บ้านวุ่น อุ่นไอรัก
นายโปรดน่ะเหรอ... ขี้เก๊ก ปากจัด สำอาง เรื่องเยอะ! นี่ยังน้อยไปเสียอีกที่เธอจะนิยามความเป็นตัวเขาได้หมด พอกันที! เธอจะไม่ทนกับคนที่มีดีแค่หน้าตากับซิกส์แพ็ก แต่สมองแรมน้อยเสียยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าโขกสับอีกต่อไป!
อนาวิลาน่ะเหรอ... ชอบสั่ง ชอบสอน จู้จี้ ขี้งก! ที่สำคัญเธอยังมีลูกสมุนเป็นหมาตั้งสี่ตัว อะไรกัน! นี่เขาต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์ป้าสายพันธุ์หมูพร้อมฝูงหมาเป็นเวลา 365 วัน ใครก็ได้...ให้เขาไปอยู่บ้านผีสิงเสียยังดีกว่าต้องรับมือกับความวุ่นวายนี่
นายโปรดน่ะเหรอ... บางทีเขาก็มีน้ำใจนะ เขาสัญญาว่าจะแปลงโฉมสาวอวบระยะสุดท้ายอย่างเธอให้ผู้ชายที่เธอแอบชอบหันมาสนใจ เขาทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน
อนาวิลาน่ะเหรอ... เธอก็ไม่ได้ขี้บ่นเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งยัยมนุษย์ป้าก็มักพูดอะไรให้เขาฉุกคิดและกลับมามีกำลังใจมุ่งมั่นทำตามฝัน ไปๆ มาๆ ผู้หญิงอวบอ้วน เชยๆ เฉิ่มๆ ดันกลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นเซ็ตนี้ของเขาไปเสียนี่ ไม่อยากเชื่อเลย
เรื่องราววุ่นวายใต้ชายคาเดียวกัน ระหว่างชายหนุ่มเจ้าสำอางกับมนุษย์ป้าร่างอวบ พ่วงด้วยลูกสมุนสี่ขาสี่ตัวพร้อมที่จะมาสร้างรอยยิ้ม หรืออาจเรียกน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
อนาวิลาน่ะเหรอ... ชอบสั่ง ชอบสอน จู้จี้ ขี้งก! ที่สำคัญเธอยังมีลูกสมุนเป็นหมาตั้งสี่ตัว อะไรกัน! นี่เขาต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์ป้าสายพันธุ์หมูพร้อมฝูงหมาเป็นเวลา 365 วัน ใครก็ได้...ให้เขาไปอยู่บ้านผีสิงเสียยังดีกว่าต้องรับมือกับความวุ่นวายนี่
นายโปรดน่ะเหรอ... บางทีเขาก็มีน้ำใจนะ เขาสัญญาว่าจะแปลงโฉมสาวอวบระยะสุดท้ายอย่างเธอให้ผู้ชายที่เธอแอบชอบหันมาสนใจ เขาทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน
อนาวิลาน่ะเหรอ... เธอก็ไม่ได้ขี้บ่นเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งยัยมนุษย์ป้าก็มักพูดอะไรให้เขาฉุกคิดและกลับมามีกำลังใจมุ่งมั่นทำตามฝัน ไปๆ มาๆ ผู้หญิงอวบอ้วน เชยๆ เฉิ่มๆ ดันกลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นเซ็ตนี้ของเขาไปเสียนี่ ไม่อยากเชื่อเลย
เรื่องราววุ่นวายใต้ชายคาเดียวกัน ระหว่างชายหนุ่มเจ้าสำอางกับมนุษย์ป้าร่างอวบ พ่วงด้วยลูกสมุนสี่ขาสี่ตัวพร้อมที่จะมาสร้างรอยยิ้ม หรืออาจเรียกน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๑ (๕๐%) หลานชายคุณตา
๑ (๕๐%)
บ้านเดี่ยวสองชั้นบนเนื้อที่กว่าสองร้อยตารางวาในซอยสุขุมวิทเงียบเหงาไปถนัดใจเมื่อขาดเจ้าของบ้านผู้เป็นที่รักของสุนัขทั้งสี่ตัว พวกมันนอนหมอบหงอยเหงา แค่ได้สบตาอ้างว้าง ฟังเสียงครางหงิงของพวกมัน น้ำตาเธอก็รื้นขึ้นมาอย่างเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นดี
"ไม่เป็นไรนะพวกแก ฉันจะมาให้ข้าวพวกแกเอง จนกว่าเจ้านายใหม่จะมาดูแกนะ"
วันนี้เธอซื้อข้าวผัดมาสองกล่อง ตับย่างอีกสองไม้ แบ่งใส่ฝาโฟมสี่ฝาเท่าๆ กันและสอดมันผ่านเข้าไปใต้รั้ว
"คุณลุง กินเยอะๆ สิจ๊ะ" เธอบอกเจ้าหมาแก่ที่มัวแต่ยืนดม ไม่ยอมกินสักที "หยุดเลยล่ำ ห้ามแย่งของลุงนะ"
อนาวิลาชี้เจ้าตัวล่ำที่ทำเนียนมาดอมดมถาดอาหารเพื่อน เมื่อเจอนิ้วพิฆาตเข้าไปจึงเฉไฉไปกินน้ำในอ่างดินเลี้ยงปลาหางนกยูงแทน
เธอรอจนสุนัขทุกตัวกินอาหารหมดแล้วเก็บโฟมไปทิ้ง สุดหล่อเดินเกาะรั้วตามพลางเห่าเรียกราวกับกลัวเธอทิ้งพวกมันไปอีกคน หญิงสาวต้องยื่นมือผ่านรั้วไปดึงปลอกคอมันอย่างที่มักแหย่ประจำ
"วันนี้ฉันจะไปส่งคุณตาขึ้นสวรรค์ ถ้ากลับไม่ดึกจะมาหานะ"
ถ้าทำได้เธออยากจะพาพวกมันทั้งสี่ตัวไปด้วยกันเสียด้วยซ้ำ หากก็ทำได้เพียงตัดใจลุกจากไปเมื่อวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ห่างไปจากนี่พอสมควร ตามความสะดวกของลูกหลานท่านที่เหลืออยู่ แม้แต่เธอเองก็ได้ไปร่วมงานแค่วันแรกเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันฌาปนกิจคุณตาสรรค์ชัย ถึงจะเดินทางลำบากอย่างไรเธอก็ต้องการไปร่วมไว้อาลัยท่านเป็นครั้งสุดท้าย
อนาวิลาขึ้นรถประจำทางไปลงยังหน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต ก่อนจะต่อรถรับจ้างที่ผ่านหน้าวัดนั้นอีกทีหนึ่ง เดินเท้าเข้าไปจากซุ้มประตูด้านหน้าราวห้าสิบเมตรก็จะพบกับอุโบสถหลังใหญ่
ทว่า...
"อุ่น" รชตวันกดกระจกรถลงพลางเรียก
คราวนี้เขาไม่กล้ากดแตรทักเธออีกแล้วนอกจากขับรถไปเทียบใกล้ๆ แทน
"ขึ้นมาสิครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ เดินไปใกล้ๆ นี้เอง"
น่าเสียดายที่ประสบการณ์การนั่งรถไปกับเขาลำพังครั้งแรกไม่ตราตรึงอย่างที่คิด เมื่อวันนั้นเป็นวันที่เธออยู่ในเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจยิ่งกว่า และตอนนี้ใจเธอก็...
ปิ๊นนน!
อนาวิลาสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันมองตามที่มาของเสียงเกรี้ยวกราดของแตรรถอย่างบอกอารมณ์ผู้ขับขี่ แล้วก็ได้เห็นว่าต้นเหตุมาจากรถสปอร์ตสีแดงคันหลังนั่นเอง
"ขึ้นมาเถอะอุ่น"
หญิงสาวเปิดประตูรถพลางขึ้นไปนั่งอย่างเสียมิได้ และเมื่อรถของชายหนุ่มวนมาจอดยังลานปูนโล่งแล้ว รถสปอร์ตที่ตามหลังมาคันนั้นก็เลี้ยวจอดในช่องเยื้องกัน
"เขาไม่น่าเป็นหลานคุณตาได้เลยนะคะ" เธอเปรยขณะมองเจ้าของรถสีแดงเดินลอยชายลงมา "ดูเขาไม่เสียใจเลยที่เสียตาแท้ๆ ไป"
"คงไม่ค่อยผูกพันกันน่ะ เพราะตั้งแต่ลูกสาวคุณลุงเสียเมื่อสิบห้าปีก่อน คุณปราบดา...ลูกเขยคุณลุงก็ไม่มีเวลาพาหลานมาเยี่ยมเท่าไร"
อนาวิลารับฟังอย่างสะท้อนใจ นึกสงสารคนชราที่ต้องอยู่บ้านลำพัง คงมีแต่สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น
หญิงสาวยกมือไหว้สวัสดีชายวัยกลางคน ทนายประจำตัวคุณตาที่เธอรู้จักมักคุ้นอย่างดีเพราะเคยพบท่านไปมาหาสู่กับคุณตาอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าสนิทสนมกับทนายชลัทมากกว่าบุตรชายท่านเสียอีก
เธอนั่งรอพิธีการบนเก้าอี้แถวหลังออกมา แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวันแรกรดน้ำศพชายชรา คือเธอสังเกตเห็นร่างสูงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นหลานคุณตายืนเต๊ะอยู่แถวหน้าสุดพร้อมบิดา วันนั้นเธอรู้สึกถึงแสงตามองมา ครั้นยิ้มให้เป็นมารยาท ชายหนุ่มผู้นั้นก็แลเลยไปเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
เธอจะไม่ทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้าอีกจึงเลือกวางหน้าเฉยเมื่อรู้สึกถึงแสงตามองมา มือกำกระโปรงผ้าชีฟองแน่นขณะนั่งหลังตรงอย่างไว้ตัว ก่อนใครคนหนึ่งจะยื่นแก้วน้ำพลาสติกพร้อมหลอดซึ่งยังไม่ได้เจาะมาตรงหน้าเธอ
"น้ำครับ" เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่เจ้าของย่อตัวมานั่งเคียงกัน
อนาวิลาลืมวางมาดนิ่งเสียสนิท กลับมาอ่อนราวขี้ผึ้งลนไฟ เธอพึมพำขอบคุณพลางพยายามใช้หลอดเจาะแก้วน้ำเงอะงะ หากแม้แต่หลอดก็ดูจะอ่อนตาม เจาะผ่านฝาซีนพลาสติกไม่ลงเสียที
รชตวันหัวเราะในลำคอ เขาดึงแก้วน้ำและหลอดจากมือเธอไปเจาะให้เสียเอง เพียงทีเดียวก็สำเร็จ
"เอ่อ พี่ภาคย์ไปนั่งกับลุงทนายก็ได้นะคะ เผื่อลุงทนายมีธุระอะไร"
"งั้นเดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปส่งอุ่นนะ พอดีพี่จะแวะไปคอนโดฯ เพื่อนแถวนั้นด้วย อย่ารีบหนีกลับแบบวันนั้นนะครับ พี่ไปห้องน้ำออกมา พ่อบอกว่าอุ่นลากลับไปแล้ว"
หญิงสาวยิ้มแห้งพลางผงกศีรษะเอียงอาย เขาส่งแก้วน้ำให้เธอแล้วจึงลุกจากไป
ตลอดงานวันนั้นเธอไม่ได้พาตัวเองไปทักทายหรือทำความรู้จักครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของคุณตาดังคิด ทั้งที่ตั้งใจจะบอกพวกเขาเรื่องสุนัขเหล่านั้น เผื่อเขาจะอยากรับมันไปดูแล ราวกับมีเกราะซึ่งมองไม่เห็นขีดกั้นพวกเขาออกจากทุกคน
ไว้ก่อนแล้วกัน เธอฝากความห่วงใยพวกมันไปกับลุงทนายคงจะดีเสียกว่า
.......................
"ออกมาก่อนจะดีหรือคะ อุ่นเห็นลุงทนายยังคุยกับครอบครัวคุณตาอยู่เลย" เธอถามหลังรชตวันเปิดประตูรถตนให้เธอขึ้นไป ก่อนเขาจะอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับและค่อยเคลื่อนรถออกไป
"พ่อคงคุยเรื่องพินัยกรรมที่คุณลุงทำไว้น่ะครับ"
"เอ๋ คุณตาทำพินัยกรรมไว้หรือคะ"
นั่นสินะ เธอไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน คงไม่แปลกอะไรที่ทนายชลัทจะแวะเวียนมาหาคุณตาบ่อยๆ เพราะเรื่องหุ้นในกิจการต่างๆ ที่ท่านถืออยู่ ท่านคงอยากแบ่งสันปันส่วนให้ลูกหลานกระมัง
"คุณลุงบอกพ่อไว้น่ะครับว่าขอให้เปิดพินัยกรรมหลังจัดงานท่านเรียบร้อย"
"งั้นอุ่นฝากพี่ภาคย์กับคุณลุงจัดการเรื่องเจ้าสี่ตัวนั้นได้ไหมคะ อาจจะมีใครสักคนดูแลมันแทนคุณตาได้"
เธอยังคงนึกห่วงพวกมันเป็นอย่างแรกเสมอ ขอให้เธอมองคนผิดไป ขอให้ผู้คนท่าทางหัวสูงเหล่านั้นยอมรับมันไปเลี้ยงด้วยเถอะ นี่ถ้าเธอมีบ้านเป็นของตัวเองล่ะก็ เธอคงยินดีและเต็มใจจะรับมันมาเลี้ยงเสียเอง
"พี่มาส่งอุ่นเพราะเรื่องนี้นี่แหละครับ"
"เอ๋" ที่แท้เขามีธุระจะพูดกับเธอหรอกหรือ
โธ่เอ๋ย เธอก็หลงนึกว่าเขาแสดงน้ำใจต่อเธอก็เพราะ...เพราะ... บ้าจริง! เธอกล้าคิดว่าเขาอาจอยากทำความรู้จักกับเธอมากขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
"พรุ่งนี้สิบโมง รบกวนอุ่นไปที่บ้านคุณลุงทีนะครับ พ่อพี่อยากให้อุ่นอยู่ร่วมในระหว่างเปิดพินัยกรรม"
ลุงทนายคงฝากเขามาพูดเรื่องนี้กับเธอสินะ อนาวิลาอยากเอาศีรษะโขกคอนโซลหน้ารถชะมัดที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเอง
"แต่อุ่นเป็นแค่คนนอก จะดีเหรอคะ"
"เป็นความตั้งใจของคุณลุงที่ฝากฝังกับพ่อพี่ไว้น่ะครับ อุ่นทำเพื่อท่านได้ใช่ไหม"
"ค่ะ มากกว่านี้อุ่นก็ทำให้คุณตาได้" เธอตอบจากใจ
หญิงสาวนึกถึงวันแรกรู้จักคุณตา ตอนนั้นเธอเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้ย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนต์ที่อยู่ปัจจุบัน เธอมักแอบไปเล่นกับสุนัขทั้งสี่ตัวในบ้านหลังนั้น เรียกมันด้วยชื่อที่เธอตั้งขึ้นมาเองตามลักษณะเด่นของสุนัขแต่ละตัว
คุณตาคงได้ยินและเห็นเธอแหย่เล่นกับพวกมัน ท่านออกมาดูและพูดคุยกับเธออย่างมีเมตตา ก่อนเธอจะจากไปเรียนท่านยังอนุญาตให้มาเล่นกับพวกมันอีกเมื่อไรก็ได้
นับจากวันนั้นกว่าหกปีที่ได้รู้จักคุณตาสรรค์ชัย อดีตนายแพทย์ทหารผู้นั้น ไม่เคยมีสักวันที่ท่านไม่เต็มใจต้อนรับเธอ เราต่างเป็นครอบครัวร่วมโลกเดียวกัน ท่านเอ็นดูเธอเหมือนหลาน ขณะที่เธอก็นับถือและรักชายชราอย่างญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง อาจมากกว่าครอบครัวตัวเองเสียด้วยซ้ำ
"อุ่นหิวหรือเปล่า อยากแวะไหนไหมครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ" อนาวิลาดึงสติกลับมาตอบคำถามคนข้างๆ อีกครั้ง
"งั้นพี่ส่งอุ่นแล้วคงต้องขอตัวเลย ไว้โอกาสหน้าพี่คงได้เลี้ยงข้าวสักมื้อนะ"
หญิงสาวก้มหน้ายิ้มกับมือตนบนตัก เธอรู้สึกได้ว่าเขารีบ ก็คงเพราะมีธุระต่อกับเพื่อน และประโยคหลังนั้นก็เหมือนเอ่ยไปตามมารยาทเสียมากกว่า ก็เพราะเขาเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างนี้ไง เธอถึงได้ประทับใจเรื่อยมา
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง คราวต่อไปอุ่นต้องเลี้ยงพี่ภาคย์ต่างหาก"
รชตวันยิ้มบาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ และเมื่อเธอลงจากรถไปแล้วเขาก็รีบบึ่งต่อไปอย่างจดจ่อกับเป้าหมายเบื้องหน้า ไม่มีแม้เงาคนที่นั่งอยู่ข้างกันเมื่อกี้ติดอยู่ในความคิดคำนึง
...........................
ตอนหน้าใกล้จะถึงเวลาเปิดพินัยกรรมของคุณตาแล้วนะคะ
แล้วก็จะได้เห็นวีรกรรมของนายโปรดด้วย อิอิ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
บ้านเดี่ยวสองชั้นบนเนื้อที่กว่าสองร้อยตารางวาในซอยสุขุมวิทเงียบเหงาไปถนัดใจเมื่อขาดเจ้าของบ้านผู้เป็นที่รักของสุนัขทั้งสี่ตัว พวกมันนอนหมอบหงอยเหงา แค่ได้สบตาอ้างว้าง ฟังเสียงครางหงิงของพวกมัน น้ำตาเธอก็รื้นขึ้นมาอย่างเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นดี
"ไม่เป็นไรนะพวกแก ฉันจะมาให้ข้าวพวกแกเอง จนกว่าเจ้านายใหม่จะมาดูแกนะ"
วันนี้เธอซื้อข้าวผัดมาสองกล่อง ตับย่างอีกสองไม้ แบ่งใส่ฝาโฟมสี่ฝาเท่าๆ กันและสอดมันผ่านเข้าไปใต้รั้ว
"คุณลุง กินเยอะๆ สิจ๊ะ" เธอบอกเจ้าหมาแก่ที่มัวแต่ยืนดม ไม่ยอมกินสักที "หยุดเลยล่ำ ห้ามแย่งของลุงนะ"
อนาวิลาชี้เจ้าตัวล่ำที่ทำเนียนมาดอมดมถาดอาหารเพื่อน เมื่อเจอนิ้วพิฆาตเข้าไปจึงเฉไฉไปกินน้ำในอ่างดินเลี้ยงปลาหางนกยูงแทน
เธอรอจนสุนัขทุกตัวกินอาหารหมดแล้วเก็บโฟมไปทิ้ง สุดหล่อเดินเกาะรั้วตามพลางเห่าเรียกราวกับกลัวเธอทิ้งพวกมันไปอีกคน หญิงสาวต้องยื่นมือผ่านรั้วไปดึงปลอกคอมันอย่างที่มักแหย่ประจำ
"วันนี้ฉันจะไปส่งคุณตาขึ้นสวรรค์ ถ้ากลับไม่ดึกจะมาหานะ"
ถ้าทำได้เธออยากจะพาพวกมันทั้งสี่ตัวไปด้วยกันเสียด้วยซ้ำ หากก็ทำได้เพียงตัดใจลุกจากไปเมื่อวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ห่างไปจากนี่พอสมควร ตามความสะดวกของลูกหลานท่านที่เหลืออยู่ แม้แต่เธอเองก็ได้ไปร่วมงานแค่วันแรกเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันฌาปนกิจคุณตาสรรค์ชัย ถึงจะเดินทางลำบากอย่างไรเธอก็ต้องการไปร่วมไว้อาลัยท่านเป็นครั้งสุดท้าย
อนาวิลาขึ้นรถประจำทางไปลงยังหน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต ก่อนจะต่อรถรับจ้างที่ผ่านหน้าวัดนั้นอีกทีหนึ่ง เดินเท้าเข้าไปจากซุ้มประตูด้านหน้าราวห้าสิบเมตรก็จะพบกับอุโบสถหลังใหญ่
ทว่า...
"อุ่น" รชตวันกดกระจกรถลงพลางเรียก
คราวนี้เขาไม่กล้ากดแตรทักเธออีกแล้วนอกจากขับรถไปเทียบใกล้ๆ แทน
"ขึ้นมาสิครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ เดินไปใกล้ๆ นี้เอง"
น่าเสียดายที่ประสบการณ์การนั่งรถไปกับเขาลำพังครั้งแรกไม่ตราตรึงอย่างที่คิด เมื่อวันนั้นเป็นวันที่เธออยู่ในเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจยิ่งกว่า และตอนนี้ใจเธอก็...
ปิ๊นนน!
อนาวิลาสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันมองตามที่มาของเสียงเกรี้ยวกราดของแตรรถอย่างบอกอารมณ์ผู้ขับขี่ แล้วก็ได้เห็นว่าต้นเหตุมาจากรถสปอร์ตสีแดงคันหลังนั่นเอง
"ขึ้นมาเถอะอุ่น"
หญิงสาวเปิดประตูรถพลางขึ้นไปนั่งอย่างเสียมิได้ และเมื่อรถของชายหนุ่มวนมาจอดยังลานปูนโล่งแล้ว รถสปอร์ตที่ตามหลังมาคันนั้นก็เลี้ยวจอดในช่องเยื้องกัน
"เขาไม่น่าเป็นหลานคุณตาได้เลยนะคะ" เธอเปรยขณะมองเจ้าของรถสีแดงเดินลอยชายลงมา "ดูเขาไม่เสียใจเลยที่เสียตาแท้ๆ ไป"
"คงไม่ค่อยผูกพันกันน่ะ เพราะตั้งแต่ลูกสาวคุณลุงเสียเมื่อสิบห้าปีก่อน คุณปราบดา...ลูกเขยคุณลุงก็ไม่มีเวลาพาหลานมาเยี่ยมเท่าไร"
อนาวิลารับฟังอย่างสะท้อนใจ นึกสงสารคนชราที่ต้องอยู่บ้านลำพัง คงมีแต่สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น
หญิงสาวยกมือไหว้สวัสดีชายวัยกลางคน ทนายประจำตัวคุณตาที่เธอรู้จักมักคุ้นอย่างดีเพราะเคยพบท่านไปมาหาสู่กับคุณตาอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าสนิทสนมกับทนายชลัทมากกว่าบุตรชายท่านเสียอีก
เธอนั่งรอพิธีการบนเก้าอี้แถวหลังออกมา แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวันแรกรดน้ำศพชายชรา คือเธอสังเกตเห็นร่างสูงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นหลานคุณตายืนเต๊ะอยู่แถวหน้าสุดพร้อมบิดา วันนั้นเธอรู้สึกถึงแสงตามองมา ครั้นยิ้มให้เป็นมารยาท ชายหนุ่มผู้นั้นก็แลเลยไปเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
เธอจะไม่ทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้าอีกจึงเลือกวางหน้าเฉยเมื่อรู้สึกถึงแสงตามองมา มือกำกระโปรงผ้าชีฟองแน่นขณะนั่งหลังตรงอย่างไว้ตัว ก่อนใครคนหนึ่งจะยื่นแก้วน้ำพลาสติกพร้อมหลอดซึ่งยังไม่ได้เจาะมาตรงหน้าเธอ
"น้ำครับ" เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่เจ้าของย่อตัวมานั่งเคียงกัน
อนาวิลาลืมวางมาดนิ่งเสียสนิท กลับมาอ่อนราวขี้ผึ้งลนไฟ เธอพึมพำขอบคุณพลางพยายามใช้หลอดเจาะแก้วน้ำเงอะงะ หากแม้แต่หลอดก็ดูจะอ่อนตาม เจาะผ่านฝาซีนพลาสติกไม่ลงเสียที
รชตวันหัวเราะในลำคอ เขาดึงแก้วน้ำและหลอดจากมือเธอไปเจาะให้เสียเอง เพียงทีเดียวก็สำเร็จ
"เอ่อ พี่ภาคย์ไปนั่งกับลุงทนายก็ได้นะคะ เผื่อลุงทนายมีธุระอะไร"
"งั้นเดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปส่งอุ่นนะ พอดีพี่จะแวะไปคอนโดฯ เพื่อนแถวนั้นด้วย อย่ารีบหนีกลับแบบวันนั้นนะครับ พี่ไปห้องน้ำออกมา พ่อบอกว่าอุ่นลากลับไปแล้ว"
หญิงสาวยิ้มแห้งพลางผงกศีรษะเอียงอาย เขาส่งแก้วน้ำให้เธอแล้วจึงลุกจากไป
ตลอดงานวันนั้นเธอไม่ได้พาตัวเองไปทักทายหรือทำความรู้จักครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของคุณตาดังคิด ทั้งที่ตั้งใจจะบอกพวกเขาเรื่องสุนัขเหล่านั้น เผื่อเขาจะอยากรับมันไปดูแล ราวกับมีเกราะซึ่งมองไม่เห็นขีดกั้นพวกเขาออกจากทุกคน
ไว้ก่อนแล้วกัน เธอฝากความห่วงใยพวกมันไปกับลุงทนายคงจะดีเสียกว่า
.......................
"ออกมาก่อนจะดีหรือคะ อุ่นเห็นลุงทนายยังคุยกับครอบครัวคุณตาอยู่เลย" เธอถามหลังรชตวันเปิดประตูรถตนให้เธอขึ้นไป ก่อนเขาจะอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับและค่อยเคลื่อนรถออกไป
"พ่อคงคุยเรื่องพินัยกรรมที่คุณลุงทำไว้น่ะครับ"
"เอ๋ คุณตาทำพินัยกรรมไว้หรือคะ"
นั่นสินะ เธอไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน คงไม่แปลกอะไรที่ทนายชลัทจะแวะเวียนมาหาคุณตาบ่อยๆ เพราะเรื่องหุ้นในกิจการต่างๆ ที่ท่านถืออยู่ ท่านคงอยากแบ่งสันปันส่วนให้ลูกหลานกระมัง
"คุณลุงบอกพ่อไว้น่ะครับว่าขอให้เปิดพินัยกรรมหลังจัดงานท่านเรียบร้อย"
"งั้นอุ่นฝากพี่ภาคย์กับคุณลุงจัดการเรื่องเจ้าสี่ตัวนั้นได้ไหมคะ อาจจะมีใครสักคนดูแลมันแทนคุณตาได้"
เธอยังคงนึกห่วงพวกมันเป็นอย่างแรกเสมอ ขอให้เธอมองคนผิดไป ขอให้ผู้คนท่าทางหัวสูงเหล่านั้นยอมรับมันไปเลี้ยงด้วยเถอะ นี่ถ้าเธอมีบ้านเป็นของตัวเองล่ะก็ เธอคงยินดีและเต็มใจจะรับมันมาเลี้ยงเสียเอง
"พี่มาส่งอุ่นเพราะเรื่องนี้นี่แหละครับ"
"เอ๋" ที่แท้เขามีธุระจะพูดกับเธอหรอกหรือ
โธ่เอ๋ย เธอก็หลงนึกว่าเขาแสดงน้ำใจต่อเธอก็เพราะ...เพราะ... บ้าจริง! เธอกล้าคิดว่าเขาอาจอยากทำความรู้จักกับเธอมากขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
"พรุ่งนี้สิบโมง รบกวนอุ่นไปที่บ้านคุณลุงทีนะครับ พ่อพี่อยากให้อุ่นอยู่ร่วมในระหว่างเปิดพินัยกรรม"
ลุงทนายคงฝากเขามาพูดเรื่องนี้กับเธอสินะ อนาวิลาอยากเอาศีรษะโขกคอนโซลหน้ารถชะมัดที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเอง
"แต่อุ่นเป็นแค่คนนอก จะดีเหรอคะ"
"เป็นความตั้งใจของคุณลุงที่ฝากฝังกับพ่อพี่ไว้น่ะครับ อุ่นทำเพื่อท่านได้ใช่ไหม"
"ค่ะ มากกว่านี้อุ่นก็ทำให้คุณตาได้" เธอตอบจากใจ
หญิงสาวนึกถึงวันแรกรู้จักคุณตา ตอนนั้นเธอเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้ย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนต์ที่อยู่ปัจจุบัน เธอมักแอบไปเล่นกับสุนัขทั้งสี่ตัวในบ้านหลังนั้น เรียกมันด้วยชื่อที่เธอตั้งขึ้นมาเองตามลักษณะเด่นของสุนัขแต่ละตัว
คุณตาคงได้ยินและเห็นเธอแหย่เล่นกับพวกมัน ท่านออกมาดูและพูดคุยกับเธออย่างมีเมตตา ก่อนเธอจะจากไปเรียนท่านยังอนุญาตให้มาเล่นกับพวกมันอีกเมื่อไรก็ได้
นับจากวันนั้นกว่าหกปีที่ได้รู้จักคุณตาสรรค์ชัย อดีตนายแพทย์ทหารผู้นั้น ไม่เคยมีสักวันที่ท่านไม่เต็มใจต้อนรับเธอ เราต่างเป็นครอบครัวร่วมโลกเดียวกัน ท่านเอ็นดูเธอเหมือนหลาน ขณะที่เธอก็นับถือและรักชายชราอย่างญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง อาจมากกว่าครอบครัวตัวเองเสียด้วยซ้ำ
"อุ่นหิวหรือเปล่า อยากแวะไหนไหมครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ" อนาวิลาดึงสติกลับมาตอบคำถามคนข้างๆ อีกครั้ง
"งั้นพี่ส่งอุ่นแล้วคงต้องขอตัวเลย ไว้โอกาสหน้าพี่คงได้เลี้ยงข้าวสักมื้อนะ"
หญิงสาวก้มหน้ายิ้มกับมือตนบนตัก เธอรู้สึกได้ว่าเขารีบ ก็คงเพราะมีธุระต่อกับเพื่อน และประโยคหลังนั้นก็เหมือนเอ่ยไปตามมารยาทเสียมากกว่า ก็เพราะเขาเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างนี้ไง เธอถึงได้ประทับใจเรื่อยมา
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง คราวต่อไปอุ่นต้องเลี้ยงพี่ภาคย์ต่างหาก"
รชตวันยิ้มบาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ และเมื่อเธอลงจากรถไปแล้วเขาก็รีบบึ่งต่อไปอย่างจดจ่อกับเป้าหมายเบื้องหน้า ไม่มีแม้เงาคนที่นั่งอยู่ข้างกันเมื่อกี้ติดอยู่ในความคิดคำนึง
...........................
ตอนหน้าใกล้จะถึงเวลาเปิดพินัยกรรมของคุณตาแล้วนะคะ
แล้วก็จะได้เห็นวีรกรรมของนายโปรดด้วย อิอิ
ฝากติดตามด้วยนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2557, 17:10:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2557, 17:10:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1988
<< บทนำ | บทที่ ๑ (๑๐๐%) เงื่อนไขพินัยกรรม + เกมแจกหนังสือค่ะ >> |


ภาพิมล_พิมลภา 8 มิ.ย. 2557, 20:48:20 น.
คุณร้อยวจี - อิอิ เอาใจช่วยป้าด้วยนะคะ
คุณร้อยวจี - อิอิ เอาใจช่วยป้าด้วยนะคะ


แว่นใส 8 มิ.ย. 2557, 21:53:36 น.
พระเอกชื่อโปรดเหรอ
พระเอกชื่อโปรดเหรอ

konhin 8 มิ.ย. 2557, 22:56:41 น.
คุณตาต้องให้บ้านกับหมา?หรือเปล่า
คุณตาต้องให้บ้านกับหมา?หรือเปล่า

ภาพิมล_พิมลภา 9 มิ.ย. 2557, 09:15:17 น.
คุณร้อยวจี - ขอบคุณนะฮ้าบ วันพุธเจอกันค่ะ
คุณแว่นใส - ใช่แล้วค่ะ ชื่อ "นายโปรด" เลย
คุณkonhin - ถ้าแค่บ้านกับตูบคงไม่มีเรื่องเท่าไรค่ะ คุณตามีเงื่อนไขด้วยนี่สิคะ อิอิ
คุณร้อยวจี - ขอบคุณนะฮ้าบ วันพุธเจอกันค่ะ
คุณแว่นใส - ใช่แล้วค่ะ ชื่อ "นายโปรด" เลย
คุณkonhin - ถ้าแค่บ้านกับตูบคงไม่มีเรื่องเท่าไรค่ะ คุณตามีเงื่อนไขด้วยนี่สิคะ อิอิ



ปริยาธร 9 ก.ค. 2557, 20:09:29 น.
พี่ภาคย์ท่าทางจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว
พี่ภาคย์ท่าทางจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว