UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 19 : รู้ตัว

บทที่ 19

“น้องเขียนเหนื่อยไหมคะ”

เขียนจันทร์เงยหน้าจากแปลงดอกไม้ที่เธอกำลังวุ่นในการนำดอกไม้ในถุงเล็กปลูกลงดินหลังจากวานให้ศดาธรและเกียรติยศไปหาซื้อมาให้ กุหลาบสีแดง สีชมพู และมะลิที่กำลังออกดอกเล็กสีขาวส่งกลิ่นหอมช่วยให้บรรยากาศในบ้านสองชั้นหลังนี้ไม่เงียบเหงา และจืดชืดเกินไป เธอคิดว่ามันน่าจะทำให้กองพันได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นได้

“แค่ปลูกต้นไม้ฉันไม่เหนื่อยหรอกค่ะ”

“เขียนก็รู้ใช่ไหมคะว่าพี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องปลูกต้นไม้ เรื่องคุณขุนน่ะค่ะ น้องเขียนเหนื่อยหรือเปล่า”

หญิงสาวก้มหน้าลงจดจ่อกับกองกุหลาบอีกครั้ง สายตาเหลือบมองที่มาของเสียงหัวเราะสนุกสนานของกองพันที่กำลังวิ่งเล่นโยนบอลกับประกายพรึก และภาพวิจิตร มีรักษ์ชาตินั่งเอนหลังอยู่ไม่ไกล ความรู้สึกหน่วงแปลกๆ ในอกก็กลับมาสำแดงเดช

“เหนื่อย แล้วฉันจะทำอะไรได้คะ ในเมื่อฉันทิ้งน้องขุนไปไม่ได้”

บดินทร์ภัทรเข้าใจความรู้สึกของเขียนจันทร์ดี แต่อีกอย่างที่เขียนจันทร์บอกมาไม่หมดน่าจะเกี่ยวกับความรู้สึกภายในที่เจ้าตัวรู้สึกต่อรักษ์ชาติ

“มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะคะ”

“ขอบคุณนะคะ” เขียนจันทร์ยิ้มให้บดินทร์ภัทรอย่างเบิกบานขึ้น มือของทั้งสองคนเริ่มพรวนดินในแปลงดอกไม้

“เฮ่ย!” เสียงน้องทั้งสองของเธออุทานลั่นเรียกความสนใจคนปลูกดอกไม้ให้ต้องหันไปมอง เสียมในมือเขียนจันทร์ร่วงหลุดมือ ร่างระหงลุกพรวดพราดขึ้นอย่างตกใจเมื่อซอยเท้าวิ่งตรงไปยังคนที่นอนราบไปกับพื้น กุมหน้าผากที่มีเลือดไหลผ่านหว่างคิ้วอย่างน่ากลัว เขียนจันทร์มองไม้เบสบอลที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้ารักษ์ชาติด้วยความวิตก

“เกิดอะไรขึ้นภาพ” น้องสาวตัวต้นเหตุเดินหน้าจ๋อยมาหา เกาะหลังพี่ชายอย่างหวาดหวั่น แต่ก็ยังเยี่ยมหน้าออกมาสารภาพอย่างสำนึกผิด

“ไม้หลุดมือ แล้วไม่คิดว่าจะไม่หลบ คนตาบอดประสาทหูน่าจะดีกว่าปกติ ได้ยินเสียงไม้แหวกอากาศมาสิ ทำไมไม่หลบก็ไม่รู้”

“แก้ตัว” ประกายพรึกหันไปเขกมะเหงกใส่หัวน้องสาวทีหนึ่ง มองพี่สาวประคองคนโดนไม้ฟาดหน้าขึ้นมา รักษ์ชาติยกมือกุมศีรษะที่ชุ่มเลือด ไม่ยอมเอนตัวไปให้เขียนจันทร์ดูแผล

บดินทร์ภัทรวิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาลในรถแล้วกลับเข้ามา และมาถึงตัวรักษ์ชาติได้อย่างรวดเร็ว
“ให้คุณชายดูแผลหน่อยนะคะ เลือดออกขนาดนี้”

“เธอก็ออกไปก่อนสิ เดี๋ยวเลือดฉันเปื้อนเสื้อเธอ” คนมีความลับใหญ่ปิดบังเกรงว่าจะต้องถอดแว่นอุบอิบบอกปัด ใครจะบอกได้ว่าในช่วงเวลาที่ไม้เบสบอลบินมาฟาดหัวเขานั้น สายตาเขาก็มัวแต่ไปมองที่เขียนจันทร์กับบดินทร์ภัทร ไม่ทันระวังตัว

เขียนจันทร์ผลักคนตัวโตที่เธอประคองอยู่ให้กลับไปนอนเท้งเต้งบนพื้นเก้าอี้เอนหลัง ลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิด “รีบๆ ตายไปก็ได้นะคะ เลือดจะได้ไม่กระเด็นมาเปื้อนฉันอีก” อารมณ์โกรธปะทุในอกมากขึ้น และก่อนจะทันลุกหนี มือหนาก็รั้งข้อมือเธอไว้ได้ทัน

“ฉันขอโทษ อย่าเพิ่งไปเลยนะ”

คนถูกรั้งนั่งลงที่เดิมด้วยหน้าตาบูดบึ้ง มือของรักษ์ชาติก็กำรอบข้อมือไว้ไม่ยอมปล่อย ขณะที่ให้บดินทร์ภัทรเริ่มจัดการดูแผลตรงหน้าผาก ภาพวิจิตรกับประกายพรึกพากองพันไปดูแลในบ้านทั้งที่อยากมาดูอาการพ่อขุน แต่ภาพน่ากลัวแบบนี้ผู้ใหญ่ก็ไม่อยากให้เด็กเห็นแล้วติดตา ซึ่งกองพันก็ยอมเข้าใจได้โดยง่าย

บดินทร์ภัทรห้ามเลือด และลงมือใส่ยา ก่อนจะปิดแผล เพราะแผลไม่ได้ลึกอะไรมาก เขียนจันทร์เผลอเป็นฝ่ายกุมมือหนาไว้ยามที่มองแผลเล็กบนศีรษะของรักษ์ชาติ มือเผลอเย็นเฉียบจนรักษ์ชาติต้องบีบตอบกลับมา

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เหมือนมดกัด”

“มดยักษ์เหรอคะ เลือดอาบขนาดนี้ มดสายพันธุ์ไหนฉันจะได้ให้เพื่อนมาทำการศึกษาด้วย”

เสียงห้าวหัวเราะตอบกลับมา เล่นให้คนพูดต้องมองค้อนขวับ นึกแปลกใจที่รักษ์ชาติขำสนุกกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ ปกตินั้นเธอไม่มีทางได้พบเจอมุมแบบนี้ของเขาเท่าไหร่

“ฉันนิสัยไม่ดี แล้วทำไมเธอถึงยังอดทนกับฉัน”

บดินทร์ภัทรละมือจากบาดแผลที่ปิดผ้าสนิท เก็บอุปกรณ์ลงกล่องเรียบร้อย แตะศอกเขียนจันทร์เป็นเชิงลา ก่อนจะจากไปเงียบๆ เปิดโอกาสให้คนสองคนได้พูดคุยกัน

“ฉันอดทนเพราะลูกขุนค่ะ ถ้าไม่มีลูกขุน บางทีฉันอาจจะเลิกยุ่งกับคุณไปตั้งนานแล้วก็ได้ ไม่มีใครอยากให้ตัวเองเสียความรู้สึกบ่อยๆ นะคะ คุณนอกจากไม่เคยสร้างความรู้สึกดีๆ ยังขยันทำลายหัวจิตหัวใจของคนอื่น ฉันว่าพี่วาดเป็นคนเดียวที่คุณให้เกียรติ ไม่ทำลายความรู้สึกกันนะคะ”

“ฉันรู้สึกตัวเองเป็นบ้าทุกครั้งที่เธอเมินใส่ รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายเวลาที่มองกลับไปไม่เห็นเธอ...แต่วาดตะวันทำให้ฉันเป็นแบบนั้นไม่ได้”

เขียนจันทร์เม้มปากไม่ให้มันคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ทั้งที่หัวใจมันกำลังรัวกลองในจังหวะแปลก น่าแปลกที่เธอคิดว่าโกรธเขา และอยากเอาคืนให้เจ็บแสบที่สุด แต่ประโยคยาวยืดที่ว่ามานั้นมันกำลังทำให้เธอลอย รู้สึกว่าตัวเอง...สำคัญ

“ของสำคัญคุณต้องประคับประคอง ดูแล เหมือนแก้วที่มีค่า ไม่ใช่ตระกองกอด บีบรัดแน่นจนแก้วมันแตกนะคะ ความรู้สึกของคนก็เหมือนกัน คุณต้องใช้หัวใจคิดก่อนทำ คิดถึงอีกฝ่ายให้มากๆ ว่าเขาจะรู้สึกยังไง ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคะที่จะเข้าใจในการกระทำของคุณ...ฉันเองยังไม่เคยเข้าใจเลย ว่าคุณทำไปเพราะเกลียด ไม่ชอบฉัน หรือแค่เด็กหวงของ”

“เธอจะอดทนอีกนิดได้ไหม ให้เวลากับฉัน ฉันอยากจะเป็นคนที่ดีของเธอ” รักษ์ชาติหลับตา ขณะที่มือยังกุมมือข้างหนึ่งของเขียนจันทร์วางตรงส่วนของหัวใจ “ฉันมีแค่เธอนะ”

รอยยิ้มที่เก็บซ่อนบนปากสีเชอร์รี่ในที่สุดก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมา ท่าทางที่อ่อนลงของรักษ์ชาติคล้ายเด็กที่กำลังอ้อนวอนขอความรักแม้จะไม่มีคำว่ารักพูดออกมา หรือจะการวางมือเธอให้สัมผัสอกด้านซ้ายที่มีหัวใจของเขาส่งเสียงระรัวอยู่ใต้ฝ่ามือเธอ มันช่วยไม่ได้เลยที่เขียนจันทร์จะต้องยิ้มออกมา

มีคนว่ากันว่าจังหวะของหัวใจแสดงออกชัดเจนยิ่งกว่าคำพูด หรือการแสดงออกที่อำพรางไว้ได้ แต่เสียงของหัวใจมันถูกควบคุมด้วยความรู้สึก สมองสั่งให้หัวใจเต้นแรงโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

มือข้างที่ว่างของเขียนจันทร์เอื้อมมาลูบไรผมที่ปรกหน้าผากรักษ์ชาติอย่างเบามือ พยายามไม่ให้มันสะเทือนไปถึงแผล “คุณเจ็บไหม ทำไมไม่หลบนะ คุณน่าจะรู้ว่าภาพน่ะนักแม่น โยนอะไร ตีอะไรก็เข้าเป้าทุกครั้ง เคยโดนมาแล้วครั้งหนึ่งคุณจำไม่ได้เหรอ”

“เธอลืมเหรอว่าฉันมองไม่เห็น จำไม่ได้”

จังหวะการลูบผมชะงัก เขียนจันทร์นึกอยากเปลี่ยนมือที่ลูบเป็นกำปั้นเขกแรงๆ ใส่คนช่างโกหก หากไม่เห็นว่าภาพวิจิตรที่คงนึกอยากลองของคนโกหกด้วยการเหวี่ยงไม้มาใส่ แต่ไม่รู้ทำไมรักษ์ชาติจึงไม่หลบ...ถือว่าเจ็บตัว ครั้งนี้เธอจะไม่ไล่ต้อนเขา

“ช่างเถอะค่ะ ฉันเองก็เกือบจะลืมว่าคุณความจำเสื่อม มองไม่เห็น” วาจาเรียบเรื่อยแฝงความแดกดัน แต่มันคงปกติเกินไปจนรักษ์ชาติไม่ทันสังเกต

รักษ์ชาติปิดปากเงียบ ไม่ตอบโต้อีก เขียนจันทร์ลดมือลงข้างตัว ถึงเธอไม่ถามจี้ เขาก็น่าจะบอกด้วยตัวเอง และเธอจะรอดูว่านานแค่ไหนกว่าที่รักษ์ชาติจะเปิดปาก

“ฉันจะไม่หนีปัญหาไปไหนอีก จากนี้มีอะไรฉันจะสู้ ต่อให้มีปัญหาหนักแค่ไหน การแก้ปัญหา และก้าวผ่านมันไปให้ได้คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันจะเติบโตขึ้น ให้คนที่คอยช่วยเหลือฉันรู้ว่าฉันแกร่งพอ”

คนคอยช่วยเหลือขยับตัวเปลี่ยนท่า รู้สึกพนักที่พิงร้อนขึ้น โดยเฉพาะยามที่เขียนจันทร์พูดปิดประโยค “ฉันไม่ชอบเป็นคนโง่ คนอ่อนแอที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวอะไรเลย...ทั้งที่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉัน”

“ฉันเองก็คงแปลก ใครที่สำคัญกับชีวิตฉัน ฉันไม่อยากให้มีเรื่องร้ายมาแผ้วพานกับเขา แม้แต่ในความคิด ให้เขาเกลียดฉัน ไม่เข้าใจฉัน ดีกว่า แต่ถ้าเขายังปลอดภัย ยังใช้ชีวิตได้ปกติสุข ถึงฉันตาย มันก็คุ้ม”

คำว่าตายจากปากรักษ์ชาติมีผลกระทบกับจิตใจของเขียนจันทร์อย่างรุนแรง หญิงสาวอดนึกถึงการจากไปของพระจันทร์ขึ้นมาไม่ได้ พระจันทร์แม้จะเป็นเพียงม้า เป็นสัตว์สี่เท้า แต่สำหรับเธอที่พบพระจันทร์มานานกลับรู้สึกว่าพระจันทร์เป็นครอบครัวของเธอ เป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ที่ได้จากไปหลังทะยานเข้าสู่เส้นชัยในลมหายใจเฮือกสุดท้าย วันนั้นเธอเจ็บปวดขนาดไหนทำไมจะจำไม่ได้

และสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่ร้ายกับเธอสารพัด แต่การกระทำหลายๆ อย่างของเขาก็คอยบอกว่าเขาหวังดีกับเธอ ถึงการแสดงออกของเขาจะเลวร้าย และคล้ายคนแสดงความรู้สึกดีๆ ออกมาไม่เป็น ถึงเธอจะโกรธ แต่ไม่เคยเกลียดได้จริงๆ เหนื่อยใจแทบตาย แต่มันก็มักไม่เข็ดหลาบ คล้ายผู้หญิงที่ชอบความเจ็บปวด ทนทานต่อทุกสถานการณ์ที่รักษ์ชาติทำร้ายใจกัน

แต่เปล่าเลย...แรกเริ่มเธออดทนเพื่อกองพันก็จริง แต่ในวันนี้หัวใจเธอกำลังอดทนเพื่อเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทนรับความร้ายกาจของรักษ์ชาติไปได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ให้ตายจากกันนั้น...มันโหดร้ายเกินไป

“มนุษย์เราถ้าคิดจะเสียสละตัวเอง สู้เสียสละเวลาของชีวิตเพื่อจะสุขทุกข์ร่วมกันไม่ดีกว่าเหรอคะ สุขก็สุขด้วยกัน หากจะทุกข์ก็พร้อมจับมือกันก้าวผ่าน แต่ถ้าคุณทำให้ฉันไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำอะไรให้ฉันทั้งนั้น ฉันไม่ได้ต้องการฮีโร่ ฉันต้องการแค่คนๆ หนึ่งที่เข้าใจฉัน” เขียนจันทร์มองคนดื้อที่ยังปิดปากไม่บอกความจริงทุกๆ เรื่องที่เขาปิดบังเธอด้วยสายตาเจ็บปวด “คุณเคยบอกว่าคุณรู้จักฉันดี...รู้จักแต่ไม่เข้าใจ มันก็ไปไม่ถึงหัวใจหรอกนะคะ ความพยายามของคุณมันพังลงตั้งแต่ผลยังไม่ออก”

“ฉันควรจะนำคำของเธอไปบอกกับใครดี” รักษ์ชาติลุกขึ้นนั่งถามกวน หน้าตาอันมีพิรุธหลังกรอบแว่นไม่พยายามทำความเข้าใจนั้น...เขาไม่อยากคิดว่าเขียนจันทร์จะรู้ความจริงของเขาเข้าแล้ว

“คนที่หลับใหลอยู่ในตัวคุณ คนๆ นั้นเขาไม่เคยตื่นขึ้นมาเพื่อจะฟังความต้องการของฉันเลย เขารู้จักฉันแค่ปากว่าอย่างเดียว”

รักษ์ชาติยิ้มออกมา ลุกขึ้นยืนโดยฉุดให้ร่างที่เขาไม่อยากให้ห่างกายลุกตาม ก่อนจะดึงเข้ามากอดไว้แนบอก ลูบศีรษะนุ่มอย่างเบามือ ทะนุถนอมที่สุดเท่าที่เคยทำมา

“ฉันรับรู้แล้ว...ที่ผ่านมาทั้งหมด ให้อภัยผู้ชายนิสัยไม่ดีอย่างฉันได้ไหมเขียน ฉันไม่อยากหลับใหลอีก”

มือบางเลื่อนมากอดตอบ พิงศีรษะกับแผ่นอกกว้างที่กำลังแผ่ความอบอุ่นออกมาโอบล้อมเธอไว้ ความรู้สึกอบอุ่นนี้ที่เธอไม่เคยมั่นใจว่ารักษ์ชาติต้องการจะสื่อให้ถึงใจเธอ...ยามนี้เธอรับรู้แล้ว

แต่เรื่องอะไรเธอจะตอบให้ผู้ชายขี้โกหกอย่างเขาได้ใจ...แค่หัวแตก ยังไม่พอหรอก รักษ์ชาติร้ายกาจกับเธอมามาก ยังกล้ามาหลอกลวงเรื่องความเป็นความตายกับเธออีก อย่าหวังว่าเธอจะดีด้วยง่ายๆ

เขียนจันทร์ปลดมือหนาออกจากร่างตัวเอง เชิดหน้าขึ้น แววตาดื้อรั้นขึ้น “ฉันจะเข้าข้างในบ้านแล้ว คุณชายคงรอฉันอยู่”

“แล้วฉันล่ะ”

รอยยิ้มกวนยิ้มเผล่ใส่คนสวมแว่นดำ ไหล่บางไหวไม่เกรงกลัวกับน้ำเสียงห้วนสั้นร้องประท้วงของรักษ์ชาติ

“เดี๋ยวเรียกภาพให้มาดูแลคุณนะคะ”

“เรียกให้มาตีหัวฉันซ้ำเหรอ เดี๋ยวฉันก็ตายหรอก ถ้าฉันตายไป เธอไม่มีคนให้คิดถึง ฉันก็บาปสิ”

“ใครจะคิดถึงคุณกัน ทำตัวไม่น่าคิดถึง ห่างกันวินาทีเดียวฉันก็ลืมคุณแล้วค่ะ” คำพูดของเขียนจันทร์สร้างปฏิกิริยาหน้าตึงแก่คนฟัง รักษ์ชาติยกปากขึ้น เบือนหน้าหนี

“เธอเอาเปรียบฉันรู้ตัวไว้เลย”

“ตรงไหนคะ”

“วินาทีเดียวเธอก็ลืมฉันได้ไวยิ่งกว่าปลาทอง แต่สำหรับฉันทุกลมหายใจ ฉันคิดถึงแต่เธอ เห็นไหม อย่างนี้เธอโคตรเอาเปรียบฉันเลย”

ถึงอยากจะเถียง ค้านขนาดไหน แต่เขียนจันทร์ก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดอากาศหายใจ คำพูดนั้นทำให้หน้าคนฟังขึ้นสีจัด และก่อนจะทันรู้ตัวหน้าคน (แกล้ง) ตาบอดก็โฉบลงมาแตะริมฝีปากอย่างไว และเงยขึ้นทำไม่รู้ไม่ชี้ให้อุณหภูมิบนหน้าเขียนจันทร์พุ่งสูงปรี๊ดเจียนจะระเบิด

“โทษที...ฉันวูบอีกแล้ว พักนี้ฉันน่าจะวูบบ่อยๆ เฉพาะเวลาที่มีเธอ”

คำพูดสุดแสนจะกวนประสาทนั้นเรียกสติของเขียนจันทร์คืนมา หญิงสาวกำมือเม้มปากแน่น หน้าตาบิดเบี้ยวกับอาการวูบ (น่าตบ) ของเขา เขียนจันทร์สะบัดหน้าหนีเข้าบ้าน สมองสั่งการหาคำด่าผู้ชายที่เอาเปรียบเธอแล้วทำเหมือนอุบัติเหตุไม่ไหว มีสายตาคมปลาบมองไล่หลังด้วยรอยยิ้มเอ็นดู นึกอยากจะวูบบ่อยๆ อีกหลายๆ หน

“เหนื่อยเพราะฉันมามากเลยใช่ไหมเขียน” รักษ์ชาติยกมือแตะบริเวณผมที่ถูกมือบางลูบปลอบเหนือบาดแผลด้วยรอยยิ้มมากขึ้น

...บางทีการยิ้มให้กับความรัก มันก็ทำให้เขามีความสุขมากกว่าการทำหน้าบึ้ง และตระกองกอด ‘แก้ว’ ไว้แนบกายจนเกือบจะปริร้าว

เขาอยากเลิกเป็นผู้ชายใจร้าย อยากจะเป็นผู้ชายดีสักคนหนึ่งที่ควรคู่กับผู้หญิงที่ดีเลิศอย่างเขียนจันทร์

ถ้าคนนิสัยอย่างเขาจะมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตัวเองไหว...เขาก็อยากลองทำในสิ่งที่ไม่เคยเป็นนั้นดู


“ใจแข็งๆ แก้แค้นคืนให้สมใจก่อนพี่เขียน คนอย่างพี่ขุนเปลี่ยนตัวเองยากจะตาย ท่องไว้เราเจ็บมามาก แค้นเขามามาก นาทีนี้ถ้าเขายอมเราจริง เขาจะอยู่ในกำมือของเรา” ภาพวิจิตรพูดกรอกหูเขียนจันทร์ตั้งแต่ออกมาจากบ้านของรักษ์ชาติจนรถกลับเข้าสู่เขตรั้วของวังจักรตรากูล เขียนจันทร์หัวเราะหึ มีหลายๆ อย่างที่เธอนึกอยากทำ

แต่ที่จริงเธอก็แค่อยากได้ยินความจริงจากปากเขา...พยายามมากไปมันก็เหนื่อย ถ้าอีกฝ่ายไม่พยายามรับรู้สักที

“ภาพเข้าบ้านไปก่อนเลยนะ”

สตรีสูงวัยสองคนที่เดินคุยกันอยู่หน้าลานน้ำพุเรียกความสนใจจากเขียนจันทร์ได้พอตัว...คุณโชติรสกับหม่อมยายของเธอ

เขียนจันทร์จอดรถในโรงจอด ก่อนจะตรงดิ่งไปหาผู้ใหญ่ทั้งสอง วงเดือนหันมาโอบหลานสาวไว้ในอ้อมแขน หน้าตาอิ่มเอิบ

“คุณชายไม่ได้อยู่กับเขียนเหรอ”

หลานสาวหรี่ตามองครุ่นคิด มองเจตนาของผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไม่ออก “เพิ่งแยกกันค่ะ คุณชายกลับบ้านไปแล้ว”

“พักนี้เจอคุณชายบ่อยใช่ไหมเขียน”

บ่อย...แต่ก็ยังไม่เท่าความบ่อยในการเจอรักษ์ชาติ

“มีอะไรหรือเปล่าคะหม่อมยาย” หากเธอตอบรับเกรงว่าเรื่องจะเข้าเนื้อเธอ เขียนจันทร์ไม่คิดอยากให้ความหวังกับผู้ใหญ่ ถ้าหัวใจเธอมันไม่ได้โอนอ่อนเป็นตามนั้น...ความดีของบดินทร์ภัทรมีมากมาย แต่เธอก็ยกให้ได้แค่คนที่เธอวางใจในฐานะพี่ชายที่ดีมากๆ ดียิ่งกว่ารักษ์ชาติด้วยซ้ำไป

จะว่าไปรักษ์ชาติอาจเป็นมนุษย์ผู้ชายนิสัยเสียที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมานับตั้งแต่เกิดก็ได้...เจอ และไม่เคยจะหนีเขาพ้น

“เธอว่างใช่ไหมคุณเขียนจันทร์” แขกของวังถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำทั้งที่มีแต่ความระแวงอยู่ในหัว ครั้งล่าสุดที่เธอได้เจอโชติรส คราวนั้นสติของเธอก็เกือบแตก เธอไม่รู้จริงๆ ว่าโชติรสนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน จากวันนั้นเธอก็ไม่กล้าเชื่อใครง่ายๆ อีก

“ฉันขอคุยกับหลานคุณวงเดือนนะคะ”

“ตามสะดวกเลยค่ะ” วงเดือนยิ้มหน้าเบิกบานสว่างไสวมากกว่าปกติ อาการของผู้ใหญ่ทั้งสองยิ่งทำให้เขียนจันทร์อยากหนีให้พ้นภาวะแปลกๆ เธอรู้ว่าหม่อมยายเธอหวังอะไร หลานสาวที่ไม่ได้สวยที่สุดอย่างวาดตะวัน แต่ก็อยู่ในกรอบระเบียบของวังจักรตรากูลมาตลอด แม้หม่อมยายจะไม่เคยพูดตรงๆ แต่สายตาผู้ใหญ่ก็หวังให้เธอกับคุณชายเกี่ยวดองกันมาตลอด

“ถ้าเป็นไปได้ ยายจะตายตาหลับนะเขียน”

...จะหนีเรื่องอะไรได้อีก เขียนจันทร์ปิดปากสนิท เดินตามผู้อาวุโสอีกท่านไปยังม้านั่งในสวนใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ เขียนจันทร์นั่งลงอย่างประหม่า เธอยังจำสายตาของโชติรสในวันที่ยื่นคำขาดได้ดี...ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวยิ่งกว่ารักษ์ชาติเสียอีก ลึกลับ เข้าถึงยาก

“ขอโทษที่มารบกวนเธอ”

“ไม่หรอกค่ะ คุณโชติรสมีอะไรกับฉันเหรอคะ”

“ฉันแค่มาหยั่งเสียงกับหม่อมยายเธอเรื่องตาบดินทร์” โชติรสลอบสังเกตสีหน้าซีดเผือด หลบตาก็รู้คำตอบดีว่าคนคู่นี้ยากจะลุ้นขึ้น “แต่ที่ฉันมาจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ฉันแค่อยากมาขอโทษเธอ”

“ขอโทษ...เรื่องอะไรคะ”

โชติรสนั่งห่างออกไป สายตาเหม่อมองท้องฟ้าสีกำมะหยี่มะเมื่อมเบื้องบน ลมเย็นพัดโบกโชยกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ในสวนเบื้องหน้ามาต้องจมูก สร้างบรรยากาศอันน่าผ่อนคลายขึ้นมา...สำหรับหล่อนนั้นทุกอย่างได้เกือบเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว

“เรื่องที่ฉันยื่นข้อตกลงกับเธอคราวนั้น ฉันขอโทษ ที่ไปบังคับเธอแบบนั้น ฉันทำไปเพราะมีเหตุผล”

“เรื่องถอนฟ้องเสี่ยหลงน่ะเหรอคะ”

โชติรสหัวเราะเบาๆ ท่าทีเคร่งเครียดหายไป “เรื่องนั้นรักษ์ชาติขอให้ฉันทำ เขาบอกว่าทำยังไงก็ได้ให้เธอถอนฟ้องเสี่ยหลง มันอันตรายสำหรับเธอและครอบครัวเกินไป ซึ่งฉันก็เห็นด้วย”

“แต่ว่าคุณบอกว่าจะตัดหางปล่อยวัดคุณขุน...เพื่อไปอยู่กับเสี่ยหลง” เขียนจันทร์รับฟังด้วยความตะลึงงัน ในคราวนั้นโชติรสทำให้เธอไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่ายอีก เวลาที่ไปหากองพันก็จะเลือกเวลาที่โชติรสไม่อยู่ไป หรือไม่ก็ไปพร้อมบดินทร์ภัทร เธอเข้าใจมาตลอดว่าโชติรสต้องโกรธเคืองกับสิ่งที่เธอทำ

“ฉันโหดมากใช่ไหม ฉันจำเป็นต้องทำให้เสี่ยหลงตายใจ รักษ์ชาติเขาห่วงเธอมาก ถึงกับบอกว่าเสร็จงานครั้งนี้ เขาจะรับช่วงต่อธุรกิจของฉันทันที ฉันเองก็แก่แล้ว อยากพักสักที”

ดวงตาคนฟังเริ่มแดงก่ำ เขียนจันทร์รู้สึกว่าตัวเองแทบไม่รู้จักใครเลยที่อยู่รอบกาย พวกเขาเป็นคนยังไง ดีหรือไม่ดี แม้แต่รักษ์ชาติเอง...เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนเลย

ทำเพื่อเธอขนาดนี้...แต่ไม่เคยบอกกันสักคำ

“ถึงรักษ์ชาติจะดีกับเธอมากขนาดนี้ แต่ฉันก็ยังอยากให้ลูกชายของฉันสมหวังนะ เรื่องที่ฉันบอกให้เธอคบกับลูกชายฉันมันเป็นความคิดของฉันเอง” โชติรสกล่าวกลั้วหัวเราะ นึกขันกับท่าทางนิ่งเงียบจากเขียนจันทร์ “ตอนนี้เสี่ยหลงรามือจากจักรตรากูล หน้าที่ของฉันก็เหลือแค่ดูดเงินเสี่ยหลงมาให้ได้มากที่สุด”

“รามือเหรอคะ” เขียนจันทร์ถามเสียงเบาด้วยความเหลือเชื่อ เมื่อเช้านี้เธอเพิ่งจะรบพุ่งกับเสี่ยหลง เกือบโดนทำร้ายร่างกาย แล้วบทจะรามือง่ายๆ คนอย่างเสี่ยหลงจะทำจริงเหรอ

“ฉันไปปล่อยข่าวเข้าหูธวัชเดชาเรื่องกาสิโนในโรงแรมหรู ทางนั้นก็ยื่นข้อเสนอเข้าหาเสี่ยหลงทันที ได้ข่าวแว่วมาว่าพรุ่งนี้เช้าจะเซ็นสัญญากัน ตัวแปรสำคัญอีกอย่างก็คือความน่าเชื่อถือของจักรตรากูลลดลง มันยิ่งเร่งให้เสี่ยหลงตัดสินใจได้เร็วขึ้น”

เขียนจันทร์ฟังด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก ทั้งที่เป็นเรื่องของครอบครัวโดยตรง เธอรู้มาว่าธวัชเดชาก็เป็นธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่พอตัว และมีความเป็นมาไล่เลี่ยกับทางดีเอส อีกเรื่องที่เธอรู้ก็คือระหว่างธวัชเดชาและเดชอนันต์สิทธิ์นั้นเป็นสองตระกูลที่ไม่ถูกกันเลย ลัลริกาเองก็คงมีส่วนในเรื่องครั้งนี้ ช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน

ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเธอ...เหมือนว่าเธอเป็นหมากไร้ค่าในกระดานเกมนี้ อ่อนหัดเกินกว่าจะรับรู้ รักษ์ชาติใจร้ายมาก

“ขอบคุณที่มาบอกนะคะ...ฉันไม่เคยรู้อะไรพวกนี้เลย” เขียนจันทร์พูดคล้ายคนไร้วิญญาณ

“รักษ์ชาติคงไม่อยากให้เธอกังวล คนอย่างรักษ์ชาติเวลาตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ไม่มีคำว่าพลาดหรอกนะ”

เขียนจันทร์ยิ้มรับไม่ออก หน้าตาอมทุกข์มากกว่าอมสุข โชคดีที่เงาไม้ยังบดบังแววตาเศร้า รวดร้าวของเธอไว้ได้ ไม่ว่ารักษ์ชาติพยายามเพื่อเธอเท่าไหร่ แต่การไม่ให้เธอรับรู้...ก็ไม่ต่างจากคนไม่สำคัญ

“ลูกขุนสบายดีไหม ตอนอยู่กับฉันลูกขุนเอาแต่ร้องหาเธอกับรักษ์ชาติ”

“สบายดีค่ะ ฉันกำลังคิดว่าจะให้ลูกขุนไปโรงเรียนสักที”

“ฉันมีหุ้นส่วนอยู่ในโรงเรียนหนึ่ง ให้ลูกขุนไปเรียนที่นั่นเถอะ อยู่ใกล้ๆ สายตาน่าจะดีกว่า สายอาชีพของฉัน ของรักษ์ชาติ มันเกิดอันตรายกับคนใกล้ตัวได้ทุกเมื่อ”

“ทำไมคุณถึงยังทำธุรกิจนี้ทั้งที่รู้ว่ามันอันตรายล่ะคะ” มาถึงจุดนี้เขียนจันทร์เก็บความอยากรู้ต่อไปไม่ได้ ไม่เพียงแค่โชติรสทำอาชีพนี้มาเนิ่นนาน ยังทำให้ทหารหาญคนหนึ่งถึงกับลาออกและมาลงสนามสังเวียนโหดนี้อย่างเต็มตัว

“มนุษย์เราต่างพยายามผลักตัวเองออกมาจากโคลนตม ฉันเริ่มจากศูนย์ จากคนที่โดนดูถูก กว่าจะมีวันนี้ฉันเหนื่อยมามาก หลายครั้งที่ฉันคิดว่าฉันกำลังอยู่ในที่สูง แต่ยิ่งถลำลึกมันมากเท่าไหร่...ฉันเพิ่งรู้ว่าบนที่สูงก็ยังมีโคลนตม ที่ฉันสูงได้เพราะมันเป็นกองโคลนตม กว่าจะรู้หลังเสือมันก็ลงยาก อาชีพทุกอาชีพมันเป็นอาชีพสุจริตได้ทั้งนั้น ฉันพยายามคิดอย่างนั้นวันนี้ฉันจึงยังอยู่บนกองโคลนตมเหล่านี้ได้ ฉันต้องมีเงิน มีอำนาจเพื่อครอบครัว ทั้งที่ตอนนี้ฉันจะไม่เหลือใครแล้วก็ตาม”

หญิงสาวฟังด้วยหัวใจที่บีบอัดในอก เธอมองในมุมผ้าขาวสะอาดมาตลอด ว่าธุรกิจสีเทาไม่เคยทำให้ใครได้ดี คนเข้าไปก็ต้องตกอยู่อบายมุข ขามนุษย์ต่างเลือกเดินเข้าไปหามันเอง หากไม่มีเจ้าของดีๆ เปิดธุรกิจพวกนี้ ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่อาจเลวร้ายกว่ามาแสวงหาเงินตราด้วยวิธีการไม่เลือกรูปแบบ...อย่างเสี่ยหลง

“คุณยังมีคุณชาย มีลูกขุน ยังมีคุณขุนที่พร้อมจะเป็นแขนขาให้คุณ และคุณยังมีพวกเราที่นี่ที่พร้อมจะต้อนรับการมาของคุณเสมอนะคะ”

โชติรสยิ้มอย่างปลอดโปร่ง ริ้วรอยบนหน้าเผย เมื่อเจ้าของใบหน้าไม่ได้เกร็ง เครียด วัยที่มากอายุก็แสดงความจริงออกมา “ถึงรักษ์ชาติจะไม่ใช่ลูกชาย แต่สามปีที่ฉันมีเขามาสานงานต่อ ฉันก็รู้สึกรักเขาเหมือนลูกคนหนึ่ง ฉันอยากเห็นเขามีความสุข”

“แล้วคุณชายล่ะคะ”

“เธอไม่ได้รักบดินทร์ จะมาถามทำไมให้เสียเวลา ใส่ใจหัวใจของตัวเองก็พอ”

คนถูกรู้ทันก้มหน้าลงมองพื้นดินเบื้องล่าง ปิดกลั้นแววตาสับสน และเจ็บปวดของตัวเองไว้ จะทำอย่างไรกับหัวใจนั้น เขียนจันทร์คิดไม่ออกเลยจริงๆ...หากเธอเป็นคนที่รักษ์ชาติวางใจให้พร้อมรู้ทุกเรื่องที่เขาทำลับหลังเธอเมื่อไหร่

หัวใจอันหนักอึ้งของเธอคงจะเบาบางลงในวันนั้น

น่าแปลกที่ยิ่งรู้เรื่องมากขึ้นเท่าไหร่...เธอมีแต่ยิ่งเสียใจมากกว่าซาบซึ้ง เพราะมันยิ่งตอกหมุดลงกลางใจว่าเธอไม่ได้ยืนเคียงคู่เขา ทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ รออยู่เบื้องหลัง...มีแต่จะทำให้ใจเธอเหนื่อยขึ้น


“ยายล่ะหวั่นใจ กลัวนายรักษ์ชาติเดินดุ่มเข้ามาทวงสัญญา”

หลานสาวคนกลางที่เพิ่งส่งแขกกลับบ้านหยุดยืนฟังอยู่ตรงกรอบประตูบ้าน เสียงของคุณวงเดือนที่ดูครื้นเครงนั้นเล่าเรื่องออกมาไม่ได้รู้สึกระวังตัว

“ยายไปสัญญาอะไรกับเขาล่ะ ไอ้พี่ขุนเก็บดอกทบต้นแน่ยาย” ภาพวิจิตรนั่งชิดวงเดือนใส่อารมณ์ตอบโต้

“ก็เจ้าพรึกแนะนำยายมาว่านายรักษ์ชาติจะหยุดการเดินทางของเขียนได้ ยายก็แค่...เราเองรู้เรื่องนี้ก็เหยียบไว้เลยนะ” คุณวงเดือนเตือนหลานคนเล็กก่อนจะเล่า “ยายบอกเขาว่าถ้าเขียนเปลี่ยนความคิดได้ ยายจะไม่ขวางเรื่องเขียนอีก”

ภาพวิจิตรนั่งตะลึงเมื่อจู่ๆ เขียนจันทร์ก็เดินเข้ามาในบ้านเงียบๆ โดยที่วงเดือนยังเล่าติดพันอยู่อย่างไม่รู้ตัว ความลับที่ว่าลับนั้นจึงไม่มีอีกต่อไป

“ยายรู้สึกเห็นแสงสว่างรำไรตอนที่คุณโชติรสบอกว่าเขียนสนิทกับคุณชาย ยายต้องตายตาหลับแน่ถ้าคนที่เขียนเลือกเป็นคุณชายไม่ใช่รักษ์ชาติ คนๆ นั้นมีแต่ร้ายใส่เขียน ยายไม่ชอบเขาเลย”

“ทำตามที่หม่อมยายต้องการเถอะค่ะ” เขียนจันทร์บอกเสียงเรียบ ก่อนจะตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องนอน ปล่อยให้สถานการณ์เบื้องล่างเป็นไปตามทางที่พวกเขาอยากให้เป็น

เสียงคุณวงเดือนอุทานอย่างแปลกใจก่อนจะกุลีกุจอรับในสิ่งที่หลานสาวบอกมาด้วยการโทรไปยังวังของบดินทร์ภัทร ไม่ทันสังเกตหน้าตาหลานสาวคนกลางด้วยซ้ำไป ยกเว้นภาพวิจิตรถึงกับหน้าถอดสี พยายามบอกวงเดือนให้หยุดทำในส่งที่ตัวเองต้องการเพื่อหันมาสนใจอาการแปลกของเขียนจันทร์บ้าง

แต่ดูท่าเรื่องคงยากจะหยุด...ภาพวิจิตรคิดว่ามันอาจถึงเวลาที่จะให้เขียนจันทร์ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง


เขียนจันทร์รู้สึกเบ้าตาสองข้างกำลังร้อนผ่าว การเป็นคนที่รู้ทุกอย่างเป็นคนสุดท้ายเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเสมอ เจ็บยิ่งกว่าการปล่อยให้รักษ์ชาติทำร้ายจิตใจกันทางวาจาทุกวี่วันเสียอีก วันนี้เธอเหมือนตาสว่าง รู้เห็นเรื่องของครอบครัวและตัวเธอ...เป็นคนสุดท้าย

ร่างระหงนอนเหยียดยาวบนที่นอน ความรู้สึกเสียใจสลัดออกไปไม่ได้ พยายามมากเท่าไหร่หัวของเธอยิ่งนึกถึง และทรมานในอกหนักขึ้นกว่าเดิม

วันนี้หัวใจของเธอมีคำตอบรออยู่ในใจแล้ว...

เครื่องมือสื่อสารถูกกดหาเบอร์ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เขียนจันทร์เกือบจะหลุดหัวเราะหยันให้กับคนตาบอดที่กดรับโทรศัพท์ได้อย่างรวดเร็วเสียจริง

“เขียน”

...เรียกถูกอย่างกับตาเห็น เขียนจันทร์โกรธมากขึ้นจนดวงตาเริ่มแดงก่ำ

“คุณมีอะไรจะบอกฉันไหม”

“เธออยากฟังเรื่องอะไร”

มันคงมากมายจนเขานึกไม่ออกว่าจะเริ่มตรงไหน...มือบางกำโทรศัพท์รอบจนข้อขึ้นขาว มือเจ็บ แต่ไม่สู้ที่ใจ

“ความจริง...ทุกๆ อย่าง”

“เธอไปรู้อะไรมาเขียน” น้ำเสียงอีกฝ่ายยังคงมั่นคง ไม่สั่นคลอน หรือเหมือนมนุษย์ที่ถูกไล่ต้อนสักนิด เขียนจันทร์เสียอีกที่เริ่มสะอื้นออกมา เธอเป็นฝ่ายรู้เรื่อง และอยากจะแกร่งพอข่มรักษ์ชาติ แต่เธอไม่ใช่เขา “ร้องไห้ทำไมเขียน” คราวนี้น้ำเสียงที่สงบของรักษ์ชาติจึงเริ่มร้อนรนขึ้นมา

“คุณมีอะไรจะบอกฉันไหม”

“ฉัน...ขอโทษ”

เขียนจันทร์ไม่คิดกลั้นเสียงสะอื้น ปล่อยให้มันกรีดใจตัวเองจนขาดวิ่นไม่เหลือทรงเดิม...ร้องไห้มันพอในวันนี้

“ฉันเข้าใจแล้ว” เขียนจันทร์ปิดเครื่องและโยนมันไปให้ห่างจากตัว เธอเกลียดสถานะโง่บนหัว เธอไม่ชอบ และไม่อยากเป็นคนโง่ในสายตาเขาอีก

...เรื่องเดียวเธอยังพอให้อภัย แต่นี่รักษ์ชาติคิดว่าเธอเป็นสัตว์ที่ต้องเข้าคอกที่เขาเคยว่าไว้จริงเหรอ

ขอให้ระหว่างเธอกับเขาจบกันสักที...พอกันที!


เขียนจันทร์รู้แล้ว...รักษ์ชาติยืนถือโทรศัพท์ค้าง สมองเหมือโดนฟ้าผ่าใส่สมองอย่างแรง ทั้งที่คิดว่าเรื่องทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีอยู่แล้ว

รักษ์ชาติแกะผ้าที่พันตามตัวออก โยนทิ้ง และไม่คิดจะนำกลับมาพันตามตัวให้ร้อนอีก แฟ้มงานที่กำลังตรวจดูก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องทำงาน มองหาคนที่เขาคิดว่าน่าจะรู้คำตอบของทุกอย่างดี เพราะเป็นเขาเองที่ให้ศดาธรติดตามเขียนจันทร์ตลอดเวลา

“ก้อง...เขียนรู้เรื่องของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

ศดาธรที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่สะดุ้งสุดตัว หลังร้อนผ่าวอย่างมีอะไรมาทาบลงกลางหลัง และของสิ่งนั้นก็อันตรายพอตัวเมื่อมันเป็นอารมณ์สังหารของรักษ์ชาติ

“เมื่อเช้าครับ”

“อย่างนั้นต้องมีเรื่องอื่นอีกสิ” รักษ์ชาติพิจารณาเรื่องราวอย่างใจเย็น เขาไม่อยากใช้อารมณ์เหมือนแต่ก่อนอีก เขารู้ว่าอารมณ์ของเขามันได้ทำร้ายใจเขียนจันทร์มามากพอ รวมทั้งทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง

โทรศัพท์ของรักษ์ชาติดังอีกครั้ง คนเครียดคิดว่าเขียนจันทร์จะโทรมาอีกครั้ง แต่เมื่อหน้าจอขึ้นแสดงชื่อโชติรส เขาถึงกับเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกดรับ

“ครับ คุณโชติรส”

“วันนี้ฉันไปหาเขียนจันทร์มา บอกความจริงเรื่องที่ฉันเคยไปกดดันเขาแล้วนะ ตอนรู้เขียนจันทร์ดูท่าทางจะช็อกไปเลย”

สาเหตุของเรื่องมาบอกแก่รักษ์ชาติให้รู้ด้วยตัวเอง ชายหนุ่มกัดฟันกรอด รู้สึกฟ้าผ่าระลอกสองเปรี้ยงใส่กลางศีรษะ

“ทำไมไม่รอให้ผมบอกเขาเอง”

“เธอมีเวลาบอกเขียนจันทร์ตั้งมาก แล้วทำไมไม่บอก” โชติรสโยนเผือกร้อนกลับมาได้หน้าตาเฉย “ฉันมีอีกเรื่องจะบอกเธอ ตอนนี้คุณวงเดือนกำลังจริงจังเรื่องของเขียนจันทร์กับบดินทร์ภัทร คุณวงเดือนเพิ่งโทรมาบอกฉันว่าเขียนจันทร์ยอมไฟเขียวในเรื่องนี้แล้ว”

รักษ์ชาติยืนฟังหลังตรง ร่างแข็งอยู่กับที่เคลื่อนไหวต่อไปไม่ไหว สายฟ้าที่สามเปรี้ยงใส่ใจเขาจนมันคล้ายจะหยุดเต้น ทุกอย่างมันเป็นผลจากการที่เขาไม่เคยใส่ใจเขียนจันทร์ให้มากกว่านี้ เขาคิดแค่ถึงแต่ตัวเอง

“ขอบคุณที่บอกผมนะครับ”

“อะไรที่รู้ว่าไม่ดีก็อย่าทำ...เธอไม่ควรปล่อยให้เขาต้องทนอยู่แบบเดิมอีก จากนี้เธอก็ต้องพยายามด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยเธอได้เท่าเธอเองแล้วนะ”

คำเตือนของโชติรสดังวนไปวนมาในหัว สลับกับเสียงสะอื้นของเขียนจันทร์ที่เขาได้ยินผ่านโทรศัพท์ รักษ์ชาติทรุดตัวนั่งหมดแรงบนโซฟายาว ภาพการกระทำที่เขาทำร้ายใจเขียนจันทร์เป็นภาพที่เขานึกออก มันแทบไม่มีภาพที่เขาจะพูดดีกับอีกฝ่าย ไม่มีภาพที่เขาจะไม่เอาแต่ใจ หรือคิดถึงใจอีกฝ่าย เขาคิดแค่ว่าตัวเองทำเพื่อเขียนจันทร์แล้ว...ในแบบของเขา คิดถึงแต่ตัวเอง วันนี้เสียงสะอื้นของเขียนจันทร์มันทำร้ายใจเขาได้มากที่สุด

มันกำลังบอกแก่เขาว่าที่ผ่านมานั้นตนเป็นมนุษย์ยอดแย่แค่ไหน

รักษ์ชาติหยิบโทรศัพท์มาไล่รายชื่อหาคนที่เขาน่าจะพอวานช่วยเหลือได้ในเวลานี้ สัญญาณปลายสายที่รอจนเกือบตัดทิ้งนั้น ถูกกดรับในสัญญาณสุดท้าย

“พี่ขุนมีอะไร”

“วาดไปอยู่เป็นเพื่อนเขียนได้ไหม”

“พี่ทำอะไรเขียน” น้ำเสียงวาดตะวันไม่สบอารมณ์

“เขียนกำลังร้องไห้...เขียนรู้ทุกอย่างแล้ว” หากเขาไปหาเขียนจันทร์ด้วยตัวเอง เรื่องมันคงหนักขึ้น

“พี่ขุนยอมบอกแล้วเหรอ...แล้วไปบอกอีท่าไหนล่ะ”

รักษ์ชาติสะอึก ชายหนุ่มมองสองลูกน้องที่รู้งานเดินออกไปจากห้องกลางของบ้าน ปล่อยให้เขาได้คุยเรื่องสำคัญ “พี่ไม่ได้บอก เขียนรู้จากคนอื่น”

“รู้สึกผิดให้มากๆ นะคะ ฉันไม่ช่วยพี่อีกแล้ว เพราะพี่ทำน้องฉันเสียใจ” วาดตะวันตัดสายไป ปล่อยให้คนตัวโตจมกับความรู้สึกผิดอย่างที่สุด

เด็กชายกองพันที่นั่งเล่นของเล่นอยู่มุมหนึ่งของบ้านเดินเข้ามาปีนขึ้นนั่งบนตักของรักษ์ชาติด้วยหน้าตาสงสัย นิ้วเล็กแตะแก้มพ่อ เสียงเล็กถามแจ้วๆ

“พ่อขุนร้องไห้ทำไมครับ”

คนร้องไห้ไม่รู้ตัวกะพริบตาเรียกสติ ยกหลังมือปาดน้ำตาออกให้หมด เหลือเพียงดวงตาแดงก่ำยามทอดมองเด็กชายแก้มยุ้ยตรงหน้า “แกตาฝาดแล้วลูกขุน พ่อเคยร้องไห้ที่ไหน”

“ก็ขุนเห็น”

“พ่อคนนี้ของแกมันนิสัยไม่ดีเลยว่าไหม...อย่าเป็นเหมือนพ่อนะลูกขุน อย่าทำตัวแบบพ่อ” น้ำตาที่เช็ดไปเอ่อคลออีกครั้ง กองพันยื่นตัวมากอดคอพ่อไว้แน่น มือเล็กๆ ลูบปลอบใจตามประสาเด็ก

“แม่เขียนชอบทำแบบนี้เวลาที่ขุนงอแง”

รักษ์ชาติกอดร่างเล็กไว้แนบอก...คนรู้ตัวช้าอย่างเขามันสมควรแล้วจริงๆ ที่จะไม่ได้รับการให้อภัย

“โอ๋ๆ อย่าร้องนะครับ” น้ำเสียงเล็กดังปลอบข้างหู มันยิ่งทำให้หัวใจคนเป็นพ่ออ่อนยวบ เกราะที่เขาเคยสร้างอำพรางตัวไว้ไม่ให้อ่อนแอ ไม่ให้อ่อนไหวกับอะไรสักอย่างมันพังครืนไม่เป็นท่าในวันนี้แล้ว

......................................

คุณ konhin จากนี้เขียนจะเอาจริงแล้วค่ะ ใจอ่อนมามากเกินไปเนอะ

คุณ ใบบัวน่ารัก เป็นมื้อสุดท้ายจริงๆ ค่ะ ทีนี้ซดน้ำตากันให้อร่อยเลย

คุณ ร้อยวจี ต้องถึงจุดแตกหักคนอย่างรักษ์ชาติถึงจะเข้าใจ นี่มันทฤษฎีอะไร ฮา

คุณ yimyum มากระซิบบอกว่าภาพวิจิตรก็โหดนะคะ เล่นรักษ์ชาติหัวแตกได้

คุณ อัศวินนภา ผลที่ขุนทำไว้มาทั้งหมดสำแดงฤทธิ์ในตอนนี้แล้วค่ะ หลังจากหลายๆ คนรอมานาน อิอิ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ไม่โกรธค่า จัดชุดใหญ่ให้พ่อพระเอกคนนี้ได้เต็มที่เลย นิสัยเสียจริงๆ จากนี้หวังว่าจะพบออร่าพระเอกในตัวเจ้าขุนขึ้นมาบ้างนะคะ เกือบยี่สิบตอนที่ผ่านมาคิดซะว่าตัวร้ายสิงร่างพระเอก ฮา

ตอนเขียนๆ นี่ลองนึกเล่นๆ ตัดจบบทนี้ แล้วให้นางเอกไปบวชเลยดีไหม ฮา เจ้าขุนเพิ่งจะรู้ตัวจริงๆ จังๆ หลังจากทำร้ายเขียนมาตลอดชีวิต เชื่อว่าถึงมันจะดราม่ามาก แต่ก็ยังมีคนจุดพลุให้กับเจ้าขุนในตอนนี้

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านนะคะ ^_^ ทุกคนอดทนกับความร้ายกาจของเจ้าขุนมานานมากค่ะ จากนี้ขุนจะแผลงฤทธิ์น้อยลงเนอะ




ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2557, 14:58:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2557, 15:05:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1848





<< บทที่ 18 : รู้ทันคนโกหก   บทที่ 20 : เปลี่ยนไปแล้ว >>
ร้อยวจี 9 มิ.ย. 2557, 18:08:38 น.
ตอนนี้กลายเป็นว่าสงสารนายขุนซะแล้ว จอให้สิ่งที่เขียนคิดกลายเป็นแค่เอาคืนบ้าง


konhin 9 มิ.ย. 2557, 22:23:03 น.
เจ็บสุดๆแล้วก็จำไว้ นายขุนไม่น่าสงสารเลยทำตัวเองทั้งนั้น เขียนให้โอกาสหลายๆครั้งแต่ก็ไม่นำพา


ใบบัวน่ารัก 10 มิ.ย. 2557, 00:00:17 น.
เสียใจมาก กับคนเจ้าแผนการ
รักกันจริงหรือเปล่า มองไปไม่เห็นอนาคตร่วมกัน


นักอ่านเหนียวหนึบ 10 มิ.ย. 2557, 02:48:20 น.
ดีคะๆๆๆๆ
ปล่อยข่าวว่าเขียนไปบวช ไม่มีกำหนดสึก เอาให้เจ้าขุนสำนึกแบบอึดอัดใจดูบ้าง
สงสารความรักของเขียนอะ โตมากับความซาดิสต์. ถ้าเจ้าขุนเลิกตอแยไป บางทีชีวิตเขียนอาจจะไม่ต้องทนทุกข์ยืดยาวขนาดนี้
ไม่ดีเลยๆๆๆ รักเค้าแต่กลับทำร้ายเค้า สื่ออารมณ์เหมือนพ่อแม่ รังแกฉันเลย


อัศวินนภา 10 มิ.ย. 2557, 10:44:29 น.
มองดีๆนะ ขุนอ่ะดี แต่ปากร้าย จิตใจดี แต่โหด
เขียนเข้าใจนายขุนหน่อยนะ สงสารนายขุน
นายขุนเป็นพวกคิดเอง เออเอง คิดว่าดีที่สุดสำหรับ
เขียน แต่มันอาจจะไม่ถูก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account