ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3 (2/2)




แว้บมาสวัสดีพี่ๆ น้องๆ นักอ่านที่รักของอ้อยทุกท่านค่ะ ขอบพระคุณสุดหัวใจที่ติดตามผลงานของอ้อยและยังรักกันเสมอ ขอบพระคุณทุกคอมเม้นท์ที่พิมพ์บอก แสดงว่าเรายังมีกันและกันตลอดเวลาเนอะ ยังอยู่เคียงข้างกันตรงนี้ ขอบพระคุณจากใจค่ะ

ตอนนี้อ้อยกำลังเร่งทำงาน 2 เรื่องเพื่อให้ทันกำหนด จึงได้แต่เข้ามาอ่านแต่ไม่ได้ตอบคอมเม้นท์แบบฉับไวเหมือนตอนเขียนพักตร์อสูรนะคะ แต่ถ้าพอจะเคลียร์งานให้เรียบร้อยระดับหนึ่งแล้ว ก็จะมาลั้ลลาเฮฮากันเหมือนเดิมจ้า

ส่วนงานที่เขียนคือม่านลวงกับทิพย์เทวี (ที่ตอนนี้สลับกันเขียน) จึงมาอัพให้อ่านช้าบ้างเพราะเนื้อหายังเป็นตัวดราฟและกระโดดไปมา ไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่ออ้อยเขียนและพอจะเกลาให้ดีพอระดับหนึ่งก็จะมาอัพตามปกติค่ะ

รักนักอ่านเสมอทุกลมหายใจของคนเขียนงานคนนี้

รัก...
อ้อย/สุชาคริยา


ปล. "ม่านลวง" เป็นนิยายตบจูบที่จะมีพัฒนาการไปอีกแบบสำหรับนามปากกา 'สุชาคริยา' นะคะ



------------------------------------------------------


ถิรมนกะพริบตาหนักๆ สองสามครั้งเมื่อถูกแสงแดดส่องกระทบรับอรุณ แม้อยากซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อนอนต่อก็แทบไม่มีความหมายเมื่อจำได้ถึงคำสัญญาของปภาวี

หญิงสาวยิ้มออกมา พลิกตัวนอนหงายอย่างสบายอารมณ์ บอกตัวเองว่าความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเก็บไว้ก่อน ควรร่าเริงจึงจะถูกต้องที่สุด

‘ปรมัตถ์ล่ะ’ นึกถึงเจ้าของชื่อขึ้นได้ก็ลืมตา รีบมองสำรวจรอบกาย

เขาไม่ได้อยู่แถวนี้ เมื่อคืนเธอเห็นว่าเขาคงไม่ลุกขึ้นมาแน่ๆ จึงเดินมานอนที่เตียง ไม่มีประโยชน์กับการเอาตัวเองไปนอนบนโซฟา และไร้ประโยชน์กับการนั่งหวาดระแวงสงสัยกับเรื่องที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้คำตอบกับสิ่งที่เขาแสดงออกว่าเพราะสาเหตุใดหรือคิดกับเธออย่างไรกันแน่

“พี่ว่าเธอควรลุกมาเตรียมตัวมากกว่านอนเรื่อยเปื่อยแบบนั้นนะเลิฟ เราไม่ควรไปช้ากว่าเวลานัด”

ถิรมนหันขวับไปมองต้นเสียง ตะเกียกตะกายลุกนั่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็ปล่อยไว้เช่นนั้นขณะมองปรมัตถ์ตาไม่กะพริบ

เขาเพิ่งออกจากห้องแต่งตัว มือกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน สวมกางเกงสแล็กสีดำ สวมเข็มขัดไว้เรียบร้อย น่าแปลกที่พูดกับเธอเหมือนไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างกันจนรู้สึกสับสน ท่าทีและคำพูดของเขาตอนนี้แตกต่างกับเมื่อคืนลิบลับ

นี่เขาจะมาไม้ไหน จึงถาม...

“คุณจะไปด้วยหรือคะ” เผลอพูดภาษาอังกฤษออกไป

“อยู่กับพี่ให้พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษเอาไว้ใช้กับคนอื่นหรือเจรจางาน” ปรมัตถ์พูดสวนมาทันที เขาเดินเลี้ยวไปยืนอยู่ตรงหน้ากระจก จัดแต่งทรงผมให้เข้าทรง

ถิรมนกะพริบตาปริบๆ ยังดีที่น้ำเสียงเหมือนสอนสั่งมากกว่าจะดุ แต่ที่เธอพูดออกไปเพราะความเคยชินใช่ดัดจริตแม้แต่น้อย ที่สำคัญคือเธอกับเขาไม่ได้สนิทสนมมากนักแม้จะเคยอะไรๆ กันมาก็ตามที

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็อดหน้าแดงไม่ได้จนต้องแสร้งมองไปทางอื่น เป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้เธอหลุดอาการตื่นหรือเผลอทำอะไรแปลกๆ ก็ให้รู้ไป ใจคนใช่จะบังคับโดยง่าย ยิ่งเป็นเหตุการณ์ลึกซึ้งอย่างคืนนั้นและเป็นครั้งแรกย่อมลืมยาก

ถิรมนรีบขยับตัว สะบัดผ้านวมเก็บที่นอนให้เรียบร้อยเร็วไว หวังกลบภาพคืนนั้นที่ผุดขึ้นก่อนจะทำอะไรไม่ถูกไปมากกว่านี้

“ผู้ใหญ่พูดด้วยให้ตอบ รู้เรื่องไม่รู้เรื่องพี่จะได้ไม่เข้าใจผิดคิดไปเองนะเลิฟ” ปรมัตถ์หันมามองถิรมน เขากอดอก พิงสะโพกไว้กับพนักพิงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ถิรมนพยักหน้ารับโดยไม่ได้มองเขา “ค่ะ เลิฟจะทำตาม” ตอบเสียงไม่ดังมากนัก

สติของเธอเหมือนไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ การถูกจ้องมองด้วยแววตาเหมือนไม่มีอะไรแต่มีอะไรซ่อนอยู่เมื่อสบตายังทำให้ใจสั่น อาจไม่ชัดเจนเท่ากับวันนั้นในคลับหรือสื่อความหมายโดยตรงว่าต้องการบอกอะไร ทว่าใจของเธอก็สั่นไหวรุนแรงจนต้องก้มหน้าก้มตาลง รีบเก็บหมอนให้เข้าที่ ไม่พูดอะไรเมื่อลงจากเตียง

อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง พยายามเบี่ยงความสนใจไปเรื่องที่ว่าเขาคงขำขันภาษาไทยของเธอกระมัง เพราะสำเนียงช่างแปร่งนักเมื่อเทียบกับปภาวีหรือคนในบ้านนี้ หากใจเจ้ากรรมกลับชวนให้คิดถึงคำพูด ท่าทาง และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับปรมัตถ์ในคืนนั้นทุกครั้งไป จนต้องมองทางหวังให้เป็นที่พึ่งจนถึงห้องน้ำ

‘อย่าเก็บมาคิดให้เป็นประเด็นเลย’ บอกตัวเองเช่นนั้นก็จริงแต่ใจก็วกไปหาอยู่ดี การที่เขาเอ่ยแทนตัวเช่นคนสนิทสนม เสียงทุ้มไม่หลงเหลือความไม่พอใจ แววตาหรือท่าทางไม่มีการเหยียดหยามเย้ยหยันเช่นเมื่อคืนก็เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับเธอ หวังว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นปรมัตถ์จะรู้ว่าเธอไม่ตั้งใจและเธอจะไม่ทำอะไรให้เขาต้องพูดซ้ำจนเป็นเรื่องขึ้นมาอีก

ถิรมนถอนหายใจออกมา มีบ้างไหมที่จะลืมเขาได้ง่ายกว่านี้บ้าง

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

การเดินทางในช่วงเช้ามีรถคับคั่งไม่น้อย การจราจรค่อนข้างติดขัด ถิรมนมองรอบตัวด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ไม่หงุดหงิดหรืออึดอัดเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเวลาเดินทางไปกับปภาวีหรือสุธาเพราะความตื่นเต้นมีมากล้นจนยากระงับ แทบหุบยิ้มไม่ได้ อีกไม่กี่นาทีเธอจะได้พบคุณพ่อแล้ว

วันนี้ตั้งใจแต่งตัวให้น่ารักที่สุด เลือกสวมชุดกระโปรงเรียบร้อยสีครีมยาวถึงกลางน่อง ใบหน้าแต่งแต้มพองาม กอดกระเป๋าใบย่อมขนาดกว้างพอบรรจุใบปริญญาทั้งสองใบซึ่งยังคงม้วนเหมือนเมื่อครั้งได้รับมา เดิมทีใบหนึ่งนั้นวิรงรองใส่กรอบไว้ให้เรียบร้อย แต่จำเป็นต้องถอดออกก่อนกลับมาเมืองไทยเพราะวิธีม้วนใส่กระบอกสะดวกกว่าสำหรับเธอ และพอมาถึงก็ยุ่งกับงานแต่งงานจึงชะลอเรื่องนี้เอาไว้

ปรมัตถ์เป็นคนขับรถมาส่ง ดูเหมือนเขาตั้งใจขับมากเป็นพิเศษเพราะจ้องมองถนนหนทางนับตั้งแต่เธอขึ้นรถที่หน้าบ้านจนมาถึงตรงนี้ซึ่งไม่รู้ว่าที่ไหนเขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาขับเช่นนั้น แต่ถิรมนไม่สนใจ ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่มองกันหรือเงียบกริบไปอีกสามวันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักนิด ในใจของเธอตอนนี้กำลังร้องเพลง รู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด รอบด้านช่างสดใส นับเวลาถอยหลังรอคอย

ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาของคุณพ่อจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีรอยตีนกามากขึ้นขนาดไหนหนอ หรือว่าจะมีรอยเหี่ยวย่นเสียแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อจินตนาการ

คิดถึงท่านเหลือเกิน...

กว่าครู่ใหญ่จึงถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ถิรมนไม่ค่อยมั่นใจว่าเป็นที่ใด ภาษาไทยตัวใหญ่ตรงป้ายด้านหน้าตอนที่ปรมัตถ์ก็เลี้ยวรถเธอก็อ่านไม่ทันเพราะอยู่ในตำแหน่งเห็นไม่ชัดเจน หรืออาจเพราะใจจดจ่อคิดถึงหน้าคุณพ่อก็เป็นได้ จึงไม่ทันอ่าน

ปรมัตถ์เลี้ยวไปตามเส้นทางแคบๆ ที่เห็น และหยุดในช่องหนึ่งของลานจอด มีรถอยู่ไม่น้อย คนพลุกพล่านทีเดียว

“คุณพ่อทำงานที่นี่หรือคะ”

“มาธุระ ลงมาก่อน” ปรมัตถ์ตอบแค่นั้นก็ดับเครื่องยนต์

เมื่อเขาทำท่าว่าจะลงจากรถโดยไม่รอ ถิรมนก็รีบปลดเข็มขัดนิรภัยของตนเองทันที ออกมายืนด้านนอกรวดเร็ว ปรมัตถ์ลงมาด้วยท่าทางสบายๆ กดสัญญาณล็อกแล้วเดินออกไปก่อนโดยไม่บอกกันสักคำ

ถิรมนรีบเดินตาม สองมือกอดกระเป๋าของตัวเองไว้แนบอก ตามปรมัตถ์มาติดๆ โดยรอบสถานที่แห่งนี้มีแต่กำแพงหนา สูง ใหญ่ ดูอึดอัดเหลือเกินในความรู้สึก ต้นไม้ที่มีในบริเวณก็ไม่ได้เพิ่มความร่มรื่นเท่าที่ควร

ปรมัตถ์ก้าวฉับๆ ไม่หันมามองเธอ ถิรมนแอบย่นจมูกใส่แผ่นหลังของเขา เหงื่อนั้นเริ่มผุดที่หน้าผากและกรอบหน้าเพราะเกือบวิ่งตลอดทาง ทว่าในใจยังร่าเริง อยากให้วิ่งเธอยอมวิ่งก็ได้ แต่นั่นก็ต้องคอยมองพื้นไปด้วย เพราะพื้นปูบล็อกคอนกรีตทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่ค่อยเรียบนัก บางจุดก็ปูดขึ้นมา บางจุดก็ยุบลงไป เกรงว่าอาจล้มได้แผลเสียก่อนจะตามอีกฝ่ายทันหากไม่มองให้ดี

เธอเดินตามปรมัตถ์มานิดเดียวก็เจอกำแพงปูนเตี้ยๆ มีป้ายเขียนติดว่า ‘เยี่ยมญาติ ทางเข้าห้องเยี่ยม’

ถิรมนเดินลอดประตูเหล็กติดกับกำแพงนี้ ขนาดความกว้างแค่พอให้คนคนเดียวผ่านได้ เดินต่อไปไม่ไกลนักก็ถึงอาคารปูนซีเมนต์กลางเก่ากลางใหม่ มีคนอยู่กันเยอะมากทีเดียวเพราะเหมือนจะล้นออกมา เจ้าหน้าที่สวมชุดสีกากีแบบจางๆ ยืนประจำตามจุดต่างๆ บรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียดและอึดอัดไม่น้อยเมื่อมาถึง

เธอสังเกตเห็นสีหน้าแววตาผู้คนเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง จริงจัง หดหู่ เสียงค่อนข้างดังมากทีเดียว บางคนไม่ได้ยินกระมังจึงเหมือนต้องตะโกนคุย และนั่นยิ่งทำให้เสียงดังมากขึ้นไปอีกชนิดฟังไม่รู้เรื่องเลยทีเดียวหากไม่ตั้งใจให้ดี

ถิรมนเห็นมือของใครคนหนึ่งยกขึ้นโบกไหวไปมาอยู่ด้านใน อาการชะเง้อชะแง้มองจึงเห็นว่าเป็นปภาวี ปรมัตถ์ตรงเข้าไป เธอก็เช่นกัน

“นึกว่าจะไม่ทันแล้ว” หล่อนพูดเสียงดังด้วยอาการโล่งใจเมื่อถิรมนถึงตัว

อยู่ใกล้ชิดเพียงนี้ยังแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ปภาวีหันมายิ้มให้เธอ

“ทำธุระแป๊บหนึ่งนะน้องเลิฟ” หล่อนตะเบ็งเสียงแข่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ยินเป็นแน่

“ค่ะ” ถิรมนยิ้มให้ พยักหน้ารับและมองไปรอบๆ “ที่นี่คนเยอะจังเลยค่ะอามุก พวกเขามาทำธุระอะไรกันคะ” อย่าว่าแต่ปภาวีเลย เธอเองก็ยังต้องตะเบ็งเสียงเช่นกัน

ปภาวีไม่ตอบคำถาม หล่อนกำลังหันไปคุยกับปรมัตถ์ที่ก้มหน้าเอียงหูเข้าหา ไม่รู้เรื่องว่าปภาวีคุยเรื่องอะไร

ถิรมนยังกอดกระเป๋าของตนเองไว้แน่นเพราะกลัวหาย ของในนี้เป็นสิ่งเดียวและสำคัญที่สุดสำหรับเธอ ยืนยันความภาคภูมิใจ ความสำเร็จ ความอดทน และความพยายามในหลายปีที่ผ่านมามา ถ้าหายไปเสียก่อนจะได้อวดคุณพ่อเพราะเลินเล่อไม่ระมัดระวังแล้วจะโทษใคร

ยังไม่ทันได้นั่งปภาวีก็คว้าแขนของเธอให้เดินไปด้วยกัน ปรมัตถ์นั้นเดินตามหลัง เสียงค่อนข้างดังค่อยๆ จางลงเมื่อเดินห่างออกมา หยุดอยู่ตรงหน้าห้องกว้างๆ ห้องหนึ่งและมีอีกส่วนที่เป็นห้องถัดเข้าไป

เจ้าหน้าที่บอกปากเปล่ากับทุกคนว่าให้เก็บโทรศัพท์มือถือ กระเป๋า และของต่างๆ ไว้ในล็อกเกอร์เพราะไม่อนุญาตให้นำสิ่งใดติดตัวเข้าไปในนั้นและให้เก็บกุญแจเอาไว้ เมื่อเสร็จธุระค่อยมารับคืน ปภาวีจัดการใส่กระเป๋าของตนเองไว้ในล็อกเกอร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว

ถิรมนกอดกระเป๋าตัวเองแน่น บอกปภาวีว่า “อามุกขา น้องเลิฟไม่เข้าไปก็ได้ค่ะ กลัวของหาย”

ปภาวีมองกระเป๋าใบย่อมที่ถิรมนกอดเอาไว้ มองปรมัตถ์เหมือนกับขอความคิดเห็น และสรุปว่า “ถ้าอย่างนั้นน้องเลิฟไปเป็นเพื่อนอาหน่อยก็แล้วกัน ให้มัตถ์ถือของให้นะ”

ถิรมนละล้าละลัง

“ต้องรีบนะน้องเลิฟ ที่นี่เขามีเวลาจำกัด เราต้องทำอะไรให้ไว ไม่อย่างนั้นจะพลาดได้ มีเวลาให้แค่สิบห้านาทีเท่านั้น ช้าไม่ได้” ปภาวีพูดจริงจัง

ถิรมนยอมมอบกระเป๋าของตนเองให้ปรมัตถ์ถือ เขารับไว้โดยไม่พูดอะไร

หญิงสาวรู้สึกว่าไม่อยากเข้าไปเลย จะว่างี่เง่าห่วงกระดาษสองใบก็ไม่เถียง แต่เมื่อปภาวีอยากให้เธอเข้าไปเป็นเพื่อนจะปฏิเสธได้หรือ

เสียงเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งบอกว่าให้เข้าไปได้ ตรงนี้ไม่มีเสียงอื่นรบกวนเหมือนข้างนอกจึงพอได้ยินชัดเจน

ถิรมนเดินต่อแถวเรียงหนึ่งติดตามปภาวีเข้าไปด้านใน แอบมองปรมัตถ์ที่หันไปมองทางอื่นและเหมือนจะหาเดินที่นั่ง ดูไม่มีประโยชน์ถิรมนจึงหันหน้ากลับมา

เมื่อผ่านประตูจึงเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งคอยตรวจสอบว่ามีใครนำสิ่งของใดติดตัวเข้าไป พวกเขาทำการตรวจค้นด้วยมือ แล้วตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยเครื่องค้นหาวัตถุ ดูเคร่งครัดมากทีเดียว

คนที่เดินแถวเรียงหนึ่งก่อนหน้าเธอต่างแยกย้ายเข้าไปในห้องที่ติดกับห้องนี้ เป็นห้องแยกเข้าไป สังเกตว่ามีทางเดินยาวจนสุดทางติดกับหน้าต่าง ความกว้างของทางเดินแค่พอสวนกันได้ มีเก้าอี้ทรงสูงเรียงคู่กับโทรศัพท์บนเคาน์เตอร์อยู่ตรงข้ามกับหน้าต่าง เท่าที่เห็นมีการแบ่งเก้าอี้เป็นช่วงๆ โดยใช้แผงอะลูมิเนียมกึ่งกระจกกั้น แยกเป็นสัดส่วนไม่ให้ปะปน ดูโดยรวมแล้วลึกเข้าไปไม่น้อยทีเดียว

ปภาวีรั้งแขนของถิรมนให้ตามเข้าไปในนั้นหลังจากถูกตรวจค้นเสร็จ หยุดเดินเมื่อถึงเก้าอี้ตัวหนึ่ง ถิรมนมองสำรวจจึงรู้ว่าเป็นช่องหมายเลขที่สามสิบห้า ด้านในนั้นคืออีกฝั่ง ลักษณะเป็นฝั่งคู่ขนาน มีเหล็กลูกกรงกั้นชั้นใน ชั้นนอกนั้นกั้นกระจก ระยะห่างระหว่างสองฝั่งประมาณ 1.5 เมตร แต่ก็ยังเห็นกันได้ค่อนข้างชัด ถิรมนไม่เห็นใครทางฝั่งนั้นจึงมองไปรอบๆ

ผู้คนเหล่านี้นั่งตรงเก้าอี้เร็วไว พวกเขามีบัตรคิวในมือ ความกระตือรือร้นมาตื่นเต้นดีใจฉายชัดในแววตา พวกเขายิ้มแย้มราวกับสมหวัง ไม่เหมือนก่อนหน้านั้นตอนอยู่ด้านนอก สภาพสิ่งของโดยรอบบ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนแต่ก็ยังนับว่าสะอาดสะอ้าน พื้นกับหน้าต่างดูเลอะไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด เคาน์เตอร์ก่ออิฐปูกระเบื้องเริ่มร่อน ที่นั่งโดยรวมคงมีราวๆ ห้าสิบชุดกระมัง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เท่าอาการดีใจโบกไม้โบกมือของแต่ละคนที่เธอกำลังเงยหน้ามองเห็นพอดี

ถิรมนมองตาม ความเคลื่อนไหวจากฝั่งตรงข้ามนั่นเอง เธอเห็นผู้ชายผมสั้นเกรียนหลายคนเดินตามเจ้าหน้าที่สวมชุดสีกากีอ่อนๆ เข้ามา บางคนผมสั้นแบบรองทรงสูง บางคนผมเหมือนยาวจากการโกนแต่ยังไม่ได้ตัดให้เข้ารูป พวกเขาสวมเสื้อผ้าในรูปแบบเดียวกัน คือเป็นเสื้อคอกลมสีลูกวัวหรือสีน้ำตาลอมแดงอ่อนๆ กางเกงคล้ายกางเกงเล ขาสั้นคลุมเข่า สีออกแดงเลือดหมูอมน้ำตาล ถูกล่ามโซ่ตรวนที่ข้อเท้า แยกย้ายประจำโทรศัพท์ไม่รอช้าเช่นกัน

ถิรมนมองชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา เขาหยุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ ดวงตาที่เขาจ้องมอง ใบหน้าของเขาที่ถิรมนเห็นทำให้ตัวชา แทบหยุดหายใจ รู้แค่ว่าอีกฝ่ายกำลังยกโทรศัพท์ขึ้น จ้องมองเธอตาไม่กะพริบ

ใบหน้าเขาช่างคล้ายใครคนหนึ่งในความทรงจำ ทว่าดูทรุดโทรมและแก่กว่ากว่าที่จินตนาการไว้มากทีเดียว และนั่นเหมือนกับฟ้าถล่มลงมาทันทีทันใด เหมือนใครเอาไม้มาฟาดแสกหน้าจนชาไปหมด รู้สึกมึนงง ก่อนจะร่วงลงสู่หุบเหวลึกโดยไม่มีคำเตือน

‘นช ถิรคุณ นพรัตนชาติ ช่องที่สามสิบห้า’

ตอนนั้นคิดว่าหูฝาดไปเสียอีกเพราะ เสียงพูดคุยด้านนอกตอนนั้นดังกลบจนไม่แน่ใจ ครั้นปภาวีดึงแขนให้เดินตามก็ยังไม่ทันเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยินเพราะนึกว่าคิดถึงบิดามากเกิน ทว่าตอนนี้คำตอบแน่ชัดเสียแล้วว่าไม่ได้ฟังผิด

ถิรมนมองจนปวดกระบอกตา แขนขาเหมือนจะอ่อนแรงจนต้องเกาะเคาน์เตอร์เพื่อช่วยพยุง ปภาวีประคองให้นั่งแต่เธอเหมือนขยับตัวไม่ได้เสียแล้ว รู้สึกหายใจไม่ออก นิ้วมือเกร็งไปหมด ประสาทสัมผัสทั้งหลายเครียดเขม็ง ลมหายใจดั่งว่าจะปลิดปลิว ในอกวูบโหวง อื้ออึงและสับสนเหลือประมาณ ศีรษะปวดหนึบราวกับถูกผึ้งนับล้านรุมต่อยอย่างไร้ทางสู้ เจ็บปวด... แต่ก็ได้แค่นอนรอความตาย

ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร รู้แค่ว่าปภาวีกำลังยกโทรศัพท์และแนบไว้ให้ที่หูซ้ายของเธอ

เสียงจากอีกฝั่งดังมา “น้องเลิฟ” แม้จะระโหยโรงแรงแต่เธอกลับจำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี

ในอกจุกแน่นไปหมด จมูกแสบร้อนราวกับคนสำลักและจมน้ำ กระบอกตาร้อนวูบวาบ น้ำตาหยดไหลลงบนแก้มราวกับจะทะลัก แทบหาเสียงตัวเองไม่เจอนอกจากยื่นมือออกไปแต่ก็ติดกระจกใสตรงนี้

“คุ...คุณพ่อ” น้ำตาของเธอยิ่งไหล มือซ้ายเลื่อนมากำโทรศัพท์เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับปภาวี

“เรามีเวลาเหลือแค่ 11 นาทีแล้วนะ” หล่อนย้ำ

แต่ถิรมนแทบทำอะไรไม่ถูก หูอื้อจนเหมือนไม่ได้ยินเสียง ได้แต่ยกมือสั่นเทาของตัวเองเช็ดน้ำตาออกไป มองบิดาที่กำลังมองเธอมาด้วยรอยยิ้มแต่แววตาเต็มไปด้วยความปวดร้าวโศกสลด

หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น ยิ้มทั้งที่สติแทบหลุดลอย ปากของเธอสั่นระริกจนแทบยกไม่ขึ้น ไม่แน่ใจว่าคุณพ่อจะเห็นเป็นรอยยิ้มหรือไม่

ตอนนี้ไม่มีเวลามาถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ไม่อยู่เมืองไทย นอกเสียจากมองท่านให้นานที่สุดเพื่อจดจำ และเอ่ยว่า...

“คุณพ่อขา น้องเลิฟ... น้องเลิฟคิดถึงคุณพ่อ น้องเลิฟรักคุณพ่อนะคะ รักคุณพ่อนะคะ” พูดเช่นนั้นวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา สะอื้นจนคำพูดขาดช่วงฟังแทบไม่ได้ศัพท์แต่ท่านก็พยักหน้ารับรู้

ถิรมนมองหาใบปริญญาของตนเอง มองออกไปด้านนอกอย่างแสนเสียดาย หันมามองบิดาอย่างขอโทษ หากรู้สักนิดว่าว่าธุระของปภาวีคือเรื่องนี้เธอจะกราบไหว้อ้อนวอนเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้นำติดตัวเข้ามา อยากให้บิดาได้ดู ทว่ากลับทำได้เพียงบอกรักท่านด้วยเสียงขาดห้วงเท่านั้นเอง

ถิรคุณยิ้มให้กำลังใจลูกสาว รอยยิ้มของเขางดงามสำหรับถิรมนเสมอ โดยเฉพาะคำพูดดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ

“น้องเลิฟของพ่อเป็นเด็กดี พ่อภูมิใจ พ่อรู้ว่าน้องเลิฟตั้งใจและอดทนที่สุด พ่อ...ดีใจที่ได้เจอหน้าลูกอีกครั้ง เสียดาย...ที่วันนี้พ่อยังไม่มีโอกาสได้กอดลูกอย่างที่พ่อคิด แต่ลูกกลับมาแล้ว ลูกมาหาพ่อได้ อย่างน้อยเรายังได้ยินเสียงกัน ยังได้เห็นหน้ากันนะน้องเลิฟ พ่อ... พ่ออยากกอดน้องเลิฟ พ่อคิดถึงลูกตลอดเวลา พ่อ... พ่อขอโทษ”

ถิรมนร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ตอนนี้หัวใจของเธอบีบรัดปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว ตัวสั่นมือสั่นไปหมด พูดอะไรไม่ถูกอีกแล้ว ใจนั้นเจ็บปวดเหมือนถูกป่นเป็นผุยผงแล้วถูกสาดซัดด้วยน้ำกรดซ้ำๆ ให้แสบร้อนไม่หยุด ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อมองนาฬิกา เวลาเหลือน้อยลงไปทุกที

ใจของเธอจะขาดรอนๆ เหมือนดั่งจะขาดใจให้ได้แล้วในตอนนี้ แทบหายใจไม่ออกเมื่อเห็นความเจ็บปวดรวดร้าวในแววตาของถิรคุณ มันมากมายจนไม่อาจบรรยายเป็นถ้อยคำทว่าเธอรับรู้เป็นอย่างดี

แรงโอบเอวทำให้ถิรมนหันมอง ความพร่ามัวทำให้ต้องรีบเช็ดน้ำตา ปรมัตถ์ยืนอยู่ข้างกาย เขายื่นใบปริญญาที่ม้วนอยู่ทั้งสองให้เธอ

ถิรมนมองเขาอย่างขอบคุณ รีบหันไปหาบิดา ใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์เร็วไว มือสั่นมากจนคลี่กระดาษม้วนนี้ไม่ออกจนปภาวีต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ปรมัตถ์ช่วยจัดการอีกใบหนึ่งและตั้งเข้าหากระจกเพื่อให้อีกฝั่งได้เห็น

ถิรมนรีบพูด “คุณพ่อขา น้องเลิฟ... น้องเลิฟได้เกียรตินิยมด้วยนะคะ” ยิ้มทั้งสะอึกสะอื้น มองบิดาผ่านความพร่าเลือนและชัดเจนเมื่อน้ำตาหยดลงไป

ถิรคุณร้องไห้เมื่อเห็นการกระทำนี้ของทุกคนโดยเฉพาะลูกสาว เขาเช็ดน้ำตาตัวเอง ยิ้มอย่างเจ็บปวด พูดด้วยเสียงสั่นปนสะอื้นว่า “ลูกจ๋า... ลูก...” เท่านั้น

แต่ถิรมนกลับไม่ได้ยินอะไรอีกจากทางฝั่งบิดา เขาพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้ยินอยู่ดี

“หมดเวลาแล้วน้องเลิฟ” ปภาวีบอก หล่อนช่วยหยิบและวางโทรศัพท์ลงกับเครื่อง จับมือข้างหนึ่งของถิรมนเอาไว้

ความภาคภูมิใจ ดีใจ และโศกเศร้าฉายชัดผ่านรอยยิ้มของนักโทษชายถิรคุณ น้ำตาอาบแก้มของเขาเมื่อโบกมือลาลูกสาว พูดว่า “พ่อรักลูก” ซึ่งถิรมนไม่ได้ยินแต่อ่านปากของเขาเข้าใจ

ถิรมนมองตาม แววตาอาลัยอาวรณ์ของท่านเธอเห็นชัดเจนเมื่อค่อยๆ เดินจากไป เจ้าหน้าที่ตรงส่วนนี้แจ้งว่าให้อยู่ในความสงบและให้ออกไปแล้ว เหมือนมีใครเอามีดปักอกซ้ำเป็นหมื่นครั้ง ล้านครั้งจนยากนับ

บีบหัวใจเหลือเกิน...

ถิรมนหันไปกอดปภาวี กอดและร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ย้ำเตือนว่าต้องออกไป แต่ยากเหลือเกินสำหรับถิรมน

แววตาของคุณพ่อ... สภาพของคุณพ่อ... ที่อยู่ของคุณพ่อ... ทำให้หัวใจของเธอแหลกสลายไม่มีชิ้นดี

ทำไมถึงเป็นที่นี่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเธอกันแน่

ปภาวีดันตัวเองออกมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้ ความสงสารมีมากมายผ่านแววตาของหล่อน ปภาวีหันไปพยักหน้าให้กับปรมัตถ์เป็นสัญญาณ

ปรมัตถ์ไม่พูดอะไรก็คว้าเอวกึ่งพยุงถิรมนให้เดินออกไปด้วยกัน ตอนนี้สติของหญิงสาวเหมือนจะหลุดลอยจนไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้สึกและไม่สนใจความร้อนอบอ้าวที่มีมากขึ้น ไม่สนใจสายตาผู้คนที่มองมาอย่างสงสาร ไม่สนใจว่าใครกำลังเพ่งมองอย่างสนใจ

กระทั่งเข้ามาอยู่ในรถของปรมัตถ์เรียบร้อย ถิรมนก็เหมือนจะลำดับอะไรไม่ถูกอยู่ดี

“เก็บเอาไว้” ปรมัตถ์บอก

ถิรมนมองเขา ก้มมองบนตักที่ประมัตถ์วางกระเป๋าไว้ให้ ลืมไปด้วยซ้ำว่ามีสิ่งนี้ติดตัวตอนเข้ามา กระบอกตาร้อนวูบวาบไม่หยุด น้ำตาที่เหมือนจะเหือดแห้งกลับรินไหลออกมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย มีมากมายจนไม่รู้ว่าเหตุใดจึงร้องไห้ได้มากขนาดนี้กัน

“ขอบคุณค่ะ” ถิรมนยกมือไหว้ขอบคุณ พยายามบอกตัวเองให้หยุดร้องแต่ทำไม่ง่ายนัก

ปรมัตถ์หันหน้าออกไป สตาร์ทรถเปิดแอร์โดยไม่เคลื่อนที่ไปไหน

หญิงสาวได้แต่มองสิ่งที่อยู่ในมือ เปิดดูจึงเห็นว่าใบประกาศนียบัตรอยู่ข้างในเรียบร้อย ได้แต่ยกขึ้นมาแนบอก กอดกระเป๋าที่มีของสำคัญของเธอไว้ทั้งหัวใจอ่อนล้าหมดแรง

ผ่านไปครู่หนึ่งปรมัตถ์จึงหันมามองถิรมน “ร้องไห้ให้พอ จากนั้นอย่ามาร้องให้เห็นอีก พี่ไม่ชอบ” พูดจบก็ปลดเบรก เข้าเกียร์ และขับออกไป

ถิรมนค่อยๆ ขยับนั่งตะแคงหันหลังให้ เธอไม่อยากให้ใครมาต่อว่า ไม่ได้อยากให้ใครเห็นน้ำตาสักนิด ไม่ได้อยากเป็นคนอ่อนแอ แต่น้ำตาก็ยังไหลอยู่ดี พยายามกลั้นสะอื้นแค่ไหนก็ยังร้องไห้อยู่ดี

ความหวังของเธอทั้งชีวิตเหตุใดจึงโหดร้ายขนาดนี้ ทำไมจึงเป็นไปแบบนี้ ทำไม

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

หัวใจที่หนักอึ้งช่างยากจะนำพาร่างกายให้เป็นปกติ ถิรมนเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนตั้งแต่กลับมา ปรมัตถ์เองก็ขับรถออกไปเลยเช่นกัน แต่เธอไม่อยากรับรู้อีกต่อไป รู้สึกอ่อนล้าจนไม่มีแรงจะยืนหรือพูดกับใคร ไม่เหลือความหิวหรือความอยากใดๆ นอกจากอยากนอนนิ่งๆ

ถิรมนยังนอนตะแคงคู้ตัวกอดกระเป๋าใบเดิม เพิ่มเติมคือรูปถิรคุณเมื่อครั้งก่อนถูกส่งไปอยู่สหรัฐอเมริกา ภาพนี้อยู่กับเธอเสมอ ปลายนิ้วลูบใบหน้าบนภาพของถิรคุณที่ยังดูหล่อเหลา รอยยิ้มที่เห็นเปี่ยมไปด้วยความสุข มีถิรมนนั่งอยู่บนตัก มารดาของเธอเกาะไหล่บิดา ทุกคนในภาพยิ้มกันอย่างเต็มที่เพราะมีคนใจดีช่วยถ่ายภาพนี้ให้ในวันนั้น

เธอจำได้... เพราะหลังจากนั้นไม่นาน สาแหรกก็ขาด ครอบครัวของเธอไม่เหมือนเดิมอีก

“คุณพ่อขา” เสียงนั้นอ่อนล้านัก ถิรมนได้แต่กอดตัวเองเอาไว้ ความอ้างว้าง โดดเดี่ยว และเงียบเหงา จู่โจมทึ้งรุมให้หดหู่ไม่หยุด หลายครั้งเธอมักกอดภาพครอบครัวเอาไว้เวลาคิดถึง แต่ไม่มีครั้งไหนชวนให้โหยไห้ร้าวรานเท่าครั้งนี้

ถิรมนคิดถึงอ้อมกอดของท่าน คิดถึงเสียงของท่าน คิดถึงน้ำหนักมือของท่านเมื่อท่านขยี้หัวด้วยความรักและเอ็นดู คิดถึงรสชาติอาหารที่คุณพ่อเคยทำ

คิดถึง... ภาพวันวันที่ยังมีกันและกันซึ่งไม่เคยลบเลือน

คิดถึง... ทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตจนแทบขาดใจ

‘ไม่เป็นไร...เลิฟ ไม่เป็นไร...’ ได้แต่ปลอบใจตัวเองเงียบๆ คนเดียว เธอเชื่อว่าวันหนึ่งคุณพ่อจะต้องได้ออกมากอดกันอีกครั้ง มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง และไม่ว่านานแค่ไหนเธอรอได้

เธอจะรอ...

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2557, 16:09:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2557, 20:04:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1978





<< บทที่ 3 (1/2)   บทที่ 4 (1/2) >>
แว่นใส 18 มิ.ย. 2557, 18:34:31 น.
เศร้าเกินไปแล้วนะ


yapapaya 18 มิ.ย. 2557, 19:07:19 น.
เศร้าจัง


ใบบัวน่ารัก 18 มิ.ย. 2557, 20:20:29 น.
รอนาน นึกว่าต้องเข้าพรรษาซะแล้ว
เศร้าใจมาก เพราะอะไร ทำไม สาเหตุคืออะไร
คนเขียนคะ จะกลับบ้านต่างประเทศที่พวกพี่ๆๆที่ไม่มีบัตรสีชมพู
กลับหรือเปล่า ไงติดต่อรายงานตัวบ้างนะคะ หือๆๆๆๆๆ


สุชาคริยา 18 มิ.ย. 2557, 21:37:59 น.
ตอบคอมเม้นท์จากตอนที่แล้ว >>

คุณใบบัวน่ารัก = (ขยายคำตอบอีกรอบนะคะ) พระเอกเรื่องนี้ไม่โง่ค่ะ แต่อาจทำบางอย่างผิดพลาดเพราะความไม่รู้เท่านั้น หากอ่านพักตร์อสูรหรือติดตามจะรู้ว่าอ้อยเคยบอกว่าจริงแล้วพี่มัตถ์ในม่านลวงก็คือเฮียพะลัญจะจากพักตร์อสูรนั่นเอง (จริงแล้วก็คือพะลัญจะในภาคพระเอกนั่นแหละค่ะ ^^)

คุณแล่นแต๊ = ไม่บอกจ้า หลอกให้ติดตามกันเนอะ จุ๊บๆ

คุณคิมหันต์ = ติดตามตอนต่อไปได้เลยจ้า มีเฉลยแน่นอน ^^

คุณ konhin = ติดตามกันนะคะ ^^

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = 55555 จริงแล้วคนเขียนก็ยังฟินกับเลิฟซีนเหมือนกันน้าาาา

คุณ nunoi = มีเฉลยแน่นอนค่ะ แต่ยังไม่บอกใบ้เนอะ เดี๋ยวจะไม่ลุ้นจ้า ^^

คุณ supayalak = อิอิ ดีใจที่ชอบตบจูบ ตบจูบ จ้า ^^

คุณ Littlewitch = ได้เลยค่ะ ^^

คุณ chuwub = 55555 เนอะ คนอะไรก็ไม่รู้

คุณ yapapaya = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ

คุณแว่นใส = เศร้านิดหนึ่ง เวลาเจอตบจูบตบจูบจะได้จำตัวละครในเรื่องนี้ได้บ้างค่ะ ^^


สุชาคริยา 18 มิ.ย. 2557, 21:40:31 น.

ตอบคอมเม้นท์จากล่าสุด >>

คุณแว่นใส = หลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการจีบแบบตบจูบแล้วจ้า (หรือเปล่า?)

คุณ yapapaya = เศร้านิดเดียวเนอะ ตอนต่อไปไม่เศร้าแล้วจ้า

คุณใบบัวน่ารัก = 55555 ไม่ถึงขนาดนั้นจ้า แต่ก็ยังเร่งเขียนอยู่ค่ะ เพิ่งเห็นว่ามีคำผิด คำซ้ำ สลับคำกันเพียบเลยทีเดียว (กลับบ้านต่างประเทศ ใบสีชมพูนี่คืออะไรหรือคะ คืออ่านทวนหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ)


คิมหันตุ์ 18 มิ.ย. 2557, 23:39:20 น.
อั๊ยยะทำไมมีท่านพะลัญจะมาด้วย แอบรอคำตอบจ่ะ


แล่นแต๊ 19 มิ.ย. 2557, 21:41:44 น.
บรรยายได้เห็นภาพ จนคนอ่านร้องไห้ตามเลยค่ะ ToT


konhin 19 มิ.ย. 2557, 22:46:29 น.
อ๊ากกกกกกก น้องเลิฟจะshock ขนาดไหนเนี่ยยยย


nunoi 20 มิ.ย. 2557, 08:42:15 น.
สงสารหนูเลิฟ


นักอ่านเหนียวหนึบ 20 มิ.ย. 2557, 12:51:03 น.
ไรเตอร์ โกรธแล้วนะ เค้าอายคนมากกเลย
จะมาโศกเศร้า ร้องไห้เผาเต่าอะไรตอนนี้
เค้านั่งอ่านท่ามกลางผู้คนมากมาย อยู่ๆ ก็ร้องไห้ น้ำตาร่วงราวก๊อกแตก ประหนึ่งว่า วิญญาณน้องเลิฟเข้าสิง
อายยยยเกินบรรยาย แต่สลด โศกได้อย่างถึงแก่นจริงๆ พี่มัตก็ใจดีๆ กะหนูเลิฟหน่อยนะค้า หนูเลิฟเป็นเด็กดีน้า
ใจแตกก็เพราะพี่มัตนั่นหละ ฮิ้ววว


supayalak 22 มิ.ย. 2557, 21:59:22 น.
หายใจไม่ออก อะไรกันงง เกิดอะไรขึ้นกับพ่อหนูเลิฟกันแน่ รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจอค้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account