ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑ เข็มทิศมหาลาภ

ตอนที่ ๑ ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ

บทที่ ๑ เข็มทิศมหาลาภ

‘พวกเรากำลังยืนอยู่กลางทุ่ง’

นี่คือคำอธิบายที่เห็นภาพและได้ใจความที่สุดแล้วสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ส่วนถ้าอยากรู้ว่าทำไมตุ๊ดชาวกรุงสี่นางแต่งองค์ทรงเครื่องครบ ถึงมายืนหัวโด่อยู่กลางทุ่งร้างว่างเปล่าได้ ก็ต้องเท้าความกันไปไกลสักหน่อย

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากการอกหักรักคุดของ ‘เจ้’ กะเทยอาวุโสประจำกลุ่ม เจ้เลี้ยงชายหนุ่มวัยขบเผาะเอาไว้หนึ่งคน คอยส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษา ทั้งยังทุ่มเทความรักให้อย่างมากมาย ประคบประหงมมาตั้งแต่วัยขบเผาะ จวบจนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท มีหน้าที่การงานทำ

ถึงตอนนี้แล้วทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่าพ่อหนุ่มนายนี้คงจะสะบัดตูดเดินจากเจ้ไปในไม่ช้า แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พ่อนพพรผู้แสนดีไม่เพียงแต่ไม่จากไปไหน พอหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ก็ช่วยออกค่าใช้จ่ายภายในบ้าน จะเทศกาลไหนๆ ก็มักจะมีของขวัญมาให้เจ้เสมอ จนคนรอบข้างออกอาการริษยาตาร้อนผ่าวกันทั่วหน้า

ทว่าความสุขนี้ก็ไม่จีรังเมื่อนพพรไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งเข้า ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่านพพรอยู่กินกับกะเทย แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ พอรู้ว่าผู้ชายรักก็ยื่นคำขาดให้เลิกกับเจ้ ถ้านพพรเลือกหญิงแท้ในทันที เจ้คงไม่เจ็บปวดมากนัก แต่สิ่งที่นพพรทำคือการเลือกเจ้

นพพรเข้ามากราบเจ้ สารภาพความจริงทุกอย่างให้รับรู้ สำหรับนพพรที่เป็นเด็กกำพร้าแล้ว เจ้เป็นเสมือนครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว ถึงจะรักผู้หญิงคนนั้นแค่ไหน นพพรก็ทำใจทิ้งเจ้ไปไม่ได้ เขารู้ดีว่าถ้าขาดตัวเองไปสักคนเจ้จะมีสภาพเป็นอย่างไร ส่วนที่มาสารภาพก็เพราะรู้สึกผิด ทั้งยังสัญญาว่าต่อแต่นี้จะไม่ข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีก

เจ้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนสูญเสียคนรักไป ทั้งที่เขายังยืนอยู่ข้างกาย เวลาไม่ได้ช่วยให้นพพรลืมผู้หญิงคนนั้น ยิ่งปล่อยไว้นานวันนพพรก็ยิ่งดูผ่ายผอมตรอมใจ เจ้ก็เลยตัดสินใจฉลองวันเกิดปีที่ ๓๖ ของตัวเองด้วยการเฉือนหัวใจตัวเองทิ้ง

‘ถึงเวลาที่นพควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติแล้ว’

เจ้พูดอย่างแมนๆ ในวันที่เปิดใจกัน แถมยังทำถึงขนาดแกล้งมีคนรักใหม่ เพื่อให้นพพรจากไปอย่างหมดห่วง ถึงเจ้จะเป็นกะเทยแต่ก็เป็นกะเทยที่สวยมาก หนุ่มใหญ่ร่ำรวยมาติดพันก็มี พอเปิดทางให้เขาก็เข้ามาดูแลทันที ผลคือนพพรเก็บข้าวของออกไปจากบ้านจริงๆ ไม่นานก็แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก คนที่แกล้งทำเป็นใจแข็งเลยร้องไห้น้ำตาเปียกหมอนทุกคืน

เพื่อเยียวยาจิตใจอันบอบช้ำของเจ้ ‘โบ้’ กะเทยหุ่นล่ำน้องๆ อาร์โนวล์ เลยเสนอทริปท่องเที่ยวขึ้นมา เนื่องจากทุกคนอยู่ต่างสายอาชีพ หาวันหยุดยาวตรงกันได้ยาก จึงเลือกเดินทางใกล้ๆ เน้นอาหารอร่อยและได้ทำบุญไปด้วย จังหวัดที่ไปจึงไม่พ้นอยุธยา ซึ่งมีทั้งของกินขึ้นชื่อและวัดวาอารามจำนวนมาก

ในขณะที่กำลังเดินทาง อยู่ๆ ‘หน่อม’ ก็เปรยขึ้นมาว่า ปีนี้ทุกคนในรถล้วนแต่ดวงตกในปีชง ไหว้พระแล้วต่อด้วยสะเดาะเคราะห์หน่อยก็ดี ‘แว่น’ ที่นั่งข้างคนขับได้ยินแบบนั้นก็ร้องเสียงหลง

“โบ้ลดความเร็วให้ว่อง”

“ลดทำไมคะ จะแวะที่ไหนเหรอ”

“ไม่ใช่...แค่อยากปลอดภัยไว้ก่อน”

“โอ๊ย! ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เหยียบยังไม่ถึงร้อยเลย ถนนออกโล่งจะกลัวอะไร บทคนมันจะตายห่า ขับช้าๆ ก็ซวย”

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ตามสถิติพวกที่คิดอย่างนี้มักตายไว แล้วฉันก็ไม่อยากตายกับแก จริงไหมเจ้” แว่นหันไปหาพวก

เจ้ปรายตามาตามเสียงเรียก หลังจากถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกแล้วถึงตอบออกมาด้วยเสียงยานคาง

“จะช้าจะเร็ว คนมันจะไปก็ต้องไป”

เจ้เอาเรื่องขับรถกับอกหักมาผูกกันได้อย่างน่าชม พูดจบก็เท้าคาง เหม่อมองทิวทัศน์ริมทาง บิ้วอารมณ์ประหนึ่งนางเอกเอ็มวี

คนขับกับคนนั่งหน้าพร้อมใจกันกลอกตา คิดออกมาเป็นประโยคเดียวกันว่า ‘อิเจ้ยังไม่หายฟุ้ง(ซ่าน)’

“เปิดหน้าต่างให้ดีไหมคะ จะได้เพิ่มฟิลลิ่ง” โบ้เสนอ

“อิบ้า! เจ้กำลังช้ำ จะไปเพิ่มอารมณ์ให้ยิ่งเศร้าทำไม” แว่นเอ็ด

“โทษค่ะ คนสวยลืมไป” พูดแล้วก็สะบัดผมเกรียนด้วยกล้ามโตๆ แก้เก้อ

แว่นมองคนต้นคิดทริปนี้อย่างระอา ก่อนจะหันไปสะกิดหน่อมให้ช่วยจัดการ

“เราปลอบคนไม่เก่ง” หน่อมกระซิบกลับ

ก่อนหน้าเขาเคยพยายามมาหลายรอบแล้ว แต่ยิ่งพูดเจ้ก็ยิ่งร้องไห้ เลยไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากปิดปากเงียบ

“ไม่ปลอบก็โอบเฉยๆ ก็ได้ ใช้ความแมนขอแกช่วยเป็นที่พักพิงให้เจ้หน่อย”

ที่แว่นพูดอย่างนี้เพราะหน่อมเป็นคนที่ดูเหมือนผู้ชายปกติที่สุด ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าไม่ชอบผู้หญิง ที่จริงแล้วตอนนี้ในใจหน่อมก็ยังสับสนว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ เขาไม่อยากมีอะไรกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย รู้ใจตัวเองก็แค่ชอบอยู่กับกลุ่มกะเทยเท่านั้น ส่วนถ้าถามว่าอยากเป็นหญิงหรือชายก็ต้องตอบว่าเป็นชายเพราะมันสะดวกในการใช้ชีวิต แต่จะให้เป็นหญิงเขาก็ไม่เกี่ยงและไม่โกรธด้วยเวลาอยู่กับเพื่อนแล้วถูกเหมารวมว่าเป็นตุ๊ด

แว่นซึ่งแก่วิชาการและช่างวิเคราะห์มากกว่าใครเลยลงความเห็นว่าหน่อมอาจจะเป็นเกย์ ก็เห็นกันอยู่ว่าชอบมองผู้ชายหน้าตาดีมีกล้าม ที่ว่าไม่อยากมีอะไรกับใครก็เพราะยังไม่เคยมีความรักเท่านั้น ถ้าตกหลุมรักใครสักคนก็คงจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ทุกวันนี้หน่อมเลยรอให้คู่แท้มาปรากฏกาย แล้วใช้ชีวิตอย่างผู้ชายปกติตามความคาดหวังของที่บ้าน



เจ้ดูหายเศร้าไปบ้างเมื่อได้รับการโอบปลอบ พอถึงวัดแรกที่เป็นจุดหมายปลายทางก็โดดลงรถก่อนใคร แล้วกระหน่ำทำบุญแบบไม่เสียดายเงิน จนกระทั่งมาถึงวัดที่เก้า เงินที่เตรียมมาก็หมดเกลี้ยง

เจ้ทำบุญได้ครบตามความตั้งใจของตัวเองแล้ว แต่นึกอย่างไรไม่ทราบขึ้นไปกราบเจ้าอาวาสตามคำแนะนำของเด็กวัด หลวงพ่อท่านเห็นดวงตาเจ้มีแววโศกเศร้าจึงพูดให้ได้สติ

“การแบกจิตที่ไม่รู้จักปล่อยวางมันหนักนะโยม”

“ดิฉันรู้ค่ะ อยากวางใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้สักที” ยิ่งพูดใบหน้าของเจ้ก็ยิ่งสลด

“ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ก็จะไม่มีวันทำได้หรอกโยม ค่อยๆ เริ่มไปทีละน้อย ถ้าจิตมันล่องลอยเลอะเทอะมากนัก ก็สวดมนต์ นึกถึงพระคุณพ่อแม่ ผู้มีพระคุณเอาไว้”

เมื่อได้ฟังคำสอนเจ้ก็เกิดศรัทธา อยากบริจาคเงินให้เอาไว้บูรณะวัด ก็เลยต้องมองหาตู้เอทีเอ็มแต่ก็ไม่พบ ที่นี่อยู่นอกเมืองอยู่ห่างไกลเขตชุมชน คนแถวนั้นบอกว่าต้องขับรถไปอย่างต่ำสิบกิโลเมตรถึงจะเจอตลาด

“ยืมเราก่อนก็ได้นะเจ้” หน่อมเปิดกระเป๋าหยิบเงินออกมาให้

“ขอบคุณนะ เดี๋ยวโอนผ่านมือถือให้เลย” เจ้รับมาถือไว้

“ไม่ต้องรีบหรอก กลับไปค่อยโอนก็ได้” หน่อมว่าเพราะเห็นว่าแถวนี้หาสัญญาณลำบาก

“ไม่ได้หรอก ชีวิตเราไม่แน่ไม่นอน เผื่อตายไปก่อนไม่ได้ใช้คืนก็แย่สิ” ว่าแล้วก็โบกมือถือหาคลื่นอย่างแข็งขัน

“ครั้งที่เจ็ดแล้วนะ” แว่นพูดแทรก

“ครั้งที่เจ็ดอะไรของแก” เจ้ถามกลับ

“เจ้พูดว่าตายมาเจ็ดครั้งแล้ว ขอเถอะไม่ชอบเลย มันเป็นลางยังไงก็ไม่รู้”

“เอ่อๆ ไม่พูดก็ได้ ว่าแต่นึกยังไงถึงมาทัก ปกติแกไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้นี่”

จริงอยู่ที่แว่นชอบอ้างอิงทุกอย่างกับหลักวิทยาศาสตร์ ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนที่เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง ตั้งแต่เช้าแล้วที่มีแต่คำว่าตายลอยผ่านหูเข้ามา แล้วก็หยุดนับมันไม่ได้ด้วย ๓ ครั้งจากปากของหน่อม ๕ จากโบ้ ๗ จากเจ้ และ ๙ จากแว่นที่เผลอหลุดปากทักเพื่อนแต่ละคน

“ไม่รู้สิเจ้ เข้าวัดมากไปมั้ง” แว่นพูดปลอบไม่ให้ตัวเองคิดมาก

ยังไม่ทันหายไม่สบายใจ โบ้ก็เข้ามาทางด้านหลังแล้วระเบิดเสียงแปดหลอดใส่รูหู

“ทุกคนขา คนสวยได้ของดีมาค่ะ” ว่าแล้วก็หมุนตัวด้วยท่าบัลเลย์มายืนอยู่กลางวง

“เบาหน่อย นี่ในวัดนะแก” แว่นเอ็ด

“ขอโทษค่ะ แบบว่าของมันเลิศมากจนหนูลืมตัว” โบ้ยอมลดเสียงลงแต่ไม่ละอาการจีบปากจีบคอ

“ของอะไรของแก เอามาดูซิ” เจ้ยื่นหน้ามามองอย่างสนใจ

“แท้นแทน! คนสวยขอเสนอ เข็มทิศมหาลาภค่ะ”

โบ้ยื่นแผ่นโลหะรูปแปดเหลี่ยมขนาดจานข้าวออกมาโขว์ เมื่อสังเกตดูจะเห็นว่าด้านหนึ่งลงสีตีเป็นตาราง ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์หยินหยาง

“นี่มันยันต์แปดทิศนี่ครับ” หน่อมซึ่งมีเชื้อสายจีนพูดขึ้นมาในทันที

“ที่เอาไว้ติดเสริมฮวงจุ้ยใช่ไหม” แว่นถาม

“ใช่”

“เหมือนแต่ไม่ใช่ค่ะ” โบ้ยิ้มอย่างอมภูมิแล้วชี้นิ้วไปตรงกลางแผ่นโลหะ “เห็นไหมคะว่าตรงนี้มีเข็มทิศ คนขายบอกว่าให้อธิษฐานแล้วเดินไปตามทิศทางที่ชี้หมื่นก้าวแล้วจะเจออภิมหาลาภ”

“อิโง่! ของแบบนี้มันมีจริงที่ไหน โดนเขาหลอกขายของมาเท่าไรเนี่ย” เจ้ว่า

“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะเจ้ แล้วก็ไม่แพงด้วยแค่ร้อยเก้าเก้า จริงๆ แพงกว่านี้ด้วยแต่คนขายเห็นหนูสวยเลยลดให้”

“จริงๆ มันก็ดูเก๋ดีนะ ไม่ขายต่อก็เอามาเป็นของแต่งบ้านได้อยู่” หน่อมออกความเห็นบ้าง

ดูจากความหนาของโลหะและความละเอียดของชิ้นงานแล้วได้มาในราคานี้ถือว่าไม่น่าเกลียด

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงของที่ซื้อมา แว่นกลับอยู่เงียบๆ หยิบแผ่นโลหะมาพิจารณา พลิกไปพลิกมาสักพักก็ได้ข้อสรุป

“ก็แค่เข็มทิศธรรมดา เห็นกันอยู่ว่าชี้ไปทางเหนือ”

“ต้องอธิษฐานก่อน มันถึงจะชี้ไปทางอื่น” โบ้ให้ข้อมูลเพิ่ม

“พูดเหมือนมั่นใจ แกได้ทดลองใช้ก่อนซื้อมาเหรอไง” เจ้ถาม

“เปล่าค่ะ คนขายเขาบอกว่าใช้ได้ครั้งเดียว”

“อิ...” เจ้ตั้งท่าจะด่าแต่แว่นจุปากห้ามไว้

“ช่างมันเถอะเจ้ เงินก็เงินมัน อีกอย่างสมองมันกลายเป็นกล้ามหมดแล้วจะเหลือเอาไว้คิดอะไรได้อีก”

“อ๊าย! แรงนะยะอิแว่น ถ้ารวยขึ้นมาฉันจะใช้คนเดียวไม่แบ่งใครเลยคอยดู”

คราวนี้แว่นกับเจ้ไม่ว่าอะไร แต่พร้อมใจกันเบิร์ดกะโหลกตุ๊ดไร้สติด้วยความหมั่นไส้คนละที

“หนูเจ็บนะคะ ทำไมใครๆ ถึงชอบรุมรังแกคนสวยเรื่อย”

ร่างสูงใหญ่ดีดดิ้นเสียจนกล้ามสะบัด มองค้อนจนพอใจแล้วจึงค่อยคว้าเข็มทิศจากมือหน่อมมาถือไว้

“ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ เดี๋ยวคนสวยจะทดลองให้ดูว่าอภินิหารมีจริง”

โบ้ยกตัวลงนั่งแล้วยกเข็มทิศขึ้นทูนบนหัว จากนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ

๑ นาทีผ่านไป เข็มไม่กระดิก

๕ นาทีผ่านไปมันก็ยังไม่ขยับ

ไม่ทันถึงนาทีที่สิบเจ้ก็เบื่อ ขอปลีกตัวไปถวายปัจจัยให้หลวงพ่อก่อนท่านจะมีกิจธุระอย่างอื่น ส่วนแว่นหันเหความสนใจไปยังต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง สำหรับคนที่จบปริญญาเอกด้านพฤษศาสตร์มา ไม่มีอะไรแก้เบื่อได้ดีเท่ากับการสำรวจพืชท้องถิ่นอีกแล้ว

คนเดียวที่ยังรักษามารยาทเอาไว้ได้อย่างแม่นมั่นคือหน่อม แม้จะเบื่อจนต้องแอบหาวแต่ก็ไม่ปริปากบ่น สักพักใหญ่ๆ เจ้ก็กลับมา ถึงตอนนี้โบ้ก็ยังคงนั่งอธิษฐานไม่เลิก ส่วนตุ๊ดแว่นบ้าพืชก็ตั้งท่าจะขุดรากถอนโคนต้นไม้วัด จากทีแรกแค่เด็ดหญ้า ตอนนี้เริ่มลามไปที่ไม้ประดับแล้ว

“พอได้แล้ว กลับกันเถอะ ยังต้องแวะอีกตั้งหลายที่” ที่ว่าพอนี่เหมารวมแบบแพ็กคู่ในทีเดียว

แว่นลุกขึ้นมาปัดมือที่เลอะเศษดิน ส่วนโบ้ยอมเงยหน้าขึ้นมาแต่ก็ยังไม่เลิกหมกมุ่นกับเข็มทิศ

“หนูว่าแรงอธิษฐานต้องยังไม่แรงพอแน่ๆ ทุกคนมาลองกันหน่อยไหมคะ”

“ไม่! ฉันอยากกลับแล้ว”

มีหรือโบ้จะฟัง เขาลุกขึ้นมาพูดอย่างร่าเริงให้ทุกคนช่วยกันจับเข็มทิศคนละด้านแล้วอธิษฐานร่วมกัน

“ไม่ก็คือไม่!” เจ้เอ่ยเสียงเฉียบ “กลับกันทุกคน ทิ้งอิโบ้ไว้นี่แหละ อยากงมงายนักก็ให้มันใช้เข็มทิศงมทางกลับกรุงเทพเอง”

“ตามใจมันหน่อยก็ได้เจ้ จะได้หายคาใจตัดรำคาญกันไป” แว่นช่วยพูด

เจ้ย่นหัวคิ้วที่เห็นลูกคู่ของตัวเองยอมประนีประนอม พอมองไปตามสายตาก็เห็นว่ากุญแจรถอยู่ในกระเป๋ากางเกงของโบ้ ถ้าอยากกลับก็ต้องไปแย่งเอามาให้ได้

‘เจ้กล้าไฟต์กับมันปะล่ะ?’ ไม่ต้องบอกก็ได้ยินประโยคนี้ลอยมา

ถึงโบ้จะทำตัวอย่างลูกไล่ทุกคนแต่ก็มีนิสัยดื้อดึง ถ้าไม่ยอมขึ้นมาก็พร้อมสู้ อย่าว่าแต่สามคนช่วยกันรุมเลย ให้เอาหมีควายตัวโตๆ มาเป็นพวกอีกหนึ่งก็ยังไม่มั่นใจว่าจะชนะ

“จับก็จับ ห้านาทีไม่เกินนั้นนะ” เจ้ยื่นคำขาด

ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็เลยพร้อมใจกันมาจับเข็มทิศแปดเหลี่ยมกันคนละด้าน

“หลับตาแล้วอธิษฐานค่ะ เน้นนะคะว่าจริงจัง อยากได้โชคลาภอะไรก็ขอมาเลย”

สามคนที่เหลือต่างก็ไม่เชื่อเรื่องงมงาย กระนั้นก็ยอมตั้งจิตตามคำบอก ทันใดนั้นเองมือที่จับแผ่นโลหะอยู่ก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน

“ใครเล่นอะไร คนสวยไม่ขำนะคะ” โบ้ที่ยังไม่ลืมตาเอ่ยอย่างหงุดหงิด ด้วยรู้สึกเหมือนมีคนเอาโทรศัพท์มือถือมาวางไว้ด้านบน

“ไม่ใช่ฝีมือเรานะ” หน่อมซึ่งยังไม่ลืมตาเหมือนกันบอก

ความเงียบดำเนินต่อไปอีกอึดใจหนึ่งพร้อมแรงสั่นที่มากขึ้น คนที่ยังหลับตาอยู่เลยเริ่มโวยวาย ส่วนคนที่ลืมตาแล้วก็ได้แต่อึ้ง สักพักใหญ่ถึงจะปริปากพูดออกมาได้

“อิโบ้ลืมตาเร็ว เข็มมันหมุน” เจ้แผดเสียง

“อิแม่หอยร่วง!” โบ้อุทานลั่นเมื่อเห็นเข็มทิศที่หมุนเร็วราวกับใบพัด

“มีลูกเล่นอะไรอยู่หรือเปล่าเนี่ย” ถึงจะตะลึงแต่แว่นก็ยังไม่วายพยายามหาคำตอบด้วยหลักวิทยาศาสตร์

“ลูกเล่นบ้านหล่อนสิยะ แผ่นมันบางเฉียบอย่างกับผ้าอนามัยแบบนี้จะซุกอะไรได้ อิบ้าโบ้! แกซื้อกระดานผีสิงอะไรมาเนี่ย” เจ้ที่เริ่มสติแตกรัวเป็นชุด

จะปล่อยมือก่อนก็ไม่กล้าเพราะนึกโยงไปถึงพวกผีเหรียญกับผีถ้วยแก้วว่าต้องปล่อยมือพร้อมกัน

“ดะ...เดี๋ยวมันก็หยุดมั้งคะ” โบ้เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ

ในสถานการณ์ที่ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หน่อมกลับเพิ่งอุทานออกมาว่า ‘เชี่ย!’ ช้ากว่าเพื่อนฝูงไปสองสเต็ป สรุปแล้วว่าพึ่งพามันไม่ได้แน่ๆ

“ถ้ามันหมุนเพราะเราอธิษฐานจริง ก็ลองขอให้มันหยุดดูไหม” แว่นที่มีสติมากที่สุดว่า

ไม่ต้องสั่งทุกคนก็พร้อมใจกันหลับตาแล้วเริ่มภาวนาใหม่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเข็มทิศหยุดหมุนจริงๆ คราวนี้ขี้ไปทางตะวันออก

เมื่อมันหยุด ทุกคนก็พร้อมใจกันปล่อยมือ ทิ้งเข็มทิศวิเศษที่เหมือนจะมีอาถรรพ์เอาไว้กับมือโบ้

“ทะ...ทำไมเอามาให้หนูถือล่ะคะ” โบ้พูดเสียงสั่น เห็นกล้ามใหญ่แต่ใจเสาะนะขอบอก

“ไม่รู้ล่ะ แกเป็นคนเอามาก็ต้องรับผิดชอบ”

เจ้แยกเขี้ยวใส่ให้รู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นคนที่จะต้องรับผิดชอบก็คือตัวการอย่างโบ้



๑๕ นาทีผ่านไป ชาวคณะก็เริ่มตั้งสติกันได้ เลยมานั่งประชุมว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป โบ้ สนับสนุนให้ลองเดินหมื่นก้าวไปตามทิศทางที่ชี้ เจ้สองจิตสองใจเพราะยังกลัวๆ หน่อมอยากรู้อยากลองเลยสนับสนุน ส่วนแว่นนั้นรู้สึกใจไม่ดี แต่รู้ว่าห้ามไม่ได้ก็เลยอาสาขับรถตามไปที่หลังจะได้ไม่เหนื่อยเดินกลับ ทว่าสุดท้ายแล้วก็โดนลากออกไปด้วยจนได้ เพราะเมื่อคนไม่ครบเข็มมันก็กลับมาหมุนเป็นใบพัดอีกครั้ง คนที่ไม่อยากไปเลยต้องยอมตามไปด้วย

ทั้งสี่คนจูงมือกันมายืนตั้งแถวนับก้าวแรกที่หน้าประตูวัด โบ้ซึ่งเป็นคนเดินนำถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกมาคาดเอว แล้วหยิบหมวกปีกกว้างมีริบบิ้นคาดมาสวม บ่งบอกว่าพร้อมลุยเต็มที่ ถัดมามีเจ้เดินจิกส้นเข้มคู่มากับหน่อม ส่วนแว่นเดินปิดท้ายรับหน้าที่นับก้าว

หมื่นก้าวเทียบเป็นระยะทางอยู่ที่ประมาณหกกิโลเมตร เท่ากับเดินแบบสบายๆ ประมาณสองชั่วโมงเศษ เข็มทิศมหาลาภชี้ไปทางตะวันออกในช่วงแรก จากนั้นก็เปลี่ยนทิศไปเรื่อยๆ เวลาเจอสิ่งกีดขวางหรือต้องการให้เปลี่ยนเส้นทาง

ความเงียบเดินทางไปพร้อมกับชาวคณะระยะใหญ่ จวบจนกระทั่งพ้นช่วงก้าวที่พันมา เสียงสนทนาก็กลับมาอีกครั้งด้วยด้วยเสียงตดแบบไม่อายฟ้าดินของโบ้ ตามมาด้วยเสียงด่าของเจ้และเสียงหัวเราะของหน่อม ส่วนแว่นนั้นยังคงนับก้าวอย่างตั้งใจ เขาอยากให้ตัวเลขถึงหลักหมื่นเร็วๆ เพื่อที่จะได้จบเกมนี้เสียที

ชาวคณะมาถึงเขตที่ข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนา เมื่อถึงก้าวที่เก้าพันแล้วจากที่ต้องเดินบนถนนก็เปลี่ยนไปไต่คันนาแทน

“มหาลาภอะไรของมันเนี่ยอยู่กลางทุ่ง ใกล้จะเดินครบแล้ว มองไปไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง” เจ้เริ่มบ่นหลังจากส้นเข็มจมลงไปในดินเหนียวเป็นครั้งที่แปด

“ถึงแล้วก็รู้เองละค่ะ เขาบอกว่าขออะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่แน่นะคะเจ้ หมื่นก้าวปุ๊บนพโผล่มากลางอากาศปั๊บ”

“อิบ้า! รู้ได้ไงว่าฉันขอให้เจอนพ”

“เห็นหางคิ้วเจ้หนูก็รู้แล้วค่ะ”

“ไม่ได้ขอย่ะ ตัดใจแล้วคือตัดใจ” เจ้เอ่ยเสียงเข้ม

คนที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างหน่อมดูออกว่าเจ้โกหก เลยเปลี่ยนประเด็นสนทนาเสีย โบ้ที่พูดอะไรไม่ค่อยระวังจะได้ไม่ตอกย้ำแผลใจเพื่อน

“ฝนทำท่าจะตกแล้ว เร่งฝีเท้ากันหน่อยดีไหม”

พอหน่อมพูดอย่างนี้ ทุกคนก็เริ่มสังเกตว่าขณะนี้ท้องฟ้าเบื้องบนเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆฝนดำทะมึน ลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

“กี่ก้าวแล้วแว่น” เจ้เอี้ยวตัวมาถาม

“๙,๙๑๑” แว่นบอก ก่อนจะก้มลงมองนิ้วตัวเองเพื่อไม่ให้นับพลาด

“ใกล้ถึงแล้วสิ เหลืออีกสิบก้าวสุดท้ายมานับถอยหลังกันนะคะ” โบ้เสนอ

ไหนๆ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ขอสนุกกับมันเอาไว้ก่อน เมื่อถึงสิบก้าวสุดท้าย ทุกคนเลยประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียง

“สิบ...เก้า...แปด...เจ็ด...หก...ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง”

เมื่อย่างก้าวสุดท้ายถูกประทับลงบนผืนดิน ความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพร้อมใจกันกลืนน้ำลายลงคอ แล้วกวาดตามองรอบตัวอย่างระวังระไว สิ่งที่เห็นยังคงเป็นทิวทัศน์เดิมๆ ของทุ่งนา บนพื้นก็มีแต่ดินสีดำที่ถูกไถเตรียมเอาไว้หว่านเมล็ด ไม่มีสมบัติหรือสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นแต่อย่างใด

“แค่เนี้ย! ไม่เป็นมีอะไรเลย” เจ้พูดขึ้นมาก่อน

“หรือว่าเราต้องขุดคะ” โบ้ตั้งขอสันนิษฐาน

“จะดีเหรอ นี่ที่ดินคนอื่นนะ ถึงจะมีอะไรฝังอยู่มันก็เป็นของคนอื่น หรือต่อให้ไม่มีเจ้าของมันก็เป็นสมบัติของชาติ” หน่อมผู้เคร่งในศีลธรรมทัดทาน

“ฉันเห็นด้วยว่าอย่าขุดเลย ฝนจะตกแล้ว อุปกรณ์เราก็ไม่มี ไม่แน่นะบางทีโชคมันอาจจะมาหลังจากที่เรากลับกรุงเทพฯ กันแล้วก็ได้” แว่นพูดเสริม

เขาทิ้งจังหวะให้เพื่อนปรึกษากันอึดใจ จากนั้นก็กระตุ้นด้วยการหันหลังเดินกลับไปทางเดิมโดยไม่รอใคร

“เดี๋ยวอิแว่น! เข็มมันหมุนอีกแล้ว” โบ้ส่งเสียงเรียกเพื่อรั้งตัวเอาไว้

ได้ยินแบบนั้นแว่นก็ชะงักเท้า แล้วเดินกลับมา

“เฮ้ย! มันหยุดแล้ว อ๊ะ…หมุนอีกแล้ว อิแว่นแกถอนไปอีกก้าวสิ” เจ้หันมาสั่งการ

เมื่อแว่นถอยไปเข็มที่หมุนอยู่ก็หยุดจริงๆ ทดลองอีกสองครั้งผลก็ยังเหมือนเดิม แสดงว่าตำแหน่งที่ยืนอยู่ในขณะนี้จะต้องมีอะไรแน่ สามคนที่เหลือจึงตามไปสมทบ ทว่าพอคนครบเข็มทิศกลับหมุนเป็นใบพัดอีกครั้ง

“เอาไงดี” หน่อมถามความเห็น อารมณ์ของเขาตอนนี้ก้ำกึ่งระหว่างอยากรู้กับเบื่อหน่าย ที่ไม่ทราบว่าจะต้องหัวปั่นกับเข็มทิศอันนี้ไปอีกนานแค่ไหน

“คงต้องจับมันคนละด้านเหมือนเดิมละมั้ง” เจ้ว่า

ในใจของแว่นมีเสียงกระซิบบอกว่าไม่ชอบความคิดนี้เลย แต่กระนั้นก็ยอมจับให้จบเรื่องกันไป พอมือทุกคนแตะครบเข็มก็หยุดหมุน เสี้ยววินาทีต่อมาเหตุอัศจรรย์ที่รอคอยก็เกิดขึ้น ละอองแสงสีทองลอยออกมาจากแผ่นโลหะที่ถือ แล้วโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสีหม่น ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นลำแสงทอดยาวฉายขึ้นไปเบื้องบน

ทั้งสี่เงยหน้าอ้าปากมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป ก่อนที่จะทันได้มีใครปริปากแสดงความเห็น ก็มีฟ้าแลบแปลบปลาบ อึดใจอัสนีบาตเส้นโตก็ฟาดลงมายังพื้นพิภพ

เปรี้ยงงง! เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง พลานุภาพแห่งสายฟ้าทำลายต้นหญ้าจนมอดไหม้ ไปพร้อมๆ กับที่ทำให้ตุ๊ดสี่นางตายเกลื่อน






นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2557, 01:56:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2557, 01:56:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 2092





   ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ คุณหนูสามแห่งสกุลเฉิน >>
อัศวินนภา 16 มิ.ย. 2557, 10:23:59 น.
ไม่รู้จะขำ หรือสงสารดี


wane 16 มิ.ย. 2557, 13:20:40 น.
สนุกมากค๊า


คิมหันตุ์ 17 มิ.ย. 2557, 01:32:02 น.
แปลกและน่าติดตามมากค่ะ


Zephyr 17 มิ.ย. 2557, 17:51:00 น.
เอิ่ม เปิดมาตายเกลื่อนยังงี้ โน้มจะหานางเอกจากไหนอ้ะ


patoom 17 มิ.ย. 2557, 23:51:51 น.
นึกว่ายุงตายเกลื่อน


cherryfirm 12 ก.ค. 2557, 19:42:18 น.
ก็ต้องรอดูกันต่อไปคะ... มีคำผิดนะคะ " ถอน " น่าจะเป็น " ถอย " นะคะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account