อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ

ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ

Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 10

ศันลิตาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นรถสปอร์ตสีดำคันหรูของกฤตตะวันแล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกาบนฝาผนังของร้านซึ่งเข็มนาฬิกาเพิ่งจะชี้บอกว่าเป็นเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งเท่านั้น

“โอ้โฮ้! พนักงานขายชั่วคราวของเราไฟแรงจัง มาทำงานตั้งแต่บ่ายสี่โมงครึ่งเลย” ศิริวรรณพูดพลางยิ้มอย่างนึกขำเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของน้องสาว ในขณะที่ศันลิตาบ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเองว่า

“ขยันเกินไปรึเปล่าเนี่ย”

ครู่หนึ่งกฤตตะวันก็หอบแฟ้มเอกสารพะรุงพะรังเข้ามาในร้านจนวีณากับชัยพรต้องรีบเข้าไปช่วยรับมาจากมือชายหนุ่มแล้วนำไปวางไว้ในห้องทำงานของศันลิตา ส่วนกฤตตะวันก็เดินกลับไปที่รถอีกครั้งเพื่อเอาแฟ้มเอกสารที่ยังเหลืออยู่ในรถโดยศันลิตาเดินตามออกไปช่วยเขาด้วย

“ขอบคุณมากนะคุณที่ออกมาช่วยผม” กฤตตะวันกล่าวคำขอบคุณหญิงสาวเมื่อหยิบแฟ้มส่งให้ศันลิตาช่วยถือสองแฟ้ม ส่วนตัวเขาหอบอยู่ในอ้อมแขนอีกสามแฟ้ม

"ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่หมดรึยังล่ะคุณ” ศันลิตาถาม

“วันนี้หมดแล้วล่ะ แต่นี่แค่ปีเดียวเองนะคุณ ที่ห้องทำงานของผมยังเหลืออีกเพียบเลย คุณจะตรวจสอบบัญชีให้ผมไหวรึเปล่าเนี่ย” กฤตตะวันถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ถ้าคำว่าไหวของคุณหมายถึงว่างานเยอะขนาดนี้ฉันจะทำไหวมั้ย ฉันขอตอบว่าถ้าฉันรับปากคุณแล้วก็หมายความว่าฉันจะทำให้สำเร็จไม่ว่ามันจะเยอะขนาดไหนก็ตาม ส่วนผลงานจะเป็นที่พอใจของคุณรึเปล่าฉันตอบไม่ได้หรอกนะ แต่ฉันสัญญาว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด” ศันลิตาบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะเดินนำชายหนุ่มเข้าไปในร้าน

เมื่อจัดการขนแฟ้มเอกสารเข้าไปในห้องทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศันลิตาก็พากฤตตะวันออกมาแนะนำให้รู้จักชัยพรกับวีณาอย่างเป็นทางการ ส่วนแพรซึ่งเป็นพนักงานพาร์ทไทม์นั้นกฤตตะวันจะได้รู้จักกับหญิงสาวรุ่นน้องในวันเสาร์ ศันลิตาบอกกับกฤตตะวันว่าถ้าหากเขามีอะไรสงสัยหรือหาหนังสือให้ลูกค้าไม่เจอก็ให้ถามชัยพรกับวีณาได้เลยทั้งสองคนจะช่วยเหลือเขาเอง จากนั้นเธอก็พาชายหนุ่มเดินขึ้นไปดูห้องสต๊อกหนังสือที่ชั้นสองและอธิบายเรื่องต่างๆ ภายในร้านให้เขาฟังไปด้วย

“ผมพร้อมจะทำงานแล้วครับเจ้านาย” กฤตตะวันบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อศันลิตาพาเขาเดินออกมาจากห้องสต๊อกหนังสือลงมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานของหญิงสาวที่ด้านล่าง

“ถ้างั้นก็ช่วยถอดเสื้อสูทของคุณออกด้วย เพราะว่ามันทำให้คุณดูหรูหราไฮโซเกินกว่าจะเป็นพนักงานขายค่ะ” ศันลิตาบอกชายหนุ่ม

กฤตตะวันหัวเราะอย่างขบขันกับเหตุผลของหญิงสาวก่อนจะรีบถอดเสื้อสูทราคาแพงของเขาออก แล้วส่งให้ศันลิตาซึ่งบอกว่าจะเอาไปแขวนไว้ให้เขาเพื่อป้องกันเสื้อมีรอยยับ

“แล้วก็ช่วยติดป้ายนี้ไว้ที่อกเสื้อของคุณด้วยนะคะ” หญิงสาวบอกพลางส่งป้ายติดอกเสื้อในมือให้ชายหนุ่มหลังจากที่เห็นเขาพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นจนถึงข้อศอกเรียบร้อยแล้ว

“หืม...พนักงานชั่วคราว” กฤตตะวันอ่านป้ายติดอกเสื้อที่หญิงสาวส่งมาให้ด้วยแววตาประหลาดใจ ศันลิตาจึงอธิบายว่า

“เพราะคุณไม่ได้สวมเสื้อพนักงานฉันกลัวลูกค้าจะไม่รู้ว่าคุณเป็นพนักงานขายของร้านเราก็เลยทำป้ายพนักงานชั่วคราวให้คุณติดที่อกเสื้อ”

“อ้อ” ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะพยายามติดป้ายพนักงานที่อกเสื้อด้านขวาแต่ก็ไม่ถนัดและดูไม่เรียบร้อยนัก

“เดี๋ยวฉันติดให้คุณเองดีกว่า คุณติดเบี้ยวไปเบี้ยวมาไม่เรียบร้อยเลย” หญิงสาวบอกพลางขยับเข้ามาใกล้ร่างสูงแล้วจัดการติดป้ายที่อกเสื้อให้ชายหนุ่มใหม่

กฤตตะวันก้มลงมองคนที่ขยับเข้ามายืนใกล้ชิดกับเขาจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาแตะจมูก เขาไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นแชมพู กลิ่นสบู่ หรือว่ากลิ่นแป้งกันแน่ แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกชื่นชอบมากกว่ากลิ่นน้ำหอมราคาแพงเสียอีก กฤตตตะวันอมยิ้มเล็กน้อยดวงตาคู่คมฉายแววอ่อนโยนด้วยความรู้สึกเอ็นดูคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจติดป้ายพนักงานชั่วคราวบนอกเสื้อให้เขาอยู่โดยไม่รู้สึกตัว

“เรียบร้อยแล้วล่ะ” ศันลิตาเงยหน้าขึ้นบอกชายหนุ่มแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อดวงตาดำขลับสบประสานกับดวงตาคู่คมซึ่งกำลังก้มมองเธอนิ่งอยู่พร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“คุณมองอะไรแล้วทำไมต้องอมยิ้มด้วย” หญิงสาวถามพลางรีบขยับออกห่างจากชายหนุ่มทันที เพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่ใกล้ชิดกับเขามากเกินไป กฤตตะวันยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังตัวของหญิงสาวก่อนจะตอบว่า

“ผมเพิ่งจะรู้ว่าเวลายืนอยู่ใกล้ๆ คุณแล้ว...” ชายหนุ่มเว้นช่วงพลางมองใบหน้าเนียนสวยของหญิงสาวด้วยแววตาประหลาด

“อยู่ใกล้ๆ ฉันแล้วทำไม พูดให้ดีๆ นะคุณ” ศันลิตาถามเสียงเขียว กฤตตะวันจึงรีบพูดต่อให้จบประโยคที่พูดค้างเอาไว้เมื่อครู่

“แล้วถึงได้รู้ว่าคุณเตี้ยมากน่ะสิ” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะอย่างขบขันทันที

“ฉันสูงตั้งร้อยหกสิบห้านะเตี้ยที่ไหนกันไม่ต้องมาหัวเราะเยาะฉันเลย คุณนั่นแหละที่ผิดปกติเพราะว่าคุณสูงเกินมาตรฐานชายไทย” หญิงสาวต่อว่าพลางมองค้อนชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้มว่า “เชิญคุณไปทำหน้าที่พนักงานชั่วคราวได้แล้ว”

“ครับผม เจ้านาย” กฤตตะวันรับคำยิ้มๆ พลางก้มศีรษะให้หญิงสาวอย่างล้อเลียน ก่อนจะเปิดประตูเดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์ออกไปที่หน้าร้าน

“พูดจากวนประสาทได้ตลอดเวลาเลย” ศันลิตาส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานของตัวเองเข้าไปแล้วเริ่มลงมือตรวจดูแฟ้มเอกสารที่กฤตตะวันนำมาให้ทันที

เนื่องจากวันนี้กฤตตะวันเพิ่งเริ่มทำงานเป็นวันแรก ชัยพรจึงให้ชายหนุ่มไปยืนรอต้อนรับลูกค้าที่ประตูร้านก่อน จากนั้นเขากับวีณาจะรับช่วงดูแลลูกค้าต่อจากชายหนุ่มเองถ้าหากต้องแนะนำหนังสือหรือหาหนังสือให้กับลูกค้าซึ่งกฤตตะวันก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ที่สำคัญก็คือบรรดาลูกค้าสาวๆ หลายคนถึงกับออกอาการตกตะลึงและเขินอายเมื่อก้าวเข้ามาในร้านแล้วเจอพนักงานหนุ่มรูปหล่อมายืนรอต้อนรับพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส

“สงสัยต่อไปนี้เราต้องมีลูกค้าสาวๆ แวะมาที่ร้านบ่อยแน่ๆ เลยค่ะพี่ชัย” วีณาเดินไปกระซิบบอกกับชัยพรพลางพยักเพยิดให้ชายหนุ่มรุ่นพี่มองไปทางประตูร้านซึ่งขณะนี้ลูกค้าสาวกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในร้านกำลังพยายามชวนกฤตตะวันพูดคุยพร้อมทั้งส่งยิ้มหวานให้เขาอยู่

“พี่หวังว่าจะไม่มีผู้หญิงมาตบตีกันเพื่อแย่งคุณกฤตในร้านเรานะ” ชัยพรพูดติดตลกก่อนจะหัวเราะเบาๆ วีณาเลยพลอยหัวเราะไปกับชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วย

กฤตตะวันแอบถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอกเมื่อกลุ่มหญิงสาวที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้านยอมเดินจากไปเสียทีหลังจากที่พยายามชวนเขาพูดคุยอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มรีบหันกลับไปที่ประตูอีกครั้งพลางกล่าวคำต้อนรับพร้อมด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงประตูถูกผลักเข้ามา

“สวัสดีครับ ร้านมุมสบายฯ ยินดี...อ้าว! พี่เอส” กฤตตะวันชะงักค้างคำกล่าวต้อนรับลูกค้ากลางครัน ก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ แล้วเรียกชื่อเล่นของคนที่เพิ่งจะผลักประตูร้านเข้ามาอย่างคุ้นเคย

“เฮ้! กฤตจริงๆ ด้วย เมื่อกี๊พี่มองอยู่นอกร้านก็ว่าคลับคล้ายคลับคลาอยู่นะ” ธนากรผู้จัดการโครงการทาวน์เลิฟทักทายกฤตตะวันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างยินดีก่อนจะถามต่อไปอีกว่า “ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”

“ผมมาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวอยู่ที่นี่ครับ” กฤตตะวันตอบชายหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะว่าบิดามารดาของทั้งสองต่างก็รู้จักสนิทสนมกันมานานเนื่องจากอยู่ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน และธนากรก็เคยคบหากับเกศวรางค์อยู่หลายปีแต่สุดท้ายทั้งสองคนก็มีความเห็นตรงกันว่าสัมพันธภาพในฐานะพี่น้องดูจะเหมาะสมกับทั้งคู่มากกว่าการเป็นแฟนกัน

“หา! มาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวอยู่ที่นี่” ธนากรอุทานพลางทวนคำพูดกฤตตะวันเสียงหลง ก่อนจะถามชายหนุ่มรุ่นน้องว่า “ประธานกรรมการบริษัท สัตยา เรียลเอทสเตท อย่างนายนี่นะมาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวที่ร้านขายหนังสือ”

“ใช่ครับพี่เอส”

“นายเกิดนึกสนุกอะไรขึ้นมาล่ะ อยากเรียนรู้ชีวิตพนักงานขายหรือว่าอยากจะลองทำตัวเป็นไฮโซตกยากดูบ้างรึไง” ธนากรถามอย่างนึกขำชายหนุ่มที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ

ครอบครัวของกฤตตะวันกับธนากรสนิทสนมกันมานานแล้วดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจบอกเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาเป็นพนักงานชั่วคราวในร้านมุมสบายฯ ให้อีกฝ่ายฟังแบบรวบรัดแต่ได้ใจความ เมื่อได้รู้เหตุผลที่แท้จริงธนากรก็พยักหน้าอย่างเข้าใจพลางให้กำลังชายหนุ่มรุ่นน้องก่อนจะขอตัวเข้าไปซื้อหนังสือพิมพ์รายวันกับศิริวรรณ

“เพิ่งรู้ว่าคุณเอสกับคุณกฤตรู้จักกันด้วย” ศิริวรรณพูดกับธนากรด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในระหว่างที่ชายหนุ่มส่งเงินค่าหนังสือพิมพ์ให้

“พอดีว่าพ่อแม่เราสนิทกันเพราะทำธุรกิจเหมือนกันครับ ผม เกศ แล้วก็กฤตเลยสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก” ธนากรบอกศิริวรรณก่อนจะเล่าให้หญิงสาวฟังอีกว่าเขาเคยคบหาเป็นแฟนกับเกศวรางค์อยู่หลายปี แต่ก็ต้องเลิกรากันไปเพราะว่าเขากับหญิงสาวเหมาะที่จะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมากกว่าเป็นแฟน

“น่าเสียดายจังนะคะคุณเอสกับคุณเกศดูหล่อสวยสมกันมากเลยค่ะ” ศิริวรรณพูดด้วยความรู้สึกเสียดายจากใจจริง ธนากรเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกหญิงสาวว่าไมเคิลสามีของเกศวรางค์ก็หน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้พระเอกหนังฮอลลีวู้ดเช่นกัน เมื่อรับเงินทอนจากศิริวรรณเรียบร้อยแล้วธนากรก็เอ่ยปากขอตัวกลับทันที

“พี่ไปก่อนนะกฤตพอดีมีธุระต้องรีบไปทำต่อ ฝากบอกเกศด้วยว่าพี่คิดถึง ไว้ว่างๆ พี่จะแวะไปหาที่บ้าน ขอยืมตัวสาวสวยควงไปดินเนอร์หน่อย” ธนากรบอกกับกฤตตะวันก่อนจะเดินออกไปจากร้าน

ร่างอวบอิ่มในชุดนอนบางเบาของนีรนุชกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องนั่งเล่นสลับกับการมองดูนาฬิกาที่ผนังด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน ก่อนจะรีบวิ่งออกมาเปิดประตูรับรถของคุณเกริกเกียรติ เมื่อเขาก้าวลงมาจากรถหญิงสาวก็ตรงเข้ากอดแขนหนุ่มใหญ่พลางถามเสียงอ่อนหวานอย่างเอาใจว่า

“คุณเกริกเหนื่อยมั้ยคะ”

“แค่ได้เจอหน้านุชผมก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ” คุณเกริกเกียรติบอกหญิงสาวพลางโอบเอวร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปภายในบ้านอย่างรักใคร่

“วันนี้คุณเกริกประชุมดึกจังนุชรอตั้งนานนึกว่าคืนนี้คุณเกริกจะไม่มาหานุชซะแล้ว” นีรนุชพูดพลางช่วยถอดเสื้อสูทให้คุณเกริกเกียรติเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้องนั่งเล่น

“ไม่มาได้ยังไงผมคิดถึงนุชทั้งวันเลยนะ” คุณเกริกเกียรติก้มลงกระซิบบอกพลางรั้งร่างอวบอิ่มเข้าแนบชิดแล้วจูบหญิงสาวอย่างดูดดื่ม

“ฮื้อ...อย่าเพิ่งรังแกนุชสิคะ คุณเกริกหิวรึเปล่า นุชจะได้ไปหาอะไรร้อนๆ ให้ทาน” นีรนุชต่อว่าพลางดันร่างสูงใหญ่ออกห่างแต่ก็ไม่สำเร็จ

“ตอนนี้ผมอยากทานนุชมากกว่า เราขึ้นข้างบนกันเถอะนะ” หนุ่มใหญ่กระซิบบอกหญิงสาวในอ้อมกอดเสียงพร่าพลางมองดูร่างอวบอิ่มในชุดนอนผ้าพลิ้วเนื้อบางด้วยแววตาที่คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์ปรารถนา

นีรนุชยกมือขึ้นตีแผ่นอกกว้างของคุณเกริกเกียรติเบาๆ พลางยิ้มอย่างเอียงอาย แต่ก็ยอมให้หนุ่มใหญ่โอบเอวเดินขึ้นห้องไปแต่โดยดี

“วันนี้ไม่รู้ว่าคุณกฤตนึกยังไงถึงได้ให้คุณดนัยมาขอเอกสารกับงบการเงินของบริษัทย้อนหลังที่แผนกไปตั้งห้าปีแน่ะค่ะ” นีรนุชซึ่งขณะนี้นอนซบอยู่ในอ้อมกอดของคุณเกริกเกียรติบนเตียงกว้างบอก หนุ่มใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยดวงตาฉายแววครุ่นคิดแต่ก็เอ่ยปลอบหญิงสาวในอ้อมกอดไปว่า

“คงไม่มีอะไรหรอกนุช คุณไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลยนี่ ผมเชื่อว่าฝีมือระดับนุชทำอะไรไม่มีผิดพลาดอะไรอยู่แล้วล่ะ จริงมั้ย”

“แต่ว่า...” นีรนุชพยายามจะแย้งหากแต่คุณเกริกเกียรติก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน

“อย่าคิดมากเลยนุช นอนเถอะนะดึกมากแล้ว” พูดจบคุณเกริกเกียรติก็เอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียง ก่อนจะโอบกอดร่างหญิงสาวเข้าแนบอกอย่างรักใคร่แล้วเพียงครู่เดียวหนุ่มใหญ่ก็หลับสนิท หากแต่นีรนุชยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืดด้วยแววตาครุ่นคิดกังวลอย่างหนักอย่างหนัก

หลังจากที่นั่งตรวจสอบเอกสารกับงบการเงินที่กฤตตะวันนำมาให้จนกระทั่งถึงเวลาสี่ทุ่มเศษศันลิตาจึงปิดแฟ้มเอกสาร พลางขยับลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบแล้วเดินออกมาห้องทำงานกลับขึ้นไปบนห้องพักของตนเอง

“เพิ่งเลิกทำงานเหรอต้าพี่ว่าจะเดินลงไปดูอยู่พอดีเลย” ศิริวรรณทักเมื่อเปิดประตูห้องออกมาแล้วเห็นน้องสาวกำลังเดินขึ้นบันไดมาพอดี

“ค่ะพี่วรรณ พอดีต้านั่งตรวจเอกสารเพลินไปหน่อย” ศันลิตาตอบพี่สาว

“แล้วได้เรื่องอะไรบ้างรึยัง”

“ยังเลยค่ะเพราะต้าเพิ่งได้เห็นแค่เอกสารกับงบการเงินเท่านั้น ถ้าจะให้รู้ชัดเจนว่ามีอะไรผิดพลาดในการลงบัญชีรึเปล่าก็ต้องตรวจรายละเอียดการลงบัญชีด้วยค่ะ” ศันลิตาอธิบายให้พี่สาวฟัง

“ถ้างั้นก็คงรอปรึกษากับคุณกฤตพรุ่งนี้สินะ”

“ค่ะ แล้วว่าแต่วันนี้พนักงานชั่วคราวของเราทำงานเป็นยังไงบ้างคะพี่วรรณ” ศันลิตาถามพี่สาว ศิริวรรณยิ้มก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขบขันว่า

“คุณกฤตตั้งใจทำงานดีนะแล้วก็ท่าทางจะเป็นขวัญใจพวกลูกค้าสาวๆ ด้วยล่ะ เพราะวันนี้พี่เห็นสาวๆ หลายคนมองคุณกฤตจนตาค้างเลย บางคนก็ชวนคุยถามโน่นถามนี่แถมยังส่งยิ้มหวานให้ด้วย”

ศันลิตาหัวเราะเบาๆ เมื่อฟังคำบอกเล่าของพี่สาวจบ เธอไม่แปลกใจเลยที่พวกสาวๆ จะมองกฤตตะวันตาค้างเพราะเขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาสะดุดตาและรูปร่างสูงโดดเด่นมาก

“ถ้าความหล่อของเค้าช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านเราได้ก็โอเคนะคะ” ศันลิตาพูดพลางยิ้ม ศิริวรรณเลยพลอยยิ้มไปด้วยก่อนจะเล่าให้น้องสาวฟังอีกว่า

“อ้อ...เมื่อตอนเย็นคุณเอสแวะมาซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านก็เลยได้เจอกับคุณกฤต ปรากฏว่าเค้ารู้จักกันจ้ะ เพราะพ่อแม่สนิทกันแถมคุณเอสยังเคยเป็นแฟนกับคุณเกศด้วยนะ”

“จริงเหรอคะ แล้วทำไมคุณเอสกับพี่เกศถึงเลิกกันล่ะคะ จะว่าไปแล้วเค้าก็ดูเหมาะสมกันดีนะคะ”

“เห็นคุณเอสบอกว่าเค้ากับคุณเกศเหมาะที่จะคบกันแบบพี่น้องมากกว่าเป็นกันแฟนนะ”

“แต่ต้าสงสัยว่าพี่เกศจะทนความเจ้าชู้ของคุณเอสไม่ไหวมากกว่ามั้งค่ะ ฮ้าววว...” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงขบขันเมื่อนึกถึงความเจ้าชู้ของธนากรก่อนจะหาวออกมาด้วยความง่วงงุนในตอนท้ายประโยค ศิริวรรณเห็นอาการน้องสาวเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกว่า

“ดึกมากแล้วพี่ว่าต้าไปอาบน้ำเถอะจะได้นอนพักผ่อน”

ศันลิตาพยักหน้าพลางรับคำพี่สาวเบาๆ จากนั้นสองพี่น้องก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้องของตนเอง

เย็นวันรุ่งขึ้นเมื่อกฤตตะวันเดินทางมาถึงร้านพร้อมด้วยแฟ้มเอกสารอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากที่ช่วยเขาขนแฟ้มเอกสารเข้าไปเก็บในห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว ศันลิตาบอกกับกฤตตะวันว่าเธออยากจะขอดูรายละเอียดในการลงบัญชีทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องตรงกับเอกสารและงบการเงินที่เขานำมาให้หรือเปล่า

กฤตตะวันพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินออกไปที่รถของเขาซึ่งจอดอยู่หน้าร้านครู่หนึ่งแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วยโน๊ตบุ๊กส่วนตัว ชายหนุ่มจัดการเปิดโน๊ตบุ๊กของตนเองแล้วเข้ารหัสโปรแกรมบัญชีของบริษัทให้หญิงสาวเรียบร้อยพลางบอก

“คุณเอาโน๊ตบุ๊กของผมไว้ใช้ตรวจสอบการลงบัญชีของบริษัทได้เลย ส่วนพาสเวิร์ดเดี๋ยวผมจะจดไว้ให้คุณนะ”

ศันลิตาพยักหน้าแล้วเริ่มต้นตรวจสอบเอกสารกับโปรแกรมบัญชีอย่างจริงจังและตั้งอกตั้งใจ ส่วนกฤตตะวันก็ขอตัวออกไปช่วยงานที่หน้าร้าน

เกศวรางค์เดินเคียงคู่กับธนากรเข้าไปนั่งในร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่งหลังจากที่ชายหนุ่มรุ่นพี่โทรศัพท์มานัดแนะขอรับประทานอาหารเย็นกับเธอตั้งแต่ช่วงสายของวันและขับรถมารับหญิงสาวถึงบ้าน เมื่อได้ที่นั่งในมุมซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัวและสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วธนากรก็ชวนเกศวรางค์คุย

“อาหารร้านนี้อร่อยนะเกศ เค้าเพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่มีลูกค้าเยอะมาก”

“ท่าทางพี่เอสคงจะเคยพาสาวมาทานอาหารที่ร้านนี้ใช่มั้ยคะถึงได้รู้ว่าอร่อย” เกศวรางค์ดักคอชายหนุ่มอย่างรู้ทัน ธนากรเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแกล้งบ่น

“เกลียดชะมัดคนรู้ทัน”

ธนากรถามหญิงสาวว่าจะอยู่เมืองไทยอีกนานแค่ไหน เกศวรางค์จึงตอบว่าหลังจากดูแลเรื่องการถ่ายทำโฆษณาเปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ของบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะเดินทางกลับไปอเมริกาและจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยอีกครั้งในช่วงคริสต์มาสเพราะบริษัทของไมเคิลสามีเธอหยุดยาวจนถึงกลางเดือนมกราคมปีถัดไป

สองหนุ่มสาวหยุดพูดคุยกันครู่หนึ่งเมื่อพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เมื่อลงมือรับประทานอาหารธนากรจึงพูดถึงเรื่องที่กฤตตะวันไปทำงานอยู่ที่ร้านมุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์

“พี่นึกไม่ถึงเลยนะว่ากฤตจะยอมไปทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวที่ร้านคุณต้า”

“ตอนแรกนายกฤตก็ไม่ยอมหรอกค่ะ แต่เพราะมีเหตุก็เลยต้องยอม...” จากนั้นเกศวรางค์ก็เล่าเหตุการณ์ระหว่างกฤตตะวันกับศุภโชคให้ธนากรฟัง

“งานนี้สนุกแน่นายศุภโชคจอมโวยวายมาเจอกับนายกฤตตะวันจอมเจ้าเล่ห์” ธนากรพูดพลางส่ายหน้ายิ้มๆ

“ใช่ค่ะ สนุกแน่ๆ เอ๊ะ!” เกศวรางค์ชะงักและอุทานออกมาในตอนท้ายประโยคพลางขมวดคิ้วมุ่นเมื่อหันไปเห็นหญิงสาวสวยซึ่งเธอจำได้ว่าคือคนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในโรงแรมกับคุณเกริกเกียรติด้วยท่าทางสนิทสนมเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบเศษคนหนึ่งด้วยท่าทางเร่งรีบ

“มีอะไรรึเปล่าเกศ” ธนากรถามแล้วหันไปมองตามสายตาหญิงสาวพลางถามต่อ “คนรู้จักเหรอ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่เกศเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นไปดินเนอร์กับคุณอาเกริกท่าทางสนิทสนมกันมากเลยนะคะ” เกศวรางค์ตอบพลางมองตามไปจนกระทั่งเห็นคนทั้งคู่ไปทรุดตัวลงนั่งในมุมที่ค่อนข้างห่างไกลจากผู้คน แต่จากมุมที่เธอกับธนากรนั่งอยู่ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“เกศหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังคบกับคุณอาเกริกอยู่งั้นเหรอ” ธนากรถาม

“คิดว่าใช่ค่ะ เพราะผู้หญิงคนนั้นเอาอกเอาใจคุณอาเกริกมาก แต่ถ้าควงผู้ชายมาแบบนี้เกศชักจะเริ่มไม่ค่อยไว้ใจแล้วล่ะค่ะ”

“พี่ว่าเกศอย่าเพิ่งสรุปเลย รอดูทีท่าของสองคนนั้นก่อนว่าเป็นยังไง” ธนากรแนะนำ เกศวรางค์พยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งจับตามองไปทางโต๊ะของหนุ่มสาวคู่นั้นเป็นระยะ แล้วก็เห็นว่าพวกเขานั่งพูดคุยกันด้วยสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดโดยไม่ได้สั่งอาหารอะไรมารับประทานเลยนอกจากเครื่องดื่ม

ครู่หนึ่งสองหนุ่มสาวก็เห็นฝ่ายหญิงยื่นซองสีน้ำตาลขนาดไม่ใหญ่มากนักให้กับฝ่ายชาย เกศวรางค์รีบยกโทรศัพท์มือถือตนเองถ่ายรูปเก็บไว้ทันที หลังจากคุยกันอีกครู่หนึ่งฝ่ายหญิงก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปจากร้านก่อนจะแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

ธนากรออกความเห็นว่าท่าทางของสองคนนั้นดูแปลกมาก ซึ่งเกศวรางค์ก็เห็นด้วยและเริ่มรู้สึกเป็นห่วงกลัวว่าคุณเกริกเกียรติจะถูกหญิงสาวสวยคนนั้นหลอกลวงเพราะวัยที่แตกต่างกันมาก ธนากรแนะนำให้หญิงสาวบอกเรื่องนี้กับคุณเกริกเกียรติ แต่เกศวรางค์บอกว่ายังไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับผู้เป็นอาได้เพราะว่าคุณเกริกเกียรติยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องการคบหากับผู้หญิงคนนั้นให้ใครรู้เลยสักคน

ชายหนุ่มจึงบอกให้หญิงสาวรอดูต่อไปอีกสักพัก ถ้าหากว่าคุณเกริกเกียรติคิดจริงจังกับผู้หญิงคนนั้นจนถึงขั้นแต่งงานกันจริงๆ เกศวรางค์เห็นว่าไม่น่าไว้ใจก็ควรเอารูปถ่ายในโทรศัพท์ให้คุณเกริกเกียรติดูเพื่อให้ท่านเป็นคนตรวจสอบและตัดสินใจด้วยตัวเอง เกศวรางค์จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำแนะนำของเขา

จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนเรื่องพูดคุยกันโดยธนากรถามถึงคุณเกรียงไกรกับคุณวารุณีบิดามารดาของเกศวรางค์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“คุณพ่อคุณแม่ไปทัวร์ยุโรปกับคุณพ่อคุณแม่ของไมค์ค่ะ พวกท่านจะเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเที่ยงคืนนี้ เดี๋ยวเกศกับกฤตจะไปรอรับท่านด้วยกันค่ะ” เกศวรางค์บอกชายหนุ่ม

“พี่ฝากความคิดถึงท่านทั้งสองด้วยนะ เอาไว้ว่างๆ พี่จะแวะไปเยี่ยมท่านที่บ้าน”

“ได้ค่ะ” เกศวรางค์รับคำยิ้มๆ

หลังจากที่มาช่วยขายหนังสือได้หกวันกฤตตะวันก็เริ่มคล่องงานจนสามารถช่วยแนะนำและหาหนังสือให้กับลูกค้าได้หลายราย ชายหนุ่มรู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการขายหนังสือ อีกทั้งเริ่มคุ้นเคยกับบรรดาลูกค้าประจำของร้านมุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์หลายคน ซึ่งส่วนมากก็คือคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทาวน์เลิฟและหมู่บ้านในละแวกใกล้เคียงทั้งนั้น

กฤตตะวันพบว่าร้านหนังสือแห่งนี้เปรียบเสมือนสถานที่พบปะสังสรรค์ของผู้คนมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นบรรดาคุณผู้หญิงหรือแม้กระทั่งพวกสาวใช้เมื่อได้มาพบเจอกันที่นี่ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันปฏิบัติการเม้าท์กระจายทันที ชายหนุ่มถึงกับแอบอมยิ้มอยู่หลายครั้งหลายหนเมื่อได้ยินบรรดาขาเม้าท์ทั้งหลายแอบจับกลุ่มเม้าท์ราวกับกลัวว่าคนถูกเม้าท์จะเห็นแต่ทว่าเสียงไม่เบาเลยสักนิด

และดูเหมือนว่าคนที่โดนเม้าท์มากที่สุดจะเป็น “น้ำริน” หญิงสาวสวยเจ้าของร้านส้มตำที่ชื่อว่าตำระเบิดซึ่งตั้งอยู่ถัดจากร้านมุมสบายฯ ไปโดยมีที่กลับรถกั้นกลางระหว่างกันเอาไว้ วีณาเล่าให้เขาฟังว่าน้ำรินเป็นคนที่ค่อนข้างปากร้ายและร้านเธอมักจะทำอาหารผิดพลาดบ่อยครั้งจึงทำให้มีปัญหากับลูกค้าเป็นประจำ

แต่คนที่ทำให้กฤตตะวันรู้สึกรำคาญอยู่ไม่น้อยก็คือศิวพรหญิงสาวเจ้าของร้านซักรีดที่เขาเคยแวะไปเอาชุดราตรีให้เกศวรางค์ เพราะเมื่อศิวพรเข้ามาในร้านหนังสือเจ้าหล่อนก็จำเขาได้และพยายามจะมาตีสนิทชวนกฤตตะวันพูดคุยอยู่หลายครั้งซึ่งชายหนุ่มก็พยายามหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายอย่างสุภาพเพราะเห็นว่าร้านอยู่ใกล้กัน อีกทั้งวีณากับชัยพรก็เตือนว่าอย่าไปให้ความสนิทสนมกับศิวพร เพราะว่าหญิงสาวคนนั้นมีพฤติกรรมไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับเรื่องการเงินถึงขนาดเคยมาซื้อหนังสือที่ร้านแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน จนกระทั่งศันลิตาต้องตามไปทวงถึงที่จึงยอมจ่าย

เมื่อใกล้ถึงเวลาสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาปิดร้านศันลิตาจึงปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงาน แล้วก็พบว่าศิริวรรณกับกฤตตะวันกำลังช่วยกันเก็บร้านอยู่ตามลำพังเหมือนเมื่อหลายวันที่ผ่านมา เพราะชายหนุ่มบอกให้คนอื่นรีบกลับไปก่อนเนื่องจากต้องไปเสียเวลารอรถประจำทางเพื่อกลับบ้านกันอีก ส่วนตัวเขารับอาสาว่าจะอยู่ช่วยปิดร้านจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับ

“ขอบคุณนะที่คุณอยู่ช่วยจนปิดร้านเสร็จ” ศันลิตาพูดขึ้นในระหว่างที่เดินตามชายหนุ่มมาเพื่อล็อคประตูร้าน ส่วนศิริวรรณขอตัวขึ้นข้างบนไปก่อนแล้ว

“ไม่เป็นไรบ้านผมอยู่ใกล้แค่นี้เอง ว่าแต่คุณเถอะเมื่อกี๊ผมได้ยินคุณบอกพี่วรรณว่าจะขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับลงมาทำงานต่ออีกเหรอ”

“ใช่”

“ความจริงคุณไม่ต้องเคร่งเครียดกับงานของผมมากนักก็ได้นะ แค่ที่คุณยอมช่วยเหลือผมก็เกรงใจมากแล้ว ผมไม่อยากให้คุณต้องเจ็บป่วยเพราะต้องเร่งตรวจสอบบัญชีให้ผมจนดึกดื่น” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นห่วง

หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้ากับท่าทางของคนพูด เธอสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจจากชายหนุ่ม และเริ่มรู้สึกว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอจะเคยหมั่นไส้เขาแต่จากการที่กฤตตะวันให้ความช่วยเหลือเธอหลายครั้งหลายหนก็ทำให้ศันลิตาได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีอะไรเพียงแค่ชอบกวนประสาทเธอก็เท่านั้นเอง

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าถ้าฉันเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะงานของคุณ รับรองว่าฉันจะเบิกค่ารักษาพยาบาลให้คุ้มค่าเลย” หญิงสาวแกล้งพูดหน้าตาเฉย

“เค็มจริงนะคุณ” กฤตตะวันต่อว่าหญิงสาวก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน

“แน่นอน ก็ฉันเป็นแม่ค้านี่ยังไงก็ต้องคำนวณกำไรขาดทุนให้คุ้มค่าหน่อย”

“ระวังจะถูกพ่อค้าอย่างผมเอาคืนนะคุณแม่ค้า” กฤตตะวันบอกหญิงสาวด้วยดวงตาเป็นประกายพราวระยับฉายแววเจ้าเล่ห์ แต่ศันลิตายักไหล่ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า

“ฉันไม่เห็นจะกลัวเลย เชิญกลับบ้านได้แล้วคุณพนักงานชั่วคราว ฉันจะได้ล็อคประตูซะที”

“ครับเจ้านาย…” ชายหนุ่มรับคำอย่างล้อเลียนพลางทำท่าจะเดินไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ “คุณ...พรุ่งนี้ผมขอเข้าสายหน่อยนะ พอดีว่าคืนนี้ผมกับพี่เกศต้องไปรอรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนามบินตอนเที่ยงคืน ผมอาจจะตื่นมาทำงานที่ร้านสายหน่อยแต่รับรองว่าไม่เกินเก้าโมงเช้าแน่นอน”

“อ้าว! ยังไม่มีใครบอกคุณเหรอว่าพรุ่งนี้ร้านปิด สงสัยพี่วรรณคงจะลืม” หญิงสาวพูดขึ้น

“พรุ่งนี้คุณจะปิดร้านทำไม ยังไม่ถึงวันหยุดประจำเดือนของร้านไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างแปลกใจ

“พอดีพรุ่งนี้ฉันกับทุกคนจะช่วยกันจัดร้านใหม่น่ะก็เลยต้องปิดร้าน คุณไม่ต้องมาทำงานก็ได้นะ”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมก็ยิ่งต้องมาช่วยจัดร้านสิ ผมไม่อยากกินแรงเพื่อนร่วมงานหรอกนะคุณมันไม่ดี ไปล่ะแล้วพรุ่งนี้เจอกันนะครับเจ้านาย” พูดจบชายหนุ่มก็ส่งยิ้มเก๋ไก๋ที่มุมปากมาให้ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินผิวปากตรงไปที่รถของตนเอง

ในขณะที่หญิงสาวมองค้อนตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างหมั่นไส้กับท่าทางสบายอารมณ์จนเกินเหตุของเขาก่อนจะปิดล็อคประตูแล้วจึงเดินกลับขึ้นไปข้างบน



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2557, 21:58:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2557, 21:58:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1107





<< ตอนที่ 9   ตอนที่ 11 >>
ร้อยวจี 13 มิ.ย. 2557, 00:29:22 น.
น่าติดตามค่ะ สงสัยบริษัทฯ นายกฤตเกลือเป็นหนอนแน่ ส่วนคุณอาเกริกคงถูกหลอกใช้นะคะ รีบมาอัพต่อนะคะรอค่ะ


yimyum 13 มิ.ย. 2557, 06:54:59 น.
เบิกเลย5555


แก้วแสงจันทร์ 13 มิ.ย. 2557, 19:54:51 น.
@yimyum, @ร้อยวจี
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ เป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักเขียนเลยค่ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account