UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 24 : ไม่แน่ใจ

บทที่ 24

ร่างเล็ก และเจ้าของตักอย่างเขียนจันทร์หลับพิงกัน มีศีรษะของกองพันวางแนบชิดตรงตำแหน่งของหัวใจ ใบหน้าของหญิงสาวและเด็กชายที่หลับสนิทสร้างความอ่อนโยนให้ใจรักษ์ชาติที่เพิ่งจะมีโอกาสถอดหัวตุ๊กตาบนศีรษะออก สายตายังคงหยุดลงที่คนสำคัญในชีวิตทั้งสองของเขา ที่หลับไปเพราะงอแง และอีกหนึ่งที่มัวแต่ปลอบจนอ่อนเพลีย

มันจะดีแค่ไหนหากเขาทำให้ครอบครัวเป็นครอบครัวจริงๆ สักที เวลานี้สำหรับกองพันอาจตกใจกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ แต่ในจิตใจเด็กน้อยก็คงมีคำว่าครอบครัวเติมเต็ม แม้จะรู้ว่าคนหนึ่งเป็นพี่ชาย และอีกคนเป็นผู้หญิงที่พี่ชายรัก แล้วอย่างไรล่ะ...สรรพนามที่กองพันใช้ก็ยังเหมือนเดิม

เขายังเป็น...พ่อ และเขียนจันทร์ยังเป็น...แม่

“กลับวังจักรตรากูลได้เลยใช่ไหมครับ”

เกียรติยศที่นั่งในตำแหน่งข้างคนขับเอ่ยปากถาม รถที่วิ่งแล่นบนถนนทางด่วน ขับชมวิวยาวนานกว่าสามชั่วโมงนับตั้งแต่ออกจากโรงเรียนของกองพัน รถเลี้ยวเข้าไปในซอยหมู่บ้าน รักษ์ชาติยิ้มมุมปาก มองเสี้ยวหน้าสีชมพูของเขียนจันทร์อย่างพอใจ เดี๋ยวนี้เขียนจันทร์แต่งตัวน่ารักขึ้น และก็ชอบทำตัวสนิทสนมกับบดินทร์ภัทรให้เขาต้องคอยนั่งระแวงเป็นประจำ เขียนจันทร์เก่งมากที่ท้ายที่สุด...ทั้งตัวและหัวใจของเขานั้น ยอมให้เขียนจันทร์แต่โดยดีแล้ว

คงไม่มีรักษ์ชาติสมัยอดีตที่คอยแต่จิกกัด ปากร้าย เก่งแต่ทำร้ายจิตใจเขียนจันทร์ ถ้าในวันนี้เขายังกล้าทำแบบนั้นอีก หัวใจเขาเองก็ต้องเจ็บปวด ชายหนุ่มรู้แล้วว่าน้ำตาหรือแค่เสียงสะอื้นของเขียนจันทร์มันบีบคั้นหัวใจเขาแค่ไหน

ประตูวังหลังงามเปิดต้อนรับรถแวนที่ค่อยๆ แล่นเข้าไปอย่างเชื่องช้า และจอดสนิทภายในโรงจอด เมื่อเครื่องดับ เขียนจันทร์ที่หลับสนิทด้วยท่านั่งก็ต้องลืมตาอย่างเกียจคร้าน อาการเหน็บชาบริเวณต้นขาเริ่มอุทธรณ์เบาๆ แต่เธอที่ยังไม่ทันขยับตัว ร่างเล็กบนหน้าตักเธอก็ลอยสูงข้ามตัวเธอไป รักษ์ชาติที่ถอดชุดตุ๊กตาสุนัขออกแล้วเป็นคนยกร่างของกองพันที่งัวเงียอยู่ไปซบไว้ที่บ่าหนาของตัวเอง

“รู้ไหมเขียน หน้าคุณเวลาเพิ่งตื่นนอนมันเซ็กซี่ชะมัด”

คนเพิ่งตื่นถลึงตาดุใส่ผู้ชายตรงหน้าที่กำลังยิ้มอย่างกับมนุษย์หมาป่าเตรียมขย้ำเหยื่อ เขียนจันทร์ส่งเสียงฮึดฮัดก่อนกระโดดลงทางออกอีกทาง ไม่มีอาการง่วงงุนถามหาอีก ร่างระหงเดินลัดเลาะเตรียมเข้าบ้าน แต่การตกแต่งภายในของบ้านทำให้เขียนจันทร์หยุดเท้าไว้ทัน ไฟสีทองสว่างนวลตาห้อยระย้าติดตามสุมทุมพุ่มไม้ เขียนจันทร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลานี้กำลังเย็นย่ำแล้ว หากว่าแสงไฟพวกนี้จะไม่สว่างพ้นในความมืดมา

เตาถ่านย่างบาบีคิวมีแม่บ้านในวังช่วยกันดูแล และโต๊ะกลางสนามหญ้าขนาดย่อมก็มีคนในครอบครัวเธอนั่งอยู่จนครบ แม้แต่บดินทร์ภัทร และโชติรสก็ยังมาร่วมด้วย

บรรยากาศรื่นเริง เสียงหัวเราะดังมาไกลๆ ทำให้หัวคิ้วเขียนจันทร์ขมวดมุ่นกันเป็นโบกลางขมับ ภาพวิจิตรวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา และเขย่ามือคนเป็นพี่ไปมาด้วยสีหน้าร้อนรน

“เกิดอะไรขึ้นน่ะภาพ”

“พ่อแม่กลับมาแต่งงานกัน”

เขียนจันทร์ร้องเสียงหลงด้วยอารามตกใจ และในนาทีต่อมาหญิงสาวก็รู้สึกว่าความดีใจขีดสุดในชีวิตนี้เป็นอย่างไร เสียงพลุจุดดังในสมองของเขียนจันทร์ ร่างระหงกระโดดกอดรัดน้องสาวไว้แน่น หมุนตัวไปมา คล้ายกลับไปเป็นเด็กน้อยในวัยเด็กอีกครั้ง โดยไม่ทันสังเกตว่าน้องสาวนั้นหน้าตาจะยิ้มเจื่อนซีดเซียวขนาดไหน

ร่างพี่สาวที่ตั้งใจจะโผทะยานไปยังใจกลางความรื่นเริงยังโต๊ะกลางสนามนั้น มือของน้องสาวก็รีบตะครุบเกี่ยวแขนของเขียนจันทร์ไว้ก่อน

“มีอะไรภาพ เกิดเรื่องดีๆ กับพ่อแม่เราก็น่าจะดีใจนะ”

“เรื่องพ่อแม่ภาพก็ดีใจ แต่ไม่ต้องมามีเรื่องมงคลกับภาพสิ จะจับภาพหมั้นในวันนี้ด้วย ภาพไม่เอาหรอก”

ปากกระจับเล็กเบะ หน้าตางอง้ำ และตั้งท่าจะหนีหายจากสถานที่นี้เป็นอาการที่ชัดเจนสำหรับการไม่อยากหมั้น เขียนจันทร์ร้องอ้อเบาๆ เธอพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาเลาๆ ไม่เพียงแต่โชติรสที่เธอมองเห็น แขกในงานอีกสองที่เธอดันมองพลาดไปในตอนแรกก็นั่งอยู่นั่นด้วย ท่านหญิง ท่านชาย ท่านพ่อท่านแม่ของคุณชายบดินทร์ภัทรก็นั่งเคียงข้างลูกชายของพวกเขา

“มานี่เถอะภาพ...พี่มีเรื่องวันนี้จะเล่าให้ฟัง ภาพจะตัดสินใจยังไงต่อไปพี่จะไม่ขัดขวางอีก”

“หวังว่ามันจะไม่สั่นคลอนความตั้งใจที่จะไม่หมั้นของภาพนะ” น้องเล็กโอดครวญ เริ่มรู้ชะตากรรมอันรอดพ้นที่ดูเลือนรางเหลือเกินของตัวเอง


พิธีแต่งงานเล็กๆ ที่มีแค่คนในครอบครัว และคนสนิทรู้จักมาร่วมรับประทานอาหารเงียบๆ นี้ดำเนินผ่านไปอย่างราบรื่น เขียนจันทร์ได้รับความสุขมากมายจากรอยยิ้ม และดวงตาอิ่มเอมของพ่อแม่ตัวเอง เธอเกือบลบเลือนไปแล้ว ภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เห็นพ่อแม่มองตากันแล้วมีความสุขนี้ มันนานจนเธอจำเกือบไม่ได้

แต่เมื่อสายตาเธอพบกับภาพวิจิตร หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มปลอบใจน้องสาวที่ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือหลังจากรู้ว่าไรรดาทำร้ายกองพันอย่างไร แม้จริงๆ แล้วเจ้าตัวจะไม่ได้พิศวาสอะไรกับกองพันเลย แต่เมื่อเธอบอกว่าชั่วคราว ภาพวิจิตรจึงยอมช่วยเหลือ

“วันนี้เขียนมีความสุขมากๆ เลยนะคะแม่” สี่พี่น้องเดินล้อมหน้าล้อมหลังบิดามารดาเพื่อมาส่งในบ้านหลังขนาดย่อมที่ศิลปินอยู่ ดาวเดือนจะวางมือในสายงานธุรกิจ และขอเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ จะปล่อยอำนาจในมือให้เขียนจันทร์ดูแลจริงจังเสียที

“วาดเกือบจะเลิกฝันไปแล้วค่ะ” วาดตะวันสำทับ หน้าตานางแบบสาวยิ้มแก้มปริ จะไม่ให้ดีใจอย่างไรไหว งานพ่อแม่ก็หนึ่ง และภาพวิจิตรน้องมาดทอมของเธอก็ถูกจับหมั้นแบบสายฟ้าแลบในวันนี้ด้วยเช่นกันอีก ถึงฝ่ายหลังจะทำไปแบบแกนๆ ก็เถอะนะ

“ยกเว้นไว้คนหนึ่ง...ดูแล้วจะไม่มีความสุข” ประกายพรึกหันไปพูดแหย่ภาพวิจิตร ให้อีกฝ่ายสะบัดหน้างอนตุ้บป่อง

“ไม่ถึงทีตัวเองบ้างแล้วกัน” คนมีคู่หมั้นหน้าหงิกหน้างอ

เขียนจันทร์หัวเราะเบาๆ กอดแขนมารดาไว้เมื่อเดินมาส่งพ่อแม่ถึงหน้าประตู จะมีลูกสาวลูกชายสักกี่คนที่ได้มามีโอกาสพบพ่อแม่ในวันแต่งงานเล็กๆ นี้ พวกเธอสี่พี่น้องถือว่าโชคดีที่ยังได้มีโอกาสเห็นในวันที่พ่อแม่กลับมารักกัน พ่อได้รับซึ่งการให้อภัย

“แม่ดีใจที่ลูกๆ รัก และสามัคคีกันนะ ไม่มีความภูมิใจไหนของพ่อแม่จะมากมายเท่ากับการเห็นลูกๆ โตขึ้นมาเป็นคนดี และพ่อแม่ยังโชคดีที่ลูกๆ ยังรักกัน”

ลูกทั้งสี่นิ่งฟังด้วยรอยยิ้ม พวกเธอภูมิใจในตัวเองมากพอ ที่ผ่านมาแม้ว่าพ่อแม่จะแยกทางกัน แต่พวกเขาสี่คนก็ยังปฏิบัติตัวดีเสมอ ในช่วงเวลาที่พ่อแม่มีปัญหา พวกเขาทั้งสี่กลับยิ่งผูกรักสามัคคีกันมากขึ้น ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี หรืออิจฉา

“ถ้าพวกเราไม่รักกัน...จะให้เราไปรักใครล่ะคะ” เขียนจันทร์บอก ก่อนที่สี่พี่น้องโอบเอว โอบไหล่อวดสายตาพ่อแม่ให้พวกท่านน้ำตาคลอด้วยความปลื้มปีติ

“ลูกๆ คือของขวัญของพ่อกับแม่นะ” ศิลปินยิ้มตอบกลับมา เดินตรงเข้ามาหาเขียนจันทร์ด้วยความตั้งใจ “เขียนรู้ไหมว่าพ่อกับแม่มีวันนี้เพราะใคร...พวกเราอาจจะยังไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ถ้าไม่มีใครคนหนึ่งขอร้องไว้”

ดวงตาคนฟังวูบไหว หากพ่อของเธอเกริ่นเรื่องอะไรทำนองนี้ หรือแม้แต่ใครอื่นๆ ก็ตามพูดถึงบุคคลที่สามที่มักยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ ในเวลานี้เธอนึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจาก...รักษ์ชาติ

“คุณ...เขาไม่ให้บอก” ดาวเดือนรีบห้ามปราม แต่เหมือนจะไม่ทันการ เพราะสีหน้าแปลกแปร่งของบุตรสาวบอกชัดว่าเจ้าตัว ‘รู้’ ว่าใครขอร้อง

บรรยากาศชื่นมื่นชะงักกลางคันไป วาดตะวันรีบจัดการสถานการณ์ด้วยการส่งพ่อแม่เข้าไปในบ้าน ประกายพรึกรีบหลบฉากขอตัวกลับไปทำงาน ปล่อยให้สามสาวพี่น้องเคลียร์ปัญหารักๆ กันเอง เขามันผู้ชาย ขืนพูดในมุมมองผู้ชาย เดี๋ยวจะหาว่าเข้าข้าง

“ภาพเลิกทำหน้าหงิกหน้างอได้แล้ว วันนี้งานมงคลของพ่อแม่เรา ไหนจะยังของภาพอีก”

ภาพวิจิตรทำหน้ารับไม่ได้ ซ่อนมือข้างขวาไว้ด้านหลัง ที่เจ้าตัวถึงกับอ้อนวอนกับคนอื่นว่าถึงจะยอมหมั้น แต่นิ้วนางที่สวมแหวนเพชรเม็ดเล็กสีน้ำเงินต้องเป็นนิ้วนางข้างขวาเท่านั้น เธอเข้าใจความจำเป็นในเรื่องที่บดินทร์ภัทรต้องการให้อดีตคนรักยอมรามือ และกลับไปอังกฤษโดยเร็ว ตอนรู้ว่าฝ่ายนั้นถึงกับรังแกเด็ก เธอเองยังรู้สึกโกรธ

แต่ในเวลานี้เธอก็ยังไม่มั่นใจว่ามันคุ้มค่าไหม

“ภาพไปนอนก่อนดีกว่า...ง่วง ไม่อยากคิดอะไรอีก” หน้าตาไม่รื่นรมของน้องสาวเริ่มสร้างความรู้สึกผิดในใจของเขียนจันทร์ คนเป็นพี่ทั้งสองสบตากัน เก็บกลั้นอาการถอนหายใจไว้ยามมองน้องสาวเดินลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่

“เขียนต้องบาปแน่ๆ ที่ไปลากน้องมาเดือดร้อน แต่มันก็แค่ชั่วคราว คุณชายเขากำลังทุกข์ มีทางไหนที่จะทำให้คุณไรรดายอมแพ้ ก็ต้องทำ”

“ยุ่งกับคนใหญ่คนโตนี่มันทรมานดีนะ...ชีวิตวุ่นวายได้ตลอด” วาดตะวันแค่นเสียงประชด เพราะไม่มีใครลืมช่วงเวลาที่ต้องผจญกับเสี่ยหลง ชีวิตไม่ต่างจากแขวนอยู่บนเส้นด้าย

“เราปลีกวิเวกกันดีไหมคะ” เขียนจันทร์เหม่อมองฟ้าพร่างดาวด้วยหัวใจที่ไม่ค่อยจะสงบสักเท่าไหร่ การได้เรียนรู้ชีวิตในช่วงเวลาที่ได้กลับมาอยู่ในไทยถาวรนั้น มีบทเรียนมากมายได้สอนให้เธอเติบโตขึ้น และบทเรียนมากมายเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นที่จะต้องมีรักษ์ชาติมาเอี่ยวด้วยเสมอ

...เขาไม่เคยคิดปล่อยให้เธอต้องผจญปัญหาคนเดียวเลยหรือไง เขาน่ะเป็นทั้งตัวปัญหา และตัวแก้ปัญหาของเธอ

“พี่มันกิเลสหนา ยังไม่คิดปลีกวิเวกหรอก ส่วนเธอ จะต้องกลัวอะไรอีก คนหนุนหลังเธอก็ใช่ย่อยที่ไหน”

คำว่าคนหนุนหลังทำคนฟังต้องกลอกตาด้วยไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับความรู้สึกอีนุงตุงนังภายในใจนี้ดี มันเหมือนพร้อมจะให้อภัย แต่ในใจลึกๆ ก็เหมือนจะกลัวบางอย่างจนไม่กล้าทุ่ม

“เขาก็ดีแต่วุ่นวายกับชีวิตเขียน ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป”

“แล้วถ้าเกิดเขาไม่อยู่ให้ไล่อีก เขียนจะเสียใจไหม” วาดตะวันพูดด้วยความใจเย็น ที่ผ่านมาในนาทีแรกที่เธอรู้ว่ารักษ์ชาติทำเขียนจันทร์เสียใจด้วยการปิดบังเรื่องราวมากมายนั้น เธอก็โกรธแทน และไม่ต้องการให้เขียนจันทร์เสียใจอีก แต่พอเวลาผ่านมา เธอพบว่าในแววตาของรักษ์ชาติมีความจริงใจให้กับเขียนจันทร์ และรู้จักปรับปรุงตัว แม้จะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นรูปลักษณ์ใหม่ที่หัดคิดถึงจิตใจผู้คนมากขึ้น

ในเมื่อฝ่ายนั้นพยายามหลายๆ อย่างเพื่อเขียนจันทร์ เธอก็พร้อมไฟเขียนให้รักษ์ชาติ การตั้งป้อมขวาง มันไม่ได้มีความสุขหรอก

“เขียนไม่เจอเขามาเป็นปีๆ ไม่ยักจะตาย”

“เราก็รู้ใช่ไหมว่าอะไรๆ มันไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกก่อนหลังที่เขียนจะกลับมาไทย ก็คงมีแต่เขียนที่รู้ว่าอะไรที่เปลี่ยนไป...จริงไหม” วาดตะวันตบบ่าน้องสาวอย่างคนเชี่ยวชาญ “ถ้าไม่รักก็บอกออกไป พี่รู้ว่าพี่ขุนพร้อมจะทำตามทุกคำสั่งของเขียน แต่ถ้ารักก็เลิกตั้งป้อมเถอะ ความรักมันก็เหมือนซื้อหุ้น เราไม่มีวันรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า หุ้นที่เราซื้อมันจะขึ้นหรือเปล่า หรือมีตัวแปรอื่นมาทำให้มูลค่าของมันลดลง แต่ถ้าหัวใจเรามั่นคง และเชื่อ ก็ลองดูเลย ในชีวิตนี้มีคนมากมายนะเขียนที่เลือกพลาด แต่แค่ได้ลองรัก คนบางคนยังพูดไว้ว่าอกหักดีกว่ารักไม่เป็น อนาคตก็ส่วนอนาคต มองในวันนี้ดีกว่านะเขียน”

เขียนจันทร์เงียบด้วยไม่รู้จะต่อประโยคพวกนั้นอย่างไร ในเวลานี้หัวใจเธอยังไม่ชัดเจน ไม่ใช่ไม่รัก...แต่มันกลัวที่จะก้าวขาไปข้างหน้า ชีวิตของเธอจะแตกต่างไปจากวันนี้มากแค่ไหน หรือจะทุกข์หนักกว่าเดิม

เธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว


ร่างสูงของคุณหมอยืนมองมาพอให้รู้ว่าหญิงสาวจะหนีต่อไปอีกไม่ได้ เท้าเล็กในรองเท้าผ้าใบแสนคล่องตัวจึงมุ่งหน้าเดินไปหา ในช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่ต่างแยกย้ายกันไปหมด เหลือเพียงแม่บ้าน และคนงานในบ้านช่วยกันเก็บของบริเวณสนามหญ้า

“พี่ขอโทษนะคะที่ทำให้วันนี้เป็นวันแย่ๆ ของน้องภาพ”

ภาพวิจิตรยกมือเบรกเอี๊ยด หน้าตาไม่ได้ดีขึ้น และแสดงออกชัดเจนว่าไม่ปลื้มแค่ไหน

“ฉันมีพี่อยู่แค่สามคน คนอื่นไม่นับ แล้วคุณน่ะเพศไหน มาพูดคะขา ฮึ่ย...ขนลุก ขนาดพี่ๆ ของฉันยังไม่สุภาพขนาดนี้เลย ไม่ต้องมาไพเราะกับฉันขนาดนั้น ไพเราะแต่ปากสิไม่ว่า”

วาจาเหน็บแนมไม่ปิดบังความไม่ชอบใจทำคนฟังอึ้ง ภาพวิจิตรเลิกคิ้วมอง โบกมือที่สวมแหวนไปมาอย่างกับมีมดไต่หนึบหนับ “จัดการปัญหาเสร็จก็รีบๆ มาเก็บแหวนคุณไปด้วย”

บดินทร์ภัทรกอดอก มองท่าทางรังเกียจของผู้หญิงมาดทอมบอยด้วยความพินิจพิเคราะห์ “มีใครรอน้องภาพอยู่หรือเปล่า พี่จะได้ไปคุยกับเขาให้ว่าขอยืมตัวน้องภาพชั่วคราว”

คนควงเดือนหล่อของรุ่นใช้สายตาฟาดฟัน ฮึดฮัดหนักขึ้น “คงเข้าใจหรอก ถ้าคุณปีนเขา บุกป่าฝ่าดงได้ก็ไปหาสิ เขาไปสำรวจป่าอยู่ทางภาคเหนือ สภาพอย่างนี้อย่าว่าแต่ขึ้นเขาเลย เดินห้ากิโลก็น่องปูดแล้ว” ภาพวิจิตรเก็บความขุ่นใจไว้ เนื่องจากอีกฝ่ายยังคงแทนตัวอย่างสนิทสนม และใช้น้ำเสียงได้อย่างนุ่มหู ทำเอาเธอที่อยากออกฤทธิ์ออกเดชต้องจำสงบเสงี่ยมให้ทั้งที่อยากเดินกระแทกเท้าหน้าตึงเสียมารยาทสุดๆ ต้องเก็บอาการไว้

“ไว้ว่างๆ ก็ขึ้นไปด้วยกันได้ พี่ลางานไปเลยก็ได้”

“เคลียร์ปัญหาตัวเองให้จบก่อนเถอะ” ภาพวิจิตรหน้าหงิกที่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุมไม่ได้ “มีอะไรอยากคุยกับฉันอีกไหมคะ จะบอกให้ระวังระเบิด โดนดักยิงอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า”

“ยาหยีเขาไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”

“รังแกเด็กได้ ก็ร้ายพอตัวล่ะน่า แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ไม่มีอะไรให้เล่นมาก” ภาพวิจิตรไหวไหล่ เบะปากเล็กน้อย ก่อนยกมือปัดวาดอากาศไปแบบแกนๆ “ไปล่ะนะ วันไหนเรื่องจบรีบๆ มาเอาแหวนคืนไปด้วย”

เขียนจันทร์แทบไม่กล้าเดินขึ้นมาแสดงตัวให้บดินทร์ภัทรเห็น อีกฝ่ายจะมองหน้าเธออย่างไรที่น้องสาวเธอนั้นออกอาการไม่ชอบใจกับการมัดมือชกในงานนี้

“ขอโทษนะคะคุณชาย...ยัยภาพเสียมารยาทมากเลย” เขียนจันทร์ค่อยส่งเสียงนำตัว หลังจากเห็นน้องสาวเดินเข้าห้องไปแล้ว

บดินทร์ภัทรหัวเราะเบาๆ ไม่ถือสา “ก็ดีนี่คะ...ที่น้องภาพเป็นแบบนี้ เกลียดก็บอกว่าเกลียด ไม่มีหน้ากากดี”

“ก็นั่นแหละค่ะ...ถ้าจบเรื่องคุณไรรดา ภาพก็คงดีกับคุณชายเองนะคะ”

ชื่อของไรรดาสร้างร่องรอยเจ็บปวดผ่านทางดวงตาอันเรียบเฉยของบดินทร์ภัทร คุณหมอต้องอาศัยความมืดเป็นเกราะกำบังความรู้สึก และฝืนยิ้มออกมา

“พี่ดีใจที่เห็นน้องเขียนมีความสุขนะคะ”

“เขียนอยากให้คุณชายมีความสุขเหมือนกันนะคะ”

“ไม่นานหรอกค่ะ ปัญหาของพี่มันกำลังจะจบลงแล้ว” บดินทร์ภัทรยิ้มลา ก่อนจะเดินจากไปยังรถของตัวเอง เขียนจันทร์ถอนหายใจด้วยความอึดอัด เธอไม่รู้ว่าตัวเองแก้ปัญหาให้ใครได้ไหม แต่เธอก็พยายามที่จะช่วยเท่าที่จะช่วยได้แล้ว

ร่างระหงทรุดตัวนั่งลงตรงขั้นบันไดทางขึ้นบ้าน เหม่อมองความมืดบนฟากฟ้าที่เห็นเพียงแสงดาวระยิบระยับดวงเล็ก

“เห็นผมไหม...ผมกำลังมองคุณอยู่” หน้าตาคมเข้มที่บดบังทัศนียภาพการมองของเขียนจันทร์ด้วยหน้าตายิ้มเบิกบานในท่ายืนก้มหัว ระยะห่างระหว่างสองใบหน้าห่างกันไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดสร้างจังหวะแปลกในหัวใจเขียนจันทร์ หญิงสาวระงับอาการแปลกแปร่งในใจที่คล้ายจะกระดอนไปหาเขาอยู่เรื่อยให้มั่นคง

“แป้นแล้น” เขียนจันทร์บ่นอุบอิบ รีบเบือนหน้าไปทางอื่น พยายามไม่รับรู้ว่ามีร่างตัวโตนั่งลงเคียงข้างในระยะที่ขนแขนเธอสัมผัสกระแสอุ่นมาจากร่างของเขาได้

“ดีใจเรื่องพ่อแม่ของคุณด้วยนะ...ความฝันคุณเป็นจริงสักที จริงไหม”

ทำไมไม่บอก... คำที่หญิงสาวอยากจะถามเขา แต่ก็เก็บเงียบดังเดิม เธอรู้ว่าทุกอย่างที่รักษ์ชาติทำ ล้วนมีเธอเป็นที่ตั้ง หัวใจของเธอรับรู้ได้ดี

“ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณผมเรื่องไหนล่ะ ผมทำอะไรให้คุณตั้งเยอะแยะ” คนขี้อวดยืดไหล่ หน้าตาโอ้อวดได้น่าหมั่นไส้

เขียนจันทร์หลุดหัวเราะออกมา วางมือทาบไปบนมือหนา ซึ่งร่องรอยตกอกตกใจ ประหลาดใจในดวงตาคู่คมของเขาเป็นประกายออกมาทำให้หญิงสาวรู้สึกตลก แต่เมื่อสายตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน มองเธอด้วยรอยยิ้มซึ้ง หัวใจเธอเองที่เสียจังหวะการเต้นไป

“เรื่องวันนี้” เขียนจันทร์อยากจะปล่อยให้อีกฝ่ายเริ่มออกอาการร้อนตัว กับการแอบทำความดีลับหลังเธอ แต่เธอถือว่าเธอรู้...และจะปกปิดให้เจ้าตัวนึกกระหยิ่มยินดีกับการปิดทองหลังพระต่อไป “ที่คุณแต่งตัวเป็นหมาน่ะ มันเหมาะกับคุณนะ เสียแต่ว่าคุณไม่ยอมเห่า”

เขียนจันทร์นึกถึงร่างเล็กของกองพันที่หลับ หมดแรงไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน และจะให้กองพันไปโรงเรียนอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เธอไม่อยากให้กองพันกลายเป็นเด็กหนีปัญหาอย่างที่เธอชอบทำ และการให้กองพันเข้าโรงเรียนช้าอาจจะมีปัญหาในเรื่องการสร้างสัมพันธ์กับเพื่อน ถึงแม้เธอจะค่อนข้างมั่นใจว่ากองพันเป็นเด็กเก่ง และน่ารัก แต่เธอก็ยังอยากให้กองพันได้อยู่กับเพื่อนๆ บ้าง

เขาน่าจะได้รับความเข้มแข็ง และแกร่งมาจากรักษ์ชาติพอสมควร...

“โฮ่ง...โฮ่ง โฮ่ง” รักษ์ชาติกุมมือบางไว้ ก่อนจะเปล่งเสียงเห่าห้าวๆ ออกมา

“จะบ้าเหรอคุณ”

มือบางที่ถูกกุมไว้ยกขึ้นทาบแก้มสาก รักษ์ชาติลอยหน้าลอยตาเห่าอย่างต่อเนื่อง “โฮ่ง โฮ่ง...”

“พอแล้ว คุณไม่อายฉันอาย”

“รู้ด้วยเหรอว่าผมกำลังบอกรักคุณ” รักษ์ชาติเอียงแก้มถูไปมากับมือนุ่ม ดวงตาคอยจ้องมองหน้าเนียนที่ผิวเริ่มขึ้นสีแดงอ่อนได้อย่างน่ามอง

“พอแล้วน่า...คนบ้า!” เขียนจันทร์ชักมือกลับ ข่มความอายไว้ ในใจอยากจะยกมือทาบแก้ม ปิดบังความหวั่นไหวของตัวเอง ถึงจะรู้ว่าการทำตัวปกติมันไม่แนบเนียน และไม่มีทางรอดพ้นจากการสังเกตของรักษ์ชาติเลยก็ตาม

รักษ์ชาติหัวเราะครืนอย่างอารมณ์ดี ดวงตาระยิบระยับของเขาสวยไม่แพ้ดวงดาวบนท้องฟ้านั่นเลย เขียนจันทร์ได้แต่บังคับให้ตัวเองเลิกสบตาเขา และหัวใจที่มันคอยแต่จะร้องเรียกหาเขาให้เงียบ และเต้นเป็นจังหวะปกติสักที...แต่ยิ่งสั่ง หัวใจเธอกลับไม่ฟังเสียเลย

“คุณมีวันหยุดเมื่อไหร่เหรอเขียน”

“ถามทำไม” คนไม่รู้วันหยุดของตัวเองเมินคำถามนั้น เห็นสีหน้าไม่ถือสาหาความของเขาก็รู้สึกผิดนิดหน่อย “เกี่ยวกับน้องขุนหรือเปล่า”

“ถ้าเกี่ยวกับผมคุณจะปฏิเสธทุกอย่างใช่ไหม” รักษ์ชาติเอียงหน้าถาม รอยยิ้มยังประดับ “โชคร้ายหน่อย ที่คำถามนี้มาจากความต้องการของผม”

“ถ้าฉันปฏิเสธซ้ำๆ ตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ คุณจะไม่ถอดใจบ้างเหรอ”

“ไม่มีวัน...จนกว่าคุณจะบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่มีทางเป็นไปได้ และคุณจะหันหลังให้กับเสียงเรียกร้องของใจตัวเอง ถ้าความสุขของคุณคือการไม่ฟังเสียงใจตัวเอง ผมก็ยินดีไปจากคุณ”

คนฟังย่นจมูก มองค้อนคนรู้ดี กูรูไปเสียทุกเรื่อง ขอให้เรื่องนั้นเป็นเรื่องของเธอเถอะ รักษ์ชาติทำอย่างกับมานั่งอยู่กลางใจของเธอ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะเดาพลาด เขาเดาถูกทุกอย่าง...เพราะเขามานั่งอยู่ในใจเธอจริงๆ เธอถึงออกปากปฏิเสธคำโอ้อวดหลงตัวเองของเขาไม่ได้

“มีคนเคยบอกไหมว่าคุณเป็นมนุษย์น่าหมั่นไส้ที่สุด”

“จากปากคนอื่นผมอาจต่อย...แต่ถ้ามันออกมาจากปากคุณ ผมว่ามันฟังดูดีนะ เป็นคนหน้าตาดีที่สุดที่น่าหมั่นไส้ในความน่ารักของผมใช่ไหม”

หญิงสาวกลอกตาด้วยความทึ่งจัดในการแถมให้ตัวเองดูดีของรักษ์ชาติ หากมันยังคงสร้างรอยยิ้มขำแกมระอาแก่เธอได้...รักษ์ชาติมีมุมตลกให้เธอหัวเราะออกมาได้ด้วยสินะ

“เรื่องยาหยีผมขอโทษจริงๆ ที่พาเขามา ภาพเลยเดือดร้อนไปด้วย คุณไม่ต้องห่วงนะ พี่ชายยาหยีกำลังเดินทางมา พรุ่งนี้ก็จะมาถึง ให้พี่น้องคุยกันน่าจะรู้เรื่องกว่า”

“ฉันนึกว่าคุณจะดีใจเรื่องที่ฉันไม่ต้องหมั้นหรือแต่งงานกับคุณชาย”

“ผมไม่ปฏิเสธว่าดีใจ...แต่ถ้าผมรู้อนาคตว่ามันเกิดเรื่องขนาดนี้ ผมจะย้ำให้ตัวเองฉลาดมากขึ้น แล้วคิดหาวิธีอื่นดีกว่า”

เขียนจันทร์ส่งเสียงเฮ้อ เป็นเธอที่ชักกลัวผู้ชายที่ไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำ เขาเหมือนลูกธนูที่หากไม่เข้าเป้าก็จะไม่มีวันหยุดยิง

“นั่นสิถ้าคุณรู้อนาคต...คุณก็คงทำดีกับฉันตั้งแต่เกิด”

รักษ์ชาติส่งเสียงอืม หันมามองให้คนฟังใจสั่นหวิวคล้ายว่าตัวเองกำลังเป็นลม

“ผมรู้แค่ว่าจากนี้ผมจะทำดีที่สุด ดีให้มากยิ่งขึ้นไป ไม่อยากให้คุณเสียใจเพราะผมอีก”


ในบรรยากาศแห่งความสุขที่ลอยคลุ้งภายในจักรตรากูล นอกเขตรั้วกำลังมีเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวอยู่ เจ้าของร่างท้วมในชุดซอมซ่อ แหวกพุ่มไม้ดูความเป็นไปภายในบ้านด้วยความแค้นเคือง ในขณะที่คนบ้านนี้กำลังสุขสันต์ มีความสุขจนน่าหมั่นไส้ ชีวิตของเขากำลังดิ่งวูบลงเหว

จากคนมั่งมี มีลูกน้องมากหน้าหลายตารายล้อม เขาได้สูญเสียลูกน้องไปตามสายงานทีละคน งานสำคัญที่เขาทำถูกสกัดไว้เกือบหมด ไหนจะยังบัญชีเงินที่ถูกอาญัติ ชีวิตเขากระดิกกระเดี้ยวไปไหนก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไหนจะไอ้กานต์ตำรวจที่ตามล่าจมูกไว หรือจะฝั่งธวัชเดชาที่กำลังตามล้างตามเช็ดเขาหลังจากชวดเงินหนี

ทุกอย่างมันเพราะจักรตรากูลไม่ยอมก้มหัวให้เขา ชีวิตเขามันถึงได้บัดซบขนาดนี้

“อย่าหวังเลยว่าแกจะมีความสุข พวกแกต้องตกนรกเหมือนฉัน” เสี่ยหลงกำหมัดแน่น ดวงตาบรรจุความแค้นอัดแน่น เวลานี้เงินเหล่านั้นที่เขาชวดธวัชเดชามาส่วนหนึ่งนำไปลงกับบ่อน เพื่อหวังรวยทางลัด มันก็มลายหายไปในอากาศ

เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นมาตามถนน และแสงไฟหน้ารถ ทำให้หลงต้องกระโดดหลบซ่อนตัว ก่อนจะรีบหนีเพื่อให้ตัวเองกลืนหายไปในความมืด โดยไม่รู้ว่าในมุมหนึ่งมีนายตำรวจยืนจ้องมองอยู่ไม่วางตา ดวงตาเย็นเยียบ

ประกายพรึกเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยท่าทางไม่เร่งรีบ มองเหล่าบอดี้การ์ดของรักษ์ชาติที่ตรวจตราที่นี่อย่างรัดกุม ไม่มีใครกล้าปล่อยให้เกิดอันตรายกับรักษ์ชาติ หรือคนของจักรตรากูลในช่วงเวลาที่กำลังตามล่าหลงอีก

ในช่วงจังหวะที่หลงกำลังวิ่งหนีไป รถมอเตอร์ไซค์ที่ขับตาม และผ่านหน้าประกายพรึกไปไม่กี่สิบเมตรก็ยื่นเท้าไปเตะชายวัยกลางคนจนล้มกลิ้ง กานต์ถอดหมวกกันน็อกออก แสยะยิ้มด้วยความเคียดแค้นชิงชัง

“หมดเวลาหลบแล้วเสี่ย...ขอต้อนรับสู่นรกของจริง”

.........................................................

คุณ ใบบัวน่ารัก ภาพยังคงไม่เต็มใจนะคะ ฮา แต่ก็ต้องยอมไปก่อน

คุณ อัศวินนภา ตอนกลับมาอ่านก็รู้สึกเบาๆ ว่าหมอแอบพกเข็มมาไหม จ้วงแทงเงียบๆ ฮา ยาหยีมาสั้นๆ ค่ะ

คุณ yimyum ถ้าเรื่องนี้ขาดลูกขุนไปคน เขียนคงทิ้งเจ้าขุนไปนานแล้วค่ะ

คุณ ร้อยวจี ระยะเวลาผ่านไปนาน สิ่งที่เหลือคงเป็นความรู้สึกค้างคาในใจหมอเขาค่ะ

คุณ konhin ไปลากพี่ชายมารับตัวด่วน ฮา

คุณ ผักหวาน ดีใจที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^

หัวเราะแหะๆ มาอัพเงียบๆ แล้วจากไป มากระซิบบอกว่าเหลือปมสุดท้ายแล้ว ฮิ้ววว เรื่องใกล้ถึงเส้นชัยสักที ปาดเหงื่อเบาๆ ไฟล์เวิร์ดมันยาวจนน่าตกใจค่ะ ขอบคุณที่ยังมีคนเข้ามาอ่านในช่วงที่ไม่อัพด้วย ขอบคุณความคิดเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2557, 13:07:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2557, 13:07:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1777





<< บทที่ 23 : ช้าไปไหม   บทที่ 25 : พบกันครั้งสุดท้าย >>
ร้อยวจี 18 มิ.ย. 2557, 13:21:10 น.
สู้ๆ ค่ะ แต่พรุ่งนี้มาต่ออีกนะคะ


อัศวินนภา 18 มิ.ย. 2557, 14:49:25 น.
555 รู้สึกว่าดราม่ามันยังไม่จบยังไงก็ไม่รู้


ameerah 18 มิ.ย. 2557, 18:40:56 น.
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ ตอนนี้กรี๊ดดดเจ้าขุนมากๆเลยน่ารักอ่ะ เขียนก็น่ารักเลิกทำตัวน่าหมั่นไส้สักที แต่แอบคิดว่าคุนชายจะได้คู่กะน้องภาพ ^_^


kaelek 18 มิ.ย. 2557, 19:10:32 น.
ช่วงที่ไรเตอร์ไม่มาอัพ แทบขาดใจ เหมือนใจจะขาด ลงแดงฟุดๆ


ใบบัวน่ารัก 18 มิ.ย. 2557, 19:54:36 น.
หิวข้าว และอยากกินเค้กอะ
ร้านเค้กเปิดหรือยัง
พาเขียนกะน้องขุนไปกินเค้กกันเถอะ


ผักหวาน 19 มิ.ย. 2557, 22:19:17 น.
คุณกานต์มาแก้แค้นเสี่ยหลงอีกคน เบามือพี่ขุนของเราไปเยอะเชัียวค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account