บ่วงรักนายพราน
เรื่องชุลมุน ซุ่มซ่าม เข้าใจผิดของธีรดากับจอมวายร้ายปารินทร์ เจ้าของคำจำกัดความ หล่อ สปอร์ต ใจดี รักหมา(ไม่น่ารอด) 'หากใครจะคิดว่าผมกำลังคบกับใคร ผมอยากให้ใครต่อใครคิดว่าผมคบกับคุณ'

การรู้สึกว่า 'ใช่' กับใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ปารินทร์รู้สึกว่าธีรดา 'ใช่' สำหรับเขา แต่กลับพบในภายหลังว่าเธออาจเป็นผู้หญิงที่เข้ามาทำลายความรักของน้องสาว การเอาคืนในแบบชิงไหวชิงพริบที่ใช้ธุรกิจบังหน้าทั้งที่เป็นเรื่องของหัวใจล้วนๆ จึงเกิดขึ้น
Tags: ความรัก ภาคต่อ หวานรักพยัคฆ์ร้าย

ตอน: ตอนที่ 14

ตอนที่ 14

ผ่านไปอีกวัน คืนวันศุกร์ธีรดามีนัดกับกลุ่มเพื่อนมหา’ลัย มันคงเป็นความน่าแสลงใจอย่างหนึ่งเวลานัดรวมกลุ่มหรือไปงานแต่งงาน เธอมักถูกถามว่ามีแฟนหรือยัง จะแต่งงานเมื่อไหร่ ถ้าเธอไม่แต่งงานคงไม่เลิกถาม ไม่เลิกจับคู่ สมัยนี้ผู้หญิงอยู่เป็นโสดกันค่อนเมืองแล้วจะมาอะไรนักหนากับเธอกัน แล้วที่น่าโมโหคือพอตริณมาร่วมวงก็พากันเชียร์เราสองคนให้คบกันเพราะดันโสดกันทั้งคู่
เธอกลับบ้านตอนเกือบเที่ยงคืน โดยมีตริณขับรถตามมาส่ง เรานัดกันพรุ่งนี้ อย่างน้อยเธอควรเปิดตัวเอง ใครต่อใครบอกเธออย่างนี้
เช้าวันต่อมา ธีรดาจำใจลุกขึ้นมาจากที่นอนแล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เธอมีนัด ป้าอรชงกาแฟไว้รอเธอเลยถือติดมาแล้วเดินมึนๆ มานอกบ้าน เดี๋ยวนี้แค่ไวน์แก้วเดียวก็ทำร้ายเธอได้แล้วหรือเนี่ย พอมองไปที่บ้านของบานชื่น กลับมองไม่เห็นเพราะมันถูกบังด้วยร่างใหญ่ๆ ของคนที่หายไปจากชีวิตของเธอตั้งหลายวัน
“อ้าวคุณ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อเช้ามืด” เขาบอก
ธีรดานั่งลงข้างๆ เห็นเสื้อสูทของเขาถูกวางไว้ใกล้ๆ ใบหน้าของปารินทร์ดูเพลียๆ แต่ก็ยังดูดีแฮะ แต่เธอนี่สิ ตอนออกมาจากห้องก็พอดูได้ล่ะน่า ไม่เป็นยัยเพิ้งจนน่าขายหน้า
“แล้วทำไมไม่กลับบ้านไปนอน ไม่เหนื่อยหรือไงคุณ”
ถุงกระดาษเคลือบมันใบเล็กถูกส่งมาให้ ธีรดามองอย่างไม่เข้าใจนัก
“รับไปสิ ผมอยากเอาของฝากมาให้คุณก่อน ไม่เจอตั้ง 3 วัน...คิดถึง”
ของขวัญจากปารินทร์ไม่น่าหวั่นไหวเท่าคำพูดของเขา ธีรดารับมาวางไว้บนตัก เธอรู้สิ่งที่รู้สึกคืออะไร การมีความรักและอกหักมาอย่างยับเยินทำให้มีภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า...เผื่อใจไว้ เรียวปากบางยิ้มให้เขาแล้วจัดการทำลายไอหวานละมุมที่ล้อมรอบตัวเรา
“บานชื่น คุณสิงห์เค้าคิดถึงเธอน่ะ”
“คุณนี่...” ปารินทร์หัวเราะพลางส่ายหน้า ถ้ามากอดแขนหวานใส่คงไม่ใช่ธีรดาสินะ “ถ้างั้นผมกลับก่อน จะได้ไม่รบกวนเวลาของคุณ” เขาบอกพลางขยับจะลุก
“เดี๋ยวสิ” ธีรดารู้สึกผิดหน่อยๆ เขาอุตส่าห์มาหาแต่เช้า แต่เธอดันทำเสียเรื่องจนได้ “กาแฟสักถ้วยไหมคะ อ่ะ ฉันยกให้ แต่ฉันกินไปอึกนึงแล้วนะ คุณรังเกียจหรือเปล่า”
“คุณดื่มจากตรงไหนล่ะ”
“ตรงนี้ค่ะ” เธอชี้ที่ขอบแก้วให้เขาดูจะได้ไม่กินซ้ำรอยเดิม แต่มันยังไงๆ อยู่นะ “ฉันว่าเดี๋ยวฉันไปชงให้ใหม่ดีกว่า รอแป๊บนึงนะ”
มือหนาจับหูแก้วไว้แล้วแย่งมากินต่อหน้าตาตรงตำแหน่งที่ธีรดาเพิ่งชี้ เธอปล่อยมือจากแก้วมองเขาอึ้งๆ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดแก้มที่ร้อนระอุขึ้นมา ใครใช้ให้เขาทำแบบนี้ ดวงตาคมของปารินทร์มองมาตรงเรียวปากบางแล้วยิ้มพลางเอ่ยคำที่ทำให้ดีกรีความร้อนระอุที่แก้มของธีรดาสูงปรี๊ด
“ผมจะเปลี่ยนรสกาแฟมาเป็นรสเดียวกับคุณจากวันนี้เป็นต้นไป”
ธีรดาบังคับตัวเองไม่ให้หันหน้าหนี ไม่ว่าสิ่งที่เจนจิราพูดจะเป็นความจริงหรือไม่จริงก็ตาม การที่เธอยังไม่แน่ใจในตัวปารินทร์ย่อมแปลว่าห้ามคิดเป็นอื่นเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะกำลังหว่านเสน่ห์หรือไม่ก็ตาม ว่าแต่กินกาแฟหมดแก้วแล้วทำไมเขาไม่กลับไปอย่างที่บอก เอาแต่จ้องเธออยู่ได้ ถึงไม่สึกหรอแต่อาจลืมหายใจได้
“กวาง...ผมมาแล้ว”
ธีรดาเหมือนได้ยินเสียงระฆังช่วยชีวิตจากรั้วหน้าบ้าน ตริณมาถึงแล้วและตะโกนให้เสียง เธอรีบลุกขึ้นวางของฝากไว้ที่ตรงชั้นวาง กลับมาแล้วค่อยมาเอา พอจะเดินกลับเดินไปไหนไม่ได้เพราะข้อมือถูกดึงไว้
“นี่คุณให้ใครก็ไม่รู้มาหาถึงบ้านงั้นเหรอ”
“ใครก็ไม่รู้ที่ไหน ฉันมีนัด ถ้าคุณอยากคุยกับบานชื่นก็ตามสบายนะ” เธอบอกพลางดึงมือกลับคราวนี้เธอไม่ได้ไล่เขาแล้วนะ
“จะไปไหนกัน” ปารินทร์ไม่ถามเปล่าๆ ยังเดินตามมาด้วย
“ฉันจะไปจตุจักร”
“กับใคร” คนถามเริ่มไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นไอ้หน้าเกาหลียิ้มกว้างอยู่หน้ารั้วบ้าน แค่ 3 วันที่เขาไม่อยู่เจ้านั่นก้าวหน้าขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมยัยเจนไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ฟังบ้าง อุตส่าห์ให้มาสอดส่อง ไม่ได้การณ์แล้ว
“กับตริณ ต้องบอกไหมว่าไปซื้ออะไรบ้าง”
“ไม่ต้อง”
“ก็ดี ฉันว่าคุณน่าจะไปหาแฟนได้แล้วนะ มาอยู่ที่นี่ฉันจะซวยเอา ไปละนะฉันรีบ” เธอเปิดประตูเล็กออกไป วันนี้ตริณจะเป็นคนขับรถให้ แต่ที่น่าแปลกก็ตรงปารินทร์เดินตามออกมาทำไม
สองหนุ่มมองหน้ากัน เดือดร้อนคนกลางอย่างธีรดาที่ต้องแนะนำให้รู้จักกันตามมารยาท คราวก่อนกำลังโมโหเลยลืมหน้าที่นี้ ตริณเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ธีรดาเข้าไปนั่ง แต่มันไม่ง่ายเมื่อจู่ๆ ปารินทร์จับเอวบางเอาไว้แล้วพูดขึ้นมาว่า
“ต่อไปนี้แฟนของผมอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ที่นั่น จะไปจตุจักรใช่ไหม ผมก็อยากไปเดินเที่ยวจตุจักร แต่ไม่ว่างสักที ว่างวันนี้เลยแล้วกัน”
ธีรดากับตริณมองหน้ากันเหวอๆ ที่อยู่ๆ มีแขกที่เชิญตัวเองเข้ามาในรถ แถมยังเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับเสียด้วย
“ไปสิคุณ ไหนว่ารีบ ไปเดินกันหลายๆ คนสนุกดีออก”
ธีรดายิ้มเกรงใจให้ตริณก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลัง ทำให้ตริณต้องเดินมาประจำที่นั่งคนขับ เขาหันมามองปารินทร์อย่างใช้ความคิด จากที่คิดว่าไม่มีคู่แข่งตลอดเวลาที่ผ่าน ตอนนี้คงต้องรีบทำคะแนนเสียแล้ว ที่ผ่านมาเขารอให้ธีรดาค่อยๆ รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีให้ตลอดมา แต่ว่าหนุ่มมาดมาเฟียคนนี้ทำให้เขาวางใจไม่ได้แล้ว

โซนต้นไม้และของแต่งบ้านทำให้ธีรดากับตริณเสียเงินไปไม่น้อย สองหนุ่มช่วยกันขนของที่ซื้อไปไว้ที่รถซึ่งเต็มกระโปรงท้ายรถจนเริ่มกินพื้นที่ตรงเบาะหลัง ปารินทร์ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพราะเขาไม่เคยต้องมาซื้อของเอง ส่วนมากอยากได้อะไรก็ลิสต์ให้เลขาจัดการ เขาไม่ค่อยมีเวลาว่างมากขนาดนั้น
แต่วันนี้เขากลับไม่กระตือรือร้นกลับบ้านเพื่อไปตรวจงานที่ดิฐคงส่งเข้าเมล์มารอไว้แล้ว วันอาทิตย์จึงกลายเป็นวันหยุดอย่างแท้จริงในรอบหลายปีที่เขาทำงานจนแทบไม่ได้หยุดพัก
“เราจะกินอะไรกันดีล่ะกวาง ก๋วยเตี๋ยวเรือไหม หรือว่าเป็นอาหารตามสั่งดี” ตริณถามขึ้นเพราะตอนนี้มันเที่ยงกว่าแล้ว ซื้อของเพลินจนลืมเวลาเหมือนเดิม
“ก๋วยเตี๋ยวเรือแล้วกัน ไม่ได้กินนานแล้ว” ธีรดาเสนอ พอนึกได้ก็หันไปถามปารินทร์ที่ตอนนี้คงร้อนน่าดู ถึงจะเหลือแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวก็เถอะ “คุณกินของพวกนี้ได้หรือเปล่าคะ”
“ได้สิ ที่ถามนี่เพราะเป็นห่วงผมเหรอ”
ตริณถอนใจ อดไม่ได้ก็เลยมองธีรดาว่าจะตอบไปว่ายังไง
“เปล่าสักหน่อย เผื่อคุณเป็นอะไรขึ้นมาฉันต้องพาไปโรงพยาบาลใช่ไหมล่ะ”
ปารินทร์หัวเราะเสียงเบา ตริณหันมามองเขา ทำไมหรือ แค่ถูกปฏิเสธไม่เห็นต้องเสียใจ ในเมื่อการแสดงออกสำคัญกว่าคำพูด หากว่าคนพูดจงใจพูดไม่ตรงกับที่คิด
มีลูกค้าอยู่หนาตา ทั้งสามยืนรออยู่เกือบ 5 นาทีจึงได้ที่นั่ง ธีรดารับหน้าที่เขียนโพยว่าใครจะกินอะไรแล้วเอาไปให้พนักงาน ปารินทร์มองแล้วคิด เขาเคยพาพิชชาไปร้านอาหารหรูๆ เธอมักเป็นฝ่ายรอถามว่าอยากกินอะไรและคอยชมว่าอาหารอร่อยเริดสมราคา
แต่ธีรดากลับต่างไป เธอจัดการทุกอย่างได้โดยไม่ต้องรอและพร้อมทำโน่นทำนี่ ไม่ใช่ผู้หญิงนุ่มนิ่มน่าถนอม แต่เธอพร้อมลุยไปด้วยกันมากกว่า
ไม่ถึง 5 นาทีก๋วยเตี๋ยวเรือก็มาเสิร์ฟ ตริณส่งชามก๋วยเตี๋ยวให้ปารินทร์ที่รับมาแบบไม่ทันได้มอง
“เดี๋ยวค่ะ” ธีรดารีบดึงชามก๋วยเตี๋ยวมาที่ตัวเอง แล้วส่งชามที่เพิ่งรับจากพนักงานไปให้ปารินทร์ “ของฉันชามนี้ ส่วนคุณกินชามนี้ คุณแพ้เนื้อ กินเนื้อไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
ตริณปรายตามองปารินทร์ถ้าถึงขนาดรู้เรื่องส่วนตัว เขาคงทำตัวเป็นพ่อใจเย็นไม่ได้แล้วกระมัง ปารินทร์ไม่พูดอะไรเอาแต่ยิ้ม การกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริงๆ เสียด้วย เดาได้ไม่ยากว่าธีรดารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนไปเที่ยวที่ปางไม้เขาเขียนอาหารที่แพ้ไว้ เธอคงได้อ่าน ผู้หญิงคนเดียวในสองหนุ่มก้มหน้าเอาแต่กินเหมือนหิวนักหนา อยากจะบ้า ทำไมเธอไม่รอให้เขาเห็นเองนะ

หลังจากวันนั้น ธีรดาจงใจไม่รับโทรศัพท์จากปารินทร์ เธอต้องการหยุดทุกอย่างระหว่างเธอกับเขาไว้เพื่อที่จะได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เธอได้รับดอกไม้ที่ทำให้วิภาไม่กล้าจับ แต่พอดูๆ แล้วไม่มีอะไรอันตราย ตริณส่งดอกไม้มาให้ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยทำแบบนี้
ตำรวจมาขอพบเธออีกครั้งเพื่อขอสอบเพิ่มเผื่อว่าจะมีอะไรที่เป็นเบาะแสได้อีก ตอนนี้มีความคืบหน้าว่าเจ้าของเอกสารบัตรประชาชนที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ปีก่อนนั้นเป็นอดีตพนักงานส่งเอกสาร แต่ที่น่าสนใจมันอยู่ตรงที่ชายคนนั้นเคยเป็นพนักงานในบริษัทของปุราณมาก่อน เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายอาจเป็นคนในบริษัทของปุราณนั่นเอง ไม่เช่นนั้นจะมีเอกสารสำคัญแบบนั้นได้อย่างไร
มีข่าวของพิชชาว่าจะได้เล่นเปียโนกับวงดนตรีออร์เคสตรา เธอไม่ได้อยากรู้ แต่พอดีเปิดหน้านิตยสารเจอพอดี จะว่าไปแล้วพิชชาดูเหมาะสมกับปารินทร์อยู่ไม่น้อย ทั้งฐานะและหน้าตาทางสังคม อีกทั้งเท่าที่เธออ่านสองบ้านสนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อเสียด้วย เธอปิดหนังสือตั้งใจทำงานอย่างหงอยๆ
พอเลิกงานธีรดาขับรถกลับบ้าน พ่อโทรมาหาเพราะยังเป็นห่วงเรื่องการขับรถ เธอเลยปลอบใจว่าตลอดทั้งสัปดาห์ยังไม่ได้ไปฝากรอยจูบให้รถคันไหน พ่อเลยวางสายไปพร้อมเสียงถอนใจร้องเฮ้อ จะว่าไปแล้วมาตรฐานการขับรถของเธอไม่ได้แย่ แต่การขับรถของคนเดี๋ยวนี้ต่างหากที่แย่ลง
เธอเลี้ยวเข้าซอยบ้าน มีรถของปารินทร์จอดอยู่ ส่วนเจ้าของรถโน่นเลยกำลังเล่นกับลูกของบานชื่น ข้างๆ ตัวมีกล่องแบนใบหนึ่งและถ้วยกาแฟเปล่าวางอยู่ ทำให้รู้ว่าเขาคงมารอนานแล้ว ธีรดาจอดรถเสร็จก็เดินไปหาคนที่อุตส่าห์หลบหน้าและไม่รับโทรศัพท์มาหลายวัน
“นี่คุณมาผิดบ้านหรือเปล่า มองดีๆ นี่น่ะบ้านฉัน บ้านคุณมีทำไมไม่กลับไป หรือว่ามาหาบานชื่น”
“คุณมีเวลาอีก 45 นาที เร็วๆ สิ รับไป ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณนะ” ปารินทร์ส่งกล่องกระดาษสีเรียบๆ ให้เจ้าของบ้าน ธีรดารับไปแบบงงๆ ว่าเขามาไม้ไหนอีก ครั้นจะไล่ให้กลับก็ดูใจดำเกินไป เราไม่ได้เกลียดกันสักหน่อย
“ไปไหนล่ะคุณ” เธอถามพลางนั่งลงห่างจากเขาเป็นวาแล้วเปิดกล่องที่เพิ่งได้รับ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นกล่องใส่ชุดแซคสีดำเรียบๆ เขาเอามาให้เธอทำไม “ทำไมไม่ไปหาคุณพิชชา”
“ที่ถามนี่อยากรู้จริงๆ หรือว่ามีเหตุผลอื่นกันแน่น่ะ”
“ถ้างั้นบอกเหตุผลมาก่อนว่าทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วยชุดที่คุณให้ด้วย ข้อหามือที่สามระหว่างน้องมือน้ำเดือดกับพี่ปุ๊ยังไม่พอ ต้องให้ฉันมีอีกข้อหากับคุณที่มีแฟนแล้วด้วยหรือ ไม่ล่ะ ฉันไม่ไปหรอก” เธอส่งกล่องในมือคืนให้เขา
“ผมโสด ไม่ได้แอบคบหรือกำลังคบใครเผื่อเลือก ถ้าผมจะคบกับใครผมคบทีละคนและจริงจังเสมอ” ปารินทร์พูดขึ้นแล้วหันมามองธีรดาเต็มตา
ธีรดาหันหน้าหนี กำลังจะลุกขึ้น มือหนายื่นมาคว้าข้อมือเล็กไว้ เธอหันมาค้อนใส่อย่างไม่ชอบใจ แต่ใครกำลังมากกว่าย่อมชนะอยู่เสมอ
“ที่ผมขอให้คุณไปด้วยก็เพราะคิดว่าหากใครจะคิดว่าผมกำลังคบกับใคร ผมอยากให้ใครต่อใครคิดว่าผมคบกับคุณมากกว่าพิชชา” น้ำเสียงของเขาเรียบราบก็จริง แต่ใจของเขากรุ่นโกรธ ผู้หญิงบ้าอะไรทำให้เขากระวนกระวาย โมโห คิดถึง นอนไม่หลับและทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพจนต้องมาให้หายคาใจว่าทำไมเธอถึงหายไปจากชีวิตของเขา ครั้งก่อนที่เราอยู่ด้วยกัน เธอแสดงออกว่าห่วงใย แต่วันต่อมาและวันอื่นๆ กับเฉยชาจนเขาทนไม่ได้
ธีรดาสะบัดมือออก แต่ทำเท่าไหร่ปารินทร์ก็ไม่ยอมปล่อย ทฤษฏีเดียวที่เป็นไปได้ เขากับพิชชากำลังจะมีการหมั้นหมาย แต่เขายังไม่พร้อมเลยดึงเธอเข้าไปเอี่ยว อยู่ดีๆ ผู้ชายหล่อๆ เริดๆ จะมาชอบเธอจริงๆ เนี่ยนะ นอกจากคำพูดว่าคิดถึงแล้วเขาไม่เคยแสดงออกอะไรให้เธอมั่นใจจนเข้าข้างตัวเองได้เลย
“ฉันไม่ใช่ไม้กันหมานะ”
“คุณมีค่ามากกว่านั้นหรอกน่า” ปารินทร์หัวเราะออกมาอย่างเหลือจะอดกลั้น หลายวินาทีที่รอว่าเธอจะพูดกลับมาว่าอะไร กลายเป็นเรื่องไม้กันหมาไปได้ยังไงกัน “จะไปงานนี้กับผมได้ไหม”
“นี่คุณกำลังขอร้องฉันหรือเปล่า”
“ก็ทำนองนั้น ไปกับผมเถอะนะ ผมอยากให้คุณไปด้วยกัน” เขายอมรับ ก็ถ้าขอร้องแล้วเธอไม่ยอมคงต้องมีการบังคับกันบ้างล่ะ อย่างน้อยอ้างว่าไปหากิ๊กของปุราณตามข้อตกลงของเราก็คงได้
ธีรดาสะบัดมือออก คราวนี้ปารินทร์ยอมปล่อยดีๆ และรอฟังว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร
“ก็ได้ ในฐานะเพื่อน ฉันจะไปเป็นไม้กันหมาให้คุณก็แล้วกัน”
“อย่าลืมใช้น้ำหอมที่ผมซื้อให้ด้วยล่ะ ผมชอบกลิ่นนั้น” ปารินทร์ยิ้มกว้าง เขาไม่ได้คิดเป็นเพื่อนกับเธอมาตั้งแต่แรก ตอนนี้ยิ่งเป็นไม่ได้ แต่กลับถูกค้อนใส่
“เยอะเกินไปแล้วนะคุณ รอไปเงียบๆ เลย ถ้าจะให้ดีไปดูบานชื่นกับลูกๆ ให้ฉันด้วย อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะลงมา ถ้ารอไม่ได้ก็กลับไปก่อนได้เลย”
ธีรดาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าบ้านไป พอลับตาเขาเธอกลับถอนใจโมโหตัวเองที่ดันใจอ่อน ระหว่างเธอกับเขาใครเป็นเพื่อนที่คิดไม่ซื่อกันแน่ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าใคร แต่ตอนนี้น่ะเธอชัดๆ ไม่ได้ๆ เธอต้องท่องไว้...เพื่อน ห้ามคิดไม่ซื่อ แล้วไปงานอะไรก็ไม่บอก ดูจากชุดคงไม่ได้พาไปงานวัดแถวๆ นี้หรอกมั้ง

ธีรดาคิดว่าพลาดแล้วที่ยอมใส่ชุดที่ปารินทร์เอามาให้ ชุดบ้าอะไรพอดีตัวไม่ว่า แต่หรูเวอร์ไปหรือเปล่า ถ้ามาเต็มขนาดนี้คงไม่พาเดินงานวันแน่ๆ แล้วพาไปไหน ปารินทร์ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเดิน พอร่างเพรียวเดินออกมาก็เลิกคิ้วนิดหนึ่ง ธีรดาเลยชักไม่มั่นใจ ปกติแล้วเวลาแบบนี้คนรอต้องอยู่ในอาการตกตะลึงอึ้งเหวอ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เลิกคิ้วให้นี่นา แน่ล่ะสิ เธอไม่ได้สวยหยาดฟ้าขนาดมองแล้วตะลึง
ปารินทร์เดินนำไปที่รถแล้วเปิดประตูรอรับ ธีรดาก้าวขึ้นไปนั่งหน้าตาเหมือนโกรธใครมา แล้วใครที่ว่าคงเป็นเขานั่นล่ะ รถค่อยๆ เคลื่อนออกไปจากบ้าน เธอเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ได้พาเลขามาด้วยทั้งที่ปกติเห็นตัวแทบจะติดกัน เสียงเพลงคลาสสิคเปิดคลอเบาๆ พอเธอปรายตาถอนใจเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเพลงสากล เธอถอนใจอีก เขาก็เปลี่ยนเพลงให้คราวนี้ไทยช้าๆ ค่อยเข้าหูเธอหน่อย คนเอาใจระบายยิ้มที่มุมปาก ผู้หญิงเข้าใจยาก แต่ไม่ยากที่จะเข้าใจ เหลืออย่างเดียวที่ไม่เข้าใจ ทำไมเธอไม่ใช้น้ำหอมที่เขาให้ไปคราวก่อน
ปลายทางเริ่มชัดเจนขึ้นว่าเขามาโรงละคร ถ้าเธอจำไม่ผิดพิชชามาเล่นเปียโนที่นี่กับวงออร์เคสตราหรือเปล่านะ ธีรดาผินหน้าไปมองปารินทร์ นึกแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไร ชุดที่เธอใส่คงเหมาะที่จะมางานนี้แหละ เขาจอดรถที่หน้างานแล้วเดินลงมารอรับเธอ พนักงานรับกุญแจรถจากเขาแล้วขับรถไปจอดให้
มือหนายื่นมารอ ธีรดามองผ่านก้าวออกมาจากรถด้วยตัวเอง ถ้าเป็นเพื่อนกันไม่ต้องช่วยกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็ได้ ปารินทร์ยิ้มนิดๆ ไม่พูดอะไรยามเดินเคียงเธอผ่านพรมทางเพื่อเข้าไปในงาน ไหล่หนาเกยไหล่บางอย่างจงใจ ธีรดาหันมาค้อนใส่ใจเต้นแรงเพราะอีกนิดคางของเขาก็วางลงบนบ่าของเธอได้แล้ว
“นี่คุณเดินห่างๆ ฉันหน่อยก็ได้ ทางออกจะกว้าง”
“เผื่อคุณล้มผมจะได้คว้าตัวทันไง” เขาบอกเสียงนุ่มใกล้ๆ หู ร่างเล็กกว่าเขยิบหนีหันมาค้อนใส่อีกรอบ
“ฉันไม่ล้มหรอกน่า รองเท้าไม่ได้ส้นสูงมากเท่าไหร่” ธีรดาหันหน้ากลับแก้มร้อนวาบ แต่พอเห็นว่าใครเดินมาต่อมโมโหก็เริ่มทำงานทันที “น้องสาวคุณกับคุณพิชชาใช่ไหมน่ะ ฉันว่ากลับตอนนี้ยังทัน ทำไมไม่บอกว่าต้องเจอสองคนนั้น นึกแล้วคุณมัน...”
แขนยาวยื่นมาโอบเอวบางไว้อย่างสนิมสนม งานนี้ถ้าขาดธีรดาไปเขาก็แย่น่ะสิ อุตส่าห์คิดตั้งนาน ลูกกวางติดบ่วงแล้ว ปล่อยไปง่ายๆ ใครจะยอม
“ไม่ทันแล้ว เถอะน่า ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ถ้าคุณกลัวมากๆ อยู่ใกล้ๆ ผมไว้แล้วกัน” เขายื่นริมฝีปากมาเฉียดแก้มนวล ถูกถลึงตาใส่ก็คุ่มล่ะ
“ฉันไม่ได้กลัวแต่รำคาญต่างหากล่ะ” แล้วดูจากสีหน้าของสองสาวแล้ว รับรองได้งานนี้เธอคงไม่ได้กลับบ้านแบบเชิดๆ เริดๆ หรอก
ศศิภายิ้มตามมารยาท พิชชาทำตามแผนเข้าไปกอดแขนของปารินทร์เอาไว้ ไม่ว่ามืออีกข้างของเขาจะกอดเอวใคร แต่มืออีกข้างของเขาอยู่กับเธอ ในวงสังคมรู้กันดีอยู่แล้วว่าใครตัวจริงและใครแค่ตัวแทรกเข้ามา อีกไม่นานก็จะถูกกำจัดออกไป
“ไม่นึกว่าจะมีรสนิยม” ศศิภายิ้มเต็มริมฝีปาก ธีรดาทำหน้าเฉยเรื่องอะไรจะสนใจเสียงนกเสียงกา คนแกล้งชมเลยเป็นฝ่ายชักสีหน้าเสียเอง “ฉันชมคุณ ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เราน่าจะได้คุยกันแบบผู้หญิงๆ สักทีคุณพอมีเวลาไหม”
“เอาไว้ก่อนดีกว่าศศิ” ปารินทร์แย้ง
ธีรดากลับยิ้มกว้างพลางปลดแขนของเขาออกจากเอวพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไรค่ะ คุยกันตอนไหนก็เหมือนกัน เชิญค่ะ ฉันเบื่อเรื่องของคุณกับพี่ปุ๊เต็มทีเหมือนกัน”
“ถ้างั้นก็คุยมันตรงนี้แหละ”
“คิดว่าศศิจะทำอะไรหรือคะพี่สิงห์” น้องสาวถามพี่ชายอย่างน้อยใจ วันก่อนที่ถูกตำรวจขอตัวไปสอบสวนเธอยังไม่ได้ต่อว่าด้วยซ้ำ แล้วนี่ยังปกป้องผู้หญิงอื่นต่อหน้าเธออีก มันใส่ร้ายเธออยู่ไม่รู้หรือไงนะ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ฉันโง่ได้แค่หนเดียวเท่านั้นแหละ”
ธีรดาเดินนำศศิภาไปยังสวนด้านข้างของโรงละครทันที พิชชามองตามเบ้ปาก พอปารินทร์หันมาก็ยิ้มหวานก่อนพาเขาเข้าไปในงานผ่านผู้ชมที่รอเวลาเข้างาน มีนักข่าวที่ทีมงานเชิญมารอสัมภาษณ์พิชชาอยู่ พอเห็นว่าเธอมาแล้วก็ตรงรี่เข้ามาหาทันที
“ขอถ่ายรูปคู่หน่อยครับ เชิญคุณพ่อของน้องพิชด้วยเลยครับ”
พนาเดินมาตามคำเชิญ ปารินทร์ยิ้มให้เพื่อนสนิทของพ่ออย่างเคารพพร้อมกับยกมือไหว้ พนาโอบไหล่ว่าที่ลูกเขยที่เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ดองกัน พิชชายิ้มให้นักข่าว ภาพที่เห็นในตอนนี้คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าในอีกไม่นานนี้สองตระกูลคงมีข่าวดีกัน ธุรกิจของพ่อกับปารินทร์จะได้ลงตัวเสียที ส่วนเธอจะได้สมหวังกับผู้ชายที่คู่ควร
“ไม่ทราบว่าคุณพิชชากับคุณปารินทร์จะมีข่าวดีเมื่อไหร่หรือครับ” นักข่าวคนหนึ่งถาม
พิชชาก้มหน้ายิ้มเขินๆ ปารินทร์รอดูท่าที การตอบในสิ่งที่คิดอาจเป็นการหักหน้าผู้ใหญ่ที่เคารพ เขาเองก็อยากรู้ว่าพนาต้องการอะไรอยู่เหมือนกัน
“ผมในฐานะพ่อก็อยากให้มีข่าวดี ไม่เกินกลางปีนี้คงมีงานหมั้น ถ้าถึงตอนนั้นเชิญน้องๆ นักข่าวด้วยนะครับ” พนาตอบพร้อมกับสบตาปารินทร์ที่ไม่ได้มีท่าทียอมรับหรือปฏิเสธ เขาเองก็เดาใจลูกชายของเพื่อนคนนี้ไม่ออกเหมือนกัน
พิชชากอดแขนพ่อไว้หัวใจพองโต การไม่ปฏิเสธออกมากลางวงของปารินทร์คงพอเย็นใจได้ว่าถ้าพ่อออกปากจริงจังเมื่อไหร่ เขาคงไม่ปฏิเสธ
“คุณพ่อก็...พิชเขินแย่สิคะ พี่ๆ นักข่าวเต็มไปหมด”
“แล้วคุณปารินทร์ล่ะครับวางแผนงานหมั้นไว้ยังไงบ้าง” นักข่าวเบนความสนใจมาทางฝ่ายชายบ้าง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ผมขอให้เป็นเรื่องส่วนตัวแล้วกันครับ” ปารินทร์หัวเราะเบาๆ แต่ทุกคนที่รอฟังคำตอบของเขาพากันมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“งานใกล้เริ่มแล้ว เราเข้าไปในงานกันดีกว่านะคะ พิชอยากมีเวลาทำสมาธิด้วย” พิชชารีบแก้สถานการณ์
พนามองหน้าปารินทร์ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจที่เขาพูดออกไปอย่างนั้น ใบหน้าปารินทร์เรียบเฉย เขารู้ดีว่าได้ทำอะไรลงไป แม้ไม่ใช่การหักหน้าหรือปฏิเสธ ทว่าการไม่ยอมเออออก็พอเป็นนัยยะได้บ้างว่าหากจะบีบเขาให้ยอมรับการหมั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าพ่อของเขายังอยู่ การหมั้นคงเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำอะไรเพื่อใครแล้ว

ธีรดาไม่เข้าใจว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ทรัพย์สินและฐานะทางสังคมอย่างศศิภาจะมาระแวงผู้หญิงอื่นทำไม ผู้ชายอย่างปุราณถ้าใครได้แต่งงานด้วยยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งด้วยซ้ำ ถึงไม่เชื่อใจเธอเพราะไม่ได้รู้จักกัน ก็น่าจะเชื่อใจคนรักสิ สงสารตัวเองชะมัดอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นมือที่สามทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“มีอะไรก็พูดมาสิคะคุณน้องมือน้ำเดือด”
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกยุ่งกับพี่ปุ๊ ฉันกับพี่ปุ๊กำลังจะแต่งงานกัน เธอก็รู้อยู่แล้ว ทำไมยังไม่ยอมหยุดก่อกวนฉันอีก บอกไว้เลยนะ ถ้าเธอยังแทรกเข้ามาระหว่างเราสองคน อะไรที่ฉันทำให้เธอเจ็บได้ ฉันก็จะทำ” ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเกลียดใครเท่าผู้หญิงคนนี้มาก่อนเพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่การขู่
ใช่ศศิภาหรือเปล่า...ธีรดาถามตัวเองหลายครั้งหลังจากถูกลักพาตัวไปเมื่อหลายวันก่อน ผู้หญิงที่กลัวเสียคนรักไปยอมทำได้ทุกอย่างจริงๆ น่ะหรือ ศศิภาร้ายกาจได้ถึงขนาดนั้นจริงๆ หรือเปล่านะ
“ได้ข่าวว่าตำรวจเรียกคุณไปสอบปากคำ แค่คุณให้การปฏิเสธในการบงการลักพาตัวฉัน เอาเป็นว่าฉันจะพยายามเชื่อ แต่สิ่งที่ฉันจะพูดคุณก็ต้องฟังบ้าง”
“ฝันไปเถอะ”
ธีรดาคว้าข้อมือของศศิภาไว้ เรื่องอะไรมาฉอดๆ แล้วชิ่งหนี เธอก็มีเรื่องอยากพูดเหมือนกันนะ ไม่งั้นจะเดินออกมาให้เมื่อยทำไม ศศิภาสะบัดข้อมือหนี แต่ไม่หลุด ได้แต่กระฟัดกระเฟียดจนกระทั่งข้อมือถูกปล่อยมาเอง
“ถ้าไม่อยากเสียโอกาสดีๆ ที่จะได้ฟังก็อยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ฟังฉันคว่ำคุณแน่ ลองไหมล่ะ ฝีมือฉันขนาดไหนคุณน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”
“ก็พูดมาสิ แต่ถ้าเธอขืนทำอะไร ฉันร้องให้คนช่วยแน่ๆ ลองดูไหมล่ะ”
กลัวตายหละ ธีรดาเบ้ปากส่ายหน้าให้ความเยอะของศศิภา “ผู้หญิงที่เธอตามหาไม่ใช่ฉัน ลองใช้สมองที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวคิดดูนะว่าฉันจะมาแย่งพี่ปุ๊ไปจากเธอเพื่ออะไร ทำไมรอมาตั้ง 8 ปีแล้วค่อยมาทำ ทำไปก่อนหน้านี้ไม่ดีกว่าหรือไงยะ”
“ก็เพราะปี่ปุ๊ทั้งหล่อ รวย นิสัยดีน่ะสิ” อย่าเถียงเชียวว่าไม่จริง แต่จะรวยหรือไม่รวยไม่สำคัญ ในเมื่อเธอรักปุราณไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงมาตั้งแต่แรก
ธีรดาถอนใจพรืดอยากจะจับยัยนี่เขย่าให้สมองหายรวน เหตุผลมีเท่าเนี้ยยังกล้าพูดออกมาอีก หญิงสาวเดินเข้าใส่จนคนอยากคุยถอนกรูดไม่เป็นกระบวน ทีอย่างนี้ละทำมากลัว เฮ้อ
“ถ้าไม่รู้ก็รู้ไว้ด้วยว่าฉันน่ะรวยพอที่จะหาสามีที่โสดมาก่อนได้ ไม่ต้องมาแย่งเธอให้เสียชื่อหรอกย่ะ ไปคิดเอา จะแต่งงานอยู่แล้ว น่าจะคิดอะไรเกินกว่าเด็ก 10 ขวบหน่อยนะ”
“ด่าฉันเหรอ” ศศิภาแหวลั่น แต่ไม่กล้าเข้าไปทำอะไร คราวก่อนที่โดนอัดกับรถเธอระบมอยู่ตั้งหลายวันกว่าจะหาย
“ตลกดีน่ะเธอเนี่ย ไปเข้างานเถอะ หรือว่าจะยืนให้ยุงมันรุมกินโต๊ะตรงนี้ก็ตามใจนะ” ธีรดายักคิ้วหัวเราะให้อย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้างานไป จะว่าไปแล้วน้องสาวของปารินทร์นี่เหมือนจะร้ายกาจ แต่เอาเข้าจริงก็แค่คุณหนูเอาแต่ใจเท่านั้นเองแฮะ
ศศิภาโกรธจนอยากร้องกรี๊ด แทนที่เธอจะได้ตอกหน้าธีรดาจนหน้าหงาย กลายเป็นเธอเงิบเสียเอง ดีแล้วที่ปุราณติดงานมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงสติแตก ทั้งแฟนทั้งพี่ชายพากันห่วงยัยนั่นกันไปหมด หญิงสาวถอนใจพอมาคิดๆ ดูที่ยัยนั่นพูดมาก็ใช่ว่าฟังไม่ขึ้น แต่เธอจะเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนั้นได้แค่ไหนเชียว มีแผนอะไรหรือเปล่านะ

นุชรีมาถึงงานจวนเจียนเวลาเริ่มงานเต็มที หญิงสาวรีบไปหาที่นั่งที่ศศิภาโทรมาบอกไว้ พอไปถึงก็เห็นเพื่อนนั่งทำหน้าเบื่อโลก แต่สายตานี่แทบลุกเป็นไฟยามมองไปยังที่นั่งแถวถัดไป ในขณะที่พิชชากำลังเล่นเปียโนอย่างมีสมาธิ เธอพอจะรู้แผนของสองคนนี้ น่าแปลกทำไมคนวางแผนถึงมานั่งคนเดียว ในขณะที่ปารินทร์ไปนั่งกับศัตรูหัวใจของน้องสาวแบบนั้น
“ทำไมพี่สิงห์ถึงนั่งกับยัยนั่นล่ะศศิ” นุชรีกระซิบถามพยายามให้เสียงเบาที่สุดเพราะบรรดาคนรอบข้างกำลังดื่มด่ำกับเสียงดนตรีกันยกใหญ่ ส่วนเธอนั้นถ้าไม่ถูกสั่งให้มาจ้างให้ก็ไม่มา
“ไม่รู้ เบื่อที่สุด อุตส่าห์วางแผน ฉันไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้น่ะยัยพิช”
นุชรีกระตุกมือเพื่อนเมื่อบรรดาผู้ดื่มด่ำเสียงดนตรีพากันปรายตามองมาแล้วจุ๊ปากให้เสียงเบาๆ สองสาวพากันหน้าม้าน รีบลดเลียงให้เบาลงอีก
“ได้อะไรล่ะ”
“พรุ่งนี้รออ่านหนังสือพิมพ์หน้าสังคมก็แล้วกัน”
ศศิภาถอนใจพรืดเบี่ยงหน้าไปมองพี่ชายที่ไม่แม้จะมองมาที่เธอด้วยซ้ำ ตอนเธอมาถึงที่นั่งตรงนั้นกลายเป็นของธีรดาไปแล้ว ทุกอย่างผิดแผนไปหมด แผนจับแยกพี่ชายออกมาพังครืน แต่แผนของพิชชาคงได้อะไรบ้างล่ะน่า นุชรีเงียบและหลับไปในที่สุด อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าดนตรีเพราะของจริง

แล้วจะมา up ต่อค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่าน



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2557, 09:40:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2557, 09:40:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1445





<< ตอนที่ 13   ตอนที่ 15 >>
ร้อยวจี 17 มิ.ย. 2557, 12:26:42 น.
เอากับเขาสิ คิดจับพระเอกเรา รอไปเถอะ


Pampam 17 มิ.ย. 2557, 12:45:47 น.
ยัยนุชรีแหง่ๆตัวบงการ


ใบบัวน่ารัก 17 มิ.ย. 2557, 20:15:26 น.
ไปกลับ3 วัน นั่งเครื่องกี่ชม. เนี่น
รีบมากนะ


แว่นใส 17 มิ.ย. 2557, 23:40:23 น.
ไม้กันหมา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account