อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ

ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ

Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 6

กฤตตะวันขับรถออกจากบริษัททันทีหลังจากเลิกงาน วันนี้เขาต้องแวะเข้าไปรับชุดราตรีของพี่สาวที่ร้านซักรีดในโครงการทาวน์เลิฟด้วย เนื่องจากลุงธงคนขับรถประจำบ้านไม่ว่างมารับเพราะวันนี้ทั้งวันต้องไปรอรับส่งเกศวรางค์ซึ่งไปเข้าคอร์สขัดหน้า นวดหน้า นวดตัวกับบรรดากลุ่มเพื่อนสนิทเพื่อเตรียมตัวไปงานแต่งงานเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งในคืนวันพรุ่งนี้

เวลาเลิกงานแบบนี้รถค่อนข้างติดและเคลื่อนตัวช้ามากดังนั้นกฤตตะวันจึงต้องชะลอรถจอดเป็นระยะ ในระหว่างที่เขาชะลอรถจอดรถต่อท้ายรถประจำทางคันหนึ่งซึ่งเข้าป้ายเพื่อรับผู้โดยสารที่หน้าห้างสรรพสินค้าสายตาของชายหนุ่มก็ไปสะดุดเข้ากับร่างระหงคุ้นตาซึ่งกำลังยืนชะเง้อชะแง้มองหารถอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง กฤตตะวันมองไล่ลงมาที่ข้อเท้าของเจ้าหล่อนโดยอัตโนมัติและเมื่อเห็นว่าที่ข้อเท้าของหญิงสาวมีผ้าพันอยู่ เขาก็หัวเราะในลำคอก่อนจะพึมพำกับตัวเองอย่างนึกขำ

“ดวงผมกับคุณนี่ท่าทางจะสมพงษ์กันจริงๆ แฮะ”

ศันลิตาซึ่งกำลังยืนชะเง้อชะแง้มองหารถแท็กซี่ชะงักทันทีเมื่อรถสปอร์ตสีดำคันหรูที่ชักจะเริ่มคุ้นตาเธอในระยะนี้แล่นเข้ามาจอดเทียบตรงริมฟุตบาทด้านหน้าหญิงสาว ก่อนที่กระจกรถฝั่งที่นั่งด้านข้างคนขับจะถูกกดให้เลื่อนลงแล้วชายหนุ่มเจ้าของรถก็ส่งเสียงบอกมาว่า

“ขึ้นรถสิคุณ เดี๋ยวผมไปส่ง” กฤตตะวันบอกง่ายๆ แต่ศันลิตาส่ายหน้าทันทีพลางปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ เชิญคุณตามสบายเถอะ ฉันกลับเองได้ขอบคุณมาก”

“รีบขึ้นรถเถอะคุณรถคันหลังเค้าบีบแตรไล่แล้ว ถ้าขืนคุณยังชักช้าเรื่องมากผมจะลงไปอุ้มคุณขึ้นมาจริงๆ ด้วย ไม่เชื่อก็ลองดูสิ” ชายหนุ่มขู่ในตอนท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ศันลิตามองหน้าใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาขุ่นเคืองอย่างไม่พอใจ ถึงแม้จะไม่อยากทำตามคำสั่งของเขาแต่เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วหญิงสาวคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถวิ่งหนีชายหนุ่มได้ทันถ้าหากว่าเขาเกิดบ้าคิดจะลงมาอุ้มเธอไปขึ้นรถจริงๆ เพราะว่าศันลิตายังเจ็บขาอยู่ แล้วที่สำคัญก็คือถ้าเขาลงมาอุ้มอย่างที่พูดจริงเธอคงได้อับอายผู้คนจำนวนมากที่กำลังยืนรอรถอยู่ในบริเวณนี้เป็นแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยอมเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี ส่วนกฤตตะวันนั้นแอบอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้เขาจนได้ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขามีรอยยิ้มและลืมเรื่องงานที่กำลังเครียดทุกครั้งที่ได้พบกันเสมอ

“ทำไมคุณถึงได้เรื่องมากนักนะ ถึงยังไงบ้านคุณกับผมก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว คุณติดรถผมไปก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย” กฤตตะวันพูดขึ้นเมื่อรถเคลื่อนออกจากป้ายรถประจำทางมาได้ครู่หนึ่ง

“แล้วทำไมฉันต้องยอมขึ้นรถคนแปลกหน้าง่ายๆ ด้วยล่ะ”

“ถ้านับรวมครั้งนี้เราเจอกันเป็นครั้งที่ห้าแล้วนะคุณ เพราะฉะนั้นไม่ถือว่าคุณกับผมเป็นคนแปลกหน้ากันแล้ว”

“ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้รู้จักกับคุณเป็นการส่วนตัว...” ศันลิตาเถียงอย่างไม่ยอมลงให้อีกฝ่าย

“ผมชื่อกฤตตะวัน ชื่อเล่นกฤต” ชายหนุ่มแนะนำตัวแบบง่ายๆ ก่อนจะเหลือบไปมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ยอมแนะนำชื่อตัวเองกับเขา

“คุณจะไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอ”

“ไม่เห็นจำเป็นเลย ฉันไม่ได้อยากจะรู้จักกับคุณซักหน่อย” ศันลิตาพูดหน้าตาเฉย กฤตตะวันเหลือบมามองคนข้างๆ อีกแวบหนึ่งพลางคลี่ยิ้มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เมื่อนึกวิธีที่จะทำให้หญิงสาวยอมบอกชื่อตัวเองออกมาได้

“อืม...คุณคงไม่มีชื่อสินะ ถ้างั้นเดี๋ยวผมหาชื่อตั้งให้คุณดีกว่า หน้าตาแบบคุณควรจะชื่อว่าอะไรดีนะ คุณเปิ่น คุณซุ่มซ่าม คุณเฟอะฟะหรือว่า...”

“ฉันชื่อศันลิตา ไม่ต้องหาชื่อประหลาดๆ มาตั้งให้ฉัน” ศันลิตาพูดแทรกขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบประโยคด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

“อ๋อ คุณชื่อศันลิตา” กฤตตะวันพูดพลางอมยิ้มอย่างพอใจที่หญิงสาวตกหลุมพรางของเขาอย่างง่ายดาย

“เอ๊ะ! นี่คุณหลอกถามชื่อฉันใช่มั้ย” ศันลิตาหันไปถามอย่างเอาเรื่องเมื่อรู้ตัวว่าพลาดท่าเสียทีเผลอบอกชื่อตัวเองกับชายหนุ่มไปแล้ว

กฤตตะวันไม่ยอมตอบคำถามนอกจากหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปถามเรื่องอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของศันลิตาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งหญิงสาวก็บอกกับชายหนุ่มว่าดีขึ้นมากแล้วแต่ยังรู้สึกเจ็บแปลบอยู่บ้างจึงทำให้เธอยังไม่สามารถเดินเร็วๆ หรือวิ่งได้

“แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้ วันนี้ไม่ต้องทำงานรึไง”

“ฉันมาสัมมนาที่โรงแรม...ก็เลยมายืนรอรถอยู่ที่หน้าห้าง” ศันลิตาตอบ

“อ๋อ” ชายหนุ่มพยักหน้าพลางทำเสียงเป็นเชิงว่ารับรู้ เขาเองก็เพิ่งจะสังเกตว่าศันลิตาแต่งตัวเป็นทางการกว่าทุกครั้ง เพราะวันนี้หญิงสาวสวมเดรสแขนสามส่วนตัวเสื้อเข้ารูปแต่กระโปรงพริ้วบานยาวพอดีเข่าสีน้ำตาลอ่อนกับรองเท้าสานส้นเตี้ยแบบรัดส้นสีครีมเข้ากับกระเป๋าสะพายสีเดียวกันและถือแฟ้มเอกสารอยู่ในมือด้วย กฤตตะวันยังไม่ได้ซักถามหญิงสาวว่ามาสัมมนาเรื่องอะไรก็ถึงหน้าทาวน์เลิฟพอดีเขาจึงหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าไปภายในโครงการ เมื่อรถแล่นผ่านป้อมยามเข้าไปชายหนุ่มก็ขับรถไปจอดที่ร้านซักรีดก่อนจะหันมาบอกหญิงสาว

“คุณนั่งรอในรถแป๊บนึงนะเดี๋ยวผมเข้าไปเอาชุดแล้วจะขับไปส่งคุณที่หน้าร้าน”

“ทำไมต้องให้ฉันนั่งรอคุณด้วย ร้านฉันก็อยู่แค่นี้ฉันเดินไปเองก็ได้”

“แล้วคุณจะดื้อรีบเดินโขยกเขยกไปทำไมกัน รอผมอยู่นี่แหละเฝ้ารถให้ผมด้วยนะถ้าข้าวของในรถผมหายไปคุณต้องชดใช้” กฤตตะวันบอกเสียงเข้มก่อนจะผลักประตูรถก้าวลงไปโดยไม่รอฟังคำตอบจากศันลิตาเลยด้วยซ้ำ

“เค้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันเนี่ย ทำอย่างกับเป็นเจ้านายแน่ะ” ศันลิตาบ่นตามหลังชายหนุ่มอย่างหงุดหงิด ใจหนึ่งก็นึกอยากจะขัดคำสั่งของกฤตตะวันแต่เมื่อเหลือบไปเห็นเขาวางโทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ก และไอแพดราคาแพงทิ้งเอาไว้ในรถหญิงสาวก็ทำไม่ลง เพราะถึงป้อมยามจะตั้งอยู่ไม่ไกลนักแต่ช่วงเย็นแบบนี้มีคนเดินเข้าออกโครงการอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเธอทิ้งรถเอาไว้โดยไม่ได้ล็อคก็อาจจะมีคนมาขโมยข้าวของในรถได้ อีกทั้งกฤตตะวันก็มีน้ำใจขับรถมาส่งเธอถึงสองครั้งสองคราแล้วศันลิตาจึงไม่อาจทำตัวแล้งน้ำใจกับชายหนุ่มได้

เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจนั่งรออยู่ในรถจนกระทั่งชายหนุ่มเดินกลับออกมาจากร้านซักรีดของศิวพรพร้อมด้วยชุดราตรีสีทองสวยหรูซึ่งถูกหุ้มห่อเอาไว้เป็นอย่างดีบ่งบอกให้รู้ว่าต้องเป็นชุดที่มีราคาแพงมาก สัญชาตญาณบอกกับศันลิตาว่าชุดนี้จะต้องเป็นของหญิงสาวสวยรุ่นพี่ที่เธอแอบตั้งฉายาให้อีกฝ่ายเอาไว้ว่า “เจ๊อุปถัมภ์” อย่างแน่นอน เพราะเธอค่อนข้างมั่นใจว่าหญิงสาวรุ่นพี่คนนั้นกำลังอุปถัมภ์เลี้ยงดูกฤตตะวันอยู่และคงจะมีฐานะร่ำรวยมากเลยทีเดียว

“ขอบคุณที่คุณยอมนั่งเฝ้ารถให้ผม” กฤตตะวันพูดกับหญิงสาวเมื่อก้าวขึ้นมานั่งบนรถหลังจากวางชุดราตรียาวสีทองไว้ที่เบาะรถด้านหลังเรียบร้อยแล้ว

“ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุณอุตส่าห์ให้ฉันติดรถมาด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องติดหนี้บุญคุณคุณไง” ศันลิตาพูดหน้าตาเฉย ในขณะที่กฤตตะวันได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเคลื่อนรถไปจอดที่หน้าร้านหนังสือ

ศันลิตาก้าวลงจากรถพลางกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่ม กฤตตะวันพยักหน้ารับพร้อมทั้งบอกว่าไม่เป็นไรก่อนจะขับรถออกไปจากหน้าร้านของหญิงสาว ศันลิตาจึงหมุนตัวเดินเข้าไปภายในร้านของตัวเองบ้าง

เมื่อผลักประตูร้านก้าวเข้าไปศันลิตาก็เห็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม สวมแว่นตาหนาเตอะ รูปร่างสูงเพรียวผิวขาวกำลังยืนพูดคุยอยู่กับศิริวรรณ เธอคืออักษราภัค หรือ ฟ้า เจ้าของร้านสปาที่อยู่ติดกับร้านซักรีดของศิวพรซึ่งคุ้นเคยกับศันลิตาพอควรเนื่องจากสองสาวมีอายุเท่ากันจึงคุยกันถูกคอ

“อ้าว! ต้ากลับมาพอดี ฟ้ากำลังถามถึงอยู่เลยจ้ะ”

“หวัดดีฟ้า ไงจ๊ะวันนี้ว่างรึไงถึงได้แวะมาที่นี่ได้” ศันลิตาทักทายอักษราภัคก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“หวัดดีจ้า ฉันก็เพิ่งจะพอมีเวลาปลีกตัวออกมาเมื่อกี๊นี่แหละ เห็นพี่วรรณบอกว่าเธอไปสัมมนาทั้งวันเลยไปสัมมนาเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ” อักษราภัคทักทายตอบแล้วย้อนถามศันลิตากลับมาในตอนท้ายประโยค

“สัมมนาเรื่องบัญชีและกฎหมายเพื่อเก็บชั่วโมงประจำปีของนักบัญชีกับผู้ตรวจสอบบัญชีจ้ะ”

“อ๋อ ลืมไปว่าเธอเป็นนักบัญชีด้วยไม่ใช่เจ้าของร้านหนังสืออย่างเดียว” อักษราภัคพูดพลางยิ้ม

“จริงๆ แล้วฉันก็เบื่อที่ต้องไปนั่งสัมมนาทั้งวันเหมือนกันนะ แต่ทำไงได้เพราะฉันเคยขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีเอาไว้เลยกลายเป็นภาระผูกพันต้องไปสัมมนาทุกปีไม่อย่างงั้นจะเสียสิทธิ์ของนักบัญชี”

“เอาน่า ถือว่าต้าได้ความรู้เพิ่มเติมทุกปีไงจ๊ะ” ศิริวรรณปลอบ

“ง่วงจะแย่ค่ะ ยิ่งตอนฟังเรื่องประมวลกฎหมาย ต้ายิ่งอยากจะเข้าเฝ้าพระอินทร์ที่สุดเลย” ศันลิตาพูดพลางทำหน้าเบื่อหน่าย ส่วนศิริวรรณกับอักษราภัคพากันหัวเราะอย่างขบขันเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของหญิงสาว หลังจากยืนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งอักษราภัคก็ขอตัวไปเลือกดูหนังสือเพราะต้องรีบกลับไปดูแลร้านต่อ ในขณะที่ศันลิตาขอตัวกับพี่สาวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันแล้ว

ศันลิตาเปิดประตูร้านก้าวออกมายืนบิดตัวไปมาและทำท่ากายบริหารเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสายในยามเช้าเพราะว่าเธอไม่ได้ไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหลายวันแล้วนับตั้งแต่ข้อเท้าเคล็ด

“มอนิ่งครับคุณต้า” เสียงทักทายค่อนข้างคุ้นหูที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวชะงักก่อนจะหันไปทางต้นเสียงซึ่งดังมาจากที่กลับรถข้างร้านของเธอแล้วก็พบกับชายหนุ่มลูกครึ่งดวงตาสีฟ้า หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงผิวขาวกำลังยืนส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร เขาคืออัลวาร์นายทหารหนุ่มนิสัยดีซึ่งเป็นคู่หมั้นของน้ำรินหญิงสาวสวยปปากร้ายเจ้าของร้านตำระเบิดนั่นเอง ศันลิตาส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปทักทายชายหนุ่มอย่างคุ้นเคยกันดี

“สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณอัล พักนี้ไม่ค่อยเห็นคุณอัลมาที่นี่เลยนะคะ”

“ครับพอดีช่วงนี้ผมงานยุ่ง เพิ่งจะว่างแวะมานี่แหละครับ” อัลวาร์พูด

“พอว่างก็เลยรีบมาแต่เช้าใช่มั้ยคะ คิดถึงเค้าล่ะสิ” หญิงสาวกระเซ้าชายหนุ่มยิ้มๆ เธอพอจะดูออกว่าอัลวาร์นั้นรักคู่หมั้นของเขาไม่น้อย เพราะสังเกตจากแววตาและน้ำเสียงเวลาที่เขาพูดถึงน้ำรินทุกครั้งจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเสมอ

“ก็...ทำนองนั้นแหละครับ” อัลวาร์ตอบอ้อมแอ้มด้วยท่าทางเขินๆ จนหญิงสาวอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ก่อนจะแนะนำชายหนุ่มว่า

“ถ้างั้นก็อย่าลืมบอกเค้าว่าคิดถึงด้วยนะคะ ผู้หญิงเค้าจะได้ปลื้มไงคะคุณอัล”

“ผมก็หวังว่าเค้าจะปลื้มนะครับ” อัลวาร์พูดพลางยิ้มบางๆ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะพูดคุยอะไรกันต่อเสียงกระแอมกระไอของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นแล้วก็ตามมาด้วยคำพูดเหน็บแนมแกมประชดว่า

“แหม อากาศยามเช้ามันช่างโรแมนติกเหมาะให้สาวโสดบางคนมายืนจีบกับคู่หมั้นของชาวบ้านจริงๆ เลยนะ”

ศันลิตากับอัลวาร์พาหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งก็คือหญิงสาวสวยเจ้าของร้านตำระเบิดนั่นเอง ก่อนที่ทั้งสองคนจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กันแล้วอัลวาร์ก็ตำหนิคู่หมั้นสาวว่า

“พูดจาน่าเกลียดจริง พี่กับคุณต้าไม่ได้จีบกันซะหน่อย เราก็แค่พูดคุยทักทายกันเฉยๆ”

“นั่นสิ ถ้าผู้หญิงกับผู้ชายทุกคนแค่ยืนพูดคุยกันแล้วถูกเหมาว่ากำลังจีบกัน ป่านนี้คงมีคนเป็นแฟนกันมั่วซั่วไปหมดแล้วมั้ง”

ศันลิตาพูดขึ้นบ้างอารมณ์แจ่มใสเมื่อครู่นี้มีอันต้องมลายหายไปหมดก็เพราะคำพูดของน้ำรินนั่นเอง และเพื่อไม่ให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้หญิงสาวจึงหันไปเอ่ยขอตัวกับอัลวาร์แล้วเดินกลับเข้าไปในร้านตนเองทันทีเพราะว่าเธอไม่อยากจะโต้คารมกับน้ำรินต่อ ปล่อยให้อัลวาร์จัดการอธิบายกับคู่หมั้นของเขาเองจะดีกว่า

“อ้าว! ทำไมเลิกออกกำลังกายไวจังล่ะต้า พี่เห็นเพิ่งจะเดินออกไปเมื่อกี๊นี้เองนี่นา” ศิริวรรณซึ่งกำลังยืนทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวทักขึ้นเมื่อเห็นน้องสาวเดินกลับเข้ามา

“ขืนอยู่นานเดี๋ยวไม่แคล้วต้าจะได้ปะทะคารมกับยัยน้ำรินแต่เช้าสิคะพี่วรรณ” ศันลิตาบอกพี่สาวพลางเดินไปเปิดตู้เย็นเทน้ำดื่มเพื่อดับอารมณ์หงุดหงิด ศิริวรรณหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของน้องสาวก่อนจะถามว่า

“มีเรื่องอะไรกันแต่เช้าล่ะคราวนี้”

“ก็เรื่องของเด็กขี้หึงคู่หมั้นตัวเองไงคะ แค่เดินออกมาเจอต้าคุยกับคุณอัลยัยน้ำรินก็เหน็บแนมว่าต้ากับเค้ายืนจีบกันค่ะ” ศันลิตาตอบเสียงขุ่น

“เอาน่าอย่าอารมณ์เสียแต่เช้าเลยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ พี่ทำกับข้าวใกล้เสร็จแล้วจะได้ลงมากินข้าวให้เรียบร้อยแล้วก็ไปเปิดร้านกัน”

“เจ้าค่า ท่านผู้จัดการร้าน” ศันลิตาล้อเลียนพี่สาวก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องครัวกลับขึ้นไปที่ห้องของตนเอง

ร่างระหงสมส่วนในชุดราตรียาวสีทองสวยหรูของเกศวรางค์ก้าวลงจากรถตรงหน้าล็อบบี้โรงแรมชื่อดังระดับห้าดาวซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงงานแต่งงานเพื่อนร่วมรุ่นของเธอในค่ำคืนนี้ หญิงสาวพยายามชักชวนกฤตตะวันมางานเลี้ยงด้วยแต่เขาปฏิเสธบอกว่าวันนี้มีประชุมที่บริษัทตั้งแต่เช้า ส่วนช่วงบ่ายก็มีแฟ้มงานอีกมากมายที่เขาต้องตรวจสอบคงไม่สามารถกลับมาถึงบ้านทันเวลามางานเลี้ยงกับเธอได้ ดังนั้นเกศวรางค์จึงต้องมางานเลี้ยงตามลำพัง เมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปข้างในก็พบกับจิราพัชรเพื่อนสาวคนสนิทกำลังนั่งรออยู่ในชุดราตรียาวสีฟ้าสดใส

“โทษทีนะแพ๊ตเธอรอฉันนานมั้ย” เกศวรางค์ถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจเพื่อนรัก

“ไม่หรอกฉันเพิ่งมาถึงประมาณสิบนาทีเอง เดี๋ยวเราขึ้นไปที่ห้องจัดเลี้ยงเลยดีกว่า เพื่อนคนอื่นๆ ทยอยขึ้นไปหลายคนแล้วจะได้ไปเม้าท์กัน” จิราพัชรชักชวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นสองสาวก็เดินตรงไปที่ลิฟต์แต่เมื่อผ่านหน้าร้านอาหารอิตาเลียนเกศวรางค์ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นคุณเกริกเกียรติกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในนั้นกับหญิงสาวสวยคนหนึ่ง

“มีอะไรเหรอเกศ” จิราพัชรถามเมื่อเห็นเกศวรางค์หยุดเดินพลางมองตามสายตาของเพื่อนรักไปก่อนจะพูดขึ้นว่า

“อ้าว! นั้นคุณอาเกริกนี่มาทานข้าวกับใครกันหน้าตาสวยเชียว ท่าทางจะสนิมสนมกันมากด้วยนะ ผู้หญิงคนนั้นเอาอกเอาใจคุณอาน่าดูเลย ฉันสงสัยว่าเธอจะได้อาสะใภ้คนใหม่เร็วๆ นี่แล้วล่ะมั้งเกศ” จิราพัชรกระเซ้าเกศวรางค์ยิ้มๆ เมื่อเห็นหญิงสาวสวยคนนั้นคอยตักอาหารใส่จานให้คุณเกริกเกียรติอย่างเอาอกเอาใจ

“ความจริงคุณอานภาก็เสียไปนานหลายปีแล้ว คุณอาเกริกคงจะเหงาเพราะว่าท่านไม่มีลูก ถ้าคุณอาจะแต่งงานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก” เกศวรางค์บอกเพื่อนรักอย่างเข้าใจความรู้สึกของคุณเกริกเกียรติดี เพราะว่าคุณอาของเธอได้สูญเสียคุณนภาผู้เป็นภรรยาไปเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มานานหลายปีแล้ว

“เธอจะเข้าไปทักทายคุณอาเกริกก่อนก็ได้นะเกศ” จิราพัชรบอก

“ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณอา เรารีบไปกันเถอะ” พูดจบเกศวรางค์ก็เดินนำจิราพัชรไปที่ลิฟต์ทันที

คุณเกริกเกียรติยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขเพราะได้รับการเอาอกเอาใจจากนีรนุชหญิงสาวสวยอายุรุ่นราวคราวลูกอยู่ตลอดเวลาที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน

“ผมอิ่มแล้วล่ะ นุชทานบ้างเถอะมัวแต่ตักอาหารให้ผมจนไม่ได้ทานอะไรแล้วนะ” หนุ่มใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยและรักใคร่ในตัวหญิงสาว

“นุชก็อิ่มแล้วล่ะค่ะ” นีรนุชบอกเสียงหวาน

“อะไรกันผมเห็นคุณทานไปแค่นิดเดียวเองนะ ทานต่ออีกหน่อยสิ”

“ไม่เอาหรอกค่ะนุชกลัวอ้วน เดี๋ยวคุณเกริกจะไม่รักนุช”

“เหลวไหลน่า ยังไงผมก็รักนุชเสมอทานต่ออีกนิดเถอะนะ” คุณเกริกเกียรติบอกพลางตักอาหารไปใส่จานให้หญิงสาว อีกฝ่ายจึงตักอาหารรับประทานต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพลางบอก

“นุชอิ่มจริงๆ ค่ะ เรากลับบ้านกันดีกว่า คืนนี้คุณเกริกต้องค้างกับนุชนะคะ นุชอยู่บ้านคนเดียวเหง๊าเหงาค่ะ” นีรนุชพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและแววตาเชิญชวน คุณเกริกเกียรติมองสบตาหญิงสาวอย่างพอใจก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบบอกด้วยแววตาหวานฉ่ำว่า

“ถ้าอย่างงั้นเรารีบกลับกันเลยดีกว่านะ” จากนั้นคุณเกริกเกียรติก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินควงคู่กันออกไปจากร้านอาหารด้วยทีท่าชื่นมื่น แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของนีรนุชซึ่งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านชานเมือง

“คุณเกริกเข้าไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวนุชจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เปลี่ยนค่ะ” นีรนุชบอกเสียงหวานเมื่อขึ้นมาอยู่บนห้องนอนด้วยกันตามลำพัง คุณเกริกเกียรติยิ้มอย่างพอใจก่อนจะรวบร่างอวบอัดมาโอบกอดแล้วก้มลงจูบแก้มหญิงสาวอย่างรักใคร่พลางพูด

“นุชน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจขนาดนี้จะไม่ให้ผมรักคุณได้ไง”

“ถ้าคุณเกริกรักนุชทำไมไม่เปิดเผยเรื่องของเราให้คนอื่นๆ รู้ซะทีล่ะค่ะ นุชอยากแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่ดูแลคุณเกริกที่บ้านทุกวันทุกคืนค่ะ” นีรนุชพูดพลางซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างของคุณเกริกเกียรติอย่างออดอ้อน

“รออีกสักหน่อยนะนุช ผมรู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้ที่จะต้องบอกให้ทุกคนรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน อย่าลืมว่านุชอายุต่างกับผมมากนะ อ่อนกว่าตากฤตหลานชายผมด้วยซ้ำ ผมกลัวใครๆ จะคิดว่าผมหลอกเด็ก แล้วก็กลัวนุชจะอายคนอื่นด้วยที่มาคบกับคนแก่อย่างผม”

“อายุไม่เห็นจะสำคัญเลยค่ะในเมื่อเรารักกัน แล้วคุณเกริกของนุชก็ไม่เห็นจะแก่ตรงไหนเลยนี่คะ ออกจะแข็งแรง” นีรนุชพูดแล้วยืดตัวขึ้นจูบแก้มคุณเกริกเกียรติเบาๆ พลางเบียดร่างอวบอัดเข้าแนบชิดร่างสูงใหญ่อย่างยั่วยวน

“ผมว่าคุณกำลังทำให้ผมไม่อยากไปอาบน้ำแล้วนะ” หนุ่มใหญ่พูดพลางมองสบตาหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างมีความหมาย

“ไม่เอาค่ะ ไปอาบน้ำก่อนนะคะแล้วนุชจะตามใจคุณเกริกทุกอย่างเลยค่ะ” นีรนุชกระซิบเสียงหวานก่อนจะดันร่างตนเองออกจากอ้อมกอดของคุณเกริกเกียรติแล้วจูงมืออีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำ

หลังจากที่คุณเกริกเกียรติเข้าไปในห้องน้ำแล้วนีรนุชก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อจัดเตรียมชุดนอนไว้ให้เขา หญิงสาวกำลังจะเปิดตู้เสื้อผ้าแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตนเองดังขึ้น นีรนุชรีบเดินมาเปิดกระเป๋าสะพายที่วางทิ้งเอาไว้บนเตียงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักพลางกดรับสายแล้วพูดกับคนทางปลายสายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างห้วน

“โทรมาทำไมฉันกำลังอยู่กับคุณเกริก ก็ได้ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะรีบจัดการให้ เท่านี้นะ” พูดจบนีรนุชก็กดวางสายทันทีก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจคนที่อยู่ทางปลายสาย

เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นในตอนเกือบเที่ยงคืนทำให้กฤตตะวันต้องเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงานก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตคนข้างนอกให้เข้ามาได้ เมื่อประตูเปิดออกร่างระหงในชุดราตรียาวสีทองของเกศวรางค์ก็ก้าวตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างโต๊ะทำงานเขา ชายหนุ่มส่งยิ้มให้พี่สาวพลางถาม

“เพิ่งกลับมาถึงเหรอครับพี่เกศ งานเลี้ยงเป็นไงบ้างครับ”

“ก็โอเคนะ เค้าจัดได้เลิศหรูอลังการดี” เกศวรางค์ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเว้นช่วงนิดหนึ่งพลางเหลือบไปมองแฟ้มงานบนโต๊ะทำงานของน้องชายก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นพลางถาม “งานยุ่งมากเหรอกฤตพักนี้พี่เห็นนายทำงานดึกแบบนี้มาหลายคืนแล้วนะ”

“ก็ยุ่งพอสมควรครับ พรุ่งนี้ผมมีประชุมช่วงเช้าด้วยเพราะบริษัทที่ทำโฆษณาให้เราจะเอาสตอรี่ บอร์ด เปิดตัวคอนโดฯ ริมแม่น้ำจ้าพระยามาให้ดูครับ ว่าแต่พรุ่งนี้พี่เกศมีนัดที่ไหนรึเปล่าถ้าไม่มีผมอยากให้พี่เกศเข้าประชุมด้วยจะได้ไปช่วยกันดูเรื่องงานโฆษณาว่าต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรเพิ่มเติมอีกรึเปล่าเพราะพี่เกศเรียนมาทางด้านนี้โดยตรง”

“ได้สิพรุ่งนี้พี่ว่าง แล้วก็จะได้ถือโอกาสไปแซวเรื่องว่าที่อาสะใภ้คนใหม่กับคุณอาเกริกด้วย” เกศวรางค์พูดพลางยิ้มอย่างนึกสนุก

“ว่าที่อาสะใภ้คนใหม่อะไรกันครับพี่เกศ” กฤตตะวันถามด้วยสีหน้างุนงง เกศวรางค์เลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบว่า

“พอดีเมื่อตอนหัวค่ำพี่ไปเห็นคุณอากำลังดินเนอร์อยู่กับผู้หญิงคนนึงที่ห้องอาหารในโรงแรมน่ะ ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยใช้ได้เลยล่ะ แถมหุ่นดีด้วยนะ เอาอกเอาใจคุณอาสารพัด พี่ว่าอีกไม่นานเราคงจะได้อาสะใภ้คนใหม่แล้วล่ะ”

“เอ...ผู้หญิงที่ไหนกันครับ”

“อ้าว! นายอยู่ที่นี่ไม่รู้บ้างเลยเหรอว่าคุณอากำลังควงสาวที่ไหนอยู่”

“ผมไม่เคยได้ยินคุณอาพูดถึงผู้หญิงคนไหนเลยนี่ครับพี่เกศ”

“อืม บางทีคุณอาอาจจะยังไม่อยากบอกให้ใครรู้มั้ง เพราะเท่าที่ดูผู้หญิงคนนั้นอายุต่างกับคุณอาเยอะเหมือนกัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่จะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามคุณอาดูก่อนดีกว่าว่าคุณอากำลังคบกับใครอยู่บ้างรึเปล่า ดึกมากแล้วพี่ขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนล่ะ นายก็ควรจะนอนพักผ่อนได้แล้วพรุ่งนี้เช้าต้องเข้าประชุมนะ” เกศวรางค์บอกพลางขยับลุกขึ้นยืน

“ครับ ผมกำลังจะเลิกทำงานอยู่พอดีเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์ครับพี่เกศ” กฤตตะวันบอกพี่สาวและนั่งมองจนอีกฝ่ายเดินออกไปจากห้องแล้วจึงนั่งทำงานต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดโน๊ตบุ๊กแล้วไปนอนพักผ่อนเช่นกัน




แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2557, 22:20:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2557, 22:20:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1217





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account