อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ

ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ

Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 8

ในระหว่างที่ยืนเลือกหนังสือนวนิยายเกศวรางค์ก็ยังคงพยายามมองหาหญิงสาวคนที่เธอกับกฤตตะวันได้พบที่ห้างสรรพสินค้าไปด้วยแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นหญิงสาวรุ่นน้องคนนั้นเลย จนกระทั่งเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือของตนเองซึ่งเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาว่าเกือบจะบ่ายสี่โมงเย็นแล้ว เกศวรางค์จึงถอนหายใจเบาๆ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมากดโทรออก หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งเสียงกฤตตะวันก็ถามมาจากปลายสาย

“ครับพี่เกศ ตกลงจะให้ผมไปรับที่ไหนครับตอนนี้ผมกำลังจะขับรถออกจากซอยบ้านนายวัฒน์แล้ว”

“ร้านหนังสือมุมสบายฯ หน้าหมู่บ้านทาวน์เลิฟ” เกศวรางค์ตอบแล้วก็ได้ยินกฤตตะวันอุทานเสียงดังก่อนจะถามมาว่า

“ฮะ! ร้านหนังสือมุมสบายฯ พี่เกศไปทำอะไรที่นั่นครับ”

“อ้าว! มาร้านหนังสือก็ต้องมาซื้อหนังสือสิถามพิลึกนะ หรือนายคิดว่าพี่มาจีบพนักงานขายกันล่ะ” เกศวรางค์แกล้งย้อนถามน้องชายกลับไปในตอนท้ายประโยค แล้วก็ได้ยินกฤตตะวันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดดักคอกลับมาอย่างรู้ทัน

“ผมเชื่อว่าพี่เกศไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อหนังสือหรือว่าจีบพนักงานขายแน่นอนครับ แต่พี่เกศมีจุดประสงค์อย่างอื่นมากกว่า”

“แล้วนายคิดว่าพี่มีจุดประสงค์อะไรกันล่ะ” เกศวรางค์ถามพลางยิ้ม

“เฮ้อ! จุดประสงค์หาคู่ให้ผมมั้งครับ” กฤตตะวันตอบมาด้วยน้ำเสียงระอาใจ

“ทีอย่างงี้ทำเป็นรู้ดีนะ แต่วันนี้มาเสียเที่ยวจริงๆ ไม่ได้เจอคนที่อยากจะเจอเล้ย สงสัยจะหยุดงาน”

กฤตตะวันซึ่งกำลังจอดรถเลี้ยวออกจากซอยบ้านของฐิติวัฒน์ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่พี่สาวบ่นมาจากปลายสายพลางนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมศันลิตาจึงหยุดงานในวันนี้

“เดี๋ยวพี่ไปจ่ายเงินค่าหนังสือแล้วลองสัมภาษณ์เจ้าของร้านดูดีกว่าว่าพนักงานของเค้าหายไปไหน” เสียงเกศวรางค์บอกมาก่อนจะวางสายไป กฤตตะวันเลยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างขบขันกับความเจ้ากี้เจ้าการของพี่สาว

ศิริวรรณเอื้อมมือมารับหนังสือไปจากมือของลูกค้าสาวสวยก่อนจะคิดเงินแล้วบอกราคาอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบเก้าบาทค่ะ”

เกศวรางค์พยักหน้ารับก่อนจะส่งบัตรเครดิตให้กับหญิงสาวเจ้าของร้านพลางชวนคุยโดยพูดชมเรื่องการจัดตกแต่งร้านซึ่งทำให้บรรยากาศดูสดชื่นสบายตามาก ศริวรรณกล่าวคำขอบคุณพลางส่งสลิปบัตรเครดิตมาให้ลูกค้าคนสวยเซ็น เกศวรางค์ก้มหน้าเซ็นสลิปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งกลับคืน เมื่อรับสลิปบัตรไปเก็บเรียบร้อยแล้วศิริวรรณจึงชักชวนให้ลูกค้าคนสวยทำบัตรสมาชิกพร้อมทั้งอธิบายเรื่องส่วนลดต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียด

เกศวรางค์ตอบตกลงทำบัตรสมาชิกทันทีเมื่อฟังอีกฝ่ายอธิบายจบและรับใบสมัครสมาชิกมากรอกข้อมูลส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่งจึงส่งกลับคืนให้เจ้าของร้านสาว เมื่อศิริวรรณเห็นข้อมูลส่วนตัวของเกศวรางค์ก็อุทานเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“อุ๊ย! เราอายุเท่ากันเลยค่ะคุณเกศวรางค์ ฉันชื่อศิริวรรณนะคะ แต่เรียกว่าวรรณดีกว่าค่ะดูกันเองดี ยินดีที่ได้รู้จักและยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ของร้านมุมสบายฯ ค่ะ”

“ถ้างั้นคุณวรรณก็ต้องเรียกชื่อเล่นเกศด้วยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” เกศวรางค์บอกกับศิริวรรณด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกันก่อนจะถามต่อไปอีกว่า “คุณวรรณคงจะชอบอ่านหนังสือมากสินะคะถึงได้มาเปิดร้านขายหนังสือที่นี่”

ศิริวรรณยิ้มกับคำถามของเกศวรางค์เพราะมีลูกค้าหลายคนแล้วที่เข้าใจผิดคิดว่าเธอคือเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ก่อนจะส่ายหน้าพลางตอบ

“ฉันไม่ใช่เจ้าของร้านนี้หรอกค่ะคุณเกศ เป็นแค่ผู้จัดการร้านเท่านั้นเองค่ะ”

“อ้าว! เหรอคะ ต้องขอโทษคุณวรรณด้วยค่ะ ฉันปล่อยไก่ไปทั้งเล้าเลย” เกศวรางค์ออกตัวพลางยิ้มเขินๆ

“ไม่เป็นไรคะ มีลูกค้าเข้าใจผิดแบบนี้หลายคนจนเป็นเรื่องปกติแล้วล่ะ ส่วนเจ้าของร้านตัวจริงที่ชอบอ่านหนังสือมากต้องคนโน้นค่ะน้องสาวของฉันเอง” ศิริวรรณบอกเกศวรางค์พลางพยักหน้าไปทางด้านหลังร้านซึ่งศันลิตาเพิ่งจะเปิดประตูเดินเข้ามาพอดี

เกศวรางค์เบิกตากว้างพลางยิ้มด้วยความยินดีเมื่อหันไปเห็นถนัดตาว่าหญิงสาวร่างเพรียวระหง ท่าทางปราดเปรียวที่กำลังเดินมาที่เคาเตอร์คือคนที่เธอกำลังต้องการพบ แล้วยังได้ความรู้ใหม่อีกว่าหญิงสาวรุ่นน้องคือเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่พนักงานขายอย่างที่กฤตตะวันเข้าใจ

ศันลิตามีอาการชะงักเล็กน้อยเมื่อมองเห็นหญิงสาวสวยที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าเคาเตอร์คิดเงินซึ่งกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้เธอ ก่อนจะส่งยิ้มตอบพลางก้าวเข้าไปกล่าวคำทักทายอีกฝ่ายก่อน

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีค่ะ จำพี่ได้ใช่มั้ยคะที่เราเจอกันในร้านเสื้อ...ที่ห้าง...วันนั้น” เกศวรางค์ถาม

“จำได้ ขอบคุณนะคะที่แวะมาอุดหนุนหนังสือที่ร้านมุมสบายฯ” ศันลิตาตอบหญิงสาวรุ่นพี่พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุภาพด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

หลังจากนั้นเกศวรางค์ก็ถือโอกาสแนะนำตัวและบอกให้ศันลิตาเรียกชื่อเล่นตนเองเสร็จสรรพ ศันลิตาจึงกล่าวแนะนำตนเองและบอกชื่อเล่นกับหญิงสาวรุ่นพี่ไปเช่นกัน

“พี่เพิ่งรู้นะว่าต้าเป็นเจ้าของร้านนี้ไม่ใช่พนักงานขายอย่างที่กฤตเข้าใจ เก่งจังเลยนะจ๊ะอายุเท่านี้มีร้านขายหนังสือเป็นของตัวเองแล้ว” เกศวรางค์กล่าวอย่างชื่นชมศันลิตา

“ต้ายังไม่ได้เป็นเจ้าของร้านเต็มตัวหรอกค่ะ เพราะตอนนี้ยังต้องผ่อนค่างวดกับธนาคารอยู่” ศันลิตาออกตัว

ในขณะที่ศิริวรรณซึ่งยืนฟังบทสนทนาระหว่างน้องสาวกับเกศวรางค์อยู่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยว่าใครคือ “กฤต” ที่ลูกค้าสาวสวยกล่าวถึงเมื่อครู่นี้ ส่วนศันลิตาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินเกศวรางค์เอ่ยชื่อกฤตตะวันออกมา เพราะว่าเธอคือคนที่ปล่อยให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดโดยไม่ยอมบอกความจริงกับเขาว่าเธอคือเจ้าของร้านแห่งนี้ไม่ใช่พนักงานขาย

“เดี๋ยวอีกสักพักกฤตก็คงมารับพี่แล้วล่ะ เดี๋ยวต้องแซวให้หน้าแตกซะหน่อย โทษฐานมีตาหามีแววไม่คิดว่าเจ้าของร้านเป็นแค่พนักงานขาย” เกศวรางค์พูดพลางหัวเราะชอบใจอย่างนึกสนุกที่จะได้แกล้งล้อเลียนน้องชาย

“เอ่อ คือจริงๆ แล้วต้าก็ไม่ได้บอกคุณกฤตว่าต้าเป็นเจ้าของร้านนี้หรอกค่ะ ต้าว่าพี่เกศอย่าไปแซวเค้าเลยนะคะ” ศันลิตาบอกหญิงสาวรุ่นพี่พลางยิ้มจืดๆ แต่เกศวรางค์ยังไม่ทันได้รับปากก็เหลือบไปเห็นรถของน้องชายกำลังจะแล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านหนังสือพอดี

“กฤตมาพอดีเลย เดี๋ยวพี่มานะจ๊ะ” พูดจบเกศวรางค์ก็ก้าวออกไปที่หน้าทันที

“ใครเหรอต้าที่ชื่อกฤตน่ะ” ศิริวรรณหันมาถามน้องสาวทันทีที่ลับร่างของเกศวรางค์

“ก็ผู้ชายคนที่ต้าเจอกับเค้าบนเครื่องบินไงคะพี่วรรณ แล้วก็ผู้หญิงคนนี้แหละค่ะที่เป็นแฟนเค้า” ศันลิตาตอบพี่สาว ศิริวรรณเบิกตากว้างทันทีพลางทวนถาม

“จริงเหรอ!”

“จริงยิ่งซะกว่าจริงอีกค่ะ” ศันลิตาบอกพี่สาวด้วยสีหน้าเป็นกังวลเพราะกำลังเป็นห่วงว่ากฤตตะวันจะรู้สึกยังไงถ้าได้รู้ความจริงว่าเธอคือเจ้าของร้านนี้ หญิงสาวเห็นเกศวรางค์ยืนพูดคุยกับกฤตตะวันอยู่ที่รถครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหญิงสาวรุ่นพี่ควงแขนชายหนุ่มและกำลังจะพากันเดินเข้ามาในร้านศันลิตาก็รีบเดินเลี่ยงไปจัดหนังสือทันทีเพราะยังไม่อยากเผชิญหน้ากับกฤตตะวัน

หลังจากเอ่ยทักทายกับศิริวรรณซึ่งเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าของร้านหนังสือมาโดยตลอดเสร็จเรียบร้อยแล้วกฤตตะวันก็ปล่อยให้พี่สาวยืนคุยอยู่กับหญิงสาวรุ่นพี่ ส่วนตัวเขาเดินตีหน้าขรึมไปหาคนที่กำลังยุ่งกับการจัดหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือทันที ร่างสูงเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ ร่างระหงปราดเปรียวก่อนจะกระซิบต่อว่าหญิงสาวยืดยาว

“ไงคุณเจ้าของร้านหนังสือ คุณนี่แสบจริงๆ เลยนะ หลอกให้ผมเข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นแค่พนักงานขายอยู่ตั้งนาน ถ้าวันนี้พี่เกศไม่มาที่นี่ผมคงไม่มีวันได้รู้หรอกมั้งว่าความจริงแล้วคุณเป็นใคร”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณนะ ก็คุณเข้าใจผิดคิดไปเองนี่นา” ศันลิตาเถียงชายหนุ่มเบาๆ

“ผมเข้าใจผิด แล้วทำไมคุณไม่บอกความจริงล่ะ แบบนี้คุณจงใจแกล้งผมนี่” ชายหนุ่มกล่าวหา

“ฉันไม่ได้จงใจแกล้งคุณซะหน่อย แล้วคุณจะมาเดือดร้อนอะไรล่ะ ฉันจะเป็นพนักงานขายหรือว่าเป็นเจ้าของร้านก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคุณเลย” หญิงสาวโต้กลับทันควัน

“แต่คุณทำให้ผมดูเหมือนตัวตลก แล้วก็ทำให้ผมต้องหน้าแตกเพราะความเข้าใจผิดด้วย”

“เฮ้อออ! คุณนี่ก็ขี้พาลเหมือนกันนะ ไร้สาระชะมัดเลย ทีเรื่องคุณกับเจ๊อุปถัมภ์ของคุณฉันยังไม่เห็นอยากจะรู้เลย” ศันลิตาต่อว่าชายหนุ่มอย่างอ่อนใจ และคำพูดของหญิงสาวก็ทำให้กฤตตะวันต้องขมวดคิ้วเข้มทันที เขาได้ยินศันลิตาพูดคำว่า “เจ๊อุปถัมภ์” ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว เธอหมายถึงใครกัน

“อะไรของคุณ เจ๊อุปถัมภ์ ผมได้ยินคุณพูดมาสองครั้งแล้วนะ” กฤตตะวันถาม ศันลิตาเผลอมองค้อนเขาอย่างไม่รู้ตัวพลางบ่นพึมพำ

“ทีอย่างงี้ทำเป็นแกล้งไม่รู้เรื่อง”

“ผมแกล้งไม่รู้เรื่องอะไรกัน คุณก็บอกมาสิว่าเจ๊อุปถัมภ์หมายถึงใคร” กฤตตะวันยื่นหน้าเข้าไปถามหญิงสาวใกล้ๆ

ศันลิตาถึงกับผงะออกห่างจากเขาอย่างตกใจทันทีพลางเหลือบไปมองเกศวรางค์ซึ่งกำลังยืนพูดคุยกับศิริวรรณโดยมีวีณากับแพรเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยเนื่องจากขณะนี้ภายในร้านไม่มีลูกค้า ส่วนชัยพรก็เดินออกไปยืนรับลมอยู่ที่หน้าร้าน จึงไม่มีใครเห็นว่าเมื่อครู่นี้กฤตตะวันยื่นหน้าเข้ามาเสียจนใกล้กับใบหน้าของเธอจนห่างกันไม่ถึงคืบ หญิงสาวจึงถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอกก่อนจะมองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาขุ่นเคืองพลางต่อว่าเขา

“นี่คุณจะบ้ารึเปล่า! ทำไมต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันด้วย ถ้าพี่เกศเห็นเข้าจะคิดยังไง เดี๋ยวพี่เกศก็เข้าใจผิดหรอก”

กฤตตะวันเริ่มลำดับคำพูดของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคลี่ยิ้มที่มุมปากเมื่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าศันลิตากำลังเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเกศวรางค์ผิด เธอกำลังคิดว่าเขากับพี่สาวเป็นคู่รักกันและคงจะคิดว่าเกศวรางค์อุปถัมภ์เลี้ยงดูเขาอยู่ด้วย ดังนั้นปฏิบัติการเอาคืนที่หญิงสาวไม่ยอมบอกความจริงว่าเป็นเจ้าของร้านหนังสือจึงเริ่มผุดขึ้นในสมองของชายหนุ่มทันที

“ทำไมพี่เกศเห็นแล้วจะเป็นอะไรเหรอคุณ” กฤตตะวันแกล้งตีหน้าซื่อพลางยื่นหน้าเข้าไปถามหญิงสาวใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิม

“เอ๊ะ! ฉันบอกว่าอย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันไม่ได้ยินรึไง” ศันลิตาโวยวายเบาๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน ในขณะที่ใบหน้าเนียนใสเริ่มเป็นสีระเรื่อและร้อนวูบวาบเพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดอยู่แถวแก้มเนียนของเธอแบบนี้เลยสักครั้ง พลางรีบขยับตัวถอยออกห่างจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

คราวนี้กฤตตะวันเลยยิ่งมั่นใจว่าศันลิตากำลังเข้าใจเขาผิดจริงๆ และเริ่มนึกสนุกที่จะได้แก้เผ็ดหญิงสาว ยิ่งเห็นใบหน้าเนียนที่เริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อเพราะความเขินของศันลิตาเมื่อเขาแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขบขันปนเอ็นดูและยิ่งอยากจะแกล้งอีกฝ่ายเข้าไปอีก

“พี่เกศไม่เข้าใจผิดหรอกคุณ ต่อให้ผมกอดคุณหรือว่าจูบคุณพี่เกศก็ยังไม่เข้าใจผิดเลย” กฤตตะวันแกล้งพูดหน้าตาเฉย แต่คนฟังสิหน้าแดงไปหมดเพราะความอับอายพลางต่อว่าชายหนุ่ม

“บ้า! พูดอะไรของคุณน่าเกลียดที่สุดเลย แฟนคุณยืนอยู่ตรงโน้นคุณยังมีหน้ามาพูดแบบนี้ผู้หญิงอื่นอีกเหรอ”

“ไหน ใครแฟนผมเหรอ?” กฤตตะวันยิ้มพลางถามหญิงสาวอย่างขบขัน

“ก็พี่เกศไง” ศันลิตาตอบอย่างฉุนๆ ซึ่งคราวนี้กฤตตะวันถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ และเป็นผลให้ทุกคนพากันมามองสองหนุ่มสาวด้วยความประหลาดใจทันที ก่อนที่เกศวรางค์จะถามขึ้นว่า

“ขำอะไรน่ะกฤต หัวเราะซะเสียงดังลั่นร้านเลย”

“ขอโทษด้วยนะครับทุกคน แต่ผมกลั้นไม่อยู่จริงๆ ก็ศันลิตาเค้าบอกว่าผมกับพี่เกศเป็นแฟนกัน แถมยังคิดว่าพี่เกศเลี้ยงต้อยเป็นเจ๊อุปถัมภ์ของผมด้วย แล้วจะไม่ให้ผมขำได้ยังไงกันล่ะครับ” กฤตตะวันพูดพลางหัวเราะไปพลาง ในขณะที่ศิริวรรณ เกศวรางค์ วีณาและแพรพากันเบิกตากว้างมองศันลิตาเป็นตาเดียวกัน

“ตายแล้ว! ทำไมพูดกับคุณกฤตแบบนั้นล่ะต้า” ศิริวรรณอุทานอย่างตกใจก่อนจะตำหนิน้องสาว ส่วนวีณากับแพรต่างก็หันไปซุบซิบกันเบาๆ ว่าศันลิตากล้ามากที่พูดกับชายหนุ่มแบบนั้น ในขณะที่เกศวรางค์กลับหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะถามศันลิตาว่า

“ว่าแต่พี่ดูเหมือนพวกสาวใหญ่ที่ชอบเลี้ยงต้อยหนุ่มรุ่นน้องมากเลยเหรอจ๊ะต้า?”

ศันลิตาอ้ำอึ้งพลางส่งยิ้มจืดเจื่อนให้เกศวรางค์ แล้วปรายตาไปมองชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาขุ่นเคืองที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าทุกคนแบบนี้ แต่กฤตตะวันกลับยิ้มรับหน้าตาเฉยโดยไม่มีทีท่าว่าเดือดร้อนแต่อย่างใดแถมยังพูดลอยลมมาให้ศันลิตาเจ็บใจเล่นอีกด้วย

“เราหน้าแตกเหมือนกันแล้วนะ เพราะฉะนั้นผมจะยอมยกโทษให้คุณเรื่องที่ไม่ยอมบอกผมว่าคุณเป็นเจ้าของร้านนี้”

“แต่ฉันไม่ยกโทษให้คุณหรอก ฝากไว้ก่อนเถอะฉันเอาคืนคุณแน่” ศันลิตากัดฟันพูดพลางมองหน้าชายหนุ่มตาเขียวปั้ดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ในขณะที่กฤตตะวันยืนอมยิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางขุ่นเคืองของหญิงสาว

เกศวรางค์อธิบายว่าไม่ได้อุปถัมภ์เลี้ยงดูกฤตตะวันแบบที่ศันลิตาเข้าใจ และบอกว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องแท้ๆ คลานตามกันมา ซึ่งทำให้ศันลิตายิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้รู้ความจริง และแน่นอนว่าเรื่องที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าเกศวรางค์อุปถัมภ์เลี้ยงดูกฤตตะวัน น่าอายยิ่งกว่าเรื่องที่ชายหนุ่มต้องหน้าแตกเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นพนักงานขายหนังสือในร้านนี้หลายเท่าเลยทีเดียว

ศันลิตาก้มศีรษะให้เกศวรางค์พลางกล่าวคำขอโทษหญิงสาวรุ่นพี่ ซึ่งเกศวรางค์ก็ยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเธอเลยเพียงแต่รู้สึกขำมากกว่า

“สวัสดีตอนเย็นๆ วันเสาร์...โอ๊ะโอ๋!” เสียงทักทายอย่างร่าเริงของเพทายที่เพิ่งจะผลักประตูร้านเดินเข้ามามีอันต้องชะงักกลางคันแล้วตามมาด้วยเสียงอุทานในตอนท้ายประโยคพลางเบิกตากว้างเมื่อเจ้าตัวเห็นหนุ่มหล่อสาวสวยคู่รักต่างวัยยืนอยู่ภายในร้านหนังสือของเพื่อนรัก

“เธอมาทางนี้กับฉันก่อน” ศันลิตาบอกพลางรีบจูงมือเพื่อนรักให้เดินตามเข้าไปทางด้านหลังร้าน

“ทำไมพวกเค้ามาอยู่ที่ร้านเธอได้ล่ะต้า” เพทายถามขึ้นทันทีเมื่ออยู่กับศันลิตาตามลำพัง หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าความจริงเรื่องของกฤตตะวันกับเกศวรางค์ให้เพื่อนรักฟังอย่างละเอียด

“ตายๆๆ ถ้างั้นเมื่อกี๊เธอก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยสิ” เพทายพูดขึ้น

“ก็ใช่นะสิ ฉันอายจนไม่รู้อายยังไงแล้ว” ศันลิตาบ่นพึมพำ

“แต่เดี๋ยวก่อนนะถ้าเค้าสองคนเป็นพี่น้องกัน ถ้างั้นฉันก็มีความหวังเรื่องคุณกฤตตะวันสิ” เพทายพูดด้วยแววตาเคลิ้มฝัน

“พอเลยๆ ยัยเพทาย ถึงเค้าจะเป็นพี่น้องกันแล้วเธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นยังไม่มีแฟน เดี๋ยวก็โดนแฟนเค้าตามมาตบเอาหรอก เลิกเพ้อได้แล้วออกไปหน้าร้านกันดีกว่า” ศันลิตาพูดจบก็เดินนำเพื่อนรักออกไปหน้าร้านทันที

เมื่อเดินออกมาหน้าร้านเพทายก็เข้าไปทักทายทำความรู้จักกฤตตะวันกับเกศวรางค์ทันทีและพูดคุยกับเกศวรางค์ได้ถูกคอภายในเวลาอันรวดเร็วเพราะเพทายเป็นคนคุยเก่งและเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว ในขณะที่ศันลิตาเดินเลี่ยงไปพูดคุยวางแผนกับชัยพร วีณา และแพรว่าสิ้นเดือนนี้จะจัดชั้นวางหนังสือใหม่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศภายในร้าน

หลังจากยืนพูดคุยกับศิริวรรณและเพทายอีกครู่หนึ่งสองพี่น้องก็ขอตัวกลับบ้านเพราะเห็นว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ศิริวรรณส่งถุงหนังสือให้เกศวรางค์พร้อมด้วยบัตรสมาชิกของร้านแต่กฤตตะวันเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปรับถุงหนังสือจากศิริวรรณมาถือเอาไว้เอง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้มด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าในถุงมีหนังสือเกี่ยวกับการบัญชีเบื้องต้นอยู่ด้วย

“พี่เกศซื้อหนังสือเกี่ยวกับบัญชีไปทำไมเหรอครับ” กฤตตะวันถามพี่สาว ศิริวรรณกับเพทายซึ่งยังยืนอยู่ข้างเคาเตอร์จึงพลอยได้ยินไปด้วย

“อ๋อ พี่ว่าจะซื้อไปลองอ่านดูเผื่อว่าจะช่วยอะไรนายได้บ้างน่ะ” เกศวรางค์ตอบ

“เรื่องบัญชีต้องเป็นคนที่มีความชำนาญแล้วก็เรียนมาทางนี้โดยตรง ถึงเราจะซื้อหนังสือไปอ่านก็คงไม่มีทางเข้าใจได้ง่ายๆ หรอกครับพี่เกศ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา” กฤตตะวันบอกพี่สาว

“จริงอย่างที่คุณกฤตพูดค่ะถ้าใครไม่ได้เรียนเกี่ยวกับบัญชีมาโดยตรงกว่าจะทำความเข้าใจได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรนะคะ ว่าแต่พี่เกศกับคุณกฤตมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องบัญชีเหรอคะ” เพทายถามขึ้น

เกศวรางค์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัทให้เพทายกับศิริวรรณฟัง ทั้งสองสาวจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสองพี่น้องคือทายาทของสัตยา เรียลเอทสเตท บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังซึ่งกำลังมีคดีความอยู่ในขณะนี้ และกำลังพยายามหาทางตรวจสอบเรื่องการทุจริตภายในบริษัทอยู่เพราะเหตุการณ์คอนโดมิเนียมถล่มก็เป็นผลพวงมาจากการทุจริตในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างนั่นเอง

“เพทายพอจะรู้จักใครที่เป็นนักบัญชีบ้างมั้ยจ๊ะ ถ้ามีช่วยแนะนำให้พี่บ้างสิ กฤตกับเพื่อนของกฤตช่วยกันหานักบัญชีมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่ก็ยังไม่มีใครรับตรวจสอบบัญชีย้อนหลังให้พวกเราเลยจ้ะ” เกศวรางค์ถามเพทาย

เพทายกับศิริวรรณมองสบตากันทันทีก่อนที่เพทายจะยิ้มกว้างพลางพยักหน้าแล้วตอบเกศวรางค์

“เพทายรู้จักอยู่คนนึงค่ะพี่เกศ เค้าเป็นนักบัญชีที่เก่งมากตอนที่เรียนจบได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาบัญชีเชียวนะคะ”

“จริงเหรอจ๊ะ/จริงเหรอครับ?” เกศวรางค์กับกฤตตะวันประสานเสียงถามขึ้นแทบจะพร้อมๆ กันด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนที่เกศวรางค์จะรีบถามเพทายต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “เค้าชื่ออะไรจ๊ะ แล้วเพทายมีเบอร์โทรเค้ามั้ย พี่จะได้รีบติดต่อไปหาเค้า”

“ไม่ต้องโทรไปหาเค้าหรอกค่ะพี่เกศ เดี๋ยวเพทายไปพาเค้ามาหาพี่เกศเองรอแป๊บนึงนะคะ” เพทายบอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินตรงไปทางกลุ่มของศันลิตาซึ่งกำลังยืนปรึกษาหารือกันเรื่องจัดร้านใหม่อยู่ทันที เมื่อเดินไปถึงจุดที่ทุกคนกำลังยืนพูดคุยกันอยู่เพทายก็เอ่ยปากขอยืมตัวศันลิตาครู่หนึ่งก่อนจะจูงมือหญิงสาวให้เดินตามมาทันที

“อะไรของเธอเนี่ยยัยเพทายฉันกำลังคุยเรื่องจัดร้านใหม่กับทุกคนอยู่นะ เธอจะพาฉันไปไหน” ศันลิตาถามเพื่อนรักอย่างไม่เข้าใจเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้ามือแล้วก็จูงให้เดินตามมาโดยไม่บอกไม่กล่าวว่าจะพาไปไหน

“ฉันก็จะพาเธอไปช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนไง” เพทายตอบ

“ใครเดือดร้อนเรื่องอะไรเหรอ” ศันลิตาถามด้วยสีหน้างุนงงเพราะนึกไม่ออกว่าเธอจะไปช่วยเหลืออะไรใครได้ในตอนนี้ เมื่อจูงมือศันลิตาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาเตอร์เพทายก็บอกเกศวรางค์กับกฤตตะวันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า

“นี่ไงคะพี่เกศ คุณกฤต นักบัญชีคนที่เพทายบอก”

ศันลิตาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกหนักใจหลังจากเข้ามานั่งพูดคุยกับสองพี่น้องในห้องทำงานของเธอซึ่งอยู่ทางด้านหลังของร้านและได้ฟังเรื่องที่เกศวรางค์กับกฤตตะวันต้องการขอความช่วยเหลือจากเธอ หญิงสาวรู้สึกเห็นใจในความเดือดร้อนของคนทั้งสอง แต่ว่าการตรวจสอบบัญชีย้อนหลังให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างสัตยา เรียลเอทสเตท ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยสำหรับเธอ เพราะศันลิตาเองก็มีงานที่ร้านต้องรับผิดชอบเช่นกัน

“ต้าช่วยตรวจสอบบัญชีย้อนหลังให้บริษัทพี่หน่อยนะจ๊ะ พี่ยินดีจ่ายค่าเหนื่อยให้ต้าเต็มที่เลยนะสำหรับงานนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ สำหรับบริษัทของพวกเรา”

“เรื่องเงินค่าเหนื่อยไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ แต่ว่างานแบบนี้ต้องใช้ความละเอียดแล้วก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารมาก ต้าไม่มีเวลาเลยค่ะเพราะตอนกลางวันต้องช่วยทุกคนขายหนังสือจนถึงปิดร้าน ส่วนตอนกลางคืนก็ต้องทำบัญชีที่ร้านด้วย ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ต้าคงจะช่วยพี่เกศไม่ได้”

เกศวรางค์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อฟังศันลิตาพูดจบ ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วถามหญิงสาวรุ่นน้องว่าถ้าหากตนเองสามารถหาคนมาช่วยทำงานที่ร้านตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็นจนกระทั่งปิดร้านทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์และในวันเสาร์อาทิตย์ทั้งวันศันลิตาจะพอมีเวลาช่วยตรวจสอบบัญชีให้ได้หรือไม่ ศันลิตาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเกศวรางค์ว่าอีกฝ่ายจะให้ใครมาช่วยงานที่ร้านเธอ กฤตตะวันก็เป็นฝ่ายหันไปถามพี่สาวของเขาด้วยสีหน้าสงสัยว่า

“พี่เกศจะไปหาใครมาช่วยขายหนังสือที่นี่เหรอครับ”

เกศวรางค์หันมามองหน้าน้องชายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มหวานแล้วตอบว่า

“ก็นายไงล่ะ”

“ผมนี่นะ?” กฤตตะวันทวนถามเสียงสูงพลางชี้มือเข้าหาตัวเองพลางแย้งพี่สาว “แต่ผมขายหนังสือไม่เป็นนะครับพี่เกศ”

“ขายไม่เป็นต้องต้องหัดขายให้เป็นสิ ไม่ยากหรอกน่าเดี๋ยวให้ต้าสอนก็ได้จริงมั้ยจ๊ะต้า” เกศวรางค์พูดเองเออเองแถมสรุปเสร็จสรรพแล้วหันไปถามศันลิตาในตอนท้ายประโยค ในขณะที่คนถูกถามยังคงนั่งอ้ำอึ้งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเพราะความงุนงง ส่วนกฤตตะวันพยายามจะคัดค้านพี่สาวจึงถูกเกศวรางค์ดึงแขนไปกระซิบถามเสียงเข้มว่า

“ตกลงนายอยากได้คนช่วยตรวจสอบบัญชีรึเปล่า ถ้าอยากได้นายก็ต้องเสียสละมาช่วยทำงานที่ร้านเป็นการแลกเปลี่ยนสิ”

“แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วยล่ะครับ”

“ก็เพราะว่านายคือประธานกรรมการของสัตยา เรียลเอทสเตท เพราะฉะนั้นนี่ก็คือหน้าที่โดยตรงที่นายต้องรับผิดชอบ” เกศวรางค์บอกก่อนจะเดินกลับไปหาศันลิตาพลางขอร้องหญิงสาวอีกครั้ง “ตกลงต้าช่วยตรวจสอบบัญชีให้พี่หน่อยนะจ๊ะ ถ้าต้าไม่ช่วยพี่ก็มองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ เพราะถ้าปล่อยเวลาให้นานไปกว่านี้พี่กลัวว่าบริษัทจะยิ่งเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ”

“คือว่า...ต้าขอเวลาคิดดูก่อนได้มั้ยคะพี่เกศ” ศันลิตาตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“ถ้างั้นพี่ขอมาฟังคำตอบของต้าวันพรุ่งนี้ตอนเย็นได้มั้ยจ๊ะ ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะที่พี่รีบร้อนแบบนี้ หวังว่าต้าคงจะเข้าใจแล้วก็ไม่โกรธพี่นะจ๊ะ”

“ค่ะ ต้าเข้าใจ”

เกศวรางค์ยิ้มกว้างอย่างยินดีพลางกล่าวคำขอบใจศันลิตาอีกหลายครั้งหลายหนก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านเพราะเห็นว่าเป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2557, 20:45:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2557, 20:45:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1063





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
yimyum 10 มิ.ย. 2557, 21:06:08 น.
เหอะๆๆ เข้าไปทำงานแล้ววว ><


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account