อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ

ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ

Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 15

นฤมลชะงักพลางขมวดคิ้วนิดหนึ่งด้วยความประหลาดใจเมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเกือบหนึ่งทุ่มแล้วเห็นรถของพี่สาวจอดอยู่ที่หน้าบ้านเพราะวันนี้ไม่ใช่วันสิ้นเดือนที่นีรนุชพี่สาวของเธอจะกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อเอาเงินเดือนมาให้มารดา

“สวัสดีค่ะพี่นุช” หญิงสาวทักทายพลางยกมือไหว้พี่สาวซึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างดูนิตยสารแฟชั่นอยู่ที่โซฟารับแขก นีรนุชเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารพยักหน้ารับไหว้จากน้องสาวพลางถาม

“ทำไมวันนี้กลับค่ำล่ะ”

“มลไปบ้านแพรมาค่ะ” นฤมลตอบพี่สาว นีรนุชพยักหน้าอีกครั้งเพราะพอจะจำเพื่อนสนิทของน้องสาวที่ชื่อว่าแพรได้ เนื่องจากเคยเจออีกฝ่ายมาที่บ้านกับนฤมลครั้งหนึ่ง

“พี่นุชมานานรึยังคะ” นฤมลถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงเกรงใจเพราะเงินค่าเล่าเรียนของเธอรวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้านที่นฤมลกับมารดาได้ใช้จ่ายอย่างสะดวกสบายอยู่ในขณะนี้ล้วนได้รับการจุนเจือจากนีรนุชทั้งสิ้น เนื่องจากบิดาของเธอเอาเงินเดือนไปให้ภรรยาน้อยหมดโดยไม่เคยคิดจะหยิบยื่นให้กับภรรยาหลวงหรือลูกสาวคนเล็กเลย

“ก่อนหน้าแกประมาณสักสิบห้านาทีได้มั้ง” นีรนุชตอบเรื่อยๆ

“พี่นุชมีธุระด่วนอะไรกับแม่รึเปล่าล่ะคะ”

“ไม่มีหรอก แค่ไม่รู้จะไปไหนก็เลยขับรถมาที่นี่ มาถึงก็ไม่เจอใครเลยสักคน”

“พ่อก็ไปบ้านโน้นเหมือนเคยแหละค่ะ” คำว่าบ้านโน้นของนฤมลเป็นที่รู้กันดีว่าหมายถึงบ้านภรรยาน้อยของบิดา “ส่วนแม่เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะกลับมาถึงมาค่ะ”

“เฮ้อ! น่าเบื่อชะมัด คนนึงก็หลงเมียน้อยส่วนอีกคนก็ติดไพ่” นีรนุชบ่นด้วยสีหน้าระอาใจกับพฤติกรรมของบิดามารดาซึ่งมีส่วนผลักดันให้เธอต้องแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพังเพราะความเบื่อหน่าย

นฤมลเห็นพี่สาวเริ่มจะอารมณ์เสียจึงชวนอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยถามไถ่ว่ารับประทานอาหารเย็นมาหรือยัง เมื่อนีรนุชบอกว่าตั้งใจจะมารับประทานที่นี่และซื้อกับข้าวมาด้วยหลายอย่าง หญิงสาวจึงวางข้าวของแล้วรีบเข้าครัวเพื่อไปจัดการอุ่นอาหารให้พี่สาวรับประทานทันที

คล้อยหลังนฤมลเพียงครู่เดียวโทรศัพท์มือถือของนฤมลที่วางเอาไว้บนโต๊ะก็มีสายเข้า นีรนุชนั่งมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของน้องสาวมาดูที่หน้าจอเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของแพรจึงขยับลุกขึ้นยืนแล้วถือโทรศัพท์ไปที่ห้องครัวเพื่อให้นฤมลรับสาย

“มลเพื่อนแกที่ชื่อแพรโทรมา...” นีรนุชพูดยังไม่ทันจบประโยคดีเสียงโทรศัพท์ก็เงียบไป “อ้าว! วางสายไปแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ แพรคงโทรมาถามว่ามลถึงบ้านรึยังเดี๋ยวมลค่อยโทรกลับไปก็ได้” นฤมลหันมาบอกพี่สาวก่อนจะหันกลับไปอุ่นกับข้าวต่อ

นีรนุชจึงถือโทรศัพท์ของน้องสาวเดินกลับไปที่ห้องรับแขกตามเดิม เมื่อวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเล็บของหญิงสาวก็บังเอิญไปแตะถูกหน้าจอโทรศัพท์เข้าพอดี ทำให้เห็นภาพที่นฤมลตั้งเอาไว้ที่หน้าจอซึ่งเป็นภาพถ่ายครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูก มีบิดามารดาของเธอนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างลูกสาวทั้งสองคน นีรนุชในชุดนักเรียนมัธยมต้นนั่งอยู่ข้างบิดา ส่วนนฤมลในชุดนักเรียนประถมนั่งอยู่ข้างมารดา ทุกคนในภาพต่างกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ เพราะรู้ดีว่าขณะนี้ความสุขแบบในภาพจะไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกแล้ว นับตั้งแต่บิดาของเธอนอกใจมารดาไปมีภรรยาน้อยในขณะที่นีรนุชกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย หลังจากนั้นรอยยิ้มที่เคยมีในครอบครัวก็เลือนหายไปทันที

นีรนุชพอจะเข้าใจดีว่านฤมลยังคงโหยหาความอบอุ่นจากบิดามารดาอยู่เพราะเป็นลูกคนเล็ก ต่างจากเธอที่ไม่แยแสและไม่อยากจะจมปลักอยู่กับความทุกข์เพราะครอบครัวแตกแยก ดังนั้นนีรนุชจึงแยกออกไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังทำทุกอย่างตามใจตนเองและมีความสุขกับทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงอย่างเต็มที่

หญิงสาวตัดสินใจแตะเข้าไปในไฟล์อัลบั้มรูปภาพเพราะอยากจะรู้ว่าน้องสาวเก็บรูปภาพความทรงจำอะไรเอาไว้ในโทรศัพท์บ้าง แต่แล้วนีรนุชก็ต้องชะงักคิ้วโก่งเรียวที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างสวยงามขมวดมุ่นทันทีเมื่อรู้สึกสะดุดตากับรูปถ่ายล่าสุดซึ่งปรากฏขึ้นมาเป็นรูปแรก หญิงสาวแตะขยายภาพขึ้นทันทีเพื่อให้ดูชัดเจนยิ่งขึ้นแล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

“เอ๊ะ!”

“หล่อสวยสมกันมั้ยคะพี่นุช มลเห็นพวกพี่เค้าน่ารักดีก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่นค่ะ” เสียงนฤมลที่ตั้งใจจะเดินมาเรียกพี่สาวไปรับประทานอาหารถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งจ้องรูปที่เธอถ่ายกฤตตะวันกับศันลิตาเอาไว้

“เค้าเป็นแฟนกันเหรอ แล้วแกไปรู้จักกับพวกเค้าได้ยังไง” นีรนุชไม่ตอบคำถามน้องสาวแต่ย้อนถามในสิ่งที่ตนเองกำลังสงสัยแทน เพราะเท่าที่เธอรู้จากคุณเกริกเกียรติก็คือกฤตตะวันยังไม่มีคนรัก

“ก็ประมาณว่าพี่กฤตเค้ากำลังจีบพี่ต้าอยู่น่ะค่ะ พี่ต้าเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่แพรไปทำงานพิเศษอยู่ค่ะ พี่กฤตเค้าน่ารักดีนะคะจีบสาวด้วยการมาช่วยเป็นพนักงานขายชั่วคราวในร้าน”

“มาเป็นพนักงานขายชั่วคราวในร้านขายหนังสือเพื่อจีบผู้หญิงนี่นะ” นีรนุชทวนถามอย่างเหลือเชื่อและงุนงง เพราะเธอไม่คิดว่ากฤตตะวันจะต้องลงทุนทำอะไรแบบนี้เพื่อจีบผู้หญิง ระดับประธานกรรมการบริษัทสัตยา เรียลเอทสเตทอย่างเขาผู้หญิงคนไหนก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นแฟนกันทั้งนั้น

นฤมลจึงเล่าให้พี่สาวฟังตามที่ได้รู้มาจากแพรว่าตอนแรกกฤตตะวันมาเป็นพนักงานขายที่ร้านหนังสือเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ศันลิตาช่วยตรวจสอบบัญชีบริษัทให้ แล้วกฤตตะวันก็เกิดหลงรักศันลิตาขึ้นมาจริงๆ จึงพยายามจีบหญิงสาวอยู่
นีรนุชมือเย็นเฉียบขึ้นมาทันทีกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เรื่องที่เธอเฝ้าสงสัยและกังวลใจมาตลอดว่ากฤตตะวันขอเอกสารในการลงบัญชีกับงบการเงินของบริษัทไปทำอะไรกระจ่างชัดเพราะคำบอกเล่าของนฤมล กฤตตะวันกำลังให้นักบัญชีตรวจสอบเอกสารกับงบการเงินของบริษัทย้อนหลังโดยไม่ให้ใครรู้ แต่เขาบอกกับคุณเกริกเกียรติว่าอยากจะลองศึกษาหาความรู้เรื่องบัญชีเท่านั้น กฤตตะวันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพราะแม้แต่กับอาแท้ๆ เขายังไม่ยอมบอกความจริงว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

“เจ้าของร้านหนังสือจะตรวจสอบบัญชีได้ยังไง” นีรนุชพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติขณะที่พูดกับน้องสาว

“ตรวจได้ค่ะ แพรเล่าว่าก่อนจะมาเปิดร้านขายหนังสือพี่ต้าเคยทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีของธนาคาร...แล้วพี่ต้าก็เป็นนักบัญชีอิสระด้วยนะคะ”

“เอ่อ...ร้านหนังสือนี้ชื่อว่าอะไรนะ แล้วตั้งอยู่แถวไหนเผื่อฉันผ่านจะได้แวะเข้าไปอุดหนุนบ้าง”

นีรนุชถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยทั้งที่ขณะนี้ภายในใจกำลังร้อนรุ่มและกังวลอย่างหนัก

“ชื่อร้านมุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์ ค่ะ อยู่หน้าหมู่บ้านทาวน์เลิฟ...”

พอได้คำตอบนีรนุชก็ผลุนผลันขอตัวกลับทันที โดยอ้างกับน้องสาวว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานด่วนต้องรีบกลับไปทำต่อ นฤมลเลยได้แต่มองตามหลังพี่สาวไปด้วยสายตางุนงงและไม่เข้าใจก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าสุดแสนเซ็งเพราะว่าเธอต้องรับประทานอาหารเย็นตามลำพังอีกแล้ว

หลังจากขับรถออกมาจากบ้านไกลพอสมควรแล้วนีรนุชก็จอดรถเข้าข้างทาง ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคนและกรอกเสียงพูดลงไปอย่างร้อนรนทันทีเมื่อคนทางปลายสายกดรับ

“พวกเรากำลังจะเดือดร้อนกันหมดแล้ว ตอนนี้นายกฤตตะวันกำลังแอบให้นักบัญชีตรวจสอบบัญชีบริษัทย้อนหลังอยู่”

“เธอก็หาทางจัดการไปสิจะโทรมาบอกฉันทำไม ฉันจะช่วยอะไรได้ในเมื่อตอนนี้ฉันยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตำรวจอยู่เลย ในขณะที่เธออยู่อย่างสุขสบายในบ้านหลังใหญ่ให้นายเกริกเกียรตินอนกกนอนกอดทุกคืน” คนทางปลายสายบอกมาอย่างไม่แยแส
นีรนุชพยายามข่มกลั้นความรู้สึกอยากจะร้องกรี๊ดใส่อีกฝ่ายเพราะความโมโหอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะกัดฟันพูดไปด้วยแววตาเจ็บช้ำว่า

“คุณลืมไปแล้วรึไงว่าคุณเป็นคนส่งฉันไปให้คุณเกริกเกียรตินอนกกเอง แล้วคุณก็รู้เห็นเป็นใจกับทุกเรื่องที่ฉันทำ ส่วนแบ่งคุณก็เอาไปปรนเปรอผู้หญิงของคุณทุกครั้ง ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าคนที่นายกฤตตะวันให้ตรวจสอบบัญชีตรวจเจออะไรขึ้นมาพวกเราทุกคนได้ติดคุกกันหมดแน่ๆ เพราะฉะนั้นคุณต้องช่วยฉัน” ท้ายประโยคน้ำเสียงของนีรนุชเน้นหนักและเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ได้ๆ ถ้าเธอมีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกมาแล้วกัน” คนทางปลายสายพูดจบก็กดวางสายทันที

นีรนุชก้มหน้าลงซบกับพวงมาลัยรถนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางพึมพำด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว

“ฉันจะไม่มีวันยอมติดคุกเด็ดขาด”

ศันลิตาวางโทรศัพท์มือถือของตนเองลงบนโต๊ะแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หลังจากที่เธอพยายามโทรศัพท์ไปยังบริษัทค้าวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่งตั้งแต่เช้า จนกระทั่งถึงตอนนี้เกือบสิบครั้งแล้วปรากฏว่าไม่มีคนรับสายเลยสักครั้งทั้งที่ยังอยู่ในเวลาทำงาน

เหตุผลที่ทำให้หญิงสาวพยายามโทรศัพท์ไปยังบริษัทแห่งนี้ก็เพราะว่าหลังจากที่ได้ตรวจสอบเอกสารในการลงบัญชีของสัตยา เรียลเอทสเตท มานานหลายวันทำให้เธอเริ่มรู้สึกสงสัยเรื่องการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง เพราะก่อนหน้านั้นทางบริษัทสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังน่าเชื่อถือเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการค้าวัสดุก่อสร้างมาช้านาน
แต่เพิ่งลดปริมาณการสั่งซื้อจากบริษัทใหญ่แห่งนั้นเปลี่ยนมาสั่งซื้อจากบริษัทอีกแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อเสียงและไม่น่าจะได้รับความเชื่อถือเลยด้วยซ้ำ แต่ทางบริษัทกลับสั่งซื้อสินค้าในแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินที่สูงมากตลอดระยะปีเศษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากในความรู้สึกของศันลิตา

หญิงสาวเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังห้องซึ่งขณะนี้เข็มชี้บอกเวลาบ่ายโมงเศษ ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดโทรออก

“คุณคิดถึงผมมากรึไงคุณ ถึงได้โทรมาหาผมตอนนี้” เสียงกฤตตะวันถามกระเซ้าเย้าแหย่มาจากปลายสายทันทีที่กดรับ ศันลิตาค้อนคนที่อยู่ปลายทั้งที่รู้ว่าเขาไม่เห็นพลางพูด
“ไม่ใช่ค่ะ ที่ฉันโทรหาคุณเพราะอยากจะถามเรื่องงานต่างหาก”

“คุณจะถามอะไรครับ” กฤตตะวันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการเมื่อหญิงสาวพูดถึงเรื่องงาน

“ฉันอยากจะรู้ว่าปีกว่าๆ ที่ผ่านมาบริษัทคุณมีนโยบายลดต้นทุนวัสดุก่อสร้างรึเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถึงลดการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากบริษัทที่น่าเชื่อถือมาเป็นบริษัทโนเนมแทน”

“บริษัทผมไม่มีนโยบายแบบนั้นนะคุณ ความจริงผมก็เห็นบิลสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างพวกนั้นเหมือนกัน แต่ผมตรวจดูรายการแล้วเห็นว่าวัสดุก่อสร้างตรงตามมาตรฐานทุกอย่างก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร เท่าที่ผมรู้ก็คือนายสรัชวิศวกรดูแลโครงการกับนายอนันต์หัวหน้าคนงานก่อสร้างที่กำลังหลบหนีคดีอยู่เป็นคนสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากบริษัทนั้นนะ มีอะไรผิดปกติรึเปล่าคุณ”

“มีสิคุณ เพราะวันนี้ฉันลองโทรศัพท์ไปตามเบอร์โทรที่อยู่ในบิลตั้งหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับสายเลยทั้งที่เป็นเวลาทำงานฉันรู้สึกแปลกๆ คิดว่าบริษัทนี้อาจจะจดทะเบียนตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อเปิดขายบิลโดยไม่ได้ประกอบกิจการจริง แล้วคนของคุณสองคนที่หนีไปก็คงจะได้รับผลประโยชน์หรือส่วนแบ่งจากบริษัทนี้ด้วย ยังไงคุณช่วยรีบตรวจสอบดูหน่อยนะคะว่าบริษัทนี้มีอยู่จริงรึเปล่า” ศันลิตาบอกชายหนุ่มยืดยาว

กฤตตะวันรับปากว่าจะรีบจัดการตามที่หญิงสาวบอก พร้อมทั้งขอให้ศันลิตาช่วยส่งอีเมลตัวอย่างบิลสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างมาให้ด้วยเพื่อที่เขาจะได้ให้เลขานุการส่วนตัวนำไปตรวจสอบที่ตั้งของบริษัทแห่งนั้นว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

นีรนุชขับรถเข้าไปจอดที่หน้าร้านขายยาของโครงการทาวน์เลิฟในตอนค่ำวันหนึ่งหลังจากที่ขับรถมาวนดูลาดเลาอยู่หลายวัน แล้วเดินขึ้นไปซื้อยาแก้ปวดศีรษะก่อนจะขออนุญาตจอดรถที่หน้าร้านขายยาสักครู่หนึ่งเพื่อไปซื้อหนังสือที่ร้านมุมสบายฯ ซึ่งเภสัชกรหญิงประจำร้านก็อนุญาตอย่างมีน้ำใจ จากนั้นหญิงสาวก็เดินไปจนกระทั่งถึงจุดกลับรถที่อยู่ติดกับร้านมุมสบายฯ แล้วนีรนุชก็เห็นรถของกฤตตะวันจอดอยู่ที่หน้าร้านหนังสือ ส่วนเจ้าตัวกำลังยืนยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าที่กำลังเดินเข้าร้านอยู่ด้านในใกล้กับประตู

“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับคุณ” เสียงทักถามที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้นีรนุชถึงกับสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสมาร์ทหุ่นนักกีฬา ผิวขาว หน้าตาคมคาย

“เอ่อ คือ…” นีรนุชอ้ำอึ้งพลางคิดหาคำตอบ “อ้อ ฉันจะเดินมาดูว่าร้านหนังสือใกล้จะปิดรึยังน่ะค่ะ พอดีว่าฉันจอดรถไว้ที่หน้าร้านขายยา” ในที่สุดนีรนุชก็หาทางเอาตัวรอดจนได้

“ร้านหนังสือปิดสองทุ่มครับ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือตนเองขึ้นดูพลางพูด “ตอนนี้ทุ่มครึ่งแล้วถ้าคุณจะเข้าไปซื้อหนังสือคงต้องรีบหน่อยนะครับ”

“เหรอคะ ถ้างั้นเอาไว้ฉันค่อยมาใหม่วันหลังดีกว่าค่ะ เพราะเลือกหนังสือคงต้องใช้เวลานาน ขอบคุณมากนะคะ” เมื่อพูดจบและกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มเรียบร้อยนีรนุชก็รีบเดินกลับไปที่หน้าร้านขายยาทันที

ศันลิตาซึ่งเพิ่งจะเดินออกมาจากหลังร้านเพื่อเตรียมช่วยศิริวรรณกับกฤตตะวันปิดร้านยิ้มเล็กน้อยพร้อม ทั้งเอ่ยทักทายชายหนุ่มร่างสูงที่ผลักประตูร้านเข้ามาอย่างคุ้นเคย

“สวัสดีค่ะพี่เชส มาค่ำจังนะคะ”

“สวัสดีครับ ต้าใกล้จะปิดร้านแล้วใช่มั้ย” ชายหนุ่มถาม

“ค่ะ แต่ถ้าพี่เชสจะเลือกหนังสือก็ตามสบายเลยนะคะ สำหรับพี่เชสไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ศันลิตาบอกชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยไม่ทันสังเกตว่ากฤตตะวันกำลังยืนเขม่นมองมาด้วยแววตาไม่พอใจอยู่

“ขอบคุณครับ วันนี้พี่ไม่ได้มาซื้อหนังสือหรอก แต่มีเรื่องอยากจะมาเตือนต้าหน่อย”

“พี่เชสจะมาเตือนต้าเรื่องอะไรเหรอคะ” ศันลิตาเริ่มสงสัยว่ามีข่าวลืออะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับเธออีกรึเปล่า เพราะปกติแล้วชาริลชายหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของร้านเชสคาเฟ่จะไม่เคยมีสีหน้าเคร่งเครียดมากมายขนาดนี้

ชาริลเล่าว่าเมื่อครู่เขาเดินกลับจากร้านแจ็คโมดิไฟด์แล้วว่าพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนชะเง้อมองเข้ามาในร้านของศันลิตาโดยอ้างว่ามาดูว่าร้านหนังสือปิดหรือยัง เมื่อชายหนุ่มบอกว่าร้านปิดสองทุ่มหญิงสาวคนนั้นก็บอกว่าวันหลังจะมาใหม่แล้วรีบเดินจากไปทันที

“ไม่ใช่คนแถวนี้เหรอคะพี่เชส” ศันลิตาถามเมื่อชาริลเล่าจบ

“ไม่ใช่นะ เพราะพี่ไม่คุ้นหน้าเลย ยังไงต้าก็ระวังหน่อยแล้วกันสมัยนี้คนหน้าตาดีแต่งตัวดีก็ไว้ใจกันไม่ค่อยได้หรอก พี่ไปล่ะ”

“ขอบคุณมากนะคะพี่เชส” ศันลิตากล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มรุ่นพี่พร้อมทั้งเดินตามออกไปส่งเขาถึงหน้าร้าน แต่พอเดินกลับเข้ามาในร้านเธอก็เจอกับคนร่างสูงที่กำลังยืนกอดอกทำหน้าถมึงทึงรออยู่ทันที

“หมอนั่นใครยืนคุยกันกระหนุงกระหนิงเชียว อย่าบอกนะว่าเค้ามาจีบคุณเหมือนกับนายศุภโชค” กฤตตะวันถามเสียงเข้ม

“บ้าสิคุณ นั่นพี่เชสเจ้าของร้านเชสคาเฟ่ที่อยู่ติดกับร้านซักรีดของพี่พร เค้าไม่ได้มาจีบฉันแต่มาเตือนให้ระวังเพราะเมื่อกี๊เห็นมีผู้หญิงท่าทางแปลกๆ มายืนด้อมๆ มองเข้ามาในร้านก็เท่านั้นเอง” ศันลิตาอธิบาย

“ถ้ามีคนมาด้อมๆ มองๆ แบบนี้คุณกับพี่วรรณต้องระวังล็อคประตูหน้าต่างให้ดีนะ” กฤตตะวันบอกหญิงสาวด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“ปกติฉันกับพี่วรรณระวังเรื่องล็อคประตูหน้าต่างอยู่แล้ว แต่คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกคุณ เพราะที่นี่มีแต่หนังสือทั้งนั้นส่วนเงินฉันก็ไม่ได้เอาเก็บไว้ในร้านมากมายอะไร”

“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน แต่ผมเป็นห่วงคุณกับพี่วรรณมากกว่าเพราะพวกคุณเป็นผู้หญิงอยู่กันแค่สองคน คุณต้องระวังตัวมากๆ เลยนะต้า” กฤตตะวันบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใยจริงจัง จนคนฟังอดที่จะรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยของเขาไม่ได้

“ขอบคุณมากนะคะที่คุณเป็นห่วงฉันกับพี่วรรณ ฉันจะระวังตัวค่ะ”

กฤตตะวันเอื้อมมือมาจับมือหญิงสาว ดวงตาเรียวรีคู่คมฉายแววเจ้าเล่ห์เมื่อพูดว่า

“ถ้าคุณจะให้ผมหายห่วงจริงๆ ให้ผมย้ายมาอยู่กับคุณดีมั้ย”

ศันลิตาทำตาโตกับประโยคแฝงความนัยที่ทำให้ใบหน้าเนียนสวยถึงกับร้อนวูบวาบของชายหนุ่มพลางยกฝ่ามือขึ้นฟาดแขนเขาแล้วต่อว่าอย่างหมั่นไส้

“คุณนี่จริงๆ เลย”

“โอ๊ย! ทำไมคุณต้องลงไม้ลงมือกับผมด้วยล่ะ ยังไม่ทันแต่งงานกันเลยเริ่มซ้อมสามีแล้วเหรอคุณ” กฤตตะวันแกล้งร้องโอดครวญทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากมายเลยสักนิด

“ก็เพราะคุณเจ้าเล่ห์แสนกลแบบนี้ไงฉันถึงต้องลงไม้ลงมือ” ศันลิตาว่าแล้วทำท่าจะตีแขนเขาอีกรอบ แต่กฤตตะวันก็เบี่ยงตัวหลบได้ทัน แล้วจากนั้นก็กลายเป็นว่าชายหนุ่มพยายามเย้าแหย่ให้หญิงสาวไล่ตีตนเองอย่างสนุกสนานไปรอบร้านเหมือนเด็กๆ

“อะแฮ่ม! ถึงเวลาปิดร้านแล้วจ้า เลิกเล่นได้แล้วนะจ๊ะเด็กๆ ทั้งสอง” ศิริวรรณส่งเสียงแซวมาทำให้สองหนุ่มสาวต้องหยุดเย้าแหย่กันทันทีแล้วส่งยิ้มไปให้ศิริวรรณด้วยสีหน้าเก้อเขินเพราะลืมไปว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เคาเตอร์เก็บเงิน

บ้านสัตยาภิเบศร์วันนี้มีสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารค่ำทั้งหมดสี่คนคือคุณเกรียงไกร คุณวารุณี เกศวรางค์ และคุณเกริกเกียรติซึ่งแวะมาร่วมรับประทานอาหารที่นี่เพราะเห็นว่าวันมะรืนนี้เกศวรางค์จะเดินทางกลับอเมริกาแล้ว

“เกศกลับไปอเมริกาแล้วจะกลับมาเมืองไทยอีกเมื่อไหร่ล่ะ” คุณเกริกเกียรติถามขึ้นในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหาร

“เกศกับไมค์จะมาเมืองไทยตอนปลายปีช่วงคริสต์มาสค่ะคุณอา เพราะว่าบริษัทของไมค์หยุดยาว” เกศวรางค์ตอบ

“เอ ว่าแต่กฤตไปไหนกันครับพี่เกรียงพี่ณีป่านนี้ยังไม่กลับบ้านเลย นานๆ จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันซักที” คุณเกริกเกียรติถามพี่ชายกับพี่สะใภ้เมื่อเห็นว่าค่ำมากแล้วแต่กฤตตะวันยังไม่กลับบ้าน

สามคนพ่อแม่ลูกมองสบตากันแล้วยิ้มก่อนที่เกศวรางค์จะเป็นคนตอบคำถามผู้เป็นอาแทนบิดามารดา

“ตอนนี้นายกฤตเค้าติดภารกิจจีบหญิงอยู่ค่ะคุณอา”

“นี่เกศพูดจริงหรือพูดเล่น กฤตนี่นะไปจีบผู้หญิง” คุณเกริกเกียรติทวนถามด้วยสีหน้าฉงนแกมขบขัน

“เรื่องจริงค่ะคุณอา” เกศวรางค์ยืนยัน

“สาวที่ไหนกันนะถึงได้ทำให้ตากฤตจอมขี้รำคาญผู้หญิงไปตามจีบจนมืดค่ำแบบนี้” คุณเกริกเกียรติถามพลางหัวเราะชอบใจเพราะไม่เคยเห็นหลานชายไปตามจีบผู้หญิงคนไหนจนถึงขนาดค่ำมืดยังไม่ยอมกลับบ้านแบบนี้มาก่อน

เกศวรางค์เล่าเรื่องของศันลิตาให้ผู้เป็นอาฟัง เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่กฤตตะวันพบกับศันลิตาบนเครื่องบิน จนถึงขณะนี้ที่กฤตตะวันวางแผนใช้วิธีท้าเดิมพันกับศันลิตาเพื่อให้อีกฝ่ายยอมตอบตกลงเป็นแฟนด้วย แต่หญิงสาวยังคงเก็บเรื่องที่กฤตตะวันให้ศันลิตาช่วยตรวจสอบบัญชีบริษัทเอาไว้เป็นความลับตามที่น้องชายบอก เมื่อฟังหลานสาวเล่าจบคุณเกริกเกียรติก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขันหลานชาย

“ตากฤตนี่เหลือเกินจริงๆ แต่ก็ดีเหมือนกันปีนี้กฤตก็อายุจะสามสิบเอ็ดแล้วจะได้แต่งงานแต่งการซักที พี่เกรียงกับพี่ณีคงอยากจะอุ้มหลานเต็มทนแล้วใช่มั้ยครับ” ท้ายประโยคหนุ่มใหญ่หันมาถามพี่ชายกับพี่สะใภ้ ซึ่งคุณเกรียงไกรกับคุณวารุณีต่างพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนที่คุณเกรียงไกรจะเปรยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ถ้าตากฤตแต่งงานมีครอบครัวก็จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวซักที งานเลี้ยงครบรอบก่อตั้งบริษัทต้นปีหน้าพี่ตั้งใจจะประกาศวางมือแล้วให้กฤตรับหน้าที่บริหารงานในบริษัทแทนพี่ทั้งหมดเสียที เกริกเห็นด้วยมั้ย” ท้ายประโยคคุณเกรียงไกรเอ่ยถามคุณเกริกเกียรติเป็นเชิงปรึกษาหารือ คุณเกริกเกียรติยิ้มพลางตอบ

“ถ้าพี่เกรียงคิดว่าถึงเวลาที่กฤตควรจะเข้ามาบริหารงานเต็มตัวแล้วผมก็เห็นด้วยอยู่แล้วล่ะครับ บอร์ดกไม่น่าจะไม่มีใครคัดค้านนะครับ เพราะทุกคนชื่นชมแล้วก็ยอมรับฝีมือการทำงานของกฤตอยู่แล้ว”

“ยังไงเกริกก็ช่วยสนับสนุนหลานด้วยนะ”

“พี่เกรียงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อบริษัทอยู่แล้ว” คุณเกริกเกียรติรับคำพี่ชายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ว่าแต่นายกฤตจะดีใจรึเปล่านะที่กำลังจะได้รับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่ยิ่งเร็วๆ นี้” เกศวรางค์พูดติดตลก ทำให้ทุกคนพลอยหัวเราะอย่างขบขันไปด้วย

ศันลิตาเดินตามกฤตตะวันมาถึงประตูร้านเพื่อรอล็อคประตูเหมือนเคยหลังจากที่ศิริวรรณเดินขึ้นข้างบนไปแล้ว พอก้าวออกไปยืนอยู่ด้านนอกแล้วชายหนุ่มก็หันมาเตือนหญิงสาวเหมือนเมื่อหลายวันที่ผ่านมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

“คุณอย่าลืมล็อคประตูหน้าต่างให้ดีๆ นะ”

“รู้แล้วเจ้าค่ะคุณกฤตตะวันคุณเตือนฉันมาสี่วันแล้วนะคะ แล้ววันนี้คุณก็เตือนฉันเป็นรอบที่ห้าแล้วด้วย” หญิงสาวบอกอย่างนึกขำ

“ก็ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นี่นา คุณอย่าพูดเล่นสิ” กฤตตะวันพูดเสียงเข้มสีหน้าจริงจัง ศันลิตาเลยส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขาพลางพูด

“ฉันรู้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่คุณเป็นห่วง คุณรีบกลับบ้านเถอะจะได้ไปพักผ่อน”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับเจ้านาย” ชายหนุ่มล้อเลียน แล้วก็ถูกหญิงสาวล้อเลียนกลับไปว่า

“ค่ะคุณพนักงานชั่วคราว”

“ว่าแต่แล้วเมื่อไหร่คุณจะรับผมเป็นพนักงานประจำซะทีล่ะ” อยู่ดีๆ กฤตตะวันก็ถามขึ้นมาดื้อๆ ศันลิตาคิดว่าชายหนุ่มพูดเล่นจึงแกล้งตอบแบบกวนๆ กลับไปบ้าง

“พอดีว่าตอนนี้ร้านฉันยังไม่มีนโยบายรับพนักงานประจำเพิ่มนะคุณ”

“ผมไม่ได้บอกว่าจะมาเป็นพนักงานประจำร้านคุณซักหน่อย” กฤตตะวันพูดหน้าตาเฉย

“อ้าว! แล้วคุณจะเป็นพนักงานประจำอะไร” หญิงสาวถามอย่างงุนงงเพราะตามความคิดชายหนุ่มไม่ทัน กฤตตะวันอมยิ้มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์พลางเอียงตัวมากระซิบบอกศันลิตาเบาๆ

“ผมอยากจะเป็นพนักงานประจำใจคุณไง คุณจะเปิดรับรึเปล่าล่ะ”

“มุกเลี่ยนชะมัด รีบกลับไปบ้านคุณได้แล้ว” ศันลิตาต่อว่าชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เริ่มร้อนวูบวาบใจเต้นแรงขึ้นมาทันทีเพราะความเขินกับคำพูดที่เธอเองบอกว่าเลี่ยน

กฤตตะวันอมยิ้มอย่างเอ็นดูคนที่กำลังไล่เขากลับบ้านเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน พลางแกล้งกระซิบทิ้งทวนให้คนฟังต้องเขินอีกรอบว่า

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าเวลาเขินคุณน่ารักมากเลย” พูดจบคนชอบแกล้งก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้คนถูกแกล้งยืนค้อนตามหลังพลางอมยิ้มด้วยความเขินอยู่คนเดียวกับคำชมที่เขาฝากไว้



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2557, 20:18:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2557, 20:18:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1177





<< ตอนที่ 14   ตอนที่ 16 (อัพเป็นตอนสุดท้ายนะคะเพราะนิยายจะวางแผงแล้วค่ะ) >>
Auuuu 17 มิ.ย. 2557, 20:40:00 น.
เอาแล้วไงงงง รูปเป็นเหตุ


yimyum 17 มิ.ย. 2557, 21:00:10 น.
โอ๊ยๆๆ ยายนุชรู้แล้ว จะซวยม้ายยย~


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account