ภารกิจปราบพยศ (ชุดหน่วยซีล เล่ม 2)
ผู้หญิงที่จะมาเคียงข้างเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นหญิงเก่งกาจมาจากไหน ไม่ต้องสวยมาก ไม่ต้องร่ำรวยหรือมีหน้ามีตาในสังคม สิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนไม่สำคัญกับเขาเท่ากับ...
นม!
"บอกไว้เลย ฉันไม่ชอบผู้หญิงนมแบน!"

.............................................................................

หลังจากที่ได้เอกสารลึกลับจากผู้ที่ใช้ชื่อสั้นๆ ว่า 'Ang'
องค์กรก่อการร้ายลึกลับที่ใช้ชื่อว่า 'โครนอส' จึงถูกเปิดโปง
เรดทีมและซิลเวอร์ทีมของซีลทีมซิกซ์จึงต้องทำงานกวาดล้างกลุ่มคนอันตรายนี้อย่างหนัก รวมทั้งการตามล่าหาตัว 'Ang' ด้วย
เพราะมั่นใจว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแน่นอน

แต่แล้วในวันที่ได้หยุดพักหลังภารกิจอันแสนยาวนาน
เจสัน ฟอสเตอร์ แห่งหน่วยซีลรู้สึกว่าตัวเองดวงตกสุดขีด ที่มาขับรถชนผู้หญิงคนหนึ่ง
ยายตัวสูงเก้งก้าง ทาปากแดงแจ๋ แต่งตัวโอเวอร์แบรนด์เนม
แถมยายผู้หญิงสติแตกคนนี้กลับจำความไม่ได้เลย พูดแต่ว่ากำลังโดนตามฆ่า
หลักฐานใดๆ ก็หายไปหมดแล้ว
สวย...ก็สวยอยู่หรอกนะ แต่สเปคเขาต้องสาวตัวเล็กๆ น่ารัก ไม่ใช่เสาไฟฟ้าบ้าพลังอย่างยายนี่
เจสันกำลังจะส่งยายคนสติแตกนี่ให้เอฟบีไอแท้ๆ แต่แล้วก็พบว่าเธอไม่ได้บ้าอย่างที่เข้าใจ
แต่เธอโดนตามล่าจริงๆ!!!
หรือว่าเธอจะคือ 'Ang' พยานบุคคลสำคัญที่พวกเขากำลังตามหา!!!


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 ชีวิตที่พลิกผัน 100%






“ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นกับความกลัวของเธอหน่อยดีกว่า” คมมีดบาดผิวเนื้ออ่อนตรงลำคอของอังควิภาช้าๆ ทว่าหนักแน่นมั่นคง เนื้อตัวเล็กบางสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้ามาทุกขณะจิต ตอนนี้เองที่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ความหวังใหม่จุดประกายสว่างนำทางเธอแล้ว หญิงสาวกำลังจะกดรับสาย ทว่ากลับถูกชายแจกเกตดำฉวยไว้แล้วปาทิ้งกับพื้น ก่อนจะบดขยี้จนแหลลาญด้วยฝ่าเท้าหนาของเขา


ดวงตาคู่ดำขลับวาววับ เธอรอโอกาสนี้มานานแล้ว จึงรวบรวมแรงกำลังทั้งหมดที่มีแล้วสะบัดตัวออกจากเขาสุดแรงเกิด ด้วยความที่ชายแจกเกตดำไม่ทันระวังตัว เธอจึงสามารถหลุดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นแล้วหญิงสาวคงไม่สามารถต่อกรกับผู้ชายท่าทางดุดันคนนี้ได้แน่นอน


อังควิภากลับออกมาเดินปะปนกับฝูงชนอีกครั้ง แล้วรีบสาวเท้าหนีจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด แต่ก็ยังอดระแวงหลังไม่ได้อยู่ดี


หญิงสาวหนีหัวซุกหัวซุนมาจากรถไฟใต้ดินแล้วตัดสินใจต่อรถเมโทรบัสไปแทน หนทางเบื้องหน้ามืดมิดไปทุกด้าน ไม่รู้ว่าจะก้าวเดินไปทางไหนจึงจะรอดพ้นเรื่องบ้าๆ นี้ ดีที่มีแค่โทรศัพท์อย่างเดียวเท่านั้นที่พังไป แต่กระเป๋าสะพายของเธอยังอยู่ อังควิภาจึงรีบเดินหาโทรศัพท์สาธารณะที่ลับตาคนหน่อย แล้วต่อโทรศัพท์ถึงเพื่อนสนิทของเธอ


“เกิดเรื่องกับฉันแล้วโรส เธออยู่บ้านไหมฉันจะไปหา” ทันที่ติดต่อปลายสายได้ หญิงสาวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ รีบตรงเข้าประเด็นทันที


“ใจเย็นๆ ก่อนแอง บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ฉัน...” อังควิภาเหลียวซ้ายขวา แม้จุดที่เธอยืนจะห่างไกลจากจุดสุดท้ายที่อยู่กับชายแจกเกตดำแล้ว แต่ก็ยังอดระแวงไม่ได้อยู่ดี ผู้ชายคนนั้นดูมีฝีมือมาก ถ้าสู้กันต่อหน้าเธอก็คงตายไปตั้งแต่นาทีแรกแล้ว


“ว่าอย่างไรแอง บอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เดี๋ยวฉันเล่าให้เธอฟังทีหลัง แต่ว่าฉันไปหาเธอที่บ้านได้ไหม”


“ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก ออกไปส่งแอนดรูว์มาน่ะ อีกนานกว่าจะถึงบ้าน ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”


“ตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ดาวน์ทาวน์”


“เอาอย่างไรดี ฉันอยู่มิดทาวน์ ทำธุระอีกหน่อยก็จะเสร็จแล้ว เธอกลับพร้อมฉันเลยไหม”


“แน่สิ ถ้าฉันไปก่อนแล้วฉันจะเข้าบ้านเธอได้อย่างไร”

“ถ้าอย่างนั้นเธอไปรอฉันที่มิดทาวน์ได้ไหม...ที่เซนทรัลปาร์คก็ได้ เดี๋ยวฉันไปรับ”


“ตกลงโรส ถ้าฉันไปถึงแล้วจะรีบโทรหาเธออีกที”

“บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่เคยร้อนรนขนาดนี้นี่นาแอง”


“ฉันบอกตอนนี้ไม่ได้ ไว้เจอกันที่เซนทรัลปาร์คนะ” หญิงสาวมีท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด เธอเลือกเซนทรัลปาร์คเพราะที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถ้าผู้ชายคนนั้นตามรอยเธอได้จริงๆ อย่างน้อยเขาก็จะหาเธอได้ยากลำบาก มันมีที่ให้เธอซ่อนมากมายจนเขาคาดไม่ถึงแน่


อังควิภารีบกระชับกระเป๋าในมือแล้วสาวเท้าเร็วๆ กลับไปยังรถไฟใต้ดิน แต่เธอไม่ประมาทอีกแล้ว หญิงสาวมองหน้ามองหลังทุกฝีก้าวที่เธอก้าวเดิน จนกระทั่งสามารถกลับมาขึ้นรถไฟใต้ได้อีกครั้ง แต่ละสถานีที่ผ่านไปนั้นช่างบีบรัดหัวใจเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะตามมาถูกแล้วฆ่าเธออีกครั้ง


หญิงสาวได้แต่คิดอย่างทดท้อพลางกอดกระเป๋าแน่น ตอนนี้มันคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอ เพราะมีกุญแจบ้าน กุญแจรถและของสำคัญอยู่ในนั้น พลางคิดว่าหลังจากที่ได้เจอกับโรสแล้ว เธอจะรีบไปแจ้งความทันที เธอพยายามสูดลมหายเข้าลึกๆ เรียกขวัญกำลังใจของตัวเอง จนกระทั่งมาถึงสถานีปลายทาง


สาวคนเก่งลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ถนน 72 ทางฝั่งตะวันตกของเซนทรัลปาร์ค เมื่อมาถึงแล้วหญิงสาวก็รีบเดินเร็วๆ เข้ามาในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในนิวยอร์กทันที ตอนนี้ที่เธอต้องการที่สุดคือโทรศัพท์สาธารณะที่จะติดต่อกับเพื่อน แต่หาไม่ได้เลย เธอได้แต่มองคนที่ผ่านมาผ่านไปอยู่นานจนกระทั่งมีผู้หญิงวัยทำงานคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสูทกำลังมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาให้ อังควิภาพูดอะไรไม่ออกนอกจากกล่าวขอบคุณ แล้วรับโทรศัพท์นั้นมา


“โรส ฉันมาถึงแล้ว อยู่ริมทะเลสาบในเซนทรัลปาร์คนะ เข้ามาทางถนน 72 แล้วเธอจะเจอฉันเลย ฉันยืมโทรศัพท์คนแถวนี้โทรเอาน่ะ”


“ฉันก็มาถึงแล้ว อีกไม่เกินห้านาทีเดี๋ยวฉันขับรถไปรับนะ”


“เร็วๆ นะ” เธอวางสายจากเพื่อน แล้วยื่นสมาร์ทโฟนคืนเจ้าของ “ขอบคุณนะคะ”


“มีเรื่องร้ายแรงอะไรหรือเปล่าคะ”

“โดนขโมยโทรศัพท์ค่ะ ตอนนี้เพื่อนกำลังมารับ ต้องขอบคุณมากๆ นะคะ”


“คุณทำงานที่ไหนหรือคะ”

“ตึกยูเอ็นค่ะ”

“ฉันเพิ่งถูกไล่ออกจากงาน” ผู้หญิงในชุดสูทยิ้มเศร้า แล้วหันมายิ้มเนือยๆ ให้อังควิภา “ไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาเดินเล่นที่นี่ น่าเศร้านะคะ งานเดี๋ยวนี้ก็หายากเหลือเกิน ยังจะถูกไล่ออกอีก แล้วคุณละคะไปเจออะไรมา ทำไมถึงได้ยับเยินทั้งตัวแบบนี้”


“ฉันเพิ่งกลับมาจากดาวทาวน์ค่ะ มีคนยิงกัน ฉันไม่ได้โดนลูกหลงหรอกค่ะแต่ว่าไปช่วยคนอื่นมา” หญิงสาวปั้นเรื่อง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสงสัย ตอนนี้เธอไม่กล้าไว้ใจใครเลยจริงๆ


“ได้ข่าวว่าท่านเลขากองการต่างประเทศถูกลอบทำร้าย”

“ค่ะ พลัดหลงกันนิดหน่อย ฉันเลยให้เพื่อนมารับ” ยิ่งคุยกันไปเธอก็ยิ่งไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้เอาเสียเลย ปกติผู้คนในเมืองใหญ่นั้นไม่ค่อยมีใครสนใจใครอยู่แล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้สนใจเธอเหลือเกิน

อังควิภาสั่นสะท้านไปทั้งร่างทันทีที่คิดว่าบางทีเธอคนนี้อาจจะเป็นสายของชายแจกเกตดำก็ได้ ร่างเล็กบางผุดลุกขึ้นแล้วเอ่ยลาทันที “ฉันคงต้องไปก่อนแล้ว แล้วเจอกันนะคะ”


เธอไม่อยู่รอให้อีกฝ่ายรับปากหรือเอ่ยลาด้วยซ้ำ ก็รีบสาวเท้าไปเร็วๆ ทันที แต่ก็ยังอดหันมามองผู้หญิงในชุดสูทสีเดียวกับเธออีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของเธอ แล้วจู่ๆ เธอก็ฟุบหน้าล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากตัวเสื้อสูทสีครีมอย่างช้าๆ ก่อนจะไหลนองไปทั่งบริเวณ


ผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว!


ล่ามสาวสวยตัวสั่นระริก อยากจะก้าวเท้าออกไปก็ก้าวไม่ออก ดวงหน้าสวยงามหันซ้ายหันขวา บริเวณนี้ไม่มีผู้คนเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะโดนลอบยิงจากที่ไกลๆ



ผู้หญิงคนนี้รับเคราะห์แทนเธอ! ทั้งเสื้อผ้าและรูปร่างของเธอคนนั้นคล้ายคลึงกับอังควิภามาก ทั้งยังนั่งในตำแหน่งเดิมของเธอด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องตายเพราะเธอ


ความหวาดกลัวแทรกซึมลึกเข้าไปครอบคลุมทุกพื้นที่ในหัวใจเสียแล้ว อังควิภาปากคอสั่น น้ำตาไหลพราก ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี เธอไม่เคยต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้มาก่อน แล้วอย่างนี้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครได้


ตำรวจ!

ตอนนี้เธอไม่กล้าไปหาเพื่อนแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ก็โทรศัพท์ของคนใกล้ชิดเธอจะถูกดักฟัง ไม่อย่างนั้นพวกมันจะรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่ไหน...ต้องใช่แน่นอน เคราะห์ดีที่เธอเดินหนีมาได้ก่อน ไม่อย่างนั้นบนอกคงจะมีรูกลวงๆ ให้เลือดไหลออกมาหมดตัว นอนตายอย่างน่าอนาถอยู่ข้างถนนเป็นแน่


อังควิภาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอปาดน้ำตาทิ้ง พยายามเรียกขวัญกระเจิดกระเจิงไปให้กลับมารวมกันอีกครั้ง แล้วตั้งสติเสียใหม่ สิ่งแรกที่ควรทำคือไปแจ้งความให้เร็วที่สุด...ทำไมถึงไม่คิดตั้งแต่แรกนะ


หญิงสาวตำหนิตัวเองแต่ก็สาวเท้าเร็วๆ ออกจากเซนทรัลปาร์คไปก่อนที่ใครจะทันสังเกต ตรงมายังตึกสำนักงานตำรวจนิวยอร์กทันที ทว่ายังไม่ทันจะเข้าไป เธอก็มองเห็นชายสวมแจกเกตดำเดินเตร่อยู่หน้าทางเข้าแล้ว!


ร่างเพรียวแบบบางชะงัก หมุนตัวหนีแทบไม่ทัน ดีที่ตอนนั้นผู้คนคลาคล่ำจนชายแจกเกตดำไม่ทันสังเกต อังควิภากระชับกระเป๋าของตัวเองแล้วสาวเท้าหนีไปทันที



“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!” น้ำเสียงที่เคยหวานใสกลับสั่นเครือด้วยความหวาดหวั่น เธอใกล้จะบ้าตายอยู่แล้ว ทำอย่างไรถึงจะหนีพวกนี้พ้นไปได้


อังควิภามองไม่เห็นหนทาง เดิมทีเธอคิดจะกลับไปที่สำนักงานเพราะมั่นใจว่าตึกยูเอ็นจะต้องเป็นที่ปลอดภัยที่สุด ทว่าเมื่อคิดดีๆ การที่พวกนั้นติดตามเธอไปทุกฝีก้าวเช่นนี้ พวกมันจะต้องรู้แน่นอนว่าเธอต้องกลับไปที่ทำงาน ดีไม่ดีมันจะคอยดักเธอไว้กลางทางอีก


ทำงานคลุกคลีกับวงการนี้มานาน อังควิภารู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่ทำงานกันเดี่ยวๆ แน่ ต้องมีพรรคพวกมากพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถดักฟังโทรศัพท์เธอได้ รวมทั้งการลอบสังหารจากที่ไกลๆ ด้วย


แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป...หญิงสาวคิดไม่ตก ไม่รู้จะว่าไปทางไหนดี บ้านเพื่อนก็ไม่กล้าไป ที่ทำงานก็ไม่กล้า แม้แต่สำนักงานตำรวจที่พึ่งสุดท้ายยังเข้าไปไม่ได้ แล้วเธอจะทำอย่างไรได้ เมฆหมอกแห่งความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วร่างจนมองไม่เห็นทางเดิน อังควิภาไม่รู้ตัวเลยว่าสองเท้าพาไปที่ไหนบ้าง กว่าจะรู้ตัวอีกที เธอก็มานั่งสิ้นหวังอยู่ริมทางเดินที่จะเข้าไปสถานีรถไฟใต้ดินเสียแล้ว


‘จะไปไหนดี’ เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนางหงส์อย่างเธอก็กลายเป็นอะไรไปแล้ว เสื้อผ้าแบรนด์หรูขะมุกขะมอมหาราศีแทบไม่ได้ ทั้งยังเปื้อนคราบเลือดเป็นด่างดวง ดูผ่านๆ ภาพพวกคนไร้บ้านตามสถานีรถไฟใต้ดินยังดูดีกว่าเธอเสียอีก คิดไปแล้วก็ได้แต่ปลงตก เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็มิอาจรู้ได้ หญิงสาวก็ยังไม่ได้เข้าบ้านเลย เธอได้แต่เดินวนไปเวียนมาหน้าละห้อย เห็นชายชุดดำสามสี่คนกระจายอยู่รอบๆ บ้านตัวเองแล้วก็ใจสั่น


แล้วจะไปไหน...คำถามนี้วนเวียนอยู่ในสมองหลายต่อหลายครั้งก็คิดไม่ตก เธอเข้าบ้านไม่ได้ ไปบ้านเพื่อนก็ไม่ได้ ไปที่ทำงานก็ไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะไปทางไหนได้เล่า


เธอคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ตก จึงทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ข้างทางอีกครั้งแล้วรื้อค้นกระเป๋าสะพายของตัวเอง โชคดีเหลือเกินที่เธอเป็นผู้หญิงช้อปปิ้งเก่ง ทั้งเงินและบัตรเครดิตไม่เคยขาด รวมทั้งสมุดธนาคารด้วย ทุกอย่างจึงอยู่ครบ ในเมื่อกลับบ้านไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ดังนั้นก็ควรจะแปลงโฉมตัวเองสักหน่อยก็ได้


หลังจากคิดดีแล้ว นักแปลสาวสวยก็ลุกขึ้นแล้วตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้ามือสองธรรมดาที่ไม่โดนเด่นมาก เลือกเสื้อยืดและกางเกงยีนรัดรูปทะมัดทะแมงมาหนึ่งชุด รวมทั้งเสื้อคลุมแบบมีฮู้ด จากนั้นจึงตรงไปยังธนาคารแล้วถอนเงินออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อมองหาที่ไหนสักที่ที่จะเป็นแหล่งคุ้มภัยของเธอได้ แน่นอนว่าโรงแรมต่างๆ จะเป็นเป้าหมายได้ง่าย ดังนั้นหญิงสาวจึงตรงเข้าร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่เพื่อหาข้อมูลการขายบ้าน แล้วเธอก็เจอ บ้านของนายทหารเรือคนหนึ่งที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย...บ้านที่มีอุปกรณ์ติดตั้งเตือนภัยไว้ครบครัน นี่แหละที่ต้องการ หญิงสาวไม่ลังเลเลยแม้เพียงเสี้ยววินาที รีบติดต่อขอซื้อบ้านหลังนั้นทันที แล้วจึงออกจากอินเตอร์เนต คาเฟ่ในเวลาต่อมา


อังควิภาแหงนหน้ามองฟ้าที่เริ่มเหลืองขึ้นทีละน้อย มองนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ก็เย็นแล้ว เป็นเวลาเลิกงานที่ผู้คนกลับมาพลุกพล่านอีกครั้ง หญิงสาวจึงตัดสินใจขึ้นรถไฟใต้ดินไปหาเพื่อนของเธออีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม บริเวณนั้นมีชายชุดดำหลายคนที่มีท่าทางน่าสงสัย สุดท้ายก็ต้องล่าถอยกลับออกมาแล้วไปนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ที่เซนทรัลปาร์คอีกครั้ง


นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผาสุกของเธอ ในเมื่อตอนนี้เธออายุได้ 26 แล้ว ไม่ใช่ช่วงเบญจเพสตามความเชื่อของคนไทยเสียหน่อย แต่ทำไมถึง...


ความคิดของอังควิภาชะงักงัน เมื่อจู่ๆ ก็มีรถแวนคันหนึ่งเล่นมาอย่างรวดเร็วแล้วจอดอยู่ตรงหน้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วอ้าปากค้าง ทว่าเสียงกรีดร้องของเธอก็ไม่มีวันเล็ดลอดออกไปได้ เมื่อชายแจกเกตดำคนนั้นกำลังกระตุกรอยยิ้ม


“เจอกันอีกแล้วนะ อังควิภา ลอว์เลนซ์!”
















เวลายังผันเวียนเปลี่ยนไปวันแล้ววันเล่า ดวงตะวันยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกและตกลงทางทิศตะวันตกเช่นเดิม คล้อยหลังดวงตะวันที่ตกดิน ดวงจันทร์ก็จะผลัดเปลี่ยนทำหน้าที่ให้แสงสว่างบนโลกเหมือนอย่างทุกวัน แต่หญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกจับขังอยู่ในห้องเล็กๆ ในโมเต็ลแห่งหนึ่งห่างไกลผู้คนกลับไม่รู้วันรู้คืนเลย เธอไม่รู้ว่าจากวันที่ถูกจับตัวขึ้นรถมาวันแรก จนถึงเวลานี้นั้นผ่านไปกี่วันแล้ว เธอไม่รู้ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นและตกไปอีกครั้ง สิ่งเดียวที่เธอรู้จัก ก็คือความเจ็บปวดทรมานจนอยากจะขาดใจตายเสียให้ได้


ร่างเพรียวแบบบางถูกจับมัดมือมัดเท้านั่งคุดคู้อยู่ในมุมหนึ่งในห้องน้ำที่ทั้งชื้นแฉะและเหม็นอับ ตามเนื้อตัวมีแต่รอยแผลที่ถูกทรมานรีดเค้นเรื่องสภาสิบสองบ้าบอที่เธอไม่รู้จัก แต่ผลลัพธ์กลับน่ากลัวเหลือเกิน เธอถูกจับกดน้ำ ช็อตไฟฟ้าและอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชีวิตนักแปลคนเก่งของยูเอ็นจะเจอ


พวกมันเดินเข้ามาอีกแล้ว...แต่เธอจังไม่ยอมอีกต่อไป อังควิภาทนจนทนไม่ไหวแล้ว หญิงสาวสังเกตเวลาที่ชายแจกเกตดำจะเข้าออกห้องพักแห่งนี้ และเธอก็ได้อาวุธชิ้นหนึ่งในมือแล้ว


เศษชามกระเบื้องที่แตกลงเพราะเธอปัดมันทิ้งเมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังอยู่ในมือ การถูกจับมัดมือไพล่หลังไว้ทำให้เธอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากจนกระทั่งคมกระเบื้องบาดเข้ากับผิวเนื้ออ่อนๆ ของตัวเองแทน แต่อังควิภาไม่กลัวอะไรแล้ว เธอกลัวอย่างเดียวคือการต้องตายไปอย่างทุกข์ทรมานต่างหาก


ความพยายามของหญิงสาวสำเร็จผลในที่สุด เชือกนั้นขาดออกจากกัน ทว่าสาวเจ้ากลับยังไม่กระโตกกระตากให้พวกมันรู้ตัวว่าเชลยสาวคิดการหนีไว้แล้ว ความสิ้นหวังและหวาดกลัวเป็นแรงผลักดันให้เธอรู้ต่อ อย่างเสียเธอจะไม่ยอมตายอยู่ในห้องน้ำโสโครกแบบนี้เด็ดขาด เธอพร้อมแล้ว...อย่างมากก็สู้แค่ตายเท่านั้น


ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับชายแจกเกตดำคนนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนง่ายๆ พร้อมทั้งสาวเท้าเข้ามาหาอังควิภาด้วยท่าทางมาดร้ายเหมือนก่อน น้ำถูกเปิดไว้เต็มอ่างแล้ว เครื่องช้อตไฟฟ้าก็พร้อมแล้ว ไม่บอกก็รู้ว่ามันจะต้องพยายามเข้ามารีดเค้นเรื่องสภาสิบสองแน่นอน


“นี่ก็นานเป็นอาทิตย์แล้วนะ ยังไม่คิดจะบอกฉันจริงหรือ” น้ำเสียงข่มขวัญที่เธอเคยกลัวแทบขาดใจดังขึ้น แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่สนใจมันอีกแล้ว อย่างเดียวที่คิดได้คือเธอต้องรอด


ดวงตาคู่สีดำขลับมองมือชายหนุ่มที่ถือเครื่องชอตไฟฟ้าเดินตรงเข้ามาหาเธออย่างแน่วแน่ พอมันจับเธอขึ้นเท่านั้นแหละ อังควิภาก็ลุกขึ้นแล้วแทงเศษกระเบื้องเข้าที่หน้าท้องของมันเต็มรัก แม้จะเก่งแค่ไหนแต่เมื่อไม่ระวังตัวก็ย่อมเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเป็นธรรมดา ชายแจกเกตดำซวนเซเล็กน้อย แต่เธอก็ผลักเขาลงไปในอ่างที่มีน้ำเกือบเต็ม แล้วโยนเครื่องช๊อตไฟฟ้าตามลงไปทันที


‘ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว’ แต่ไม่มีเวลามากพอที่จะมองผลลัพธ์นี้ อังควิภาฉวยกระเป๋าสะพายมาด้วย ก่อนจะรีบเดินมาเปิดช่องระบายลมเล็กๆ แล้วปีนหนีออกจากหน้าต่างไป


ตอนนี้ก็ใกล้มืดแล้ว ทันทีที่สองเท้ามีโอกาสได้เหยียบพื้นดินอีกครั้ง หญิงสาวก็โซเซเล็กน้อยเพราะถูกจับมัดมาหลายวัน เสื้อผ้าก็หลุดลุ่ย อย่างแรกที่ต้องการคือเสื้อผ้าใหม่ โชคดีที่ทุกอย่างในกระเป๋าสะพายยังอยู่ครบ แม้พวกมันจะรื้อค้นอยู่นานแต่เมื่อไม่เจออะไรมันก็ทิ้งกระเป๋าของเธอไว้ไม่เหลียวแลอีกเลย เธอจึงมีเงินมากพอที่จะซื้อเสื้อผ้าและทำผมใหม่ เรือนผมตรงสีดำสยายถูกเปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลสว่าง จากที่เคยตรงก็ดัดเป็นลอนและเอาความยาวออกเล็กน้อย แต่แค่นี้ก็มากพอแล้ว ถ้าไม่สนิทชิดเชื้อกันมานาน รับรองว่าจำเธอไม่ได้แน่


อังควิภาเดินออกมาจากร้านแล้วเห็นถังขยะใบหนึ่งตั้งอยู่ทางด้านหน้า เธอหยิบเอกสารแสดงตัวทั้งหมดออกมาแล้วมองสลับไปยังถังขยะใบนั้นอีกครั้งอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่าเธอจะตัดสินใจถูกไหม แต่กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็บอกได้แล้วว่าเธอกำลังถูกปองร้ายแน่นอน ช่างหัวเรื่องหลักฐานแสดงตัว ไว้หนีสักพักเธอก็จะสามารถไปยังโรงพักแห่งไหนสักที่แล้วใช้ลายนิ้วมือยืนยันตัวกู้ทะเบียนประวัติกลับมาใหม่ก็ได้ คิดได้ดังนั้นแล้ว อังควิภาจึงทิ้งบัตรประชาชนและบัตรเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นลงถังขยะเสีย


พอกันทีชีวิตเลวร้าย เธออาจจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกสักครั้ง หาที่หลบที่ปลอดภัยได้แล้วจึงจะพยายามติดต่อหาเพื่อนและคนที่จะช่วยเธอได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น เธอจะต้องมองหาโชคดีๆ เสียก่อน หญิงสาวตรงเข้าไปในร้านเครื่องสำอางและซื้อลิปสติกสีแดงก่อนเลยเป็นอย่างแรก เธอไม่เคยขาดมันเลยสักครั้งและอดคิดไม่ได้ว่าที่ชีวิตมีแต่เรื่องก็เพราะขาดมัน แน่นอนว่าเธอเชื่อเรื่องดวงเสียยิ่งกว่าอะไร สีแดงคือสีถูกโฉลกและนำแต่สิ่งดีๆ มาให้ ในเมื่อต้องเริ่มชีวิตใหม่ เธอก็ต้องพึงพาโชคดีจากลิปสติกสีแดงอีกครั้ง


หลังจากที่ออกมาจากร้านเครื่องสำอางแล้ว อังควิภาก็ตรวจเช็คเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้ง เธอยังหนีไปไหนไม่ได้เลยไม่อย่างนั้นแล้วพวกนั้นจะตามเธอมาถูกแน่ แต่ที่เดียวที่เธอต้องไป นั่นก็คือบ้านที่ประกาศชายของนายทหารคนหนึ่งที่ตั้งอยู่ในซานดิเอโก ใกล้กับกองทัพเรือด้วย หญิงสาวหาวิธีการเดินทางไปอยู่นาน แล้วจึงเดินหาร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่อีกครั้ง ส่งเมล์ถึงเพื่อนและคนที่เธอเชื่อว่าจะต้องช่วยเหลือเธอได้ แล้วสั่งพิมพ์แผนที่บ้านและทุกอย่าง กว่าจะออกจากอินเตอร์เนคคาเฟ่ก็ดึกมากแล้ว แต่กลับหารถไปไม่ได้เลย เธอเดินเตร็ดเตร่อยู่ในเขตเมืองเป็นนานสองนาน สุดท้ายก็ทนรอไม่ไหว ตัดสินใจเดินเท้าไปก่อนแล้วค่อยโบกรถเอาก็ได้


ที่นี่คือตอนใต้ของลอสแองเจลิส อยู่ใกล้ซานดิเอโกแค่นิดเดียวเท่านั้น หญิงสาวจึงร้อนใจอยากไปที่นั่นให้ไวที่สุด จึงรีบเดินจะข้ามถนนเพื่อหารถสักคันที่จะพาเธอไปได้ อารามดีใจทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่ามีรถคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง เสียงเบรกห้ามล้อดังสนั่น กลิ่นยางไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ อังควิภาได้แต่ยืนตาเบิกค้าง หัวใจหล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าเธอไม่มีทางรอดแน่นอน และ...


โครม!


สติของหญิงสาวดับวูบ สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือความมืดมนอนธการ




.....................................................................................

มาแล้วค่า หายไปนานเลย แหะๆๆ อย่าเพิ่งโกรธเค้านะ แบบว่า เขียนไปอัพไปเลยช้าค่ะ

พระนางเราจะเจอกันแล้ววววววววววว แล้วมาดูกันว่าขุ่นพี่เจสัน จะขนาดไหน!!!
บางคนอาจจะอิจฉานางเอก บางคนอาจจะสงสาร / แต่ตูนชอบผู้ชายแบบเจสันนะ เขียนไปขำไป ฮีเป็นมนุษย์ที่แปลกที่สุดในสามโลก

5555555555555555555555

ตอนนี้พี่เจ.ที. (กลรักนฤมิต) วางแผงทั่วประเทศแล้ว อย่าลืมไปอุดหนุนนะคะ ซื้อมารองขาตู้ก็ยังดี ฮ่าาาาาาาาาาาาา

รักคนอ่านเสมอมาค่ะ

กรรัมภา (กนิษวิญา)



กนิษวิญากรรัมภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2557, 14:02:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2557, 14:02:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1539





<< บทที่ 1 ชีวิตที่พลิกผัน 50%   บทที่ 2 ที่พึ่งยามยาก 50% >>
แว่นใส 16 มิ.ย. 2557, 19:17:44 น.
ตื่นมาจะจำได้ไหมเนี่ย


nasa 16 มิ.ย. 2557, 22:39:37 น.
สงสัยว่าทำไมไม่ไปโรงพัก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account