เพลิงสวาทในรอยทราย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร ทั้งรู้ดีว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาภายหลัง แต่ความงามตรงหน้าก็ยากที่จะละสายตาให้ออกห่างจากเอวบางที่ยักย้ายส่ายพลิ้วไปพร้อมกับจังหวะกลอง

เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เขาเคยค่อนแคะ กำลังกลายร่างเป็นนางระบำทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของชายหนุ่มปั่นป่วน จนกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก

คุณธรรมและความถูกต้องกำลังดึงมูซาให้ออกห่างจากความเย้ายวนตรงหน้า ทว่า...

"ฮาน่า ไม่ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าเจ้ากำลังทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้น เจ้าจะไม่มีทางรอดพ้นอ้อมกอดของข้าในคืนนี้ไปได้"


เล่มนี้เป็นเรื่องราวของชายผู้หายสาบสูญในเรื่องเหลี่ยมรักบัลลังก์ทรายค่ะ ใครยังจำอดีตองค์รัชทายาทมูซาได้มั่งคะ ^^ พบกันหลังปิดต้นฉบับ หวานรักในลมหนาวนะคะ Coming Soon
Tags: ทะเลทราย,มูซา

ตอน: บทที่ 8 เราจะไม่รักกัน 100%

บทที่ 8 เราจะไม่รักกัน



ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฮาน่าได้เห็นมูซาในมุมที่คาดไม่ถึงหลายอย่าง หญิงสาวไม่คิดว่าเขาจะมีความสามารถในการรักษาคนได้ดีขนาดนี้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่ท่านตาของเธอเคี่ยวกรำเขาคงไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เขาเรียนรู้เร็วและชำนาญขนาดนี้หากเขาไม่เคยทำมาก่อน

ฮาน่ามองดูเขาช่วยเย็บแผลให้กับลูกชายของทหารในเผ่าคนหนึ่งที่เผลอเอาเนื้อที่แขนไปครูดกับคมมีดในครัวของผู้เป็นแม่ แรกเริ่มที่แม่ของเด็กพาเข้ามาเด็กวัยราวๆ 4 ขวบเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ส่วนผู้เป็นแม่ก็ขู่ลูกไม่หยุดเช่นกัน เด็กเลยกลัวไปสารพัดดื้อเพ่งไม่ยอมให้ชายหนุ่มจับท่าเดียว

หญิงสาวเห็นแล้วยังหงุดหงิดรำคาญอยากจะเอาอะไรไปอุดปากทั้งแม่และลูกที่ทำราวกับว่าแผลมีดบาดเพียงเล็กน้อยเป็นแผลฉกรรจ์ แต่มูซาที่เข้ามาทำหน้าที่แทนท่านตาของเธอชั่วคราวกลับจัดการให้สองแม่ลูกสงบปากสงบคำได้อย่างน่าทึ่ง

แม้อาการของอัลนีดาจะดีขึ้นมากหากยังไม่เหมาะที่จะออกมากรำงานรักษาคนอื่นอยู่ดี พอมารดาของเด็กได้ยินว่าคนรักษาคือชายแปลกหน้าที่เพิ่งมาเป็นหลานเขยของพ่อหมอ นางก็ตั้งแง่ไม่ยอมรับเอาแต่เรียกร้องให้ท่านตาของเฮาน่าออกมารักษา

“ข้าจะไม่ยอมให้ลูกชายของข้ารักษากับเจ้านะพ่อหนุ่ม ข้าจะให้เขารักษากับพ่อหมออัลนีดาเท่านั้น ฮาน่าเจ้าบอกสามีของเจ้าไปเรียกท่านตาของเจ้ามาเถอะ”

“ท่านตาข้ายังไม่หายดีเลย มูซา เอ่อสามีข้าเขาก็เป็นลูกศิษย์ของตาข้า ศิษย์กับอาจารย์ก็รักษาได้เหมือนๆ กันนั่นหละท่านน้า” ฮาน่าพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายยังคงเรียกร้องจะให้ลูกชายรักษากับท่านตาของเธอให้ได้

“ข้าไม่เอา ข้าจะกลับบ้าน ท่านแม่ข้ากลัว”

“โอ๊ยเงียบนะ ใครใช้ให้เจ้าซุกซนไม่เข้าเรื่อง นี่ฮาน่าเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรพ่อหมอถึงจะออกมา” หญิงวัยกลางคนเริ่มหงุดหงิดกับเสียงงอแงของลูกจึงพาลอารมณ์เสียใส่หญิงสาวตรงหน้า

ขณะที่ฮาน่ากำลังเผชิญกับถานการณ์ยากลำบาก มูซากลับให้ความสนใจกับกิ่งไม้ในมือ

หน็อยปล่อยให้ข้ารับหน้าอยู่ฝ่ายเดียว ช่างสบายเหลือเกินนะ

“นี่เจ้าทำอะไรอยู่ เห็นหรือไม่ว่าข้าจะโดนขบหัวอยู่ร่อมร่อแล้วเนี่ย” ร่างบางเดินเข้าไปกระซิบด้านหลังร่างสูง แผ่นหลังกว้างหันกลับมาส่งยิ้มยียวนให้เธอก่อนจะเดินเลยไปและยอบตัวลงตรงหน้าเด็กชายที่กำลังร้องไห้จ้าเพราะโดนแม่ตำหนิ

“นี่ เจ้าอยากเป็นหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่านี้ไหม” ชายหนุ่มถามพลางมองบาดแผลที่บาดลึกไปจนเห็นกระดูกขาวๆ ของเด็ก

คำถามแปลกประหลาดของชายหนุ่มทำให้เด็กหยุดร้องมองเขาด้วยตาเป็นประกายลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ

“เจ้าพูดอะไรน่ะ” แม่ของเด็กหนุ่มถามขึ้นมาเสียงเขียว นัยน์ตาคมเหลือบมองด้วยแววดุดันเสียจนแม่ของเด็กสะอึกไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก นางบอกไม่ถูกว่าสายตาของผู้ชายคนนี้ให้ความรู้สึกว่าไม่ควรต่อสู้หรือคัดค้านความต้องการของเขา อำนาจบางอย่างในแววตาบ่งบอกว่าเขาพร้อมจะทำทุกอย่างให้นางหมดคำถามและปิดปากเงียบ

ดวงตาคมกริบเมื่อกลับมามองเด็กชายตรงหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนไม่คุกคามอย่างเมื่อครู่

“ถ้าอยากโตมาแข็งแกร่งเจ้าต้องรู้จักอดทน ก่อนอื่นเลิกร้องไห้ก่อนแล้วนั่งลงตรงนี้ ข้าจะเย็บแผลให้เจ้า ถ้าเจ้าทนได้ไม่ร้องสักแอะ เจ้าจะได้นี่เป็นรางวัล” มือหนาแบบออกไปตรงหน้าเด็กน้อย บนฝ่ามือสีน้ำตาลมีหนังสติกที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่วางอยู่ เด็กน้อยตาโตลืมความเจ็บรีบคว้าเอามาถือไว้ในมือด้วยความดีใจ

มูซาหัวเราะลูบหัวยุ่งๆ ของเด็กน้อยไปมาก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาดแผล ใบหน้าคมหันมาพยักหน้าบอกให้ฮาน่าเอาอุปกรณ์เย็บแผลเข้ามา

เด็กน้อยเชื่อฟังคำสั่งของมูซาอย่างว่าง่าย พอถึงช่วงเวลาที่ต้องเย็บแผลฮาน่าก็เอ่ยขัดขึ้นมาเบาๆ พูดให้ได้ยินกันสองคน “เราไม่มียาชาเหลืออยู่แล้วนะ เด็กจะทนได้เหรอ ข้าว่าต้องไม่ไหวแน่ๆ”

มูซาได้ยินดังนั้นแต่ไม่ว่าอะไร เขารู้ดีว่าตอนนี้ยาหลายตัวได้หมดจากคลังยาของหน่วยพยาบาล ยาชาลอตสุดท้ายก็ใช้หมดไปกับการผ่าตัดอัลนีดาเมื่อหลายวันก่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลทองจ้องใบหน้าซีดๆ ของเด็กชายที่กำหนังสติกอีกมือจับมือมารดาแน่น มือหน้าแตะลงบนบ่าที่สั่นเทา

“หลับตาซะ หากทนไม่ไหวก็ร้องมันออกมาครั้งนี้เจ้าอาจจะเจ็บสักหน่อย ตาถ้าผ่านวันนี้ไปได้ในวันข้างหน้าเจ้าจะเข้มแข็งไม่แพ้ใคร” เสียงทุ้มเอ่ยปลอบขวัญและให้กำลังใจ เด็กน้อยพยักหน้าเชื่อมั่นในคำพูดของเขา ในขณะที่มารดาของเด็กเมื่อเห็นวิถีการพูดจาของมูซาอคติก็ลดลง รู้สึกชื่นชมบุรุษผู้นี้อยู่ในใจ

แม้การเย็บแผลสดๆ ที่ปราศจากยาชาสำหรับเด็กเล็กนั้นจะสร้างความเจ็บปวดเกินจะทน แต่เด็กน้อยก็อดทนจนถึงที่สุดจนกระทั้งทุกอย่างเรียบร้อยทุกคนก็ไม่ได้ยินเสียงร้องสักแอะ มารดาได้แต่โอบอุ้มลูกเข้าไปกอดด้วยความเป็นห่วง โดยไม่ลืมเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มผู้ช่วยรักษา

ภาพความรักของสองแม่ลูกกระทบจิตใต้สำนึกส่วนลึกของมูซาเข้าอย่างจัง ดวงตาสีอ่อนมีรอยเศร้าหมองเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แท้ๆ และแม้ผู้เลี้ยงดูอุ้มชูเขามาโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ลูกของท่าน

เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างยังคงยื่นนิ่งเงียบไม่ไหวติง ทอดสายตามองตามร่างของสองแม่ลูกคู่นั้นไปจนสุดตา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างแคลงใจ อยากจะเดินเข้าไปสะกิดถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเขาลืมอะไร ทว่าไม่ทันจะได้ทำอย่างที่คิดอีกฝ่ายก็หันหลังกลับมากะทันหันทำให้ชนเข้ากับร่างบอบบางของเธออย่างจังเป็นผลให้เซถอยหลังไปสองเก้า ดีที่ได้อ้อมแขนแกร่งฉวยเอาไว้ได้ทัน

ใบหน้าที่ห่างกันไม่กี่คืบของทั้งคู่ทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ หัวใจฮาน่าเต้นแรงเสียจนเธออดตกใจไม่ได้ ใบหน้าคมก้มลงมาใกล้จนปลายจมูกห่างกันไม่ถึงเส้นขนตา ดวงตาสีเทาเข้มตื่นตระหนกกับความใกล้ชิดระยะประชิดจนต้องเบี่ยงหน้าหนี แต่มีหรือที่เขาจะยอม มือแกร่งแตะข้างแก้มหญิงสาวให้หันกลับมาก

“เจ้าจะทำอะ” ถามยังไม่จบประโยคดีริมฝีปากแกร่งก็เคลื่อนลงมาทาบทับปิดทุกๆ คำถามของเธอ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่จูบกัน แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนเมื่อครั้งวันแต่งงาน เขาพะเน้าพะนอหลอกล่อให้เธอคล้อยตามอย่างว่าง่าย ริมฝีปากที่มีไรหนวดค่อยๆเลาะเล็มไปตามกลีบปากบางหยอกเย้าด้วยการรวบดูดริมฝีปากอิ่มของเธอแล้วกลับมาจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ฮาน่าเพิ่งเข้าใจคำว่าแลกลมหายใจกันก็วันนี้นี่เอง เธอกับเขาแทบจะสูบเอาลมหายใจกันและกันประทังชีวิตจนเมื่อจุดหนึ่งที่หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ไหว อีกฝ่ายก็ผละออกมามองใบหน้าแดงก่ำดวงตาหรี่ปรือของเธอ

“ซุ่มซ่ามเสียจริง” เขาแสร้งว่าไม่จริงจังคนถูกว่าเลยค้อนใส่ทั้งที่หน้ายังคงแดงก่ำลมหายใจหอบถี่

ฮาน่าไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอันใดกับเขา อยากจะถามว่าเขาจูบเธอทำไมก็รู้สึกกระดากอายเกินจะถาม หากจะทพเป็นโกรธแล้วตบเขาสักฉาดสองฉากแก้เขินก็ไม่ใช่นิสัย เพราะเอาเข้าจริงเมื่อครู่เธอก็เผลอไผลไปกับเขาซ้ำในบางช่วงยังรั้งต้นคอเขาเข้าหาอีกด้วย หัวใจที่เต้นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอกทำให้เธอสังหรณ์ใจ

ไม่นะ ข้ากับเขาตกลงกันแล้วนี่ว่าเราจะไม่รักกัน การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเหตุผลทางการเมือง มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนปนยุ่งยากใจของอีกฝ่ายมือหน้าที่รัดเอวหญิงสาวอยู่ก็คลายออก พยุงให้อีกฝ่ายยืนด้วยตัวเอง

“หากเจ้าไม่พอใจเรื่องเมื่อครู่ก็ให้คิดซะว่าเป็นการตอบแทนข้าในสิ่งที่ข้าทำให้ท่านตาของเจ้าก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสียความสัมพันธ์ของพวกเรามันก็เกิดจากผลประโยชน์ต่างตอบแทนอยู่แล้ว ข้ารักษาคนให้เจ้า หากข้าอยากจะเรียกของตอบแทนบ้างก็คงไม่ผิดใช่ไหม”

ถ้อยคำของเขาทำเอาหัวใจที่เต้นแรงเมื่อครู่เจ็บแปลบขึ้นมาทันที หญิงสาวรู้สึกว่าร่างกายเย็นวูบตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่มูซาพูดมาไม่มีคำใดผิดเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเธอถึงได้เจ็บที่ใจอย่างนี้

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่รักกัน เมื่อครู่ก็ถือว่าเป็นของตอบแทนการทำงานของเจ้าก็แล้วกัน” เมื่อหญิงสาวตอบอย่างคนใจกว้างมูซาถึงกับนิ่งงัน สีหน้าเครียดขึ้นริมฝีปากยิ้มเยาะออกมา

“เจ้ากลับไปดูแลท่านตาของเจ้าเถอะ คงไม่มีอะไรที่เจ้าต้องห่วงแล้ว หากมีคนไข้มาข้าจะรับมือเอง” ร่างสูงสั่งเธอโดยไม่มองหน้า ริมฝีปากบวมเจ่อที่ถูกจูบเมื่อครู่เม้มแน่นอย่างน้อยใจ หากเขาโวยวายหรือต่อว่าแสดงกิริยาต่อถ้อยคำของเธอสักนิดเธอคงชื่นใจบ้าง แต่นี้เขาทำเหมือนยินยอมกับคำกล่าวของเธอ

“ข้าก็ว่าจะไปอยู่แล้ว อีกวันสองวันเจ้าคงไม่ต้องลำบากขนาดนี้แล้วล่ะ ถึงตอนนั้นท่านตาคงกลับมาทำหน้าที่ได้แล้ว” เอ่ยจบก็สะบัดหน้าออกจากกระโจมด้วยอารมณ์หงุดหงิดใจ

พออยู่คนเดียวร่างสูงถึงกับลงตัวลงนอนบนเตียงคนไข้ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากหลับตาลงกำซาบเอาความหอมหวานรอยแรงอยู่ในทีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้กระจายไปทั่วร่างส่งกระแสอุ่นซ่านราวยาบำรุงชั้นดี แต่ไม่ยักกะส่งไปถึงหัวใจอันเหน็บหนาว ใบหน้าครึ้มหนวดนอนลืมตามองหลังคากระโจมด้วยแววตาเลื่อนลอย

เมื่อไหร่กันที่หัวใจอันหนาวเหน็บของข้าจะอบอุ่นอย่างที่เคยเป็นมาเมื่อในอดีต



แม้จะโกรธและงอนอีกฝ่ายแค่ไหน แต่ฮาน่าก็ไม่ลืมหน้าที่ภรรยาที่ดีที่ต้องปรนนิบัติสามีให้กินอาหารครบ 3 เวลา เธอยังคงฝากอาหารมาให้เขาที่กระโจมพยาบาลครบทุกมื้อ จนเมื่ออัลนีดาอาการดีขึ้นค่อนข้างมากและพอจะกลับมาประจำการให้การรักษาคนในเผ่าได้ วันแรกที่อัลนีดากลับมาทำงานมูซาก็โดนเคี่ยวกรำอย่างหนักซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำให้ท่านตาของเธอผิดหวังแม่แต่น้อย

เขาเรียนรู้ได้เร็วและทำได้ดีจนเธอถึงกับอึ้งและดูท่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจท่านตาเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้ท่านตาลืมไปเลยว่ามีหลานสาวอยู่ด้วย

“ยาหลายอย่างหมดแล้วนี่ เราคงต้องเข้าเมืองไปซื้อยามากักตุนไว้สำหรับฤดูหน้าแล้ว ไม่งั้นชาวบ้านเดือนร้อนแน่ๆ” อัลนีดาเอ่ยขึ้นมาอย่างเครียดๆ เมื่อเห็นว่ากระปุกยาฝรั่งหลายใบว่าเปล่า

“แล้วท่านตาจะไปได้ยังไง ท่านยังไม่หายดีเลยนะเจ้าคะ” ฮาน่าแย้งขึ้นมาทันที

“ใครบอกว่าข้าจะไป ข้าจะให้เจ้าไปกับมูซา”

“ทำไมต้องข้ากับเขาด้วยล่ะ! ข้าไปคนเดียวได้นะเจ้าคะ” ฮาน่าครวญ เธอไม่อยากไปกับผู้ชายคนนี้

“เพราะเจ้ารู้จักร้านยาร้านประจำที่ตาเคยพาไปซื้อบ่อยครั้ง อีกอย่างมีมูซาไปด้วยค่าจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ข้าเชื่อว่าเขาจะดูแลเจ้าได้” พูดจบก็หันไปสบตากับคนที่ถูกอ้างถึง อีกฝ่ายยักไหล่สบายๆ คล้ายจะบอกว่าสำหรับเขายังไงก็ได้อยู่แล้ว

“ข้าไปกับเตมีก็ได้” ข้อเสนอของหญิงสาวทำเอาคิ้วสีน้ำตาลเข้มเลิกขึ้นทันที ความหงุดหงิดอย่างไม่มีท่มาไหลเวียนอยู่ในอกนึกหมั่นไส้บุรุษเจ้าของชื่อจนเผลอเบะปากใส่โดยไม่รู้ตัว

“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน”

“เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าเจ้าแต่งงานแล้ว ไมได้เป็นสาวน้อยตัวคนเดียว เจ้ามีข้าเป็นสามีอยู่ทั้งคน หากข้าปล่อยให้เจ้าไปกับชายคนอื่นเจ้าคิดว่าคนในเผ่าจะเอาเรื่องนี้ไปหัวเราะเยาะสักแค่ไหนกัน หืม สาวน้อย” น้ำเสียงกระด้างไม่พอใจเอ่ยเตือนภรรยาของตนนั้นทำให้อัลนีดาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าตึงเครียดของหลานเขยด้วยความแปลกใจ

“จริงของมูซา เอาละเป็นอันว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะพรุ่งนี้เช้าก็ให้ออกเดินทางแต่เช้า เดี๋ยวเย็นนี้ตาจะไปบอกบาบาลีเรื่องพาหนะที่ต้องขอเอาออกไปใช้พรุ่งนี้” เอ่ยจบอัลนีดาก็เดินออกไปด้านนอกทิ้งให้หนุ่มสาวอยู่กันตามลำพังในกระโจมพยาบาล

ฮาน่าค้อนให้คนตัวสูงที่ด้วยความเจ็บใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมปฏิเสธการเดินทางครั้งนี้ แถมยังมาตำหนิเธอต่อหน้าท่านตาอีก

“มองข้าด้วยสายตาแบบนี้ข้าก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ ต่อให้เจ้าอยากจะไปกับเจ้าหมอนั่นมากแค่ไหน แต่ก็ควรระลึกไว้บ้างว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในฐานะไหน”

พอถูกอีกฝ่ายพูดใส่หน้าแบบไม่อ้อมค้อมฮาน่าก็ได้แต่กัดฟันกรอดไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ ปล่อยให้เขาเข้าใจไปอย่างนั้น แม้จะเป็นความเข้าใจผิดๆ ว่านางมีใจให้กับเตมีก็เถอะ

ด้วยเหตุนี้การเดินทางรอนแรมเข้าเมืองเพื่อไปซื้อยามาเพิ่มจึงเป็นหน้าที่ของทั้งคู่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

ด้วยการระยะทางที่ไกลพอสมควรการเดินทางเข้าเมืองจึงมักใช้รถกระบะตอนเดียวที่มีอยู่ไม่กี่คันในเผ่าที่เอาไว้สำหรับใช้งานเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไกลๆ โดยปกติหากเธอมากับท่านตา ท่านจะเป็นคนขับรถด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้ท่านตาไม่ได้มาด้วยหน้าที่ขับรถจึงเป็นของมูซาไปโดยปริยาย

ฮาน่าเกาะขอบหน้าต่างกระจกรถแน่น เธอไม่คิดเลยว่าหารนั่งรถมากับคนตัวโตนิสัยกวนประสาทอย่างมูซาจะทำให้เธอใจเต้นได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอยู่กันสองต่อสองแต่เพราะลีลาการขับรถที่เร็วดั่งพายุของเขาต่างหาก

นี่เขานึกว่าตัวเองกำลังขับเครื่องยนต์เจ็ดร้อยแรงม้าอยู่หรือไร

นอกจากเขาจะไม่สนใจอาการเกร็งของคนข้างๆแล้ว มูซายังผิวปากเป็นทำนองเพลงอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย ยิ่งสร้างความขัดหูขัดตาให้ผู้ร่วมโดยสารอย่างฮาน่าเข้าไปอีก

“นี่ ไม่เคยขับรถรึไง ขับให้มันช้ากว่านี้ได้ไหม” หญิงสาวตะเบ็งเสียงแข่งกับเครื่องยนต์สองร้อยแรงม้า

เสี้ยวหน้าคมยังคงทำเป็นไม่สนใจเสียงแหวของคนข้างๆ

“นี่ มูซาเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึไง ขับให้ช้าลงกว่านี้ได้ไหม” สิ้นประโยคนี้ปุบชายหนุ่มชะลอรถลงทันที หร้อมหันเสี้ยวหน้ามาส่งยิ้มให้เธอ ฮาน่ามองตามอย่างงุนงง

อารมณ์ไหนของเขาอีกเนี่ย

“ในที่สุดเจ้าก็เรียกชื่อข้าเสียที” ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยอย่างมีความสุข มูซาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ยอมทำอะไรงี่เง่าเพียงเพื่ออยากจะได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขาจากปากของผู้หญิงดื้อรั้นอย่างฮาน่านัก อาจจะเพราะหงุดหงิดที่นางชอบเอ่ยชื่อชายคนอื่นมากกว่าจะเรียกชื่อของเขาล่ะมั่ง มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเสียหน้า เพราะที่ผ่านมาผู้หญิงทุกคนไม่มีใครจิกหัวเรียกเขาว่าเจ้า เจ้าและเจ้า อย่างที่ฮาน่าเรียก ก็แหงล่ะก่อนนี้เขาเป็นถึงอดีตองค์รัชทายาทของมุซาใครจะกล้า หรือแม้แต่กลังจากที่เขาสละตำแหน่งกลายเป็นแมทธิวผู้ชายธรรมดา สาวๆ ก็ยังชอบที่จะเรียกชื่อของเขามากกว่าจะเรียกคุณ หรือนายอยู่ดี

“ประสาท!” ฮาน่าพึมพำ พอเขาตามใจเธอหญิงสาวก็สงบปากสงบคำขึ้น

ตลอดการเดินทางกว่า 5 ชั่วโมงรวมการแวะพักกินข้างระหว่างทางความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคล้ายจะดีขึ้นทั้งคู่เริ่มพูดคุย ซักถามแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน หลายครั้งคำตอบของมุซาสร้างความแปลกใจให้กับฮาน่า จากการพูดคุยกับเขาฆ่าเวลาช่วยลดทิฐิในใจของหญิงสาวลงกว่าครึ่ง บางอย่างที่ฮาน่ารู้สึกมันบอกไม่ถูก แต่เธอเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาที่ไร้ที่มาที่ไปอย่างที่เข้าใจ

“อีกเดี๋ยวก็จะเข้าตัวเมืองแล้ว” หญิงสาวหยิบล็อกเก็ตนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงคงเข้าเมืองช่วงบ่ายพอดี นับว่ามูซาทำเวลาได้ดี ปกติหากออกมากับท่านตาเธอจะถึงราวๆ เกือบบ่ายแก่ๆ

หางตาคนตัวเล็กชำเลืองมองคนขับเล็กน้อย เห็นเขาตั้งอกตั้งใจขับรถเธอจึงไม่อยากกวนเขา แต่แอบสำรวจเขาอยู่เงียบๆ เรือนกายแข้งแกร่งของเขาเธอเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเขาหลับใหลไม่ได้สติในครั้งแรกที่เจอกันครั้งนั้นร่างกายเขาบอบช้ำจนเตมีเองยังคิดเลยว่าช่วยเอาไว้ก็เสียเวลาเปล่า แต่บางอย่างทำให้ฮาน่าไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้เขานอนรอความตายได้ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงแค่ 1 เดือนจะทำให้คนที่คิดว่าไม่มีทางรอดแล้วแน่ๆ กลับมาเป็นคนปกติแข็งแรงหน้ำซ้ำยังมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมายระหว่างทั้งคู่ จากคนแปลกหน้า จากผู้มีพระคุณกลายมาเป็นสามีภรรยาที่พ่วงท้ายมาด้วยเงื่อนไขต่างๆ นานา

“มูซา เจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน ทำไมถึงได้ถูกคนทำร้ายเสียขนาดนั้น” ฮาน่าถามคำถามที่เคยเอ่ยถามเขามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่เขาฟื้นแรกๆ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามหญิงสาวก็หน้าตึงขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็ไม่มีถ้อยคำใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นอีก ไม่เพียงแต่ไม่พูดอะไรอีกแต่ฮาน่ายังประชดเขาด้วยการหันหน้าออกนอกหน้าต่างไม่พูดไม่ชวนคุยปล่อยให้ความเงียบดำเนินหน้าที่ต่อไปจนเมื่อดวงตาสีเทาเข้มเริ่มมองเห็นบ้านเรือนผู้คนอยู่ไม่ไกลจึงขยับเปลี่ยนท่าทางเตรียมตัว

“ข้าก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง” ร่างบางหันไปมองคนพูดอย่างแปลกใจ ขณะที่มูซาเว้นจังหวะการพูดเขาไม่ได้หันมาดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย สายตาคมกล้ายังคงมองถนนข้างหน้า “แต่เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีเสียจนเมียชาวบ้านมาติดพัน พอสามีเขาจับได้ก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”

ชายผู้นี้กำลังจะบอกว่าเขาเป็นชู้กับเมียชาวบ้านอย่างนั้นหรือ

ฮาน่าไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองทำสีหน้าอย่างไรกับเรื่องเล่าของเขา แต่ที่แน่ๆ ใจเธอวูบโหวงบอกไม่ได้ว่ารู้สึกผิดหวังหรือรังเกียจในสิ่งที่เขาเคยทำ พอใบหน้าคมที่หันมามองเธอหญิงสาวหลบวูบหันหน้าไปอีกทางทันที

“อดีตที่เจ้าอยากรู้เกี่ยวกับข้าไงล่ะ” น้ำเสียงเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องเล่ายิ่งทำให้ฮาน่าเอ่ยอะไรไม่ถูก

สิ่งที่เธออยากรู้ก็ได้รู้แล้ว เหตุใดถึงได้ไม่พอใจอย่างที่ควรจะเป็น ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่าการไม่รู้เรื่องเขาเลยจะดีกว่า

“ยังมีอีกหลายเรื่องนะ หากเจ้าอยากรู้ข้าก็จะเล่า ไหน เราก็เป็นผัวเมียกัน ก็ไม่ควรมีความลับต่อกันจริงไหม”

“ไม่ ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่อยากรู้แล้ว” เสียงปฏิเสธแผ่วเบาเสียจนฮาน่าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ โชคดีที่เขาไม่เล่าอะไรต่อนั่นแสดงว่าเขาได้ยิน

เมื่อมาถึงที่หมายร่างเล็กรีบเปิดประตูลงจากรถทันที เธอยืดกายเต็มความสูงสูดเอาไอร้อนและกลิ่นผู้คนในเมืองเข้าปอด แม้มันจะไม่ได้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังดีกว่าทนอึดอัดใจอยู่ในรถสองต่อสองกับเขา

มุซาลงจากรถเดินตามร่างบางที่รุดหน้านำเขาไปหลายก้าวหญิงสาวตรงเข้าไปยังร้านขายยาร้านประจำแล้วย่นใบสั่งยาที่ท่านตาเขียนไว้ให้กับคนขาย มีการทักทายกันเล็กน้อยจากพ่อค้าเนื่องจากเห็นว่าคราวนี้หญิงสาวไม่ได้มากับอัลนีดาอย่างเคยแต่มาพร้อมชายหนุ่มแปลกหน้ารูปร่างหน้าตาดี แถมยังไม่เหมือนคนในชนเผ่าเร่ร่อนอีกด้วย

“ไม่ได้เจอเจ้านานมาหนนี้โตเป็นสาวแล้วสินะ” สายตาคนถามมองข้ามไหล่บางไปหาคนด้านหลัง ฮาน่าเข้าใจได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยถามถึงผู้ชายที่มากับเธอ

หญิงสาวส่งยิ้มให้แทนคำตอบ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องป่าวประกาศให้คนอื่นทราบ

เมื่อเห็นลูกค้าสาวไม่ตอบอะไร พ่อค้าวัยกลางคนก็เข้าใจไปเองว่าเธอคงอาย

“ฮาน่า ยาตัวนี้ที่ร้านเพิ่งสั่งซื้อไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยาจะมาในอีกสองวันเจ้าจะอยู่รอไหม” ฮาน่ามองดูชื่อยาที่คนขายบอกว่าจะมาในอีก 2 วัน แล้วมีสีหน้าลำบากใจ ยาตัวนี้จำเป็นมากเสียด้วย หากต้องกลับมาใหม่เพื่อยาเพียงตัวเดียวก็ดูจะไม่คุ้มค่า แต่ถ้าให้รอ... ร่างบางหันหลังไปมองร่างสูงที่ดูชั้นยาที่สูงท่วมศีรษะอยู่ด้านหลังด้วยความกังวล

ปกติหากยาไม่ครบถ้าต้องรออีกสองสามวันจึงจะได้อัลนีดาจะค้างเพื่ออยู่รอ ในขณะเดียวกันระหว่างรอท่านตาของเธอก็จะออกไปซื้อของจำเป็นสำหรับใช้ในเผ่าติดมือกลับไปด้วย

ถ้ารอ มันก็หมายความว่าเธอกับเขาต้องค้างที่นี่ และแน่นอนว่าต้องเป็นห้องเดียวกัน เพราต่อให้ที่พักว่างเป็น 10 ห้องแต่เงินในมือไม่มากพอที่จะแยกห้องกันนอน เพราะปกติเธอก็ค้างห้องเดียวกับท่านตาอยู่แล้ว

“มีอะไรรึเปล่า” ร่างสูงเดินเข้ามาประชิดแผ่นหลังฮาน่าโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้รู้ตัว ท่อนแขนแกร่งหยิบรายการยาที่ ‘ขาด’ ขึ้นมาดูแล้วหันไปเลิกคิ้วใส่คนขาย

“อ้อ ยาตัวนี้จะเข้าร้านในอีก 2 วัน พวกเจ้าจะอยู่รอหรือไม่”

“รอสิ กว่าจะมาถึงที่นี่ได้เสียเวลาไปเกือบครึ่งวัน ให้มาอีกข้าคงไม่เอาด้วยหรอก” ฮาน่าหันใบหน้าไปทางคนที่ให้คำตอบง่ายๆ อย่างคาดไม่ถึง

“ถ้าอย่างนั้นยาพวกนี้ข้าเก็บไว้ให้ก่อนละกันเดี๋ยวถ้ายามาแล้วข้าจะให้คนไปตาม เจ้าจะพักที่เดิมใช่ไหมฮาน่า”

คนถูกถามไม่ทันได้ให้คำตอบอีกฝ่ายก็ชิงตัดหน้าตอบรับไปก่อนแล้ว

“อื้มเอาตามนั่นล่ะ งั้นเราก็ไปกันเถอะ มีอีกหลายอย่างที่ต้องไปหาซื้อกลับผ่าไม่ใช่รึไง” กล่าวจบเขาก็ลากลร่างเล็กออกมาจากร้านขายตาตรงไปที่ตลาดสดที่คนกำลังพลุกพล่าน

“นี่ข้ายังไม่ได้ตกลงกับเจ้าเลยนะว่าจะอยู่รอน่ะ”

“ก็ถ้าเจ้าไม่อยู่รอ พรุ่งนี้มะรืนนี้เจ้าจะมาอีกรึไง มาเพื่อยาห่อเดียวเนี่ยมันคุ้มรึไง” มูซาบ่นให้อย่างรำคาญ

เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันเป็นความจริงที่สำคัญดันจี้ใจดำเธอฮาน่าเลยเถียงอะไรไม่ออก ได้แต่เดินตามแรงจูงของเขา

เดี๋ยวนะ จูง? นัยน์ตากลมโตกะพริบปริบๆ เมื่อเห็นฝ่ามือเล็กถูกรวบออยู่ภายในฝ่ามือใหญ่ของเขา นัยน์ตาสีเทาเข้มมองมือที่ถูกกุมสลับกับใบหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของผู้ชายตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง

สะบัดออกสิฮาน่า

“ถ้าเจ้าไม่อยากพลัดหลงกับข้าก็อย่าหาเรื่องให้ข้าเดือดร้อนนักเลยน่า” ฮาน่าได้ยินดังนั้นก็ค้อนขวับใส่เขาทันที

เจ้านั่นแหละที่จะทำให้ข้าเดือดร้อน

แม้จะไม่พอใจที่เขาชอบพูดจากวนโมโห แต่มือเล็กกลับไม่ได้สะบัดออกอย่างที่คิดไว้หนำซ้ำยังเผลอเป็นฝ่ายจูงเขาในบางครั้งเมื่อมูซาแกล้งเดินเอื่อยเฉื่อย เพราะเอาแต่ก่นด่าอีกฝ่ายในใจทำให้ฮาน่าลืมไปว่าต่อให้เธอหลงก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเธอรู้จักเมืองนี้ดีพอๆ กับบ้านของตัวเองต่อให้คลาดจากเขาอย่างไรก็ไม่มีวันหลงเด็ดขาด!



เรื่องนี้จะลงถึงบทที่ 10 นะคะ แปลว่าจะลงให้อีก 2 บทแล้วก็จะเริ่มลบบทท้ายๆ ออกเน้อ คาดว่าจะมีทั้งหมด ประมาณ 15 บทค่ะ ตอนนี้กำลังเร่งปิดต้นฉบับให้ทันก่อนสิ้นเดือนนี้ เพื่อจะได้ออกทันในเดือนหน้า อาจจะนานๆ มาลงให้ทีนะคะ ขอบคุณที่ติดตามคาะ ไว้ลงบทที่ 10เสร็จจะมาชวนเล่นเกมแจกหนังสือกัน ^^



ลาฌีนุส




ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2557, 13:46:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2557, 13:46:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1236





<< บทที่ 7 ผลประโยชน์ต่างตอบแทน 100%   บทที่ 9 พิศวาสไม่คาดฝัน (1) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account