เงารักเงาใจ
เมื่อ...



เขาและเธอต้องใช้ชีวิตคู่โดยปราศจากความรัก





และ…



เขา ชายหนุ่มผู้ที่เคยพึงพอใจผู้หญิงอีกคนแต่กลับ

ต้องแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน





ส่วน…

เธอ หญิงสาวผู้ชอกช้ำจากความรัก

และใช้การแต่งงานกับผู้ชายอีกคนเพื่อตัดใจจากคนรักเก่า





แต่…

จะเป็นเช่นไรเมื่อคนที่เขาพยายามลืมกลับจำ

และ...คนที่เป็นรักแรกของเธอต้องการจะรื้อฟื้น





เรามาช่วยกันลุ้นกับพวกเขาสองคนว่า

จะสามารถฟันฝ่า อุปสรรคไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

ใน นิยายรักดราม่า

เงารักเงาใจ

(เปลี่ยนชื่อจากสุดรักจากใจ)




Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: เงารักเงาใจ ตอนที่ 1 100 เปอร์เซ็นต์

ภาคดนัยจูงมือสุปรางวดีมาที่ช่อดอกไม้ก่อนจะหยิบแหวนที่อยู่ในช่อดอกไม้แล้วสวมให้เธอ สุปรางวดีมองนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองที่ตอนนี้มีแหวนเพชรเม็ดงามสวมใส่อยู่ มือเล็กพนมมือไหว้เขาอย่างอ่อนโยนก่อนจะหยิบแหวนอีกวงสวมให้เขาที่นิ้วนางข้างซ้ายเช่นกัน



“วาว สวมแหวนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้มีใครอยากเห็นคู่บ่าวสาวของเราแลกจูบกันบ้างครับ” เสียงนั้นเป็นเสียงของพิธีกรเจ้าเดิม ฝ่ายสุปรางวดีหน้าแดงแต่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกภาคดนัยหอมแก้มแล้ว หญิงสาวเอามือจับแก้มตัวเอง ดวงตาเบิกกว้าง พิธีกรแซวเจ้าบ่าว



“แหมยังไม่ทันจะนับหนึ่งถึงสามเลย เจ้าบ่าวของเราก็รีบร้อนแล้ว ไม่เป็นไรครับ คราวนี้ให้เจ้าสาวหอมแก้มเจ้าบ่าวต่อ เอ๊ะ หรือจะจูบปากดีครับ” เสียงโหอย่างชอบใจของแขกในงานดังไปทั่วห้อง ภาคดนัยยืนนิ่งรอให้สุปรางวดีตัดสินใจเองว่าจะหอมแก้มเขาดีหรือจูบปากดี ฝ่ายสุปรางวดียืนเฉยใบหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย



“เจ้าสาวครับ จะหอมหรือจะจูบดีครับ” พิธีกรเร่ง



สุปรางวดีไม่รู้จะทำอย่างไร ร่างเล็กจึงตัดสินใจหันหลังเพื่อจะเดินลงเวทีแต่กลับถูกภาคดนัยจับมือแล้วดึงเข้ามาหาตัว แรงดึงทำให้ร่างเล็กเซเข้าหาตัวเขาและวินาทีนั้นเขาก็จับใบหน้าเธอพร้อมทั้งฝั่งจุมพิตไว้บนริมฝีปากอิ่ม รวดเร็วและแม่นยำจนคนที่ตั้งท่ารับอย่างสุปรางวดีไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงปรบมือของแขกในงานดังขึ้นพร้อมเสียงโฮร้องด้วยความชอบใจ



สุปรางวดีเหมือนฝันแม้ตอนเขาถอนจุมพิตนั่นแล้วเธอก็ยังไม่มีสติเท่าที่ควร ดนตรีเริ่มบรรเลง เขาและเธอในฐานะคู่บ่าวสาวเป็นคนเริ่มเต้นรำเปิดฟลอร์ แล้วเสียงภาคดนัยก็ทำให้สติของเธอกลับมาเต็มร้อย



“ผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะเป็นจูบแรกของคุณ” คำพูดนั้นทำให้สุปรางวดีหน้าแดง หญิงสาวเม้มปากหลบหน้าเขา ภาคดนัยถือโอกาสถามซ้ำ “ผมยังสงสัยอยู่อีกเรื่อง คำพูดบนเวทีนั่น แค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณพูดออกไป ความจริงมันไม่น่าจะทำให้คุณซึ้งใจจนต้องร้องไห้” ปากหนาถามขณะที่กำลังเต้นรำกับเธอ สุปรางวดีฝืนยิ้มให้เอ่ยเสียงอ่อน



“เรื่องบางเรื่องเมื่อคิดแล้วมันก็ทำให้เราเสียน้ำตาได้แม้ว่าเรื่องมันจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม”



“คุณคงเป็นทุกข์กับเรื่องนั้นมากใช่ไหมถึงกับต้องเสียน้ำตาให้กับมันอีก บอกผมหน่อยได้ไหม บางทีการระบายทุกข์ให้คนอื่นฟังบ้างมันก็ทำให้เราสบายใจขึ้น”



สุปรางวดีมองสบตาเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากรู้เรื่องของเธอ หญิงสาวหลบสายตาเป็นคำตอบจึงถูกถามซ้ำ



“หรือไม่ที่คุณไม่ยอมเล่ามันออกมาเพราะมันเป็นเรื่องที่คุณไม่ต้องการให้ใครอื่นรู้แม้แต่คนที่กำลังขึ้นชื่อว่าเป็นสามี” วาจาเรียบเฉยแต่กระทบกระเทือนถึงจิตใจเธอ สุปรางวดีส่งสายตาขุ่นมัว ไม่ทันไรเขาก็ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของเธอแล้ว



“ถ้าคุณอยากรู้ฉันก็จะบอกค่ะ แต่ที่ฉันไม่พูดเพราะฉันไม่รู้ว่าเรื่องของฉันจะทำให้เรามีปัญหากันภายหลังหรือเปล่า ฉันก็แค่ป้องกันเท่านั้น”



“ถ้าคุณคิดว่าผมคือคนที่คุณสามารถจะฝากชีวิตของคุณได้ ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของคุณก็ไม่ควรปิดบังผม” ภาคดนัยตอบสีหน้าแววตาแน่นิ่งจนสุปรางวดีไม่แน่ใจว่าเธอแต่งงานกับคนหรือท่อนไม้ หากเป็นท่อนไม้จริงๆ มันก็คงจะดีเพราะท่อนไม้มันพูดกวนประสาทคนไม่ได้ เพลงที่สองเริ่มบรรเลงมีคู่ของแขกเข้ามาร่วมวงเต้นรำหลายคู่ สุปรางวดีทำท่าจะเดินออกจากฟลอร์เต้นรำแต่ภาคดนัยไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ กลับรั้งเธอไว้ให้เต้นรำกับเขาต่อ



“ผมอยากบอกกับคุณว่าถึงการแต่งงานของเราจะมีเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยว แต่ในเมื่อเราได้กลายมาเป็นสามีภรรยากันแล้ว สิ่งแรกที่คุณควรทำความเข้าใจไว้ นั่นก็คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ แม้เราจะไม่ได้รักกันแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจจะทำให้ชีวิตคู่ของเราอยู่รอด”



“คุณพูดแบบนี้แสดงว่าคุณมั่นใจว่าต่อไปมันจะมีเรื่องที่ทำให้เราต้องเลิกกัน คุณจะบอกฉันอย่างนั้นใช่ไหมคะ” สุปรางวดีจี้ถามเขาบ้าง



ภาคดนัยเริ่มปั้นหน้าเข้ม ตอบเสียงแข็ง “ผมเองก็ไม่ใช่เด็กอายุยี่สิบต้นๆ ชีวิตของผมผ่านเจออะไรมามาก ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง ไว้วันหลังผมจะเล่าให้คุณฟัง แต่ที่พูดไว้ว่าเราควรมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเพราะพื้นฐานการครองคู่ของเรามันไม่ได้เกิดมาจากความรัก เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เรียกได้ว่าแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ เราเจอหน้ากันในงานแต่งงานและทำทุกอย่างเหมือนคู่แต่งงานคนอื่นๆ งานแต่งในวันนี้เรายังดำเนินมันไปได้ ดังนั้น ชีวิตคู่ของเราก็ต้องดำเนินไปได้เหมือนกัน”





“คุณกำลังจะบอกอะไรฉันคะ” จบประโยคคำถามของหญิงสาว เสียงเพลงก็จบลง ภาคดนัยไม่หยุดที่จะเอ่ยต่อ



“ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะแต่งงานเพียงหนเดียว ในเมื่อผมไม่สามารถแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมพึงพอใจได้ และเมื่อคุณได้กลายมาเป็นภรรยาของผมแล้ว ผมก็ขอให้คำมั่นสัญญาว่าผมจะไม่เลิกกับคุณ ผมจะให้ความสุขคุณเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงทำได้ แต่ทั้งหมดคุณก็ต้องร่วมมือกับผม ให้ความสุขตอบแทนผมด้วยเช่นกัน” สุปรางวดีเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะทนกับแววตาอันทรงพลังของเขาไม่ไหว เขามีอะไรที่น่าค้นหาและในทางกลับกันเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัว



เพชรกล้าออกมายืนทำใจที่ด้านนอกงาน นึกถึงคำพูดของสุปรางวดีแล้วเจ็บปวดที่สุดพลอยนึกโกรธธิดารัตน์ไปด้วย ใบหน้าคมเข้มพอๆ กับดวงตาแข็งกร้าวเหลียวมองหาร่างของภรรยาสาวแต่ไม่พบ ฝ่ายธิดารัตน์ก็กำลังยืนอยู่หน้างานเพราะไม่กล้าเข้าไปด้านใน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นงานแต่งของใคร เธอถูกเพชรกล้าลากให้มางานเลี้ยงนี้ด้วยแต่ตอนนี้คนที่ลากเธอมาไม่รู้หายไปไหนเสียแล้ว ร่างเล็กจึงคิดจะหมุนตัวกลับไปรอที่รถแล้วบังเอิญได้เจอคนรู้จัก



“คุณสกล”



สกลหันมาตามเสียงก่อนจะเบิกตากว้างแล้วยิ้มแหยงๆ “คุณดา” สกลเหมือนชะงักไปเพราะไม่คิดว่าธิดารัตน์จะมางานเลี้ยงนี้ด้วย หรือเธอหายโกรธบอสหนุ่มของเขาแล้ว ธิดารัตน์ยิ้มเจื่อนๆ มองหาร่างของอีกคนที่คิดว่าน่าจะมางานเลี้ยงนี้ด้วย “เอ...คุณสกลมาคนเดียวหรือคะแล้วพี่ดนัยไม่ได้มางานแต่งนี้ด้วยหรือคะ” สกลอ้าปากค้างเหมือนน้ำท่วมปอด รู้สึกหายใจติดขัด

“ทำไมคุณสกลต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยละคะ”



“คือ ผมงงกับคำถามที่คุณดาถามนะครับ บอสของผมต้องมางานแต่งนี่อยู่แล้ว เพราะว่าบอสของผม เขาคือเจ้าบ่าวของงานนี้” สกลตอบแล้วเงียบไปพักหนึ่งเมื่อเห็นสีหน้าแววตาของอีกฝ่าย



ธิดารัตน์เหมือนอึ้งไป สุดท้ายก็ยิ้มออกมาพูดน้ำเสียงดูเหนื่อยๆ “ฉันนี่แย่จริงๆ มางานแต่งงานของพี่ดนัยแท้ๆ แต่กลับไม่รู้อะไรเลย” สกลได้แต่ยิ้มจืดๆ ไม่ออกความเห็น



“ที่หน้างานสกลเดินมาส่งธิดารัตน์เป็นเพื่อน และแอบสงสัยว่าพ่อแม่ของเธอยอมปล่อยเธอมางานแต่งงานของภาคดนัยได้ยังไงในเมื่อออกจะโกรธเกลียดภาคดนัยกับตระกูลมาก ธิดารัตน์หันมาทางสกลเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณที่มาส่งฉันนะคะแต่คุณสกลรีบกลับเข้างานเถอะค่ะ เผื่อพี่ดนัยต้องการเรียกหาอะไร แววตาแสนเศร้าอดทำให้สกลผู้สอดรู้สอดเห็นต้องถามออกไปไม่ได้ “ดูเหมือนคุณดาจะเพลียๆ ไปนะครับ”



“อ้อ ฉันไม่ค่อยสบายนะคะ ยังไงก็ฝากอวยพรให้พี่ดนัยกับภรรยามีความสุขกันมากๆ นะคะ ฉันเห็นจะต้องกลับแล้ว”



“ได้ครับ แล้วผมจะบอกบอสให้” สกลว่าแล้วมองร่างเล็กเดินจากไปด้วยแววตาสงสัย หลังจากที่เจ้านายของเขาถูกตระกูลศักดิ์เสนีย์ปฏิเสธความสัมพันธ์อย่างไม่ใยดีแต่ประเด็นก็คือ เขาควรจะบอกเรื่องนี้กับเจ้านายของเขาดีไหมว่าผู้หญิงที่เจ้านายเขาพึงพอใจก็มางานแต่งนี้ด้วย



คืนส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ บวรกับพิศสมัยนั่งลงบนเตียงโดยมีภาคดนัยกับสุปรางวดีนั่งพับเพรียบอยู่ที่พื้นตรงหน้า บวรรับไหว้จากคู่บ่าวสาวก่อนจะเป็นคนเริ่มกล่าวอวยพร “คุณดนัย ตอนนี้คุณก็คือคนในครอบครัวผมแล้วนะ ผมฝากลูกสาวของผมให้คุณดูแลด้วย ผมรักลูกสาวของผมมาก ลูกปรางค์เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ผมหวังว่าคุณจะรักลูกปรางค์ของผมให้มากกว่าที่ผมรักและให้ความสุข ที่สำคัญครอบครัวจะเป็นครอบครัวได้ถ้าคนสองคนอยู่ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน แล้วอีกไม่นานความรักก็จะตามมา” บวรเอ่ยจบ สองบ่าวสาวพนมมือไหว้ก่อนจะฟังพิสมัยกล่าวต่อ



“สำหรับฉัน ความรักไม่ใช่องค์ประกอบของการทำให้ชีวิตคู่ดูยืดยาว แต่ความไว้ใจ เชื่อใจ สิ่งนั้นต่างหากที่จะทำให้ชีวิตคู่ของคนสองคนอยู่รอด บางคนแต่งงานกันเพราะอาศัยแค่ความรักความเสน่หาแต่สุดท้ายชีวิตกลับต้องพังเพราะไม่มีความไว้เนื้อเชื่อให้กัน ดังนั้น ต่อไปไม่ว่าเธอสองคนจะรักกันหรือไม่ ที่สำคัญจงอย่าลืมในสิ่งที่ฉันกับคุณบวรพูดในวันนี้ ความไว้เนื้อเชื่อใจเท่านั้นจะทำให้ชีวิตคู่ของเราอยู่ยงคงกระพัน” ภาคดนัยกับสุปรางวดียกมือไหว้ขอบคุณ บวรลุกขึ้นแล้วชวนพิสมัยออกจากห้อง



“ผมว่าเราออกไปกันเถอะ ให้คนอื่นเขาได้อวยพรบ่าวสาวบ้าง” บวรกับพิศสมัยลุกขึ้นพร้อมกันแล้วพากันเดินออกจากห้องไป



ภาคดนัยลุกขึ้นยืนไม่ลืมยื่นมือให้สุปรางวดี หญิงสาวมองตาค้างแต่ก็ยอมวางมือบนมือหนาของเขา เป็นจังหวะพอดีกับที่ประตูห้องเปิดพร้อมกับคนสองคนที่เดินเข้ามา สองหนุ่มสาวหันไปมองพร้อมกัน ภาคดนัยเอ่ยขึ้น



“อ้าว คุณสกลคิดว่ากลับไปแล้วซะอีก คุณวิวัฒน์ก็มาด้วยหรือ ผมนึกว่าคุณจะไม่มางานแต่งผมซะแล้ว” สกลยิ้มหันมาทางวิวัฒน์



“คุณวิวัฒน์บอกผมแล้วครับว่าอาจจะมาสายหน่อยเพราะเมียคลอดพอดี แต่ผมก็ไม่คิดว่าไอ้สายของคุณวิวัฒน์นี่เกือบมาไม่ทันส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ” สกลว่าแล้วหัวเราะคิกๆ วิวัฒน์ส่ายหน้า ตอบเจ้านาย



“ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับบอส ก็เมียผมดันมาคลอดเวลานั้นพอดีแถมยังมีปัญหาเด็กตัวเหลืองอีก ผมก็ต้องอยู่ดูแลทั้งเมียทั้งลูกก่อนนะครับ” ภาคดนัยพยักหน้าปากบอกว่าไม่เป็นไร



“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ถึงยังไงเมียก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว คุณทำถูกแล้วละคุณวิวัฒน์” ภาคดนัยว่ายิ้มๆจึงถูกสกลสวนข้อความกลับ



“ฮั่นแน่ พูดแบบนี้เหมือนบอสกำลังจะบอกนัยน์ๆ ว่าคุณสุปรางวดีสำคัญกับบอสมาก” ภาคดนัยยิ้มค้าง ปรายตามองสุปรางวดีเห็นเธอหน้าแดง แอบค้อนลูกน้องที่พูดจาไม่ไตร่ตรองก่อน



“คุณสกล พูดแบบนี้อยากถูกหักเงินเดือนมากใช่ไหม” สกลหุบยิ้มรีบปฏิเสธ



“ไม่นะครับ โธ่บอสก็ เอะอะอะไรก็จะหักเงินเดือน ผมมีอีกตั้งหลายชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูนะครับ” วิวัฒน์หัวเราะก่อนจะรีบบอกสกล



“คุณสกล ผมว่าเรารีบอวยพรบอสกับคุณสุปรางวดีดีกว่า” สกลพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเริ่มอวยพร



“บอสครับ เมื่อก่อนผมแอบคิดว่าบอสจะแต่งกับงาน วันนี้ผมรู้แล้วว่าบอสก็มีหัวใจเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ถึงการแต่งงานในครั้งนี้จะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่ผมก็ขออวยพรให้บอสกับคุณสุปรางวดีมีความสุขมากๆ นะครับแล้วอย่าลืมปั้มลูก รีบมีทายาทตามให้ทันคุณวิวัฒน์นะครับ” สุปรางวดียิ่งหน้าแดงแถมคนที่ยืนข้างๆ เธอกลับรับปากลูกน้องเป็นมั่นเป็นเหมาะ



“ได้สิ ผมจะมีลูกให้ทันคุณวิวัฒน์แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องหาเมียให้ได้ก่อน” สกลเจอตอพูดตอบโต้ไม่ออก ถอยหลังออกไป วิวัฒน์เข้ามาหาหยิบมือเจ้านายมากุมไว้ เอ่ยน้ำเสียงปราบปลื้ม



“ผมดีใจจริงๆ ที่เจ้านายที่ผมรักเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที ความจริงผมก็คิดอย่างที่สกลบอก ผมคิดว่าบอสจะไม่สนใจผู้หญิงคนไหนแล้วเสียอีก เอาละครับ ผมขออวยพรให้บอสกับคุณสุปรางวดีมีความสุขมากๆ ชีวิตคู่จะผ่านพ้นอุปสรรคหากเราเข้าใจซึ่งกันและกัน ผมยังหวังนะครับว่าจะได้เห็นบอสน้อยเร็วๆ นี้” วิวัฒน์เอ่ยหันมาทางสุปรางวดี



“คุณสุปรางวดีเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากที่ได้แต่งงานกับบอส แม้ภายนอกบอสของพวกเราจะดูแข็งกระด้างไปหน่อยแต่จิตใจของบอสไม่ได้แข็งกระด้าง บอสเป็นคนดีและเป็นที่รักของเราทุกคน ผมฝากคุณสุปรางวดีดูแลบอสด้วยนะครับ” สุปรางวดีเพียงพยักหน้าหงิกๆ แล้วสกลก็เป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศซึ้งๆ ไว้หมด



“คุณวิวัฒน์ ผมว่าเรารีบออกไปกันเถอะ คุณอวยพรนานไปแล้วนะ คู่บ่าวสาวเขาจะได้มีเวลานอนคุยกัน” วิวัฒน์หัวเราะไม่ลืมเอ่ยทิ้งท้าย



“จริงด้วย งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับที่โรงงาน” ภาคดนัยพยักหน้าแล้วยืนมองร่างสองร่างพากันเดินออกจากห้อง ประตูห้องหอปิดสนิทลงร่างสองร่างยืนห่างกันพอประมาณ สุปรางวดีหันหลังไม่ทันจะก้าวเดินได้ยินเสียงภาคดนัยบอก



“คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อในทุกคำพูดของลูกน้องผมบอกก็ได้ เพราะบางทีผมอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาพูดไว้” สุปรางวดีหันมาเผชิญหน้ากับเขา ภาคดนัยกำลังถอดเสื้อสูทสีขาววางไว้ที่เก้าอี้ที่วางอยู่มุมหน้าต่าง มือหนายังคลายเนคไทให้หลวมลง สุปรางวดีตอบสีหน้าเรียบเฉย



“ฉันต้องเชื่อค่ะว่าคุณเป็นอย่างที่ลูกน้องของคุณบอกเพราะอย่างน้อยมันก็คือจุดเริ่มต้นของการไว้เนื้อเชื่อใจ คุณบอกเองนี่ค่ะว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ได้มีพื้นฐานจากความรักมาก่อน ดังนั้น เรื่องอะไรที่ฉันคิดว่าดีและเป็นสิ่งดีกับเราสองคน ฉันก็จะทำ” ภาคดนัยพยักหน้า มือหนึ่งแกะกระดุมแขนเสื้ออีกข้างแล้วเดินมาที่หน้าต่างมองไปยังเบื้องล่างเห็นรถของแขกทยอยกันออกไป เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา



“ผมมีคำถามอยากจะถามคุณและก็หวังว่าคุณจะตอบผมตามตรง” สุปรางวดีไม่ตอบเขาเลยพูดต่อ

“คุณเคยมีคนรักไหม” คำถามนั้นจี้ใจดำสุปรางวดี หญิงสาวสูดหายใจมองคนถามที่ยืนหันหลังให้เธอ หากเขากำลังมองเธออยู่ หญิงสาวคงไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเช่นนี้ มือเล็กรีบเช็ดน้ำตาตอบเสียงแหบ



“เคยค่ะ”



ภาคดนัยสีหน้าดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะคำตอบของเธอที่ทำให้เขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปแต่เพราะผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างนั่นต่างหาก ดวงตาคมมองจ้องไปที่ร่างหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นจนลืมไปว่ามีผู้หญิงอีกคนที่เขาควรสนใจมากกว่า



ธิดารัตน์ยืนนิ่งแล้วหยดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจปิดกั้น เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้เธอเดินตามหาเพชรกล้าแต่พอมาถึงรถเห็นเขานั่งอยู่ในรถแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอเสียใจเท่ากับเขาขับรถผ่านหน้าเธอไป แม้แต่คิดเบรกรถเพื่อให้เธอขึ้นก็ยังไม่มีทีท่า นอกจากเร่งรถขับให้เร็วขึ้นจนกระทั่งเธอแน่ใจแล้วว่าเขาทิ้งเธอหรือไม่ก็คงปล่อยให้เธอหาทางกลับบ้านเองเหมือนเคย เท้าเล็กกำลังจะก้าวเดินต่อหากต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้น



“ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านอีก”



ธิดารัตน์หันมามองเห็นภาคดนัยยืนอยู่ ใบหน้าเฉยชาของเขาที่มองเธออดทำให้หญิงสาวยิ่งน้ำตาไหล ใบหน้าหวานยิ้มเจื่อนๆ ไม่อยากบอกว่าเธอถูกสามีทิ้งให้กลับบ้านเองเพราะถ้าพูดออกไป เขาคงจะสมน้ำหน้าเธอ รอยยิ้มหวานแต่นัยน์ตาเศร้าปรากฏขึ้นมา



“ดากำลังจะกลับค่ะ ตอนนี้ก็รอคนที่บ้านมารับ”



“แล้วคุณดาไม่ได้มากับสามีหรอกหรือครับ” ธิดารัตน์กลืนน้ำลายส่ายหน้าไปมา



“เออ คุณเพชรเขาติดงานนะคะ เลยให้ดามาคนเดียว แล้วพี่ดนัยลงมาทำไมคะ ความจริงค่ำคืนนี้ควรอยู่ในห้องหอมากกว่า” ภาคดนัยหน้านิ่ง



ในขณะที่ห้องหอกลายเป็นห้องร้าง สุปรางวดีขับรถกลับมาถึงคอนโดตัวเองเพราะไม่อยากถูกที่บ้านซักไซ้ถามถึงเรื่องที่เธอออกมาจากห้องหอ ร่างเล็กเปลี่ยนมาอยู่ในชุดนอนแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงตัวเอง สีหน้าแววตาดูไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของภาคดนัย หวนนึกถึงคำพูดที่เขาพูดไว้



“วันนี้เราอาจไม่พร้อมที่จะทำความรู้จักกัน ดังนั้น หากคุณจะออกไปจากห้องนี้ ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะผมเข้าใจ ตัวผมเองก็ไม่ค่อยคุ้นกับการต้องมีใครมานอนด้วย ถึงเมื่อก่อนผมอาจจะเหลวไหลบ้างแต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะพาผู้หญิงคนไหนมานอนค้างด้วยกัน” ภาคดนัยเอ่ยจบก็เดินออกจากห้องไปทิ้งความสงสัยและความครืดแครงใจให้สุปรางวดีอย่างมาก



สุดท้ายภาคดนัยก็เป็นฝ่ายขับรถมาส่งธิดารัตน์ที่บ้านสิริชาติสกุลจนได้ ตลอดทางธิดารัตน์เอาแต่นั่งเงียบจนเขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ภาคดนัยเป็นคนเปิดประตูรถให้หญิงสาวก่อนจะได้รับคำขอบคุณแสนเบาหวิวจากปากของเธอ



“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยแล้วทำหน้าตาเหมือนคนใจลอย ภาคดนัยไม่สบายใจหยิบมือเล็กขึ้นกุม ธิดารัตน์มองสบตา



“เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” ธิดารัตน์ดึงมือกลับยิ้มตอบ



“ดาไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่มาส่งดา พี่ดนัยรีบกลับเถอะค่ะ ป่านนี้เจ้าสาวของพี่คงจะรอพี่อยู่ที่ห้องแล้ว อ้อ ดายังไม่ได้อวยพรเลย ดาขอให้พี่ดนัยกับภรรยาของพี่ เออ ภรรยาของพี่ชื่อว่าอะไรนะคะ” ภาคดนัยรู้สึกเจ็บปวดที่ธิดารัตน์ไม่ได้แสดงความเสียดายในตัวเขาเลย หนำซ้ำยังอวยพรเขาอีก



“สุปางวดี เธอชื่อสุปรางวดี ชัยชนะวัตร” ได้ยินชื่อนี้ถึงกับเข่าอ่อน ภาคดนัยเข้ามาประคองแล้วภาพนั้นก็เข้าตาเพชรกล้าที่ออกมานอกบ้านเพื่อจะขับรถไปรับธิดารัตน์ด้วยความรู้สึกผิดที่ทิ้งเธอไปแบบนั้นแต่เมื่อมาเห็นว่าเธอกำลังยืนกอดกับผู้ชาย อารมณ์โกรธก็ผุดขึ้น



“มายืนกอดเมียชาวบ้านอยู่หน้าบ้านสามีของเธอแบบนี้ มันไม่หยามหน้ากันไปหน่อยหรือ” เพชรกล้าเอ่ยเสียงแข็ง ธิดารัตน์ได้ยินถึงกับใจสั่นรีบดันภาคดนัยออกห่าง ฝ่ายภาคดนัยก็หันไปมองตามเสียง สองหนุ่มได้ประชันหน้ากัน เพชรกล้ามองหน้าภาคดนัย สายตาดุดันทั้งโกรธทั้งแค้น ฝ่ายภาคดนัยก็มองอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่ชอบใจเช่นกัน



“คุณภาคดนัย ผมไม่คิดว่าจะเป็นคุณที่มายุ่งเกี่ยวกับเมียของผม” เพชรกล้ามีสีหน้าที่เรียบเฉยแล้วนึกถึงสุปรางวดีขึ้นมา “และผมจำได้ว่าคืนนี้เป็นงานแต่งงานของคุณนี่ ก็แสดงว่าคุณทิ้งเจ้าสาวของคุณในห้องหอคนเดียว ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ทำแบบนั้น” ภาคดนัยได้ฟังรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ปรายตามองมาทางธิดารัตน์เห็นยืนนิ่ง เพชรกล้าแสยะยิ้มพูดต่อไป



“ความจริงถ้าคุณไม่ได้ชอบพอสุปรางวดีก็ไม่ควรจะแต่งงานกับเธอ เพราะเธอยังมีคนที่คู่ควรรออยู่” ธิดารัตน์ลอบมอง แววตาเจ็บปวด ภาคดนัยมองธิดารัตน์รู้สึกขัดใจกับคำพูดของเพชรกล้าที่พูดไม่ถนอมความรู้สึกของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา หันมาเอ่ยเสียงเรียบแต่แอบเหน็บแนม



“ความจริงเรื่องเมียผมมันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณที่จะมาออกความคิดเห็น ส่วนเรื่องของเมียคุณก็ไม่ใช่เรื่องของผม เหมือนกันแต่ที่ผมต้องมาส่งคุณดา เพราะความบกพร่องของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีที่ทิ้งภรรยาให้กลับบ้านคนเดียวโดยที่ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับบ้านตอนดึกๆ คนเดียวมันอันตรายมากแค่ไหน”



เพชรกล้ามองตาค้าง สีหน้าดุดัน หันมาทางธิดารัตน์เอ่ยเสียงแข็ง “เข้าบ้าน” ธิดารัตน์สะดุ้งมองมาทางภาคดนัย ไม่ลืมเอ่ยปากลาเขาแต่พูดไม่ทันจบเพราะถูกเพชรกล้าลากเข้าบ้านไปก่อน ภาคดนัยยืนนิ่งรู้สึกกังวลที่สุด หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะปกป้องเธอได้แต่ตอนนี้เธอมีสามีแล้วและเขาก็ทำได้แค่เพียงมองและเป็นห่วงเธออยู่ห่างๆ



กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2557, 02:15:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2557, 02:15:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1695





<< เงารักเงาใจ ตอนที่ 1 50 เปอร์เซ็นต์   เงารักเงาใจ ตอนที่ 2 30 เปอร์เซ็นต์ >>
Zephyr 17 มิ.ย. 2557, 17:19:29 น.
เพชรกล้า เลวไปมั้ย น่าเกลียดอ่ะ
สงารธิดารัตน์เหมือนกันนะ
สกลนี่ นายตัวขโมยซีน ฮ่าๆๆๆ


กรงแก้ว 18 มิ.ย. 2557, 09:58:31 น.
อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account