ฝากรักไว้ที่ปลายรุ้ง โดย สลิลา (พิมพ์คำสำนักพิมพ์)
เมื่อนักเลงหัวไม้ริอยากขี่รุ้งงาม ความมุ่งมั่นและพยายามเท่านั้นที่เขาต้องกอดเอาไว้


"นิยายที่จะทำให้คุณลบคำว่า เป็นไปไม่ได้ ออกจากพจนานุกรมชีวิต!"


Tags: ภูผา,นักสู้,ทอรุ้ง,สลิลา,นักเลงหัวไม้

ตอน: บทที่ 1

พ.ศ. ๒๕๒๐

วันนั้นเป็นเพียงเช้าวันธรรมดาวันหนึ่งที่ทุกคนในชุมชนริมคลองแห่งนี้ใช้ชีวิตกันตามปกติ จู่ๆ ควันสีเทาหนาทึบก็ม้วนตัวเป็นก้อนเหนือหลังคาบ้านไม้หลังหนึ่ง ใต้ควันหนาคือแสงสีเพลิงที่ส่ายสะบัดตามแรงลมคล้ายพญางูผู้หิวกระหายเริงระบำ พร้อมจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้วอดวายไปต่อหน้า

ความโกลาหลอลหม่านบังเกิด ผู้คนวิ่งไปวิ่งมาขวักไขว่ บ้างขนของหนี บ้างร้องเรียกผู้เป็นที่รัก แต่บ้างก็วิ่งไปอย่างไร้สติ เพราะทำอะไรไม่ถูก ควบคุมตนไม่ได้

ท่ามกลางความโกลาหลและเสียงเชื้อเพลิงปะทุ มีเสียงเล็กๆ ดังแทรกอยู่

“อุแว้! อุแว้!”

ขณะที่เจ้าตัวเล็กเพิ่งได้สัมผัสลมหายใจแรกของชีวิต หลายคนกลับไร้สิ้นซึ่งลมหายใจ ขณะที่หนูน้อยได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ร่างของหลายคนกลับสิ้นสลาย...

นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ สายยางขนาดยาวจากรถดับเพลิงก็มาถึง เปลวเพลิงจึงค่อยๆ สิ้นฤทธิ์และมอดลงในที่สุด ทิ้งความสูญเสียครั้งใหญ่ไว้เบื้องหลัง หลายคนทรุดลงนั่งร้องไห้เพราะสูญเสียคนที่รักในกองเพลิง หลายครอบครัวถึงคราวสิ้นเนื้อประดาตัว

ชายหนุ่มร่างสันทัด ผิวคล้ำวิ่งหน้าตาตื่นผ่านผู้คนไปหยุดยืนยังที่แห่งหนึ่งซึ่งยามนี้เหลือเพียงเสาที่กลายเป็นตอตะโก นอกนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน ควันสีเทายังลอยอ้อยอิ่ง ราวกับต้องการสำรวจความพินาศย่อยยับจนสาแก่ใจ จึงค่อยจางไป

“แม่! เดือน! เวหา!” แม้แข้งขาจะอ่อนแรงแทบยืนไม่อยู่ แต่บุคคลผู้เป็นที่รักทั้งสามก็ทำให้เขาต้องก้าวต่อ พลางตะโกนเรียกไปด้วย ชายหนุ่มวิ่งพล่านไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจกลับไปที่บ้านด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง มือเท้าเย็นเฉียบ กระนั้นก็ยังไม่สิ้นหวัง

ครู่ต่อมาเขายืนหอบอยู่ตรงหน้าบ้านที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง และตัดสินใจก้าวลงไปในกองเถ้าถ่านอย่างไม่กลัวความร้อนเพื่อหาศพของบุคคลผู้เป็นที่รัก ขอเพียงศพก็พอ!

“เฮ้ย! ไอ้สิทธิ์ ทำอะไร” เพื่อนบ้านซึ่งเป็นผู้สูญเสียเช่นกัน เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นจึงรีบถามด้วยความตกใจ ก่อนวิ่งเข้ามารั้งไว้ “ออกมา อย่าเข้าไป ไฟยังไม่มอดดีหรอกเว้ย เดี๋ยวเท้าก็ทะลุหรอก”

“ปล่อย! ฉันจะไปหาแม่ หาเมียกับลูกฉัน!” น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรากขณะดิ้นรนจากการจับของเพื่อน

“จะบ้าเรอะ! ถอยออกมาก่อน”

“ปล่อยฉันนะ! ไอ้แดง ปล่อย!” เขายังออกแรงดิ้นจนเต็มกำลัง

“เออ! จะลงไปก็ตามใจ ข้าแค่จะบอกเอ็งว่าแม่กับเมียเอ็งน่ะตอนนี้อยู่โรง’บาล!”

+ + + + + + + + + + + +


ภายในโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งอยู่ใกล้ชุมชนที่สุดกำลังโกลาหล เพราะมีผู้บาดเจ็บซึ่งถูกไฟคลอกถูกส่งมารักษาที่นี่จำนวนไม่น้อย ชายหนุ่มผิวคล้ำวิ่งไปตามทางเดินมุ่งสู่ห้องพักฟื้นมารดาหลังคลอดซึ่งเป็นห้องพักรวม เมื่อไปถึงหน้าห้อง ก็มีเสียงทักเขาดังขึ้นเสียก่อน

“สิทธิ์!”

เขามองตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นแม่ของเขานั่นเอง นางอุ้มเด็กชายวัยหนึ่งขวบกว่าซึ่งตอนนี้กำลังหลับอยู่

เวหา...ลูกชายคนโตของเขา

“แม่!” เขาปราดเข้าไปหานาง “แม่เป็นยังไงบ้าง”

“เกือบหนีไม่รอด” นางตอบเสียงสั่น “ข้ากำลังจะป้อนข้าวเจ้าเวหา ส่วนเมียเอ็งขายของอยู่หน้าร้าน อยู่ๆ มันก็เจ็บท้องจะคลอด พอข้าจะพามันไปหาหมอ ไฟก็ไหม้...มันไหม้เร็วมากจนข้าทำอะไรไม่ถูก"
ศักดิ์สิทธิ์บีบมือนางเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “ช่างมันเถอะแม่ ของนอกกายหาเมื่อไหร่ก็ได้ แค่แม่กับเดือนกับลูกปลอดภัย ผมก็ดีใจมากแล้ว”

“แต่ไฟไหม้บ้านเราวอดทั้งหลังเลยนะสิทธิ์ เราไม่เหลืออะไรแล้ว ข้าเอาอะไรออกมาไม่ได้สักชิ้น แม้แต่ทองที่เอ็งเก็บไว้ให้ลูก ไหนจะเงินเก็บในกล่องนั่นอีก”

“ฉันมีสองมือ มีสมอง มีแรง กลัวอะไรล่ะ เก็บใหม่ก็ได้...”

“กว่าจะเก็บใหม่ได้ ตั้งไม่รู้กี่ปี” นางรำพันด้วยความเสียดาย
ศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไร เขารับลูกชายจากแม่มาอุ้มไว้เอง

“เอ็งเข้าไปดูนังเดือนมันไป๊ ข้าจะกลับไปดูบ้านสักหน่อย เผื่อจะมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง”

“ไม่เหลืออะไรหรอกแม่ ฉันดูแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเศร้า

“ข้าจะไปดูอีกที มันต้องมีบ้างสิน่า” นางยังไม่หมดหวัง หมุนตัวเดินจากไป
ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าไปในห้องพักฟื้น ครั้นเห็นภรรยาแข็งแรงดีแล้ว จึงชวนกันไปหาลูกที่ห้องเด็กอ่อน ตอนนั้นลูกชายคนโตรู้สึกตัวตื่นแล้ว พอเห็นว่าอยู่ในอ้อมกอดพ่อ แม่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย พ่อหนูก็ยิ้มออก

ครู่ต่อมา ทั้งหมดก็มาถึงห้องเด็กอ่อน ศักดิ์สิทธิ์มองร่างกระจ้อยร่อยของเด็กแรกเกิดที่มีชื่อคล้องไว้ที่แขนว่า เด็กชายภูผา กล้าแกร่ง ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเด เขาอยากมีลูกแค่คนเดียวเนื่องจากไม่อยากมีภาระมาก แต่ภรรยาของเขาอยากมีอีกคนเพื่อให้ลูกคนโตมีเพื่อนเล่นและป้องกันการถูกเอาใจจนเกินไป เขากับเธอขัดแย้งกันเรื่องนี้มาตลอด แล้วเธอก็เป็นฝ่ายชนะด้วยการหลอกเขาว่ากินยาคุมกำเนิดตรงเวลา

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่อยากมีลูกอีก แต่เมื่อเห็นร่างเล็กกระจ้อยร่อยที่มีเขาเป็นบิดา ก็อดปลาบปลื้มไม่ได้

“เห็นน้องไหม เวหา...” เขาบอกลูกชายคนโต “น้องจะไปอยู่กับเราที่บ้านนะ”

“พี่สิทธิ์ เราจะทำยังไงต่อไป บ้านไหม้หมด ของขายก็ไม่เหลือสักอย่าง เงินชดเชยที่รัฐให้ยังไงก็ไม่พอหรอก” เดือนเอ่ยเสียงเครือ สีหน้าแววตาบ่งบอกความเครียด ของสำหรับขายที่เธอว่าก็คือข้าวของในร้านโชห่วยของพวกตนนั่นเอง

“เอาน่า มันต้องมีทางออกน่า” ศักดิ์สิทธิ์ให้กำลังใจเมียเหมือนที่ให้กำลังใจแม่ “ที่ของเราก็มีอยู่ เอาเข้าธนาคารเอาเงินมาหมุนเสียก็ได้”

แต่สีหน้าอีกฝ่ายไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย เธอยังคงร้องไห้แล้วหันไปมองลูกในห้องเด็ก

“ทำไมถึงได้อาภัพนัก ภูผาเอ๊ย เกิดวันแรกบ้านก็ถูกไฟไหม้ซะแล้วลูก”

คำพูดนี้สะกิดความรู้สึกบางอย่างของศักดิ์สิทธิ์เข้าพอดี

“เห็นไหม พี่เคยบอกแล้วไงว่าไม่อยากมีลูกอีก เป็นไงล่ะ คราวหลังเวลาพี่บอกอะไรก็หัดเชื่อบ้าง”

“ก็ถ้าพี่ไม่มานอนกับฉัน แล้วฉันจะท้องไหมเล่า” เดือนโต้ตอบทันทีด้วยความไม่พอใจ

“เอ๊ะ! เดือนนี่พูดยังไง พี่เป็นผัวเดือนก็ต้องนอนกับเดือนสิ นี่ถ้าเดือนคุมเอาไว้มันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็มีเขาแล้ว พี่ก็ต้องเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดแหละ เราคงไม่โชคร้ายตลอดไปหรอก”

+ + + + + + + + + + + + + +


แต่วันต่อมา เดือนต่อมา และปีต่อๆ มา ศักดิ์สิทธิ์กับเดือนก็ได้เรียนรู้ว่าสำหรับครอบครัวเขาแล้ว ความโชคร้ายอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา และสถานการณ์ก็เลวร้ายกว่าที่เคยเลวร้าย เริ่มจากนางสาย แม่ของศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมให้ที่ดินผืนที่เขาจะเอาเข้าธนาคารเพื่อเอาเงินมาหมุนก่อน

‘มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อของเอ็งทิ้งไว้ก่อนตาย ข้าไม่เสี่ยงให้ถูกยึดหรอกเว้ย’

‘มันจะถูกยึดได้ยังไงเล่าแม่ ฉันสัญญาว่าจะส่งดอกให้ครบทุกเดือน’

‘ไม่เอา ยังไงข้าก็ไม่ให้’ นางกอดโฉนดเอาไว้แน่นอย่างหวงแหนพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย

ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องกู้เงินเถ้าแก่ในชุมชนซึ่งคิดดอกเบี้ยแบบขูดเลือดขูดเนื้อ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

โชคร้ายต่อมาคือขณะสร้างบ้าน เดือนต้องการให้เป็นแบบเดิมเปี๊ยบ จึงเจ้ากี้เจ้าการสารพัด จนเพื่อนบ้านที่อาสาช่วยฟรีๆ เอือมระอา พากันไม่ทำงานให้ดื้อๆ ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องเสียเงินจ้างช่าง ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเพิ่มไปอีก

โชคร้ายมากที่สุดคือร้านขายของชำของเขาขายแทบไม่ได้ เพราะมีร้านเจ้าใหม่ที่ใหญ่กว่า มีของให้เลือกมากกว่ามาตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน ต่อมาทั้งคู่ก็คิดขายอาหารเพิ่ม แต่ปรากฏว่าทุนยิ่งจม จึงจำต้องหยุด หลังจากนั้นศักดิ์สิทธิ์ก็หาทางเพิ่มรายได้อีกทางด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์เร่ขายของ แต่เหมือนโดนฟ้ากลั่นแกล้ง เพราะได้เงินเพียงเล็กน้อยแทบไม่คุ้มกับค่าน้ำมัน ขณะที่รายจ่ายสำหรับลูกสองคนเพิ่มขึ้นทุกวัน ความเครียดทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยขึ้น หนักเข้าศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มโยนความผิดให้เมีย

‘นี่ถ้าเดือนไม่ท้อง เดือนก็ไม่ต้องเจ็บท้องคลอดในวันนั้น เดือนกับแม่ก็คงเก็บของกันทัน ทองหลายเส้นก็คงไม่หายไปกับไฟ เงินในกระป๋องที่เก็บไว้ก็คงไม่ถูกไหม้จนหมด เราก็ไม่ต้องเป็นหนี้ไอ้เถ้าแก่เหลียงหน้าเลือดให้มันขูดเลือดขูดเนื้อแบบนี้’

เดือนไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง และการถูกว่าบ่อยๆ ก็ทำให้เครียด จึงมาลงที่ลูกชายคนเล็ก เพราะเธอเองก็ต้องการที่ระบายเหมือนกัน

‘เพราะไอ้ตัวซวยนี่คนเดียว ซวยตั้งแต่วันแรกที่เกิดมา ซวยจนถึงวันนี้’

เดือนที่แก่ไปจากเดิมมากเพราะต้องตรากตรำทำงานหนัก ก่นด่าร่างเล็กป้อมไร้เดียงสาที่คลานไปคลานมาตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นอันเข้มข้น ปราศจากความเมตตา

วันนี้ศักดิ์สิทธิ์พาเวหาไปฉีดวัคซีนตามนัด ส่วนนางสายก็ออกไปพายเรือขายของ เธอจึงต้องเลี้ยงลูกชายคนเล็กตามลำพัง

“เฮ้ย! มึงอยู่นิ่งๆหน่อยได้ไหมวะ ไอ้เด็กบ้า” เดือนเริ่มตะคอกเมื่อเด็กชายเอาแต่คลานไม่หยุด แต่พ่อหนูน้อยยังฟังคำสั่งไม่ออกและยังสนุกกับสิ่งใหม่ที่เขาเพิ่งทำเป็น จึงตั้งหน้าตั้งตาคลานต่อ ผลก็คือโดนแม่ตีก้นเข้าให้อย่างรำคาญใจ พ่อหนูร้องไห้จ้า “มึงไม่ต้องร้องเลย เงียบเลย บอกให้เงียบ!”

ยิ่งตะคอก ร่างเล็กป้อมก็ยิ่งร้อง เธอยิ่งรำคาญก็ยิ่งตีอย่างไม่ปรานีปราศรัย เป็นที่เวทนาของผู้ที่ผ่านไปผ่านมายิ่งนัก

“พอได้แล้วนังเดือน เอ็งตีมันขนาดนี้กะให้มันตายคามือเลยหรือไงวะ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวรีบรี่เข้าไปห้ามและอุ้มเด็กชายที่กำลังร้องไห้ “ตัวมันก็แค่นี้เอง เดี๋ยวมันก็ตายหรอก”

“เออ! ตายเสียได้ก็ดี ตั้งแต่มีมัน ชีวิตฉันก็ซวยๆๆ โดนหวยแดกทุกงวด”

นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สองผัวเมียโดยเฉพาะเดือนยกความผิดให้ภูผา ตั้งแต่ภูผาเกิดมา เธอกับศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยถูกหวยอีกเลย

“บ้า เอ็งมันบ้า ผัวเอ็งก็บ้า โยนบาปให้เด็ก เด็กมันจะไปรู้เรื่องอะไรวะ... โอ๋ๆ หยุดร้องนะภูผา เดี๋ยวไปบ้านยายนะ ยายมีขนมมีของเล่นเยอะแยะเลย” นางบอกพลางขยับตัว

“นั่นน้าพร้อมจะพาลูกผมไปไหน” ศักดิ์สิทธิ์ถามเสียงเข้ม ก่อนจะอุ้มเวหาที่หลับอยู่เข้ามาในร้าน แล้วหันไปสั่ง “เดือน ไปเอาลูกมา”

“ก็นังเดือนมันเอาแต่ตีไอ้ภูผา ข้าสงสารเด็กมัน...” พร้อมตอบตามตรง

“ฉันเป็นพ่อของมัน เดือนก็เป็นแม่ของมัน มีสิทธิ์จะทำยังไงกับมันก็ได้ แต่น้าเป็นคนอื่น” ศักดิ์สิทธิ์ตำหนิ เขามาทันได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่าเขาโยนบาปให้เด็กจึงโกรธมาก

“เออ! ข้าก็ไม่อยากยุ่งเท่าไหร่หรอก แต่ทนเห็นไอ้หนูมันโดนเฆี่ยนโดนตีไม่ได้ก็เท่านั้น แต่ต่อไปข้าไม่ยุ่งก็ได้เว้ย กรรมใครกรรมมัน!” พูดจบพร้อมก็สะบัดหน้าเดินกลับบ้านตัวเองซึ่งอยู่ซ้ายมือบ้านหลังนี้
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดขณะวางลูกชายคนโตลงบนที่นอนอย่างทะนุถนอม

ขณะนั้นเอง นางสายกลับเข้าบ้านมาพร้อมด้วยกระจาดเปล่า ทันได้ยินช่วงท้ายของบทสนทนาพอดี ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงจึงอุ้มภูผาจากอกเดือนก่อนก้มลงสำรวจร่างกายหลาน นางน้ำตาไหลด้วยความสงสาร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อหนูโดนแบบนี้

“แกตีภูผาจริงๆ...” นางกล่าวเสียงเครือ

“ใช่ หนูตีมันจริง แล้วทำไมหนูจะตีมันไม่ได้ล่ะ มันเป็นลูกหนูนะ” เดือนเถียงกลับฉอดๆ

“แต่...”

“เอาน่า...แม่ ตีนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป” ศักดิ์สิทธิ์ขัดอย่างรำคาญใจ “ตอนฉันเป็นเด็ก พ่อกับแม่ก็ตีฉันเหมือนกัน ไม่เห็นจะเป็นไรเลย อย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่หน่อยเลยน่า”

นางสายถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ กอดหลานแนบอกแล้วเดินเข้าห้องนอนของตนไป ขณะที่เดือนหันมาคำนวณเลขหวยต่ออย่างไม่สนใจอะไรอีก

เหตุการณ์เป็นไปในทำนองนี้ทุกวัน จากที่ไม่รู้ความ ภูผาเริ่มจำความได้ เริ่มรับรู้ว่าเป็นที่เกลียดชังของพ่อและแม่ พ่อกับแม่ไม่เคยอุ้ม ไม่เคยหยอกล้อ ไม่เคยกอดเขาเหมือนที่กอดเวหา

มีหลายครั้งที่พ่อกับแม่กลับจากข้างนอกแล้วเขากับพี่วิ่งไปรับ แต่พ่อก็เลือกอุ้มแต่พี่ ปล่อยเขาให้ยืนเก้ออยู่อย่างนั้น ขณะที่แม่ก็ไม่สนใจเขาเลย

เวลาเขาทะเลาะกับพี่ เขาจะเป็นฝ่ายถูกตีเสมอโดยไม่ต้องสอบสวนหาคนผิด ส่วนแม่ไม่ต้องพูดถึง บ่นเขาทุกเรื่อง ยิ่งวันหวยออก เขาจะโดนเป็นสองเท่า

มีย่าคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเขา กอดและคอยปลอบโยนเวลาโดนพ่อหรือแม่ตี แต่ย่าก็ปกป้องเขาไม่ค่อยได้ เนื่องจากเป็นเสียงส่วนน้อยของบ้าน และพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยเกรงใจเท่าใดนักด้วย

(จบบทที่ 1 ค่ะ)

เรื่องนี้ออกแนวดราม่าหน่อยนะคะ แต่ช่วงโรแมนติกวิ้ดวิ้วก็มี อีกไม่นานเกินรอ อิอิ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาให้กำลังใจนะคะ ในตอนที่แล้วบอกผิดค่ะ จริงๆเขียนกับเพื่อนอีกสองคนค่ะ 55555555

อย่าลืมกดไลค์ลุ้นหนังสือกันนะคะ จุ๊บๆ



วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2557, 13:34:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2557, 13:34:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1546





<< บทนำ    บทที่ 2 >>
ตุ๊งแช่ 17 มิ.ย. 2557, 15:53:15 น.
พระเอกกำพร้าไหมค่ะ


ดังปัณณ์ 17 มิ.ย. 2557, 20:07:51 น.
ภูผาน่าฉงฉานมาก โอ๋ๆๆ พ่อคุณมามะ มา ป้าจะเลี้ยงหนูเอง หุๆ


เบญจามินทร์ 17 มิ.ย. 2557, 20:09:10 น.
กด like ลุ้นหนังสือ


อัศวินนภา 17 มิ.ย. 2557, 20:48:15 น.
เจ็บแทนภูผา อ่านแล้วเห็นภาพ คิดเป็นตุเป็นตะ คิดเป็นฉากๆ ถูกใจ 555 เหมือนละครเย็นเลยคะ


จ๊ะจ๋า 17 มิ.ย. 2557, 21:38:16 น.
เริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ เดาว่าย่าตาย พระเอกโดนไล่ออกจากบ้าน


Zephyr 17 มิ.ย. 2557, 23:00:59 น.
ไร้เหตุผลจริง พอทุกอย่างมันประเดประดัง ประจวบเหมาะ โทษเด็ก
เฮ้อออออออออออออ เคยมองบ้างมั้ยว่าตัวเองละ
อยากมีลูก ไม่คุม มีออกมาแล้ว มันมาบังเอิญน่ะ สะกดไม่เป็นละสิ
เงินไม่มีก็ยังบ้าหวย คงจะมีเงินหรอกนะ นี่ถ้ากินเหล้าด้วย เอาไปลงวงไพ่
จะสมน้ำหน้าให้มากกว่านี้


Sukhumvit66 19 มิ.ย. 2557, 03:21:19 น.
โอ๊ย..สงสารภูผาจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account