาคงได้ขาดก่อนเวลาอันควร

...ใครกันจะกล้าทำร้ายคนที่เจ้านายสั่งให้ดูแลถวายชีวิต

“คุณเขียน”

“เรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะ ไปพร้อมกันตอนนี้เลย ฉันจะไปหาพรึก กับคุณชาย ถ้าไม่อยากให้ฉันหนีเจ้านายคุณไปไหนอีก กรุณาทำตามที่ฉันต้องการ”

“คุณเขียนรู้ความจริงแล้ว?”

เขียนจันทร์กัดฟันกรอด ดวงตาหรี่มองด้วยความโกรธ ไฟในอกแล่นพล่านจนอยากจะตรงดิ่งไปฆ่ารักษ์ชาติให้ตายคามือ เธอก็แค่ปล่อยเหยื่อล่อความจริง ศดาธรผู้ไม่ทันระวังก็บอกให้เธอรู้

“ฉันเพิ่งรู้จากปากคุณก้องเมื่อครู่นี้เองค่ะ”

“ตายล่ะหว่า” คนสนิทรักษ์ชาติหน้าเสีย ไม่กล้าสบตาเอาเรื่องของหญิงสาวที่รักษ์ชาติเป็นห่วงยิ่งชีพ โดยเฉพาะคำสั่งของเขียนจันทร์ยามหันไปหาน้องสาว เหงื่อเม็ดเป้งก็ผุดบริเวณขมับศดาธรทันที

“ภาพ เธอยังเก็บไม้เบสบอลไว้อยู่ไหม”

“พี่เขียนจะเอาไปทำอะไรคะ” ภาพวิจิตรจำได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่เธอได้จับไม้เบสบอลคือเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นเธอลากไม้เบสบอลไปตีหัวรักษ์ชาติ แม้แรงเด็กจะยังไม่เยอะ แต่ก็เรียกเลือดจากหัวผู้ชายร้ายกาจที่ทำเธอเกือบจมน้ำตายได้ เขียนจันทร์กลายเป็นคนที่มารับผิดชอบในเวลานั้น พาผู้ชายตัวโตใจเสาะสำออยทำไม่มีแรง และขู่จะฟ้องพ่อหากว่าเขียนจันทร์ไม่แบกขึ้นหลังพาไปขึ้นรถที่จอดห่างออกไปไกล

เวลานั้นภาพวิจิตรยังเด็ก และถูกกันจากการรับผิดชอบ พอเขียนจันทร์กลับมา เทศนาเธอไปครึ่งชั่วโมง ก็ยึดไม้เบสบอลอันโปรดเธอไป และสั่งห้ามแตะมันอีก จนวันนี้เธอก็ยังไม่เคยได้สัมผัสไม้เบสบอลอีกเลย

“ทำเหมือนที่ภาพเคยทำเมื่อตอนนั้นไง คราวนี้พี่ให้ภาพทำได้เต็มแรงเลย”

“ภาพจะไม่ตายเหรอพี่เขียน เกิดไอ้พี่ขุนบ้าเลือดจับพวกเราหักคอจิ้มน้ำพริก...”

เขียนจันทร์ยิ้มมุมปาก ดวงตาที่เคยอ่อนแสง และสงสารในอาการคนเจ็บ บัดนี้ไร้ซึ่งความเห็นใจ “คนตาบอด...เขาจะไปรู้อะไร ว่า ‘ใคร’ ตีหัวเขา” ก่อนจะหันไปขอความเห็นบุคคลอีกหนึ่งที่กลายเป็นมนุษย์ที่นั่งบนไฟร้อนสุมก้น “จริงไหมคะคุณก้อง”

ศดาธรก้มหน้าหนีสายตาสองคู่ตรงหน้า โดยคู่หนึ่งนั้นศดาธรเผลอลงความเห็นในใจตนเงียบๆ ว่า...เขียนจันทร์ที่เอาจริงแบบนี้ รักษ์ชาติที่ว่าโหดอาจจะถึงคราวต้องยอม ‘อ่อนลง’ ให้สักทีก็ได้

“อย่าเล่นแรงกันถึงขนาดเรียกเลือดเลยนะครับ”

หญิงสาวของเจ้านายเชิดหน้าเมินใส่ เดินตรงไปยังรถของตัวเอง ไม่วายสั่งการเสียงเฉียบ “รีบๆ ตามมานะคะคุณก้อง อย่าให้ฉันแฉว่าคุณบอกฉันเรื่องความลับคุณขุน ถ้าไม่อยากเดือดร้อน อยู่เฉยๆ ปล่อยให้ฉันจัดการเขาเองเถอะค่ะ”

ศดาธรส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังน้องสาวของเขียนจันทร์ ฝ่ายนั้นยังทำหน้าอึ้ง ทึ่ง อ้าปากค้างล่อแมลงวันบินเข้าไปไม่หาย ภาพวิจิตรถึงกับรำพึงลับหลังร่างผู้เป็นพี่มุดกลับเข้าไปในรถเรียบร้อย

“รักษ์ชาติสองชัดๆ นิสัยมันถ่ายทอดทางอากาศได้ด้วยเหรอ”

คนฟังอีกหนึ่งยิ้มแหย เริ่มเห็นด้วยว่าพฤติกรรมโหดตรงหน้าคล้ายใคร ถึงว่าสิ ไอโหดลอยมาข่มเขาตั้งแต่ฝ่ายนั้นดริฟต์รถมาหยุดรถเขาแล้ว

...บางทีเขียนจันทร์อาจไม่ได้รับการถ่ายทอดพฤติกรรมนี้จากรักษ์ชาติหรอก แต่มันคงเป็นพฤติกรรมที่ถูกเจ้าตัวเก็บซ่อนไว้ลึก และรอคอยวันเปิดตัว

ในวันนี้มันคงถึงเวลาเปิดจอมมารทั้งสองออกมาชนกันสักที


“ทานเยอะๆ นะคะคุณชาย” เขียนจันทร์ตักผัดเปรี้ยวหวานสีสวยใส่ลงไปในจานบดินทร์ภัทรอย่างเอาใจ รอยยิ้มหวานประจบ ไหนจะยังน้ำเสียงหวาน การแสดงออกทั้งหมดเป็นไปอย่างธรรมชาติ และผู้ร่วมโต๊ะอีกหลายชีวิตก็มองการแสดงออกของทั้งคู่ด้วยความขลาดกลัวมากกว่าซึมซับบรรยากาศหวานเลี่ยน

ประกายพรึกกระแอมไอ ขอบตาข้างหนึ่งช้ำเพราะหลายชั่วโมงก่อนวิ่งหนีการไล่ล่าการตามหาความจริงของเขียนจันทร์ แล้วท้ายที่สุดก็ล้มไม่เป็นท่าจากฝีมือภาพวิจิตรที่ขว้างลูกเบสบอลมาอัดเต็มตาอย่างแม่นยำ หลังจากนั้นนาทีเค้นคอก็เกิดขึ้น

“มีอะไรติดคอเหรอพรึก” พี่สาวผู้ (เคย) ใจดีเงยหน้าขึ้นมาถามหน้าตาใสซื่อ เมื่อไร้คำตอบจากน้องชาย หญิงสาวจึงกลับมาสนใจเด็กชายตัวเล็กที่นั่งอีกข้างของเธอ “ลูกขุนครับ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมกินข้าวน้อยจัง”

“พ่อขุนไม่กิน ขุนก็ไม่กินครับ”

เขียนจันทร์ต้องเก็บอาการไว้ไม่ให้กลอกตาหน่ายต่อหน้ากองพัน สายตาของเธอต้องซ่อนความหมั่นไส้ระคนโกรธเคืองยามที่รักษ์ชาตินั่งนิ่งไม่ไหวติงตรงหัวโต๊ะ มือไม่แม้แต่จะเคลื่อนมาจับช้อนตักอาหาร ทำตัวเป็นมนุษย์เงียบที่มีปัญหาที่สุดตั้งแต่เริ่ม

“คุณขุนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“อึดอัด ฉันไม่ชอบพวกคนแปลกหน้า” วาจาช่างเอาแต่ใจทำคนฟังที่เหลือกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกโต ขนาดศดาธรและเกียรติยศที่ได้รับเชิญให้มานั่งร่วมโต๊ะก็รู้สึกทานอะไรไม่ค่อยลงตั้งแต่รู้ว่าถูกคุณเขียนจันทร์สั่งให้มาร่วมด้วย

“พี่เขียนกลับกันเถอะ เจ้าของบ้านไล่แล้ว” ภาพวิจิตรตรงข้ามกับคนอื่น เธอยังคงรื่นเริง และพร้อมโหมไฟในสงครามเย็นครั้งนี้ ทันทีที่เธอพูด ประกายพรึกถึงกับยื่นขามาเตะหน้าแข้งเธอจากใต้โต๊ะไปทีหนึ่ง “โอ๊ย!” ภาพวิจิตรถลึงตาใส่พี่ชายตัวดี “หมามันยื่นแข้งยื่นขายาว อย่าให้เผลอหลับเดี๋ยวย่องไปตัดขาฉับๆ ให้เป็ดกินเลย”

“น่ารำคาญ!” รักษ์ชาติตบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง หน้าตาหงุดหงิด “เขียน ฉันอึดอัด รำคาญคนพวกนี้ เหลือเธอกับลูกขุนไว้สองคนก็พอ”

ศึกสายเลือดยอมเลิกราชั่วคราว หันมาสนใจเจ้าบ้านหน้าแดงด้วยฤทธิ์ขุ่นเคือง หน้าตาแม้จะหันตรง พวกเขาก็รู้ว่าภายใต้แว่นดำ สายตาคู่นั้นต้องเหลือบมองมายังทางที่เขียนจันทร์นั่งอยู่ และเห็นว่าเขียนจันทร์ดูแลบดินทร์ภัทรดีแค่ไหน อาหารเกือบทุกคำในจานบดินทร์ภัทร เขียนจันทร์เป็นคนตักใส่ให้เอง แทบลืมเลือนคน (แกล้ง) ตาบอดว่าจะทานข้าวอย่างไร

“คนพวกนี้เป็นคนสำคัญของฉัน พรึก ภาพ ก็น้องของฉัน สองคนนั้นก็คนสนิทของคุณ ส่วนคุณชาย” เขียนจันทร์หันไปทำหน้าซึ้งให้คนอื่นได้ฟังกันชัดๆ “เขาเป็นแขกคนสำคัญของฉันค่ะ”

“ยังไงก็คนอื่น ฉันไม่ต้องการ เธอบอกจะดูแลฉัน แต่เธอไม่ทำตามที่ปากว่าไว้เลย”

“น้อยใจก็ไม่บอก” เขียนจันทร์พูดอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางอีกฝ่ายสะอึกและนิ่งเงียบลงได้ จึงยอมรามือ และตักอาหารใส่จานรักษ์ชาติอย่างจำยอม ถึงจะทะเลาะ และตั้งใจรบพุ่งใส่เขาแค่ไหน เธอก็อยากสู้กับคนสมบูรณ์พร้อม (ในการเจ็บกาย)

“กินไม่ได้”

“ทำไมล่ะคะ” น้ำเสียงเขียนจันทร์เริ่มฉุนนิดๆ เธออุตส่าห์ยืดมือตักอาหารส่งใส่จานให้เขาแล้วแท้ๆ

“มองไม่เห็นช้อน เธอจะตอกย้ำว่าฉันตาบอดหรือไง”

“อ้อ” เขียนจันทร์ลากเสียงยาว ดวงตาส่องประกายวาววับเอาเรื่อง ผู้ร่วมโต๊ะอาหารคนอื่นๆ พลอยชะงัก ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งอีก “คุณก้องคะ ป้อนข้าวเจ้านายคุณทีสิคะ เขาจะหิวเอา”

“ถ้าเธอไม่ป้อน ฉันก็ไม่กิน”

น้ำเสียงห้วนจัด กับการลุกพรวดพราด ทำให้คนอื่นเผลอสูดหายใจลึก เขียนจันทร์ยังมีทีท่าที่สงบ และเยือกเย็นมากกว่าเดิม ร่างระหงลุกขึ้นตาม นึกอยากจะส่ายหัวให้กับผู้ชายที่นิสัยเสียที่สุดในโลก หากว่ามันจะทำให้เธอหมดสนุกเร็วเสียก่อน...ใช่แล้ว ความลับเรื่องที่เธอรู้ความจริงแล้วนั้นจะต้องปิดต่อไป เธอจะรอดูว่าคนโกหกไม่แนบเนียนอย่างรักษ์ชาติจะหลุดอะไรมาให้เธอรู้อีก

อยากตาบอด ความจำเสื่อมนักก็ทำมันไปได้เลย...สองสิ่งนี้จะทำให้เธอเป็นต่อเขาขึ้นมาบ้าง

“คุณนี่มันเด็ก ฉันแค่อยากให้คุณฝึกการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ถ้าฉันจับช้อนใส่มือคุณ ฉันก็ต้องป้อนข้าวให้คุณทานไปตลอดชีวิต ไม่เอาเปรียบฉันไปเหรอคะ”

รักษ์ชาติผินหน้ามาทางเขียนจันทร์ที่ยืนชิดด้านหลัง “ฉันยังไม่ชิน”

“วันนี้ไม่ชิน เพราะคุณไม่เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่วันนี้ ถึงคุณจะความจำเสื่อม” เขียนจันทร์เชิดหน้า เผลอลงเสียงใส่น้ำหนักกระทั้นนิดๆ อย่างช่วยไม่ได้ “แต่นิสัยคุณไม่เปลี่ยน ยังพาล เอาแต่ใจ เผด็จการ คุณไม่รู้หรอกว่าคนแบบคุณมันเป็นมลภาวะในสังคมมากแค่ไหน คุณมีลูก ควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก...เข้าใจไหม”

“ลูกขุน” รักษ์ชาติเรียกหาลูกชาย ไม่นานเด็กชายก็รีบตรงมาหยุดตามคำเรียกของบิดาที่ยื่นมือออกไป ให้เด็กน้อยจับไว้ “พาพ่อกลับห้องที”

“พ่อขุนกับแม่เขียนทะเลาะกันเหรอครับ” เด็กน้อยตรงกลางทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ “อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ แม่เขียน....อย่าโกรธพ่อขุนเลยนะครับ” มือเล็กยื่นมากระตุกมือของเขียนจันทร์เขย่าเบาๆ อย่างอ้อนวอน

น้ำเสียงเล็กสั่นเครือ กอปรกับมือนุ่มที่เขย่าเรียกความเห็นใจจากเขียนจันทร์ได้มากโข หญิงสาวย่อตัวลงเพื่อลูบไรผมของกองพันอย่างทะนุถนอม

“คนเราจะมีเหตุผลในการให้อภัย หากเขารู้จักไม่ทำผิดพลาดซ้ำๆ ซากๆ นะครับ” เขียนจันทร์ช้อนตามองคนตัวโตที่ยืนนิ่งเงียบ ต้องใช้อารมณ์ด้านดีมากมายมากลบความรู้สึกโกรธในใจ “พ่อขุนความจำเสื่อม เขาจำพฤติกรรมที่ผ่านมาของตัวเองไม่ได้ แม่จะถือว่านี่เป็นพฤติกรรมเสียครั้งแรกของเขา หากเขาทำผิดซ้ำๆ นิสัยเสียแบบนี้อีกครั้ง แม่เขียนคงทนอยู่ร่วมกับพ่อขุนของลูกขุนต่อไม่ได้นะครับ มนุษย์เราต้องหาที่ที่อยู่แล้วสบายใจกับตัวเองที่สุด...จริงไหมครับ”

ประกายพรึกกับภาพวิจิตรปรบมือไร้เสียงใต้โต๊ะด้วยความยินดี ศึกในครั้งนี้เขียนจันทร์ตอบโต้อย่างคนมีสติ ไม่โวยวายปึงปัง และปล่อยหมัดเด็ด คล้ายยื่นคำขาดออกไป แม้วาจาจะกล่าวสนทนากับกองพันก็ตาม...ในเมื่อรักษ์ชาติไม่ได้มีปัญหาทางการได้ยิน ยังไงก็ต้องรับฟังความหมายในใจความนั้นครบถ้วน

“ฉันไม่หิวแล้ว ลูกขุนพาพ่อกลับห้อง”

“ไม่หิวก็ต้องกินค่ะ” เขียนจันทร์ลุกขึ้น จูงมือคนเจ้าอารมณ์ ดันให้กลับมานั่งเก้าอี้ดังเดิม “ถ้าคุณไม่กิน...ลูกขุนก็จะไม่กิน ฉันห่วงลูกขุน มากกว่าคุณเสียอีก”

“ไม่ต้องมาสนใจฉัน แค่นี้ฉันไม่ตายหรอก”

เขียนจันทร์มองค้อนคนช่างประชด ก่อนทำใจตัวเองให้ร่มๆ เมื่อจับมือใหญ่ไว้ในกำมือ และพาไปจับบนช้อนยาว “ฉันจะทำให้คุณแบบนี้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่าย่ามใจว่าฉันจะใจดีกับคุณมากนะคะ พวกสัตว์พิการที่ฉันเคยเจอ พวกเขาไม่มีขา แต่ยังพยายามเคลื่อนไหวให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่พยายามเป็นภาระใคร แต่คุณไม่มีความคิดพึ่งพาตัวเองอยู่ในหัวเลย”

ยิ่งปกติดีทุกอย่าง ยังหน้าหนามาหลอกคนอื่นอีก

“ฉันไม่ใช่สัตว์ในความดูแลของเธอ เธอบอกจะดูแลฉันให้ดี แล้ววันนี้คืออะไร...เธอโกรธอะไรฉัน หรือว่า...” รักษ์ชาติหยุดไปอย่างครุ่นคิด และก่อนจะนึกออก เขียนจันทร์ก็ป้อนข้าวเข้าปากรักษ์ชาติให้ขัดความคิดของเขา

“ฉันแค่ไม่ชอบนิสัยเสียของคุณ ถ้าเกิดฉันลุกขึ้นมาเลียนแบบนิสัยคุณขึ้นมาบ้างคุณชอบหรือไง”

รักษ์ชาติกลืนข้าวลงคอ ยิ้มขำกับวาจาที่ออกมาจากริมฝีปากสีสวยที่ยกขึ้นบูดบึ้ง แต่ก็ยังน่ามอง “เอาสิ...ฉันว่าเธอเป็นยังไงฉันก็ยังชอบ” รักษ์ชาติลอยหน้าลอยตาต่อประโยค อยากจะถอดแว่นดำที่อำพรางสีผิวที่แท้จริงของคน เขาอยากเห็นผิวหน้าเขียนจันทร์ว่ายามนี้จะขึ้นสีอะไร “ฉันเชื่อว่าตัวเองรู้จักเธอดีทุกมุม...ความรู้สึกของฉันมันบอกอย่างนั้น”

หน้าตาอมยิ้มของทุกคนบนโต๊ะทำให้เขียนจันทร์ยิ่งบึ้งตึง ถึงหัวใจเธอจะอุ่นวาบ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกนั้น แต่ภาพที่เขาโกหก หลอกลวงเธอก็ยังประทับในใจ...หากเธอสำคัญต่อเขาจริง เพราะอะไรถึงยังไม่บอกความจริงให้เธอรู้

รั้งให้เธออยู่ต่อ เรื่องนั้นพอเข้าใจได้ แต่ในเมื่อเวลานี้เธอไม่ได้จะไปไหนอีก...เขายังไม่คิดจะบอกความจริงให้รู้กันอีกเหรอ

เขามันนิสัยเสียจริงๆ

“เอาผัดเห็ดด้วย”

“รู้ได้ไงว่ามีผัดเห็ดคะ” เขียนจันทร์ทำหน้าเหลือเชื่อ น้ำเสียงสูง หมั่นไส้คนสั่งการเต็มประดา

“จมูกฉันได้กลิ่นนี่ เอาไอ้ที่กลิ่นเหมือนเห็ดนะ ฉันกินเสร็จ เธอจะได้พาฉันไปเดินเล่นต่อ”

“พูดเองเออเองเสร็จสรรพไม่ถามพี่เขียนสักคำ” ภาพวิจิตรยื่นหน้ามาพูด

เขียนจันทร์กลั้นหัวเราะกับการแกว่งปากหาเรื่องรักษ์ชาติ ยอมไม่จับผิดคนตาบอดไม่เนียน ด้วยการตักผัดเห็ดมาป้อนใส่ปากตามที่เขาต้องการ เขียนจันทร์นึกสงสัยตัวเอง หลายๆ ครั้งที่รักษ์ชาติแสดงพิรุธออกมา แต่เธอก็ไม่เคยติดใจสงสัย เพราะคิดว่าคนอย่างเขาคงไม่มานั่งโกหกอะไรกับเธอด้วยเรื่องใหญ่โตขนาดนี้

แต่ตอนนี้สิ่งที่หญิงสาวสงสัยมีอยู่สองอย่าง การโกหกครั้งนี้เขาโกหกเธอ เพราะอยากรั้งเธอไว้ หรือมันเป็นความบังเอิญที่เขาต้องการหลอกตาเสี่ยหลง และเธอยังพอมีประโยชน์ที่เขาจะหลอกไว้เพื่อใช้งานต่อไปได้

ไม่ว่าเหตุผลไหนเขียนจันทร์กลับเชื่อว่าเธอไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุดในใจรักษ์ชาติ หากสำคัญจริง เขาจะไม่มีวันโกหกเธอจนถึงวันนี้ ในขณะที่ทุกคนรอบข้างเธอต่างรู้กันหมด...บางที แม้แต่วาดตะวัน อาจจะรู้ความจริงของรักษ์ชาติไปแล้วก็ได้

“น้องขุนครับ มากินข้าวด้วยเร็ว เห็นไหมพ่อขุนยอมกินข้าวแล้ว”

กองพันกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ตักอาหารด้วยหน้าตาเบิกบานมากขึ้น เขียนจันทร์ก็รู้ว่าที่เธอยังอดทนต่อนิสัยผู้ชายเสียมากๆ คนหนึ่งนั้นเพราะใคร...เด็กชายตัวเล็กน่ารักคนหนึ่ง ส่วนเรื่องของหัวใจ แม้จะเพิ่งรู้ตัวว่ารัก...ก็ใช่ว่าจะเลิกไม่ได้

ถ้าหากว่าหัวใจมันจะเหนื่อยเพราะรักษ์ชาติเกินไป เธอก็พร้อมจะถอยออกมาทุกเมื่อเช่นกัน


................................................................

คุณ konhin เขียนดูเป็นประเภทเจ็บแล้วไม่จำนะคะ แต่ก็เริ่มมีบทเรียนบ้างแล้ว อย่างนี้ต้องมีเอาคืน อิอิ

คุณ ใบบัวน่ารัก เขียนเคลียร์ได้หนึ่งเรื่องแล้วค่ะ ฮา คนโกหกถูกจับได้แล้ว

คุณ yimyum มารอดูว่าขุนจะบอกยังไงนะคะ เพราะคราวนี้คนที่หลอกว่ายังไม่รู้เป็นเขียนแทน ฮา

คุณ ร้อยวจี เขียนๆ เรื่องนี้ไปก็เกือบลืมเลยค่ะว่าเคยเขียนนิยายหวานมากๆ มาก่อน จะไปรวบรวมน้ำตาลกลับมาใส่ให้ได้แน่นอน แต่คงเป็นน้ำตาลรสเผ็ด ฮา

คุณ อัศวินนภา อยากให้เขียนทิ้ง แล้วจบด้วยบวชชีใช่ไหมคะ เจ้าขุนได้ระเบิดวัดฉุดนางไปกกในถ้ำแน่ๆ ตอนหน้าจะได้เห็นขุนเปลี่ยนแปลงแน่นอน รออีกนิดนะคะ

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านนะคะ ตอนหน้าจะเริ่มโปรยน้ำตาลสักที หลังดาร์กกับพ่อพระเอกโหดมานาน

ป.ล. เวลาอ่านเรื่องนี้แล้วเปิดเพลง ผู้ชายนิสัยไม่ดี ของ 123Soul ฟังดู อาจจะเข้าใจขุนมากขึ้นค่ะ ฮา (ช่วยเจ้าขุนเต็มที่)



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2557, 01:16:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2557, 13:18:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1885





<< บทที่ 17 : ความจริงในใจของคนโกหก   บทที่ 19 : รู้ตัว >>
konhin 8 มิ.ย. 2557, 04:16:34 น.
เขียนใจอ่อนเกินไปอ่ะ เฮ้อ


ใบบัวน่ารัก 8 มิ.ย. 2557, 05:54:15 น.
เขียนพึ่งรู้ว่ารัก วิ้วววววววววววว
ทานข้าวมื้อสุดท้ายให้อร่อยนะเจ้าขุน


ร้อยวจี 8 มิ.ย. 2557, 06:55:24 น.
เอาคืนแค่เบาะๆ พอนะคะ อย่างเผ็ดมาก อยากเห็นคนคู่นี้เข้าใจกันเร็วๆ


yimyum 8 มิ.ย. 2557, 11:29:22 น.
แหม.....ทั้งวาด ทั้งเขียน 2 คนนี้นี่โหดจริ๊งงง


อัศวินนภา 8 มิ.ย. 2557, 13:35:33 น.
เจ้าขุนเอ่ยคำอะไรมาฺผิดหมด การกระทำก็ผิด แต่ทั่งหมดนี้อ่ะ "รักเขียน" แต่ขอร้องเหอะเจ้าขุนอย่าหลอกลวงคนที่นายรักเลย มีแต่เจ็บนะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 9 มิ.ย. 2557, 03:44:52 น.
ดูเจ้าขุน จะถืออำนาจเบ็ดเสร็จมากไปนะคะ
คิดจะช่วยเหลือบ้านน้องเขียนทั้งที ไม่มีปรึกษาแม้กระทั่งญาติผู้ใหญ่ เลยเหรอคะ ทำงานข้ามหน้าข้ามตา สั่งการลับหลังแบบนี้ บางทีก็อาจจะไม่ต่างจากเสี่ยหลงเท่าไหร่นะคะ
แย่จัง ตั้งกะอ่านเรืาองนี้มา ยังไม่ได้ชื่นชมเข้าขุนเล้ยยย ไรเตอร์อย่าโกรธน้า เค้าอิน 555
แอบลุ้นอยุ่ตลอดว่าเรื่องราวจะหายนุงนังซักที แต่... ดูท่าจะยังไม่ ><


ผักหวาน 18 มิ.ย. 2557, 16:15:13 น.
น่าหมั่นไส้จริงๆ พี่ขุน เอาลูกมาเป็นเบ๊จนได้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account