บ้านวุ่น อุ่นไอรัก
นายโปรดน่ะเหรอ... ขี้เก๊ก ปากจัด สำอาง เรื่องเยอะ! นี่ยังน้อยไปเสียอีกที่เธอจะนิยามความเป็นตัวเขาได้หมด พอกันที! เธอจะไม่ทนกับคนที่มีดีแค่หน้าตากับซิกส์แพ็ก แต่สมองแรมน้อยเสียยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าโขกสับอีกต่อไป!

อนาวิลาน่ะเหรอ... ชอบสั่ง ชอบสอน จู้จี้ ขี้งก! ที่สำคัญเธอยังมีลูกสมุนเป็นหมาตั้งสี่ตัว อะไรกัน! นี่เขาต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์ป้าสายพันธุ์หมูพร้อมฝูงหมาเป็นเวลา 365 วัน ใครก็ได้...ให้เขาไปอยู่บ้านผีสิงเสียยังดีกว่าต้องรับมือกับความวุ่นวายนี่

นายโปรดน่ะเหรอ... บางทีเขาก็มีน้ำใจนะ เขาสัญญาว่าจะแปลงโฉมสาวอวบระยะสุดท้ายอย่างเธอให้ผู้ชายที่เธอแอบชอบหันมาสนใจ เขาทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน

อนาวิลาน่ะเหรอ... เธอก็ไม่ได้ขี้บ่นเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งยัยมนุษย์ป้าก็มักพูดอะไรให้เขาฉุกคิดและกลับมามีกำลังใจมุ่งมั่นทำตามฝัน ไปๆ มาๆ ผู้หญิงอวบอ้วน เชยๆ เฉิ่มๆ ดันกลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นเซ็ตนี้ของเขาไปเสียนี่ ไม่อยากเชื่อเลย

เรื่องราววุ่นวายใต้ชายคาเดียวกัน ระหว่างชายหนุ่มเจ้าสำอางกับมนุษย์ป้าร่างอวบ พ่วงด้วยลูกสมุนสี่ขาสี่ตัวพร้อมที่จะมาสร้างรอยยิ้ม หรืออาจเรียกน้ำตาโดยไม่รู้ตัว

http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕ ขอบคุณนะ



รถสปอร์ตแล่นด้วยความเร็วมาจอดยังรั้วบ้านซึ่งสุนัขสี่ตัวแห่ออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ ชายหนุ่มควานหากุญแจบ้านในลิ้นชักคอนโซลหน้ารถ ก่อนจะหยิบพวงกุญแจกระต่ายนั่นออกมา ทำท่าจะลงไปเปิดรั้วเสียเอง

"ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันเปิดให้"

อนาวิลาแบมือรอ นายโปรดหันมาสบตานิดหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจวางพวงกุญแจลงกลางฝ่ามือเจ้าหล่อน

เธอลงไปเปิดรั้วพลางเรียกสุนัขทั้งสี่ให้หลบรถยนต์ ครั้นรถสปอร์ตเคลื่อนมาจอดเรียบร้อยแล้วจึงได้ดึงรั้วปิด เธอตามเข้าไปในบ้านก็ได้เห็นเขากำลังโทรศัพท์สั่งพิซซ่าอยู่ แล้วจึงนึกได้ว่าพวกตนและเจ้าสี่ตัวนั้นยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย

แทนที่จะพัก หญิงสาววางกุญแจบ้านไว้บนโต๊ะกระจกแล้วกลับเดินออกไปหลังบ้าน เทอาหารเม็ดจากถุงใส่จานให้พวกมันทั้งสี่ตัวที่ต่างพากันมารุมล้อมตนอยู่ เธอจามอย่างคัดจมูกขึ้นมาอีกครา

อนาวิลาหารู้ไม่ว่ามีคนยืนดูการกระทำของเธออย่างทั้งหงุดหงิดและอ่อนใจ เขากลอกตาเมื่อเห็นเลิฟลี่ยืนสองขาเกาะไหล่คนนั่งยองๆ คอยดูเถอะ เธออาจไม่ตายเพราะไส้ติ่งแตก แต่จะตายเพราะหอบหืดจากขนสุนัขก็เป็นได้

ไม่ได้สิ เธอจะมีอันเป็นไปตอนนี้ไม่ได้ เพราะความฝันที่จะเปิดห้องเสื้อของตัวเองรอไม่ได้อีกต่อไป

"มานี่ ฉันทำเอง"

นายโปรดเดินไปแย่งถุงอาหารเม็ดสุนัขหลังวางสาย เรียกสายตาแปลกใจระคนยินดีให้แหงนมองตาม

ชายหนุ่มย่นจมูกเหม็นกลิ่นฉุนของอาหารเม็ด ไหนจะแววตาพราวระยับของเจ้าหล่อนที่มองมาอีก ใบหน้าจึงร้อนซู่ขึ้นมา

"บอกไว้ก่อนนะ อย่าคิดจะให้ฉันรับใช้อย่างวันนี้อีก" เขาเอ่ยเสียงแข็งกลบความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี "เมื่อเช้าฉันนึกว่าเธอจะไส้ติ่งแตกตาย เฮอะ ที่ไหนได้... แล้วยังตอนนี้อีก เธอจะมาตายง่ายๆ เพราะขนหมาอุดปอดไม่ได้นะ"

อนาวิลาโคลงศีรษะอ่อนใจ นี่เขาจะคิดฉากจบชีวิตของเธอให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง

"ฉันไม่เคยคิดว่านายรับใช้ฉันอยู่เลย จริงๆ นะนายโปรด ฉันกลับคิดว่าทุกอย่างที่นายทำคือน้ำใจของนายที่มีต่อคนอย่างฉัน" เธอเอ่ยจากใจ

หญิงสาวลุกยืนเต็มความสูง กระนั้นก็ยังเตี้ยกว่าฟุตจากชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนนิ่ง ปล่อยให้บรรดาสุนัขตะกุยขากางเกงอย่างลืมตัวชั่วขณะ

"เอ่อ ฉันขอบใจนายมากสำหรับทุกอย่างในวันนี้"

อนาวิลายิ้มบางพลางผงกศีรษะยืนยันคำพูดตน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งโดยไม่คิดเอ่ยคำใด เธอจึงตัดสินใจเดินจากมา

................................

ภาพประตูไม้เบื้องหน้าก็เปรียบเสมือนเส้นแบ่งระหว่างความกลัวกับความกล้าที่จะทำในสิ่งซึ่งตนไม่เคยทำมาก่อน ถาดพิซซ่าขนาดใหญ่และกล่องสปาเก็ตตี้อยู่บนท่อนแขนสองข้างของเขา จนมันอุ่นจัดขึ้นมาเพราะความร้อนของอาหาร ทว่าการตัดสินใจจะเผชิญหน้าหรือถอยหลังก็ยากพอกัน

นายโปรดยืนลังเลอยู่หน้าห้องหญิงสาวนานกว่าห้านาทีแล้ว นานพอกับที่ความสับสนในใจตีกันยุ่งเหยิง เขาคงบ้าไปแล้วที่ถือถาดพิซซ่ามาถึงนี่ นี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลย อันที่จริง...เขารู้สึกไม่เป็นตัวเองตั้งแต่ได้ยินคำขอบคุณจากยัยมนุษย์ป้านั่นแล้ว ก็เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครพูดคำนั้นกับเขาสักคนเดียว

ฮึ้ย... นี่ยัยป้านั่นใช้เวทมนตร์อะไรกับเขาหรือเปล่าเนี่ย ก็ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยทำราวกับง้องอนใครเช่นนี้เลย

ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังกลับ เขาน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว คำขอบคุณของเธอยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนทำ และพยายามผลักความคิดที่อยากได้ยินคำนั้นอีกออกไปจากสมองให้สำเร็จ

"เอ๋..."

อนาวิลาเปิดประตูออกมาเจอคนที่กำลังจะหันกลับพอดี ต่างฝ่ายต่างนิ่งอึ้ง เธอจ้องมองสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังของกินบนอ้อมแขนนายโปรด

เขาชักเชื่อแล้วว่ายัยมนุษย์ป้านี่ต้องเป็นแม่มด...ต้องเป็นแม่มดแน่ๆ

"มองอะไร" เขาย้อนถามเสียงแข็ง กลบเกลื่อนเศษหน้าซึ่งแตกกระจาย

หญิงสาวก้มหน้าซ่อนยิ้ม ที่แท้ก็แค่เด็กฟอร์มจัด ถ้าไม่ใช่เอามาให้เธอ เขาจะยืนถือถาดพิซซ่าอยู่หน้าห้องเธอทำไม ว่าไปก็น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกันเวลาที่เขารู้จักแสดงน้ำใจ

"ฉันแค่เดินมาผิดห้อง ว่าจะเอาขึ้นมากินบนห้องสักหน่อย"

น่าขัน คำแก้ตัวของเขามันไร้น้ำหนักไม่ต่างจากคำโกหกของเด็กอนุบาลเลย

"เอ่อ งั้นฉันขอกินด้วยได้เปล่า ฉันว่าจะลงไปหาอะไรกินก่อนกินยาพอดีเลย"

นายโปรดเชิดหน้า มีรอยยิ้มมุมปากอย่างถือดี

"กล้าเนอะ ตะกละสมกับเป็นเธอเลย"

กรี๊ด! ไอ้เด็กบ้า เธออุตส่าห์ยอมตามเกมเขา แต่สุดท้ายกลับมาหยาบคายใส่เธอนี่นะ

"เอ้า ตามมาสิ" ชายหนุ่มเหลียวหลังมาเรียก

อนาวิลากำมือแน่นสลับผ่อนอย่างควบคุมอารมณ์ เธอนิ่งนับเลขในใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยตามอีกฝ่ายลงไป

.........................

พิซซ่าแป้งบางกรอบโรยด้วยแฮมและเปปเปอโรนีส่งกลิ่นหอมอวลยั่วคนป่วยให้น้ำลายสอ อนาวิลาลืมคำค่อนขอดของนายโปรดเสียสนิท เมื่อเธอค่อยย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้คู่โต๊ะอาหาร จ้องมองชีสสีเหลืองทองไม่คลาดสายตา

นายโปรดหัวเราะหึในลำคอ ดูสีหน้าเจ้าหล่อนตอนนี้ เขาก็ชักลังเลแล้วว่าคุณตาอาจเลี้ยงสุนัขไว้ห้าตัวต่างหาก แววตาของเธอเหมือนกับตอนที่สุดหล่อมองมายามเขาเทอาหารเม็ดให้มันไม่มีผิด

"เอานี่ ฉันยกให้ มันแถมมาในชุดที่สั่ง"

ชายหนุ่มผลักสปาเก็ตตี้ไปให้แรงจนหญิงสาวต้องยกมือกันมันเลยตกโต๊ะ พร้อมกับกะพริบตามองอย่างเรียกสติ

"อ๋อ ก็ได้ แต่ถ้านายกินไม่หมด..."

"ก็ทิ้ง" เขาต่อคำง่ายๆ พลางไหวไหล่ "ใครมันจะกินหมด แป้งทั้งนั้น กินชิ้นสองชิ้นก็เบื่อละ"

"แล้วนายจะสั่งถาดใหญ่มาทำไม" เธอถามอย่างลืมตัว

"แล้วเขาขายชิ้นเดียวไหมล่ะ"

"งั้นก็สั่งถาดกลางหรือถาดเล็กสิ"

"ฉันพอใจ มีไรป่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ขอเงินเธอมาซื้อ อย่าทำหน้าเสียดายไปหน่อยเลย"

นายโปรดยกพิซซ่าชิ้นหนึ่งทานอย่างน่าเอร็ดอร่อย เขาขยับนั่งหันข้าง เบือนหน้าหนีจากสายตาที่จับจ้องมายังตนราวอัดอั้นตันใจจะเทศนาเต็มที

อนาวิลาอิ่มตื้อชั่วขณะ ในมือกำส้อมพลาสติกที่ให้มาพร้อมอาหารไว้มั่น ขณะสงบใจถามออกไป

"นาย...ทำงานอะไรเหรอ" เธอพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

ชายหนุ่มปนายตามองนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ นี่คงคิดจะมาตีซี้เขาล่ะสิ ฝันไปเถอะ!

"ถามทำไม"

"ก็ฉันเห็นนายใช้เงินเป็นเบี้ย เลยอยากรู้ว่านายทำงานอะไร เผื่อฉันจะไปสมัครดูบ้าง"

ที่แท้ก็อยากรวย นี่คงเป็นเหตุผลที่เธอมาตีซี้กับตาเขาสิท่า แล้วก็เกือบสำเร็จจริงๆ

"เธอคงไม่รู้ พ่อฉันเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตั้งหลายแห่ง สนใจมาทำไหมล่ะ" เขาว่าโอ่ๆ

อนาวิลาลอบถอนใจ เขาช่างหลงตัวเสียจนแปลความหมายที่เธอหลอกว่าไม่ออกจริงๆ สินะ

"ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากรู้หรอกว่าพ่อนายทำงานอะไร ฉันถามถึงนายต่างหาก"

นายโปรดขมวดคิ้ว เขาจ้องมองเธอราวกับจะค้นหาความหมายที่ซ่อนในนั้น ก่อนดวงตาเรียวสวยจะเบิกโตขึ้นเมื่อเริ่มเข้าใจ ทว่าหญิงสาวรีบชิงเอ่ยก่อนที่เขาจะทันได้โวย

"เพราะถึงรวยล้นฟ้าขนาดพ่อนาย ฉันว่าท่านก็คงไม่กินทิ้งกินขว้างแบบนี้หรอก คนที่รวยรวยได้เพราะขยันและรู้ค่าของเงิน ส่วนคนที่เอาแต่ผลาญเงินฉันว่าไม่นานเขาก็ไม่เหลืออะไร"

ชายหนุ่มขบกรามแน่น กระนั้นมุมปากก็คลี่ยิ้มเยาะ คนอย่างเจ้าหล่อนจะไปรู้อะไร ธุรกิจมันก็มีแต่ต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่จำนวนเงินแค่เงินเดือนลูกจ้างอย่างเธอ

"หลอกด่านิ่มๆ คิดว่ามันทำให้เธอดูเหนือกว่ามากนักเหรอ ทำไม ที่โกรธนี่ก็เพราะฉันบอกว่าจะทิ้งพิซซ่าที่เหลืองั้นสิ

คนอย่างเธอมันก็ดีแต่รอรับเศษของเหลือจากคนอื่นนั่นแหละ เหมือนหมาที่เธอเลี้ยงนั่นไง"

อนาวิลาผุดลุกยืนทั้งที่กายสั่นเทิ้ม เธอต้องกำขอบโต๊ะไม้ไว้มั่นเมื่อทำท่าจะหน้ามืดซวนเซ ไม่มีอะไรบาดตาบาดใจเท่าแววตาและรอยยิ้มเยาะหยันที่มองมา

"โกรธ...โกรธล่ะสิ" เขาว่าเยาะ

นอกจากจะคลายโทสะของตนยามรู้ว่าถูกเธอหลอกด่าได้แล้ว ตอนนี้เขากลับรื่นรมย์เสียอีกที่ได้เห็นยัยมนุษย์ป้าใกล้ตบะแตกเต็มที

หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์ตนด้วยมือสั่นเทา เธอนับธนบัตรเท่าที่มีในนั้น ก่อนจะหยิบออกมาทั้งหมดพร้อมทั้งเทเศษเหรียญทั้งหมดที่ตนมี ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอค่ารักษาพยาบาลที่เมื่อเช้าเขาจ่ายให้เธอ

"ฉันคืนนาย แล้วพรุ่งนี้จะกดเงินที่เหลืออีกสองร้อยห้าสิบแปดบาทมาคืนให้ เผื่อว่าวันต่อไปนายจะงัดเรื่องที่เคยช่วยฉันมาดูถูกกันอีก และฉันก็ขอเอาคำขอบคุณและความรู้สึกดีๆ ที่มีกับนายคืน" เธอเอ่ยเสียงขื่นโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะอ้าปากมองมาอย่างตื่นตะลึง

"ดะ...เดี๋ยว" นายโปรดลุกขึ้นเรียกแต่ก็ไม่เป็นผล

เขายืนงันมองตามคนที่กลับขึ้นข้างบนไปโดยไม่สนใจใยดีสปาเก็ตตี้ที่เขาให้ แล้วก็ต้องถีบขาเก้าอี้แรงด้วยความหงุดหงิดใจ เธอขอบคุณเขาแล้ว แต่กลับมาแลกคืนด้วยเงินพวกนี้ได้อย่างไร

ไม่ให้โว้ย! เขาไม่ให้ ได้ยินไหม ยัยป้าโลเล!

....................

"มาทำไมป่านนี้ยะ" ฟ้าใหม่เอ่ยทักเป็นคำแรกทันทีที่ลุกไปเปิดประตูห้องพักให้เพื่อนสนิทเข้ามา

นายโปรดไม่ตอบ เขาเดินเลยไปนั่งยังโซฟาเดี่ยวเยื้องกับที่กีรณานั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ พร้อมกับวางถาดพิซซ่าในถุงลงกลางโต๊ะรับแขก

"เนื่องในโอกาส..." สาวทอมเลิกคิ้วถาม

"กินไม่หมด" เขาตอบแกนๆ

เพื่อนสนิททั้งสองคนลอบสบตากัน สีหน้าคนใจดีที่หิ้วของกินมาฝากไม่เหมือนเต็มใจเลี้ยงสักนิด

ฟ้าใหม่นั่งลงข้างเพื่อนสาว เขาเปิดฝากล่องออกดูด้วยดวงตาพราวระยับ ก็ตั้งแต่ตระเวนดูทำเลเปิดร้านหลายแห่งเมื่อเช้า ทั้งเขาและกีรณาก็มีเพียงกาแฟตกถึงท้องเท่านั้น

"นายโปรด แกมาโปรดพวกเราสมชื่อแท้ๆ มามะ มาคิสหน่อย"

'เพื่อนเทย' ยื่นแขนทำท่าจะโผไปหา ทว่าชายหนุ่มก็เบี่ยงตัวหลบ ยกขากันและเตรียมยันไว้ได้ทัน โดยที่ 'เพื่อนทอม' ก็เพียงพยักหน้าขอบคุณ

เห็นเพื่อนทั้งสองเอร็ดอร่อยจากเสบียงที่เขานำมาแล้ว นายโปรดก็พลอยยิ้มออกได้บ้าง แม้คำพูดของใครบางคนจะยังเป็นตะกอนขุ่นค้างคาในใจ

"พวกเธอไม่คิดว่าฉันเอาของเหลือมาให้เหรอ"

"ถ้าฉันไม่รู้จักแกดีก็คงคิดหรอก แต่นี่แกมันป่วยง่าย เอะอะก็อาหารเป็นพิษ กินของเย็นของค้างไม่ได้ เอามาให้ฉันก็ดีแล้วแหละ" ฟ้าใหม่ตอบก่อนกัดพิซซ่าคำใหญ่

"แล้วนี่นายคงไม่ได้ตั้งใจซื้อมาเลี้ยงพวกฉันหรอกใช่ไหม ไม่งั้นนายคงไม่กินก่อน" กีรณาเอ่ยอย่างรู้นิสัยเพื่อนรุ่นน้องดี

ชายหนุ่มเป่าปากพลางทิ้งตัวพิงพนัก เขาไม่ตอบหากเสกดรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์แทน

สาวมาดทอมหรี่ตามองอีกฝ่าย เธอยังไม่ได้เริ่มลงมือทาน แต่กลับสนุกที่ได้สังเกตอากัปกิริยานายโปรดแทน

"ซื้อมากินกับคนป่วยแล้วเขาไม่กินหรือเปล่า"

ได้ผล ดวงตาเรียวสวยตวัดมอง ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงอย่างปิดบังความรู้สึกตน

"เฮอะ ไม่เคยมีใครปฏิเสธฉัน มีแต่ฉันเท่านั้นที่มีสิทธิ์ปฏิเสธใครหรืออะไรก็ตาม" เขาเอ่ยแก้เก้อ หากน้ำเสียงไม่ได้เปี่ยมความมั่นใจเช่นทุกที

"ยกเว้นคนนี้..." กีรณายังคงสนุกที่ได้เย้าคนฟอร์มจัด

"เฮ้ย อะไรของแกฮะ รีบๆ กินไปสิ ไอ้ใหม่มันฟาดชิ้นที่สามแล้ว"

นายโปรดดึงคอเสื้อตนพัดเรียกลม จู่ๆ อากาศรอบตัวก็ร้อนขึ้นมาทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศอยู่

"เด็กน้อย" สาวรุ่นพี่ว่าเยาะ "คนอยู่บ้านเดียวกันดีต่อกันก็ถูกแล้วนี่ แกแหละร้อนตัวไปเอง"

ชายหนุ่มมองค้อนคนที่พูดจาวกวนให้ตนหัวปั่น เขาคว้าเอกสารบนโต๊ะมาดูแก้ขวยระหว่างรอเพื่อนทั้งสองจัดการพิซซ่า แล้วก็พบว่ามันเป็นเอกสารสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ และยังมีสัญญาเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าอีกด้วย

นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้ไปตามนัดของเพื่อนเมื่อเช้า เพราะเขาไม่มีเงินพอมาร่วมหุ้นกับพวกเธอ เขาก็ไม่ควรมีสิทธิ์ตัดสินใจไม่ว่าเรื่องใดๆ

"เสียดายที่วันนี้แกไม่ได้ไปดูร้านกับพวกฉัน" ฟ้าใหม่เอ่ยขึ้นบ้างหลังอิ่ม

นายโปรดวางกระดาษเอกสารลงบนโต๊ะ เขานั่งหลังตรง ไขว่ห้าง อันเป็นท่าทางไว้ตัว หากคนเป็นเพื่อนรู้ดี ท่าทางอย่างนั้นถูกปั้นแต่งมาจนเจ้าตัวคุ้นชินก็เพื่อปิดยังความอ่อนแอของตน

"บอกแล้วไง เงินรวมหุ้นน่ะไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้แกก็มาช่วยฉันกับไอ้กี้มันก่อน ยังไงก็เป็นร้านของเราสามคน"

ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี เขาเกลียดการไม่มีตัวตน ไม่ชอบหลบอยู่ใต้เงาใคร แม้คนคนนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดก็ตาม

อีกตั้งสามร้อยกว่าวัน กว่าจะถึงตอนนั้นร้านเสื้อผ้าที่เขากับเพื่อนร่างฝันด้วยกันคงสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว โดยที่เขาได้แต่มองเข้าไปราวคนนอกคนหนึ่ง

เขาทนได้หรือ เขาทำได้เพียงยืนมองความฝันสำเร็จจริงๆ หรือ เมื่อได้คำตอบให้กับตัวเอง นายโปรดก็ผุดลุกจากโซฟาทันที

"อ้าว จะไปไหน" ฟ้าใหม่กรีดเสียงร้องถาม

เขาไม่ได้หยุดตอบทว่าหุนหันจากไปอย่างคนที่มีเป้าหมายใหม่ต้องเร่งทำ

............................

ชายหนุ่มร่างสูงสง่ายืนกอดอกรอลิฟต์ที่จะขึ้นไปชั้นบนจากลานจอดรถใต้ดินพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะเมื่อเลขดิจิตอลบอกชั้นที่ลิฟต์อยู่ลดระดับช้าไม่ทันใจ เขาตัดสินใจเดินขึ้นบันไดหนีไฟด้วยออฟฟิศของพ่อเช่าอยู่บนชั้นห้าของตึกใหญ่นี้เอง

นายโปรดหยุดยืนหอบหายใจ เขาลูบจัดแต่งทรงผมก่อนผลักประตูบันไดหนีไฟออกไป เมื่อพ้นมุมอับมาแล้วก็พบกับพนักงานหน้าตาไม่คุ้น หากบางคนที่เดินสวนกับเขาก็ต้องหยุดชะงักหรือไม่ก็ค้อมตัวผ่านไป

ผ่านส่วนพนักงานมาแล้ว ลึกเข้าไปบนชั้นเดียวกันก็เป็นออฟฟิศของผู้บริหาร กระจกกั้นห้องถูกรูดมู่ลี่พลาสติกปิดพรางตา เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบโต๊ะทำงานของเลขานุการและชุดโซฟารับแขกสำหรับผู้ที่ติดต่อมารอพบ แต่เขาจำได้เช่นกันว่าเมื่อสมัยเป็นเด็กตนมักมานั่งเล่นนอนเล่นระหว่างรอพ่อทำงานในห้องด้านใน

เลขานุการสาวจดจำบุตรชายเจ้านายได้ เธอรีบลุกจากโต๊ะทำงานมาต้อนรับ

"พ่ออยู่หรือเปล่า"

"อยู่ค่ะ แต่..."

"มีแขกหรือไง"

"เปล่าค่ะ แต่..."

นายโปรดหยุดเดินพลางหันขวับมองผู้ที่กวนประสาทตน หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าตอบอย่างกริ่งเกรง

"ขอดิฉันแจ้งท่านประธานก่อนนะคะ คราวที่แล้วที่ดิฉันแจ้งไม่ทันถูกท่านตำหนิเอาน่ะค่ะ"

วูบหนึ่งในใจที่เขานึกละอายที่มีผู้อื่นเดือดร้อนเพราะตน ก่อนชายหนุ่มจะรีบปัดความคิดนั้นไปจากใจและโทษว่าเป็นเพราะความมากเรื่องกับพิธีรีตองของพ่อ

กว่าจะรู้ตัวว่าตนหยุดยืนนิ่งกระทั่งอีกฝ่ายโทรแจ้งเจ้านายแล้วเสร็จ ก็เมื่อเจ้าหล่อนผายมือเชิญพลางเปิดประตูให้เข้าไป

ปราบดาเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารมาขมวดคิ้วมองบุตรชาย ครั้นลูกน้องตนดึงประตูปิดลง เขาจึงเปิดฉากถามอย่างแปลกใจ

"มีอะไร"

คำถามด้วยความสงสัยนั้นฟังดูเย็นชาสำหรับผู้รับสาร ชายหนุ่มชะงักมือที่จะดึงเก้าอี้นั่ง เขาบีบมันไว้และยืนค้ำผู้เป็นพ่ออยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน

"ปลื้มใจจัง นี่คือคำทักของพ่อที่ลูกไม่ได้กลับบ้านตั้งหลายวัน" เขาเหยียดยิ้มหยันตัวเอง

ปราบดาลอบถอนใจ เขาคร้านจะต่อปากต่อคำกับมันในเวลาที่งานสุมเต็มโต๊ะเช่นนี้

"ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไป ไม่เห็นหรือว่าฉันงานยุ่ง ไม่ช่วยก็อย่ามาขวาง"

ตั้งแต่เขาจำความได้พ่อก็งานยุ่งเช่นนี้เสมอ เมื่อเขายังเด็กพ่อก็พาเขามาอยู่โยงที่ทำงาน ใช้เวลาที่นี่มากกว่าไปเที่ยวด้วยกัน แต่ครั้นเขาเติบโตขึ้น เขากลับเกลียดสถานที่แห่งนี้ที่แย่งพ่อตนไป จนพาลไม่อยากมาเหยียบอีกเลย

พ่อเป็นคนเก่ง เขารู้และภูมิใจเสมอ หากอีกใจเขาก็ต้องการแค่พ่อที่เป็นเหมือนเพื่อนสักคน

"พ่อ"

บุรุษวัยกลางคนละสายตาจากงานตรงหน้า มองตอบคนที่เรียกตนด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

"เรื่องที่เราคุยกันไว้น่ะ จำได้ไหม เรื่องเงินที่ผมขอไปลงทุนกับเพื่อน ผมขอ..."

"ไม่ได้" ปราบดาชิงตอบก่อนลูกชายจะพูดจบ

นายโปรดฉุนกึก พ่อไม่เคยฟังเขาเลย ไม่เคยสนใจความต้องการ ความฝันของเขา

"ทำไม ผมก็ยอมทำตามความต้องการของพ่อแล้วไง ไปอยู่บ้านของตากับไอ้หมาพวกนั้น พ่อทำเพื่อผมบ้างไม่ได้หรือไง"

"ฉันก็ทำเพื่อแกอยู่นี่" ผู้เป็นพ่อตอบใส่อารมณ์พอกัน เขาตบมือไปบนแฟ้มต่างๆ บนโต๊ะทำงาน "แกล่ะ เคยทำอะไรให้ฉันภูมิใจบ้างไหม ฉันส่งไปเรียนบริหารถึงเมืองนอกเมืองนา แล้วแกได้อะไรกลับมา ประกาศนียบัตรออกแบบบ้าบออะไรนั่น ใครกันแน่ที่ทำเพื่อตัวเอง"

นายโปรดขบกรามแน่น ใช่ ทั้งเขาและพ่อต่างก็ทำเพื่อตัวเอง และไม่มีทางที่ใครจะเปลี่ยนอีกฝ่ายได้ เสียเวลาเปล่าที่เขามาถึงนี่ เขามันโง่เองที่คิดว่าพ่อจะยอมรับฟังตน

ร่างสูงหันหลังกลับ จะมีสักที่แห่งหนหนึ่งไหมที่เขาจะต้องไม่เป็นฝ่ายหันจาก ที่ที่เป็นของเขาโดยสมบูรณ์ พร้อมด้วยคนที่รักและเข้าใจเขา แต่แล้วภาพสุนัขทั้งสี่ตัวก็ฉายชัดขึ้นมาในมโนภาพ บ้าน่า! เขาจะอยู่ร่วมบ้านกับสุนัขทั้งชีวิตได้อย่างไร

หรือว่า...มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

............................

บทนี้มาไวและยาว หวังว่าจะถูกใจนะคะ อิอิ
เรื่องนิสัยเสียของนายโปรดน่ะเป็นสันดอนไปแล้ว
ป้าจงขุดต่อปายยย ฮึบๆๆ
เป็นกำลังใจให้ป้าด้วยนะคะ ฮึบๆๆ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2557, 17:18:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มิ.ย. 2557, 17:18:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1476





<< บทที่ ๔ (๑๐๐%) พี่สาวน้องชาย   บทที่ ๖ มือป้านิ่มจัง >>
แว่นใส 26 มิ.ย. 2557, 20:11:28 น.
เหนื่อยหน่อยนะ


ภาพิมล_พิมลภา 26 มิ.ย. 2557, 20:36:12 น.
คุณแว่นใส - เหนื่อยหน่อยน้า อยู่กับฉันนน


ใบบัวน่ารัก 27 มิ.ย. 2557, 06:51:02 น.
รวย มีลูกคนเดียว ตั้งความหวังไว้สู้ แล้วมันก็สวนทางกัน


ภาพิมล_พิมลภา 27 มิ.ย. 2557, 09:38:15 น.
คุณใบบัวน่ารัก - จริงๆโปรดมีน้องอีกคนแต่ต่างแม่ค่ะ อายุก็ห่างกันมาก นี่คือที่มาที่ลูกคนเดียวอย่างเขารับไม่ได้ด้วย นายคนนี้ก็มีมุมดราม่าน้าาา


lunamoon 27 มิ.ย. 2557, 15:23:51 น.
ป้าสู้ๆนะ


lovereason 27 มิ.ย. 2557, 21:26:07 น.
ป้ากับโปรด สนุกดีค่ะ
นายโปรดว่าเค้าสารพัด
ต้องติดกับป้าสักวัน ^^




ภาพิมล_พิมลภา 28 มิ.ย. 2557, 09:17:46 น.
คุณlunamoon - ขอบคุณแทนป้าด้วยนะคะ

คุณนุ่น - 55 อาจไม่ถึงกับติดกับค่ะ เพราะป้าไม่ได้อ่อยน้า แต่ถ้าหลงป้าก็ว่าไปอย่าง อิอิ


กาซะลองพลัดถิ่น 29 มิ.ย. 2557, 05:02:33 น.
เฮ้อ ปากเหรอนั้นว่าเขาซะเจ็บ ไม่ตอบด้วยถาดพิซซ่าก็บุญแล้วเนอะ
นายโปรดเอาแต่ใจตัวเอง มีปม เฮ้อ นี่ล่ะนะ ลูกคนรวย ใช้เป็นแต่เงิน


ภาพิมล_พิมลภา 29 มิ.ย. 2557, 16:13:47 น.
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - 55 พระเอกเรื่องนี้น่วมจริงๆเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account