สาปเล่ห์สิเน่หา
เรื่องราวของสองธิดาชาวฮาง ที่เดิมพันหัวใจด้วยชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านแม่นาง

ใคร...จะได้ครอบครองความรัก
ใคร...จะได้หัวใจของชายคนนั้น
แล้ว...
ใคร...จะเจ็บปวดที่สุดกับรักครั้งนี้

Tags: ความรัก ความแค้น แรงริษยา การแย่งชิง เล่ห์ มนตรา

ตอน: ตอนที่ ๐๕ รอยอดีต

ตอนที่ ๕

ค่ำนั้นแวววรรณกลับบ้านมาพร้อมกับอารมณ์ขุ่นมัว ยิ่งนานเธอก็ยิ่งรู้สึกเกลียดและอยากจะไปให้ไกลๆ กับอีตาหน้าขาวเป็นลิงวอกคนนั้น นายชนวีร์ทำให้เธอไม่อาจอยู่เป็นสุข ทุกครั้งที่เจอหน้า มีอันต้องเป็นฝ่ายถูกชวนทะเลาะอยู่ร่ำไป

เธออยากจะหนีไปให้ไกล ไกลตลอดชีวิตได้ยิ่งดี ไม่อยากเห็นหน้านั่นอีก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเช่นนี้ แม้จะเพิ่งรู้จักกัน กับผู้ชายที่ชื่อชนวีร์เธอกลับรู้สึกเกลียดและอยากจะเดินหนีให้ไกลสุดชีวิต ราวจะเป็นคู่อาฆาตมาดร้ายกันมาแต่ปางหลัง

“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะไอ้ทหารหน้าขาว” แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้วก็มิวายบ่นอุบอิบ ยิ่งหน้าขาวๆ หล่อๆ นั่นมาหลอกหลอนเธอถึงในฝันยิ่งทำให้เจ็บใจ

ถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามระงับอารมณ์โกรธ พร้อมกวาดสายตามองผ่านช่องหน้าต่างกระจกเข้าไปภายในบ้านที่เปิดไฟสว่าง พี่วสันต์คงยังไม่กลับ ส่วนน้ากลิ่นน่าจะดูทีวีรออยู่ในห้องโถง

ลมพัดวูบปะทะหน้า ดวงตาคู่สวยมองเห็นเงาใครบางคนยืนนิ่งอยู่กลางห้องภายในบ้าน...

คุณพระช่วย!

แวววรรณมั่นใจว่าไม่ใช่น้ากลิ่น เพราะร่างนั้นแบบบางอรชร สูงโปร่งราวๆ ความสูงของเธอ บนศีรษะปักปิ่นไม้ห้อยระย้าด้วยวัตถุหนึ่งสะท้อนแสงระยิบระยับ ที่แปลกไปกว่านั้นคือเครื่องแต่งกายของหล่อนคนนั้นราวกับสตรีในหนังจีนกำลังภายใน เพียงเสี้ยววินาทีร่างนั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหญิงชรารูปร่างผอมบาง แววตาคู่นั้นที่จ้องมองมามีแววเอื้อเอ็นดูให้สัมผัส ก่อนจะวูบหายไป
หญิงรีบวิ่งไปเปิดประตูเข้าบ้าน เสียงตัวละครในโทรทัศน์สนทนากันในเชิงปะทะอารมณ์ระหว่างตัวเอกกับตัวร้าย ดังมาจากด้านใน เธอมองเห็นน้ากลิ่นกำลังนั่งจ้องมองภาพในจอสี่เหลี่ยมนั้นอย่างตั้งใจ

“น้ากลิ่นคะ”

เจ้าของนามเรียกขานหันมาส่งยิ้มให้ “มาแล้วหรือ แววทานอะไรมาหรือยัง”

แวววรรณวางกระเป๋าแล้วโผเข้ากอดน้ากลิ่นหอมฟอดที่แก้ม หญิงกลางคน เปิดเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“เรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วน้ากลิ่นล่ะ”

“น้าทานเรียบร้อยแล้วล่ะ” น้ากลิ่นบอก

พอรู้ว่าสองพี่น้องอาจกลับดึกจึงไม่รอที่จะรับประทานอาหารด้วยกัน พออาบน้ำเสร็จก็ลงมาดูโทรทัศน์ข้างล่างเพื่อรอ กะว่าถ้าละครจบทั้งสองยังไม่กลับจะปิดบ้านแล้วเข้านอนเลย โตๆ กันแล้ว ต่างดูแลตัวเองได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากมาย

“เอ้อ..เมื่อกี้แววเห็นใครยืนอยู่ในบ้าน”

“หนูแววตาฝาดแล้วล่ะ น้าอยู่บ้านคนเดียว หนูแววก็รู้” น้าสาวว่าแล้วยิ้ม คิดว่าหลานสาวคงแกล้งเย้าให้กลัว

“แต่เมื่อกี้มีคนยืนอยู่ตรงกลางห้องจริงๆนะคะ แววเห็น”

“ภาพในละครมันฉายออกไปมั้ง” ผู้เป็นน้าหัวเราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ

“เอ๊ะ...” แววววรรณยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองตาฟาด

“เราน่ะตาฟาด อดหลับอดนอนหรือเปล่า เมื่อคืน”

แวววรรIนึกถึงความฝันที่มักจะเข้ามารบกวนจิตใจให้ตาสว่างอยู่บ่อยๆ ก็พลอยเห็นดีไปกับน้าสาว “นั่นสิคะ...สงสัยแววจะตาฝาดจริงๆ” เธอถอนใจสะบัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

“อ้าวนั่น...ปินผาที่บ้านของพี่วินนี่คะ มาอยู่ในบ้านของเราได้ยังไง”. ดวงตาคู่สวยประสบเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนแท่นไม้บนโต๊ะ

“อ้อ นั่นหรือคะ...เมื่อตอนกลางวัน ด็อกเตอร์แวะเอามาฝากไว้ค่ะ เห็นว่าจะเข้าป่าหลายวัน ไม่รู้จะกลับออกมาเมื่อไหร่เลยขอฝากไว้ที่บ้านเรา”

“ขอเก่าขนาดนี้ไม่น่ามาฝากที่เราเลยนะคะ เกิดเสียหายขึ้นมาคนที่จะซวยก็คือพวกเรา” เธอว่าอย่างหนักใจ แม้ชีวิณจะเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายก็เถอะ ถึงอย่างไรของชิ้นนี้ก็เป็นของโบราณสมบัติของชาติ

ด็อกเตอร์คงไว้ใจเรามากกว่าใคร ถึงเลือกที่จะฝากของมีค่าไว้ที่นี่”

“แล้วพี่สันต์รู้เรื่องไหมคะ”

“เมื่อเย็นสันต์มาเห็นแล้วล่ะ”

“แล้วนี่พี่ชายออกไปไหนอีกล่ะ กลับมาแล้วก็น่าจะอยู่บ้าน”

“เห็นว่ามีงานเลี้ยงส่งเจ้าหน้าที่ที่จะย้ายกลับบ้านต่างจังหวัดเลยบอกว่าวันนี้อาจจะกลับดึกหน่อย”

แวววรรณพยักหน้า ความสนใจถูกดึงออกจากเครื่องดนตรีโบราณ เพราะเอตัวที่เหนอะหนะ เธอขอตัวขึ้นไปอาบน้ำสลัดไล่ความวุ่นวายตลอดวัน โดยก่อนไปมิวายจะหันไปมองปินผา วูบหนึ่งของความรู้สึก ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเมื่อเห็นตนกำลังกรีดนิ้วลงบนเครื่องสายชิ้นนั้นอย่างได้อารมณ์

////////

ค่อนดึกเข้าไปแล้ว แวววรรณผุดตัวลุกขึ้นจากที่นอนคล้ายละเมอ มองไปยังสร้อยลูกปัดที่กำลังส่องแสงสว่างวับวาบบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเครื่องดนตรีโบราณของดอกเตอร์ชีวิณ

ลมหายใจผ่อนออกมาแผ่วเบา มือบางเอื้อมคว้ายกมันขึ้นมาถือ ขยับนั่งบนโซฟาตั้งท่ากรีดกรายราวชำนาญในเชิงดนตรีกาล

ตึง...เตรง ง

เส้นโลหะยามสัมผัสนิ้วเรียวดีดผึงเป็นสำเนียงเสียงเพลงอันไพเราะเสนาะหู จากนั้นเส้นอื่นก็ส่งเสียงตามมาเป็นบทเพลงหวานแว่ว ชื่นเย็น

ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มประหนึ่งมีความสุขกับการบรรเลงให้เกิดเสียงเนาะหูด้วยเครื่องดนตรีสุดโปรด ของรักของเธอเดินทางกลับมาหาอีกครั้งแล้ว

รถของวสันต์เคลื่อนเข้ามาจอดในโรงจอด ชายหนุ่มเดินเซลงจากรถ ฤทธิ์น้ำเมามีอิทธิพลกับสติของเขาไม่น้อยทว่า สองหูสดับยินบทเพลงอันหวานแว่วราวเพลงสวรรค์ อาการเมาจากแอลกอฮอร์ถูกขับไล่ให้เหลือแค่ความเย็นเยือกจนขนลุกซู่

“ใครมาเล่นดนตรีในบ้าน”

เร่งล้วงกุญแจเปิดประตู ทั้งก้าวเท้าเข้าสู่ภายในด้วยความสงสัย แล้วต้องชะงักงันเมื่อเห็นน้องสาวกำลังกรีดนิ้วบรรเลงบทเพลงอย่างมีความสุขในห้องโถงที่มีเพียงแสงสลัวสาดส่องเขามาจากไฟหน้าบ้าน

วูบหนึ่งของภาพที่เห็น ร่างแบบบางอยู่ในชุดผ้าฝ้ายปล่อยชายยาวมีลูกปัดสีต่างๆ ร้อยชาย หญิงสาวสวมซิ่นไหมคำทอประณีตงดงาม บนศีรษะประดับปิ่นไม้ห้อยระย้าปักอยู่บนเส้นผมเกล้ามวยสูง

“แวว...” วสันต์โผเข้าไปหาน้องสาวอย่างเป็นห่วง

ลมพัดโกรกเข้ามาในบ้านผ่านประตูเบื้องหลังที่เปิดออก แวววรรณยังนิ่ง กรายนิ้วลงบนเส้นโลหะอย่างไม่สนใจว่าในห้องนั้นจะมีอีกบุคคลย่างเข้ามาใกล้ วสันต์วางมือลงบนไหล่ลาดงาม เขย่าเรียกหวังปลุกสติ

“แวววรรณ แวว เอาเครื่องดนตรีนี่มาเล่นทำไม แวว...”

ร่างบางสะดุ้งสุดตัวดวงตาเบิกกว้างงุนงงประหนึ่งคนเพิ่งจะตื่นนอน...

“เอ่อ..พี่สันต์” เจ้าตัวเบิกตามองชายหนุ่มตรงหน้า

“พี่เพิ่งรู้ว่าแววเล่นเป็นด้วย...”

“แววหรือคะ” แวววรรณชี้ที่ตัวเอง ทั้งมองเครื่องดนตรีในมือ

ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้า ทั้งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวนุ่ม

“ไม่นี่ค่ะ...แล้วนี่แววลงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เมื่อได้ยินคำถามนั้นจากพี่ชายก็ยิ่งงง แปลกประหลาด มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

วสันต์มองปินผา วูบหนึ่งในความรู้สึกขนลุกซู่คล้ายมีดวงตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ ของโบราณขนาดนี้อาจจะมีอะไรดลใจให้น้องสาวละเมอลงมาชั้นล่างกรีดนิ้วกรายลงบนเส้นโลหะเป็นเสียงเพลงอันแว่วหวาน

“พี่ต่างหากที่จะต้องถามเรา แววลงมาเล่นเครื่องดนตรีนี่ได้ยังไง เกิดถ้ามันเสียหรือพังขึ้นมาเราไม่ต้องถูกเจ้าวินมันเอาเรื่องหรือ
เอามาให้พี่เถอะ” ผู้เป็นพี่ชายเอื้อมไปคว้าเครื่องดนตรีโบราณออกจากมือน้องสาว แล้วนำมันกลับไปวางไว้ที่เดิม

“แวว...แววไม่รู้” ทำท่าอย่างจะร้องไห้ ทั้งสับสน ทุกอย่างรอบตัวมันวุ่นวายไปหมด จากนั้นดวงตาคู่สวยเริ่มพร่าเบลอ สองหูสดับอื้ออึงเหมือนมีแมลงนับร้อยนับพันมาบินหึ่งๆ อยู่ข้างๆ จากนั้นสติที่เหลือก็ดับวูบ

“แวว ยายแวว แวว”

////////

ขณะหมดสติ... ดวงจิตบางเบาของแวววรรณก็ดำดิ่งสู่ห้วงเวลาหนึ่งราวภาพฝัน

สายลมพัดแผ่วๆ ขับคลอไปกับเสียงเพลงที่เธอกรีดนิ้วกรายเป็นบทเพลงอันไพเราะ หญิงสาวมองปินผาในมือด้วยหัวใจรัก เพราะมันเป็นเครื่องดนตรีที่สร้างมากับมือ เพียรพยายามสรรหาไม้ อดกลั้นเกลาเหลาตัวเครื่องโครง ปีต่อมาจึงคัดหาคันยาวดูแลเอาใจใส่อย่างดี แกะมันด้วยลวดลายอันประณีตงาม ส่วนเส้นโลหะก็คัดสรรเลือกละเอียด มีหย่องซึ่งทำจากกระดูกบรรพบุรุษ ต้องถึงขนาดเข้าสุสานทำพิธีขอจากผีปู่ตา

ไม่นานฟ้าก็ครึ้มครางครืน สายลมเริ่มหอบแรง หญิงสาววางเครื่องสายเดินไปหยุดยังริมหน้าผา มองฝั่งตรงข้ามแล้วถอนใจ
สุสานของชาวเมืองฮางอยู่ที่นั่น

เสียงสวบสาบย่างกรายมาใกล้ เธอหันกลับไปมองปินผาแล้วเลยไปยังร่างแบบบางของใครบางคนที่ขยับมาคุกเข่าลงตรงหน้า

“ฮอเมียงเจ้า”

“มีอะหยัง”

“ท่านฮอเมืองเรียกให้หาเจ้า” หญิงรับใช้ในชุดประจำเผ่าชาวเมืองบอก

“เจ้าพ่อมีอะหยัง สูรู้ก่อเฟี่ยงคำ”

“ข้าเจ้าว่าฮอเมียงไปถามจากท่านฮอเมืองเองเทอะ ข้าเจ้าบ่รู้”

ว่าจบนางเฟี่ยงคำก็ลุกขึ้นทำทีเชื้อเชิญเจ้านายสาว ฝ่ายฮอเมียงเอียงยาคว้าปินผาได้ก็ถลาเดินนำไป

ไม่นานทั้งสองก็เข้ามาหยุดในคุ้มเรือนไม้หลังใหญ่ ท่านฮอเมืองนั่งเด่นอยู่บนตั่งคอยบุตรสาวที่เดินเข้ามากระทำการคารวะ

////////

หลังลูกสาวนั่งประจำที่ ชายชราอายุราวหกสิบปี สวมเสื้อฝ้ายมัดย้อม มีสร้อยลูกปัดห้อยคอเป็นพวงเอ่ยขึ้น ฝ่ายฮอเมียงเอียงยาบุตรสาวคนแรกเบิกตามองบิดาอย่างสงสัย

“เอียงยา พ่อมีเรื่องจะบอกสู”

“เรื่องอะหยังเจ้า”

“พ่อจะส่งสูไปกินดองกับลูกบ่าวเจ้าบ้านแม่นาง” เจ้าแห่งเมืองฮางว่าด้วยเสียงเรียบขรึมด้วยจุดประสงค์ที่ใคร่ให้ลูกสาวกระทำ

บ้านแม่นางเป็นชุมชนใหญ่ที่สุดของเมืองฮาง แม้จะอยู่ไกลกันคนละขุนเขาหากกลับสืบเชื้อสายเครือญาติกันมานับตั้งแต่อพยพ
มาตั้งถิ่นฐานยังที่แห่งนี้

เพื่อความเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นเมืองฮางหรือไม่ก็บ้านแม่นางจะต้องส่งสตรีมาสวมสู่กินดองกัน

“ก็ไหนว่าฮอวาจะไปไม่ใช่หรือเจ้าพ่อ” พี่สาวทวงถามถึงความประสงค์ของน้องนางในคราวก่อน

ฮอวาเอื้องฟ้าอาสาจะไปแต่งเป็นแม่ศรีแห่งบ้านแม่นาง แล้วเหตุใดคราวนี้จึงกลับกลอก

“น้องบ่ไป พ่อเลยใคร่ให้สูไปแทน...เอื้องฟ้าบอกว่ายังบ่พร้อมแลบ่อยากไปจากแม่เลยขอให้พ่อส่งสูไปแทน” ฮอเมืองว่า
จิตหนึ่งนึกสงสารลูกสาวที่เหมือนถูกบังคับ ทั้งคราวแรกท่านได้จัดการเรียกลูกสาวมาถามถึงความสมัครใจแต่งดองกับชาวแม่นาง ซึ่งเอื้องฟ้าน้องนางได้ขันอาสาแทนพี่สาวไปแล้ว ทว่าคราวนี้กลับละหน้าที่นั้นให้กับเอียงยาอย่างกะทันหัน

“พ่อต้องขอโทษ ที่ต้องเร่งรัดจัดงานส่งสูในวันพรุ่ง” คำประกาศิตดังก้อง ไม่อาจให้หญิงสาวมีเวลาคิดไตร่ตรองปฏิเสธ

ครั้งแรกฮอวาเอื้องฟ้าขันอาสาจะไปแต่งงานกับซางปง ลูกชายของฮงฮาแห่งหมู่บ้านแม่นาง จัดการตระเตรียมการอย่างดิบดี
ทว่าก่อนถึงวันส่งตัวเพียงสองวัน เอื้องฟ้ากลับเปลี่ยนคำขอเจรจาส่งพี่สาวไปแทน ความทุกข์ใจรวมไปถึงความฉุกละหุกทุกอย่างจึงตกมาที่พี่นาง...ฮอเมียงเอียงยา

“ตามใจเจ้าพ่อเถอะเจ้า” เอียงยาว่า เมื่อเป็นประสงค์ของสวรรค์ ลั่นคำสั่งต่อมายังบิดาเธอจะขัดได้อย่างไร

เช้าแล้ว ดั่งสวรรค์คอยนำทาง บรรยากาศรอบบริเวณเมืองสว่างสดใส เสียงนกไพรขับขานประสานเสียงประหนึ่งแซ่ซ้องร่วมยินดี
ฮอเมียงเอียงยาล่ำลาฮอเมืองบิดาและฮอฮองมารดา เจ้านางสาวขึ้นเกวียนประดับกูบด้วยมวลบุปผาส่งกลิ่นหอมกำจาย ลากล้อด้วยวัวใหญ่สีขาวปลอดสองตัว

หญิงสาวมองย้อนกลับไปยังเวียงฟ้านคราแล้วถอนใจ หลุบเปลือกตาลงปิดสองมือหอบอุ้มปินผาแนบติดตัว

จากลาไปไกลแล้วเวียงแก้วเอ๋ย...คงอีกนานกว่าจะได้กลับคืน อีกนานกว่าจะได้เยื่องเหยียบผืนดินนี้ ชีวิตภายหน้าของเธอจะเป็นอย่างไรหนอ ชาวบ้านแม่นางจะต้อนรับไหมหนอ ซางปงแห่งบ้านแม่นางจะรักดูแลเอาใจใส่เธอดั่งนางแก้วคู่กายไหมหนอ

มีเพียงปินผาและนางข้าติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้นสินะที่เป็นคนของเวียงฮางและติดตามส่งสู่หมู่บ้านใหญ่ไกลดอย

ภาพฉากหลังที่งดงามเลือนราง ดั่งเดินผ่านกลุ่มหมองหนาที่ปลายทางคือแสงสว่างเรืองรอง ปรากฏอีกหนึ่งภาพ แตกต่างตรงสถานที่ ทว่าความงดงามนั้นไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

“ฮงฮา ฮอเมียงธิดาองค์แรกของฮอเมืองเวียงฮางมาแล้ว” ลูกสมุนชายขานบอกนายบ้านนามซางเปา

ชายชราร่างสูงโปร่งละมัดกล้ามเปลือยอกสวมผ้าเตี่ยวยักรั้งปล่อยชายมีลูกปัดหลากสีร้อยรัดเป็นอาภรณ์บอกสถานะเป็นผู้นำออกมายืนรับขบวนเดินทางที่เคลื่อนสู่เรือนใหญ่ใจกลางหมู่บ้านอันเป็นที่ตั้งของบ้านฮงฮาด้วยความยินดี และยิ้มรับหญิงสาวผู้งดงามราวธิดาสวรรค์เมื่อนางเยื้องกรายลงจากเกวียนมาทำความเคารพ

“คารวะฮงฮาเจ้า” ฮอเมียงนางผู้นามเอียงยามีความหมายถึงดอกเอื้องดินกระทำการคารวะอย่างอ่อนช้อยงดงามไกลกว่าความหมายชื่อเอื้องดินมากอักโข

ชายชราพอใจกับความน่ารักของหญิงสาว กล่าวเชิญต้อนรับแล้วพาทั้งเจ้านางและคนติดตามขึ้นเรือน

ฮอเมียงเอียงยากวาดสายตามองกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาต้อนรับพร้อมยิ้มหวาน ในใจหมายมองหาคู่หมายหนุ่มที่อาจจะปนอยู่กับกลุ่มชาวบ้านชายทั้งหลาย

ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่มีใครเด่นสง่าราศี ว่าที่เจ้าสาวแห่งบ้านแม่นางยิ้มเศร้าตามฮงฮาสู่เรือนและเสียงเตือนสะกิดของนางเฟี่ยนคำ

“ซางปงเข้าป่าไปหาหนังเสือมาเป็นเครื่องเซ่นผีพิธีแต่งดอง” รู้เจตนาของสายตาหญิงสาวว่ากำลังมองหาคู่หมั้นหนุ่มนายบ้านแม่นางจึงเอ่ยบอกพลางหัวเราะ

ฝ่ายว่าที่เจ้าสาวยิ้มเก้อเขินหน้าแดงเรื่อปฏิเสธ

“ตามสบายเถิดเจ้านาง ถือเสียว่าที่นี่คือเวียงแก้ว” ชายชราว่าก่อนจะหยัดกายลุกจะลงเรือนหวังให้เจ้านางมีเวลาส่วนตัวกับคนติดตาม

เวลานั้นมีเสียงเอะอะจากลานหน้าบ้าน กลุ่มชาวบ้านหลายคนปรบมือแสดงความยินดี

เบื้องล่างหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสะอาดหากเปรอะเลือดเจ้าสัตว์ที่เขาแบกมาจนแดงฉาน กลิ่นฉุนของสัตว์ป่ากระจายฟุ้งไม่แพ้กลิ่นคาวเลือด

หนุ่มร่างใหญ่แผงอกเปลือยนายนั้นวางซากเสือตัวใหญ่ลงบนลาน บั้นเอวมีมีดพร้าและเชือกคล้องมัดอยู่เหนือผ้าเตี่ยวสีกรักหยักรั้งปล่อยชายยาว โคนขาแน่นหนั่นสักลายยันต์ตามความเชื่อหยัดยืนมั่นคง มือแข็งแกร่งรับกระบอกน้ำจากลูกสมุนมาดื่มอักๆ อย่างกระหาย

“ซางปงได้เสือตัวใหญ่ สูช่างเก่งกล้านัก”

เสียงชื่นชมดังระงมไปทั่วทั้งลาน ดึงดูดให้ฮอเมียงสาวต้องเดินมาหยุดยืนที่ช่องหน้าต่างนึกใคร่อยากเห็นหน้าเจ้าของผู้รับคำชมคนนั้นจนเผลอตัวชะโงกมองไปยังด้านล่างของเรือน...

หัวใจดวงน้อยเต้นระทึก ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อมองสบตาคมกล้าของชายผู้แหงนเงยขึ้นมามองในเวลาเดียวกัน ผู้ชายคนนั้นรูปงามนัก ทว่าทำไมหน้าตาเขาถึงได้เหมือน...

/////////

แวววรรณรับรู้ซึ่งกลิ่นพิมเสนที่น้ากลิ่นจ่อตรงจมูก ดวงตาคู่สวยค่อยๆ เบิกขึ้นมองไล่จากเพดาน ไปหยุดยังคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แพรขนตาคู่สวยกะพริบถี่

“น้ากลิ่น...”

หญิงกลางคนยิ้มอ่อนโยน ช่วยพยุงหลานสาวที่พยายามขืนตัวขึ้นนั่งพลางมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจก่อนจะถามเสียงเครือ

“แววมานอนที่นี่ได้ยังไงกันคะ” มองพี่ชายที่นั่งอยู่ไม่ห่าง วสันต์คงจะเพิ่งกลับมาและอยู่ดูเธออย่างเป็นห่วง

“แววเป็นลมน่ะ” น้ากลิ่นบอก

“ฮะ! แววนี่นะเป็นลม” หญิงสาวถามกลับ ไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะอ่อนแอถึงกลับเป็นลมเป็นแล้งไปได้

“ใช่...แกลงมาดีดปินผาเล่น พี่กลับจากงานเลี้ยงมาเจอ ถามนิดถามหน่อยดันเป็นลมซะนี่” วสันต์เอ่ยบ้าง

“แววหรือคะดีดปินผา...ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”ตวัดตามองเครื่องดนตรีที่ถูกพี่ชายนำไปไว้จุดเดิม

“นั่นสิ น้าไม่เห็นได้ยิน” น้ากลิ่นว่า อาจเพราะเธอหลับสนิทจึงไม่รู้เรื่องจนกระทั่งวสันต์มาเคาะประตูเรียกเสียงดังบอกว่าแวววรรณเป็นลมถึงได้รู้ว่าหลานสาวลงมาชั้นล่าง

“ไม่รู้ล่ะ ผมเห็นยายแววดีดเล่นอย่างกับชำนาญพอเรียกก็เหวอๆ หวาๆ ถามหน่อยแกจำอะไรไม่ได้เลยหรือแวว”

“ไม่ค่ะ” แวววรรณยกมือขึ้นกุมขมับ มันปวดแปลบๆ อย่างไรชอบกล ไม่พอภาพแปลกประหลาดของเหตุการณ์ที่เธอเพิ่งฝันเห็นยังฉายช้ำเวียนวนจนสับสน “แววปวดหัวค่ะ โอ้ย”

“พี่ว่าแกขึ้นไปนอนก่อนเถอะ เอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน นี่ก็เกือบตีหนึ่งเข้าให้แล้ว”

“น้าก็ว่าดีเหมือนกัน กินยาแก้ปวดสักเม็ดก่อนนะค่อยนอน ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น”

น้ากลิ่นเห็นควร ทั้งลุกไปหยิบจาจากตู้มาส่งให้ แวววรรณรับมากินอย่างว่าง่าย หล่อนจึงพยุงหลานสาวขึ้นห้อง

“นอนเสียนะ อย่าอุตริละเมอมาดีดเครื่องดนตรีเล่นอีกล่ะ” ด้านนอกห้องไม่วายได้ยินเสียงวสันต์เอ่ยเตือนเสียงเข้มจริงจัง

/////////โปรดติดตามตอนต่อไป////////



ไวกูณฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2557, 19:20:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2557, 19:32:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 907





<< ตอนที่ ๔ มนตร์ปินผา   ตอนที่ ๐๖ รอยอดีต (๒) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account